จ้านเป่ยว่างหายใจเข้าลึกๆ และมองนางด้วยความไม่อยากเชื่อนางอยากไปจริงๆ หรือนางใช้สิ่งนี้เพื่อบังคับเขา? แต่เขาจะไม่หย่าเด็ดขาด เมื่อเขาหย่ากับนาง คำด่าทอของคนภายนอกจะด่าเขากับยี่ฝางจมไม่อาจจะลืมตาอ้าปากได้อีกเลยนอกจากนี้ ผู้คนในกองทัพจะเห็นว่าพวกเขาเป็นคนไม่มีความ ละอายใจ ทุกคนต่างยกย่องท่านโหวเป็นวีรบุรุษ เขาไม่สามารถสูญเสียขวัญกำลังใจทางทหารของเขาได้"ซ่งซีซี ข้าจะไม่หย่ากับเจ้า" เขารู้สึกรำคาญและเป็นทุกข์ด้วย "ข้าจะไม่หย่ากับเจ้า และไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่ดีเช่นกัน ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะไม่สร้างปัญหามากมายอะไรอีก โดยเฉพาะครั้งนี้ที่เจ้าขู่ข้าด้วยอาการป่วยของท่านแม่เจ้าไม่คิดว่าตัวเองเลวทรามเกินไปหรือ เจ้ามีคำขออะไร มีความไม่พอใจอะไร ระบายความโกรธกับข้าได้ อย่าทรมานท่านแม่ เจ้าทำแบบนี้คืออกตัญญู ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป มันจะไม่ดีต่อชื่อเสียงของเจ้า"ใบหน้าของซ่งซีซีเย็นชามาก "คือเจ้าจะไม่หย่ากับข้า หรือเจ้าไม่กล้าที่จะหย่ากับข้า? การหย่ากับข้า สำหรับเจ้าแล้วมีแต่เสียกับเสีย ไม่เพียงแต่โดนคนอื่นด่าทอว่าเจ้าเป็นคนใจร้ายและโหดเหี้ยม กลัวที่จะสูญเสียการสนับสนุนจากลูกน้องเก่าของท่านพ่อข
"ถุ้ย!" เป่าจูแสดงท่าทีรังเกียจ "เงินหมั้นหนึ่งหมื่นตำลึง คิดซะว่าจวนแม่ทัพเป็นตระกูลที่ร่ำรวยจริงๆ เหรอ เมื่อคุณหนูแต่งเข้ามา ฮูหยิงก็แค่รับเงินไปไม่กี่พันตำลึงเอง เราเสียเปรียบเลย"ซ่งซีซีพูดอย่างน่าสงสาร "ใช่สิ ข้าขายถูกมา"เป่าจูก็เริ่มหัวเราะด้วย แต่ไม่นานนนักนางก็น้ำตาไหล ตอนที่คุณหนูของนางแต่งเข้ามาต้องทนทุกข์มากแค่ไหน ฮูหยิงก็เห็นความสำคัญกับคำสัญญากับจ้านเป่ยว่างจริงๆ โดยบอกว่าจะไม่รับอนุภรรยาเด็ดขาด กลับเป็นคำโกหกล้วนๆ ทำร้ายคุณหนูของนางไปตลอดชีวิตเลยนางปาดน้ำตาแล้วออกไปหยิบแกงเม็ดบัวและรังนกมาให้ และตามหาแม่นมคนอื่นๆ เข้ามากินด้วยเรื่องการพระราชทานหย่าโดยสันติภาพที่สั่งจากฮ่องเต้นั้นยังเป็นความลับอยู่ แน่นอนว่า ผู้คนที่มาจากครอบครัวพ่อแม่ของนางเองล้วนเชื่อถือได้และภักดี พวกเขารู้เรื่องมันไม่เป็นไร เพราะพวกเขาต้องเตรียมตัวล่วงหน้าสิ่งเดียวที่นางกังวลตอนนี้คือฮ่องเต้ไม่อนุญาติได้ให้ทั้งสองหย่าโดยสันติภาพ การถูกฝ่ายชายขอหย่าถือว่าถูกทอดทิ้งกับหย่าโดยสันติภาพมันมีความแตกต่างมากผู้หญิงที่ฝ่ายชายทอดทิ้งนั้นจะเอาสินเดิมกลับคืนไม่ได้ตามหลักแล้ว แค่ออกพระราชโองการเท่านั้น
หลังจากมอบอำนาจในการบริหารครอบครัวแล้ว ซ่งซีซีก็ปิดประตูเรือนไม่ออกไปไหนอีกเลยนางไม่พบใครนอกจากคนติดตามที่มาจากครอบครัวพ่อแม่ของนาง แม้แต่ข้าวที่กินก็ทำจากห้องครัวเรือนเหวินซีอีกด้วย แม่นมเหลียงและแม่นมฮวงไปซื้อผักเองและปรุงเองหลังจากที่ซ่งซีซีเรียกทุกคนกลับมาแล้ว ทั้งจวนแม่ทัพก็ยุ่งวุ่นวายไปหมดนางหมินทำได้เพียงให้พ่อบ้านจัดคนที่มีความสามารถให้มาทำหน้าที่ตำแหน่งของแม่นมฮวงแทน แล้วทำงานตามที่พวกนางเคยทำก่อนหน้านี้อย่างไรก็ตาม ใกล้จะจัดงานแต่ง กำลังคนย่อมไม่เพียงพอในตอนนี้ และคนที่ซ่งซีซีซื้อหลังจากที่นางแต่งเข้ามาก็ถูกส่งตัวกลับโดยพวกแม่นมฮวง ดังนั้นตอนนี้แม้แต่คนรับใช้ในแต่ละเรือนก็ไม่เพียงพอนางหมินรายงานเรื่องนี้ให้ฮูหยินผู้เฒ่า ซึ่งฮูหยินผู้เฒ่าโกรธมากจนจับหน้าผาก "ข้าไม่คิดว่านางจะใจแข็งขนาดนี้ ข้ามีตาไร้แววจริงๆ อุตส่าห์ที่ข้าปฏิบัติต่อนางอย่างดีในอดีต และไม่เคยสั่งสอนนางแม้แต่ครั้งเดียว"เมื่อได้ยินเช่นนี้ นางหมินก็ไม่ได้รู้สึกไม่ยุติธรรมอะไรนางเคยโดนสั่งสอนให้ปฏิบัติตามกฎเมื่อนางเพิ่งเข้ามาใหม่ แต่นางก็แตกต่างจากซ่งซีซี ซ่งซีซีแต่งงานด้วยความทรัพย์สินสมบัติมากมาย และ
ฮูหยินผู้เฒ่าโรคกำเริบทำให้ที่จวนวุ่นวายไปหมด สุดท้ายก็ต้องตามหาหมอหลวงมาช่วยรักษาอาการของนางให้คงที่ชั่วคราวหมอหลวงพูดกับจ้านเป่ยว่างว่า "ข้าเคยมารักษาให้ฮูหยินผู้เฒ่ามาก่อน แต่ทักษะทางการแพทย์ของข้าไม่ดีเอง หมอที่ดีที่สุดในเมืองหลวงในการรักษาโรคหัวใจคือหมอมหัศจรรย์ดัน และยาดันเสวี่ยของเขาเป็นยาที่ช่วยชีวิตฮูหยินผู้เฒ่าได้ ยามนี้ข้าทำแต่แค่ช่วยควบคุมอาการของนางได้ เพราะนางทานยาดันเสวี่ยมาเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว และฤทธิ์ยายังอยู่ แต่หากต่อไปกำเริบอีก ข้าคงหมดหนทางแล้วขอรับ"หลังจากพูดอย่างนั้น หมอหลวงก็บอกลาและจากไปดวงตาของจ้านเป่ยว่างแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาไปเรียนเชิญหมอมหัศจรรย์ดันด้วยตัวเองในคืนนี้ แต่หมอมหัศจรรย์ดันไม่ยอมพบเขาเลยด้วยซ้ำเขารู้ว่าซ่งซีซีใช้สิ่งนี้เพื่อบังคับให้เขาเลิกแต่งงานกับยี่ฝาง วิธีนี้แย่มากและน่ารังเกียจจริงๆ ที่จะใช้ชีวิตของท่านแม่มาบีบเขาเขาเดินตรงไปที่เรือนเหวินซี แล้วเตะประตูให้เปิดออกซ่งซีซียังไม่ได้นอน และกำลังเขียนหนังสืออยู่ใต้ตะเกียง นางขมวดคิ้วเมื่อเห็นเขามาด้วยความโกรธทั่วตัวเขา เห็นได้ชัดว่าเขามาเอาเรื่อง"แม่นม เป่าจู พวกเจ้าออกไปก่อน!""พ
แสงไฟในห้องของฮูหยินผู้เฒ่าเปิดอยู่ตลอดทั้งคืนเมื่อจ้านเป่ยว่างเสนอว่าจะหย่ากับภรรยา ท่านพ่อของเขาเป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วย "ถ้าเจ้าหย่ากับนาง ขุนนางตักเตือนจะเข้ามายุ่งเรื่องนี้อย่างแน่นอน การทำเช่นนี้ก็เท่ากับทำลายอนาคตของเจ้าเองอย่างไม่ต้องสงสัย"พี่ชายคนโต จ้านเป่ยชิงยังกล่าวอีกว่า "น้องชายรอง ท่านพ่อพูดถูก เจ้าลองคิดดูสิว่ามีทหารในกองทัพตั้งเท่าไรที่เป็นลูกน้องเก่าของพ่อนาง? ที่เจ้าสามารถบรรลุความสำเร็จได้ในครั้งนี้เป็นเพราะมีพวกเขาที่ช่วยเหลือเจ้า หากเจ้าสูญเสียการสนับสนุนของพวกเขา เจ้าคงอยู่ไม่มั่นคงในกองทัพนะ""แต่ข้าทนไม่ไหวที่นางใช้ความปลอดภัยของท่านแม่มาคุกคามข้า!" ใบหน้าของจ้านเป่ยว่างเย็นชามากฮูหยินผู้เฒ่ามีสติกลับมาแล้ว แต่ความเจ็บปวดเมื่อกี้นี้ ทำให้นางเกลียดซ่งซีซีมาก ทันใดนั้นนางก็นึกถึงอะไรขึ้นมาจึงเงยหน้าขึ้นทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงหยาบว่า "หย่า หย่ากับนาง หากนางถูกเราไล่ออก สินเดิมก็หย่าคิดจะเอากลับเลย"จ้านเป่ยว่างกล่าวว่า "ข้าไม่คิดจะเอาสินเดิมของนาง!""ทำไมจะไม่เอาล่ะ ในเมื่อนางถูกไล่ออก สินเดิมย่อมจะตกเป็นของจวนแม่ทัพเรา" ฮูหยินผู้เฒ่าลูบหน้าอกของนาง เพราะย
จ้านเป่ยว่างรีบหยุดนางไว้ "ท่านแม่ ท่านฟังข้านะ สินเดิมของนางข้าไม่เอา"ฮูหยินผู้เฒ่าพูดด้วยความโกรธ "เจ้านี่โง่มากจริงๆ ลูกโง่เอ๊ย นางรังแกเรา เจนเราตกอยู่ในสภาพแบบไหนแล้ว เจ้ายังใจอ่อนกับนาง นางต้องการชีวิตของแม่ของเจ้านะ!"จ้านเป่ยว่างตั้งใจแน่วแน่ว่า "ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชายใหญ่ การยึดสินเดิมของนางมิใช่การกระทำของลูกผู้ชาย พรุ่งนี้ขอให้ท่านพ่อและพี่ชายใหญ่เชิญหัวหน้าทั้งสองตระกูลมา และแม่สื่อที่จะเป็นผู้จับคู่ในวันนั้นเพื่อเป็นพยานให้ ส่วนเพื่อบ้านต่างๆ ก็เรียกสักสองสามคนเพื่อทำตามขนบธรรมเนียมก็เท่านั้น""คนที่เป็นแม่สื่อของพวกเจ้า เป็นพระชายาอ๋องเยี่ยน" จ้านจี้ขมวดคิ้ว "พระชายาอ๋องเยี่ยนเป็นลูกพี่ลูกน้องของนางซ่งและเป็นน้าของซ่งซีซี"ฮูหยินผู้เฒ่าพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปเชิญนาง ไปหาแม่สื่อที่มาทำพิธีให้คนนั้น ข้าจำได้ว่าได้รับเชิญจากซีฟาง"พระชายาอ๋องเยี่ยนมีสุขภาพย่ำแย่ ดังนั้นจวนอ๋องเยี่ยนเลยมอบให้พระชายารองจัดการหมด แม้ว่าจวนแม่ทัพจะไม่เกรงกลัวพระชายาอ๋องเยี่ยนที่ไม่ได้ที่โปรดและไร้บุตรด้วย แต่ก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่สร้างปัญหากับราชวงศ์จ้านเป่ยว่างกล่าวว่า "ให
ยี่ฝางครุ่นคิด โดยชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียในใจของตัวเองการหย่าร้างกับภรรยาย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี ไม่ใช่ว่านางไม่ให้ความสำคัญกับฐานะภรรยาเอก แต่การหย่าในตอนนี้จะเป็นอุปสรรคต่ออนาคตของพวกเขาอนาคตของนางเองมีความสำคัญมากโดยธรรมชาติเพียงแต่ว่า คนนั้นคือซ่งซีซี เมื่อพบนางในวันนั้น และเห็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ของนาง ก็เกิดความรู้สึกไม่สบายใจมากนี่เป็นรูปลักษณ์ที่เหมือนนังจิ้งจอกซึ่งสามารถหลอกล่อผู้คนได้ง่ายเสมอ ไม่อน่ว่าจ้านเป่ยว่างจะตกหลุมรักนางอีกครั้งในอนาคตหลังจากที่เขาหย่ากับนาง ตัวเองก็กลายเป็นภรรยาเอกทันทีที่แต่งงาน สิ่งที่ทำให้ท่านพ่อของนางไม่พอใจในตอนแรกคือภรรยาที่เท่าเทียมกันก็เป็นอนุภรรยาด้วย เมื่อนางเป็นภรรยาเอกท่านพ่อของนางไม่มีเหตุผลที่จะไม่พอใจอีกเลยอีกอย่าง มีใครบ้างที่ไม่อยากเป็นภรรยาเอกล่ะ? เหตุผลที่นางตกลงกันก่อนหน้านี้คือนางไม่มีทางเลือก เพราะความรักของทั้งคู่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาแต่งงานแล้ว โชคดีที่พวกเขายังไม่ได้ร่วมรักกันนอกจากนี้ หญิงสาวที่บอบบางและอ่อนแอจากตระกูลขุนนางคนหนึ่งนางมีความมั่นใจในตัวว่าสามรถควบคุมอีกฝ่ายได้ แล้วเป็นนายหญิงของครอบครัวแล้วทำไม
จ้านเป่ยว่างตกตะลึง "แต่ช้าจะเอาสินเดิมของนางได้อย่างไร ข้าเป็นถึงแม่ทัพชั้นสี่ เป็นลูกผู้ชาย จะใช้สินเดิมของสตรีที่ถูกทอดทิ้งได้อย่างไร"ยี่ฝางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปมองนาง สีสายตาหนักแน่น "ท่านแม่ของเจ้าต้องกินยาประจำ และยาก็ไม่ใช่ถูกด้วย ความสำเร็จในการออกศึกของเราในครั้งนี้ใช้กับพระราชทานอภิเษกสมรสแล้ว และไม่มีค่าตอบแทนอะไรอีก ถึงแม้ว่าเราเป็นแม่ทัพชั้นสี่ เงินเดือนประจำปีของพวกเราก็มีแค่นั้น ต่อให้ใช้กับจวนหมด ก็คงใช้จ่ายไม่ไหว""อีกอย่าง..." นางรู้สึกน่าละอายใจเล็กน้อยที่จะพูดแบบนี้ จากนั้นจึงรีบเสริมขึ้นว่า "แม้ว่าเราจะสะสมผลงานทางทหารต่อไปในอนาคต แต่มันก็ไม่ใช่ใช้เวลาน้อยๆ ข้าราชการฝ่ายทหารมักจะลำบากหน่อย จะปล่อยให้อาการของท่านแม่เจ้าแย่ลงไม่ได้ ดังนั้น คืนให้ทั้งหมด ไม่ก็ยอมรับการถูกหาว่าเป็นลูกอกตัญญู"จ้านเป่ยว่างไม่ได้คิดว่านางจะพูดแบบนั้น เขาไม่สามารถบอกได้ว่าความรู้สึกในใจของเขาคือความผิดหวังหรือจนใจ แต่ถ้าเขาคิดดูดีๆ แล้ว สิ่งที่ยี่ฝางพูดก็สมเหตุสมผล หวังดีกับเขานางก็กลัวว่าเขาจะถูกกล่าวหาว่าอกตัญญูและจะถูกขุนนางจับผิด จนส่งผลกระทบต่ออนาคตของเขาเมื่อคิดถึงเช่นนี
หลังจากกลับมาที่จวนอ๋องจากงานเลี้ยงที่ครึกครื้น ซ่งซีซีรู้สึกว่าลานเหมยฮวานั้นเงียบเหงาเป็นพิเศษ นางคิดถึงศิษย์น้อง แต่เขาอยู่ไกลถึงหนานเจียง แม้จะไม่ได้คำนวณวันเวลาที่แยกจากกัน แต่นางรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน เมื่อนางคิดจะออกไปยังตึกว่างจิงเพื่อหาอาจารย์เหมือนเดิม นางก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอาจารย์ได้กลับไปที่ภูเขาเหม่ยชานแล้ว หัวใจของนางรู้สึกเหงาหงอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางคิดถึงหยานหรูอวี้ในค่ำคืนนี้ ถึงได้เข้าใจว่าหญิงสาวในยามแต่งงานนั้นเต็มไปด้วยความสุข ความคาดหวัง และความเขินอายจนความสุขล้นเอ่อออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่สำหรับตัวนาง การแต่งงานทั้งสองครั้งกลับเงียบสงบเกินไป หลังจากที่เป่าจูช่วยนางล้างเครื่องสำอางและเตรียมน้ำสำหรับอาบ ซ่งซีซีก็ส่ายหน้าและดึงนางให้นั่งลงข้างกัน "เป่าจู ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดกับเจ้าว่า เรื่องแต่งงานของเจ้าควรจะเริ่มพูดคุยกันแล้ว เจ้าพอจะมีคนที่ชอบหรือยัง?" เป่าจูมองนางแวบหนึ่งและกล่าว "คุณหนูไปกินเลี้ยงแต่งงานแล้วติดใจหรือเจ้าคะ ถึงได้รีบเร่งให้มีอีกงาน?" ซ่งซีซีหัวเราะ "ข้าเป็นคนตะกละขนาดนั้นหรือ? ข้าทำเพื่อเจ้านะ ถ้ายังอยู่แบบนี
งานแต่งงานของเจ้าสิบเอ็ดฝางกับหยานหรูอวี้ที่ถูกเลื่อนมาหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้เลือกวันมงคลจัดขึ้น งานแต่งไม่ได้จัดอย่างเอิกเกริก แต่เมื่อเป็นหลานสาวของไท่ฟู่ สิ่งที่สมควรมีเพื่อความสง่างามก็จัดเตรียมไว้อย่างครบถ้วน ไทเฮาทรงเป็นผู้นำในการมอบของขวัญ ตามด้วยบรรดามเหสีที่ต่างมอบรางวัลและเพิ่มสินเดิมให้หยานหรูอวี้ นักเรียนจากโรงเรียนสตรีหย่าจวินต่างพากันทำของขวัญแสดงความยินดีด้วยมือของพวกนางเองให้กับหยานหรูอวี้ นักเรียนหญิงในโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของครอบครัวชาวบ้านธรรมดา แม้ของขวัญจะไม่ล้ำค่า แต่สิ่งที่พวกนางปักเย็บหรือทำด้วยมือเอง ล้วนแสดงถึงน้ำใจอันบริสุทธิ์ที่สุด ชุดเจ้าสาวของหยานหรูอวี้ถูกสั่งทำล่วงหน้าโดยโม่เหนียงจื่อจากโรงงานฝีมือ ชุดนี้เคยถูกนำไปจัดแสดงในร้านผ้าปักของโรงงานมาก่อน ทำให้หญิงสาวที่กำลังรอแต่งงานหลายคนหลงใหลและใฝ่ฝันอยากสวมชุดสวยเช่นนี้ในวันแต่งงานของพวกนาง โม่เหนียงจื่อที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว เมื่อหลานสาวของไท่ฟู่ยังสวมชุดเจ้าสาวที่นางทำ จะมีใครอีกที่คิดว่าอดีตของนางเป็นเรื่องโชคร้าย? ในเวลาไม่นาน ร้านผ้าปักของโรงงานก็คึกคักจนประตูแทบทรุดจากการเ
จักรพรรดิ์ซูชิงได้เรียกตัวหัวหน้าตระกูลเสิ่นเข้าเฝ้าในวังหลวง หัวหน้าตระกูลเสิ่นเตรียมตัวมาอย่างดี แม้ในครั้งนี้เขาจะนำคนในคุ้มภัยและทหารองครักษ์เข้าปราบปรามกบฏ แต่เพราะตระกูลเสิ่นสาขาย่อยมีความเกี่ยวข้องกับหนิงจวิ้นอ๋อง แม้ว่าฮ่องเต้จะกล่าวว่าให้ชดเชยความผิดด้วยความชอบ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลบล้างไปได้ง่ายๆ จักรพรรดิ์ซูชิงปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยน และยังชมเขาด้วยว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่อกษัตริย์และรักชาติ เป็นดั่งลักษณะของบิดาในอดีต หัวหน้าตระกูลคนก่อนมีความเอื้อเฟื้อต่อราชสำนักมาก และในช่วงสงครามก็ได้บริจาคเงินจำนวนไม่น้อย หัวหน้าตระกูลเสิ่นเข้าใจสถานการณ์ จึงกล่าวทันทีว่า หนานเจียงและชายแดนเฉิงหลิงยังคงมีสงครามอยู่ ตระกูลเสิ่นยินดีที่จะบริจาคเงินจำนวนสองแสนตำลึงเพื่อช่วยจัดหาเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาวและปรับปรุงอาหารสำหรับทหาร จักรพรรดิ์ซูชิงแสดงความพอใจอย่างมาก พลางยิ้มและกล่าวว่า "ดี ด้วยเงินบริจาคสามแสนตำลึงจากหัวหน้าตระกูลเสิ่น ข้าเชื่อว่าทหารชายแดนของเราจะสามารถป้องกันศัตรูจากภายนอกได้ และเร่งรัดให้สงครามยุติลงโดยเร็ว" หัวหน้าตระกูลเสิ่นรีบตอบรับอย่างราบรื่น "ฮ่องเต้
เหรินหยางอวิ๋นอยู่ที่เมืองหลวงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ก่อนเขาหมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้าอาวุธเทพเจ้า ไม่มีเวลาว่าง บัดนี้เมื่อมีเวลาว่าง เขาจึงอ้างว่าธุรกิจในเมืองหลวงยังไม่เรียบร้อย อยากอยู่ต่ออีกสักระยะ ที่จริงแล้ว สิ่งที่เขาเป็นห่วงคือซ่งซีซี เมื่อครั้งที่เขาวิจัยอาวุธเทพเจ้า เขายังส่งคนไปยังเป่ยถังเพื่อขอคำชี้แนะและเก็บสูตรลับ ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะหนานเจียง เพราะซ่งหวยอัน และสุดท้ายก็เพราะเซี่ยหลูโม่กับซ่งซีซี ในฐานะอาจารย์ เขารู้ว่าลูกศิษย์แต่ละคนล้วนมีเส้นทางของตัวเองที่ต้องเดิน เขาไม่อาจขัดขวางพวกเขาได้ ทำได้เพียงช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถและเป็นเบื้องหลังที่คอยสนับสนุน เหรินหยางอวิ๋นมักพูดเสมอว่าเขาไม่เก่งในการเป็นอาจารย์ แต่ศิษย์ทุกคนของเขาล้วนยอดเยี่ยม ทั้งความสามารถและคุณธรรม ไม่มีใครที่เขาต้องเป็นห่วง ยกเว้นลูกศิษย์คนเล็กอย่างซ่งซีซี นางชอบเล่นซนและสนุกสนาน แต่กลับสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์จนถึงขั้นล้ำเลิศ เป็นเครื่องยืนยันถึงพรสวรรค์อันสูงส่งของนาง ทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสและไร้กังวลบนใบหน้าของนาง เหรินหยางอวิ๋นก็รู้สึกมีความสุขในใจ แต่หลังจากนั้น นางถูก
ระหว่างถูกพาเดินประจานรอบเมือง หนิงจวิ้นอ๋องถึงกับเสียสติอย่างสิ้นเชิง เขาสบถด่าชาวบ้านว่าโง่เขลา ถูกทางราชสำนักหลอกลวง เข้าใจผิดว่าฮ่องเต้ผู้โง่เขลาเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรม และย้ำว่าตัวเขา เซี่ยทิงเหยียน จะเป็นจักรพรรดิ์ที่แท้จริง เสียงแหบแห้งของเขาถูกกลบด้วยเสียงสาปแช่งของชาวบ้าน ทุกคนตะโกนให้เขาตาย และกล่าวว่าการประหารครึ่งตัวนั้นยังน้อยไป เขาควรถูกประหารด้วยวิธีเชือดเนื้อเป็นพันครั้งและทรมานจนตาย ถึงจะสมกับความเลวของเขา อ๋องเยี่ยนเงียบตลอดทาง แต่ในใจเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความเกลียดชังต่อเซี่ยทิงเหยียน เขาเชื่อว่าหากเซี่ยทิงเหยียนไม่หักหลังและยุยงคนของเขา เขาก็คงประสบความสำเร็จไปแล้ว เซี่ยทิงเหยียนเปรียบเสมือนงูพิษ แฝงตัวอยู่ในความมืด และเมื่อเขาไม่ทันระวัง เซี่ยทิงเหยียนก็โผล่ออกมากัดเขา และกัดนั้นถึงตาย เพราะเซี่ยทิงเหยียน เขาไม่เพียงแต่เป็นกบฏ ยังเป็นกบฏที่โง่เขลา สิ่งที่เขาบากบั่นสร้างมาด้วยความยากลำบากกลับถูกส่งมอบให้คนอื่น และคนของเขาที่ถูกยุยงยังจับเขามัดส่งให้กองทัพหลวง ในอนาคต เมื่อถูกบันทึกในพงศาวดาร ชื่อเสียงของเขาจะไม่เพียงแต่ถูกสาปแช่ง แต่ยังกลายเป็นที่
ผู้คนมาพร้อมกันแล้ว การสะสางครั้งใหญ่จึงเริ่มต้นขึ้นในที่สุด หลังจากการสืบสวนร่วมกันระหว่างหอต้าหลี่และกรมอาญาแห่งเมืองหลวง การกบฏนำโดยอ๋องเยี่ยนและหนิงจวิ้นอ๋องถูกยืนยันว่าเป็นความจริง ความผิดได้รับการยืนยันแน่นอนแล้ว การรอคอยที่ผ่านมาเพื่อจัดเรียงข้อกล่าวหาทั้งหมดของพวกเขา เพื่อประกาศให้โลกรู้ ทั้งครอบครัวของอ๋องเยี่ยน ถูกส่งตัวเข้าคุกหลวง ยกเว้นเซี่ยหรูหลิงที่ให้เบาะแสสำคัญ ชื่อของเซี่ยหรูหลิงถูกลบออกจากทะเบียนราชวงศ์ แม้ว่าเขาจะยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าคุกในหอต้าหลี่ แต่ในสิบปีนี้คงไม่มีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง เฉินยีให้เขาหยุดพักงานชั่วคราว และให้กลับมาหลังจากเรื่องนี้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว เฉินยีมีความหวังดี จึงกำชับเขาว่าหากยังต้องการทำงานนี้ต่อ ก็อย่าเข้าใกล้คุกหลวง และให้อยู่บ้านพักฟื้นและทบทวนตัวเอง เฉินยีคิดว่าเขาค่อนข้างซื่อ แต่ข้อดีคือเชื่อฟังและเริ่มมีความคิดเป็นของตนเองมากขึ้น ต่างจากเมื่อก่อนที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง ดังนั้นเฉินยีจึงยังยินดีดูแลเขา เฉินยีเคยพูดถึงเซี่ยหรูหลิงกับซ่งซีซี ซึ่งซ่งซีซีกล่าวว่าเขาเติบโตมาด้วยนิสัยขี้ขลาด ไม่กล้าต่อต้านเมื่อเผชิญป
แววตาของชิวเหมิงเป็นประกาย "ดี งั้นข้าจะลองฟังคำพูดที่ดูดีแต่ไร้ความจริงใจดูบ้าง" จักรพรรดิ์ซูชิงมีนิสัยหวาดระแวงเป็นทุนเดิม และหวั่นเกรงต่อสำนักเป่ยหมิงอ๋องมาโดยตลอด วันนี้เมื่อถามนางว่าจะลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสตรีหรือไม่ แม้ว่านางจะตอบว่าไม่ จักรพรรดิ์ซูชิงก็ยังต้องเก็บคำถามนี้ไว้ในใจ ซ่งซีซีจะไม่รู้หรือว่าเขามีเจตนาอะไร? ตั้งแต่เขาถามคำถามนั้นออกมา นางก็รู้แล้วว่ามันคือกับดัก เพียงแต่ซ่งซีซียังไม่ทันได้พูดอะไร ชิวเหมิงก็หัวเราะเยาะพลางเสริมว่า "เจ้าก็ลองยกยอจักรพรรดิ์ซูชิงสักหน่อยสิ ว่าภายใต้นโยบายของพระองค์นั้น สตรีได้รับความโปรดปรานเพียงใด หากจิตสำนึกของเจ้ายอมรับได้ ก็เชิญยกยอไปเถอะ" ซ่งซีซีถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ นางจ้องมองดวงตาเสียดสีและท้าทายของเขา "เจ้าอย่าตั้งสมมติฐานเลย มันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เจ้ามองว่าผู้คนโง่เขลาและปิดกั้นความคิด จนไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าชอบ จึงใช้วิธีการสุดโต่งนี้เพื่อให้พวกเขายอมรับเจ้า แต่นั่นคือปัญหาส่วนตัวของเจ้า เจ้าถึงขั้นไม่อาจเป็นตัวแทนของคนที่เหมือนเจ้าได้ เจ้าไม่ได้ทำเพื่อพวกเขาเลย เจ้ากลับดึงความเกลียดชังและความรังเกียจมาให้พวกเขา
อาจารย์ฉีและชิวเหมิงพบกันที่ห้องสอบสวนในหอต้าหลี่ ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน โดยมีโต๊ะเก่าๆ ตัวหนึ่งคั่นกลางระหว่างพวกเขา ซ่งซีซีเองนั่งอยู่หลังโต๊ะของเจ้าหน้าที่บันทึก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก แม้ทั้งสองจะพูดคุยกันเสียงเบาเพียงใด นางก็ยังสามารถได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน เสียงลมหายใจ เสียงหัวใจเต้น และบางครั้งก็มีเสียงถอนหายใจแผ่วเบา แต่ไม่มีบทสนทนาใดเกิดขึ้น แม้แต่การสบตากันของทั้งสองก็มีเพียงไม่กี่ครั้ง ราวกับคนแปลกหน้าที่ถูกบังคับให้นั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งห่างเหินและเย็นชา ซ่งซีซีคิดว่าบางทีอาจเป็นเพราะนางอยู่ที่นี่ แต่เพราะนางออกไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงอยู่ร่วมกับบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ ผ่านไปนาน อาจารย์ฉีจึงเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งว่า "ทำไม?" เขารู้สึกสงสัยอย่างแท้จริง ราวกับว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนในความทรงจำของเขา ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ไม่สามารถเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกันได้ ชิวเหมิงประสานมือทั้งสองแล้วส่ายหน้า "จะค้นหาทำไม? ผู้ชนะคือผู้เป็นใหญ่ ผู้แพ้คือผู้ต่ำต้อย" "ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีที่มาใช่หรือไม่?" อาจารย์ฉีถามด้วยเสียงแหบพร่า ชิวเหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง "อย่างไรเสีย
เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่ซ่งซีซีกลับมาถึงกองกำลังเมืองหลวง นางก็ถูกพระชายาอ๋องฮวยขวางไว้ที่ประตู ซ่งซีซีไม่ได้พบพระชายาอ๋องฮวยมานานแล้ว หรือจะพูดให้ถูกคือ นางเองก็ไม่ออกจากบ้านมานาน ครั้งนี้แม้อ๋องฮวยจะถูกจับกลับมายังเมืองหลวง แต่บุตรชายของเขายังไม่ถูกจับ มู่ฉงกุยยังคงนำกองทัพค้นหาอยู่ และคาดว่าจะจับตัวกลับมาได้ในไม่ช้า พระชายาอ๋องฮวยกลัวว่าบุตรชายของตนจะต้องรับโทษไปด้วย และอาจถูกตัดสินโทษประหารด้วยตัดเอว จึงรีบมาขอความช่วยเหลือจากซ่งซีซี จริงๆ แล้ว ตั้งแต่อ๋องฮวยถูกส่งตัวกลับมายังเมืองหลวง พระชายาอ๋องฮวยก็ได้ไปหาหลานเอ่อร์เพื่อให้ช่วยขอร้องซ่งซีซีแล้ว แต่หลานเอ่อร์ปฏิเสธ และไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับซ่งซีซีเลย ซ่งซีซีเพิ่งรู้จากศิษย์พี่ซือโซ “ซีซี!” พระชายาอ๋องฮวยรีบเดินเข้ามาหา ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตก “ป้าต้องการพูดกับเจ้าสักหน่อย เราหาที่เงียบๆ คุยกันดีไหม?” ซ่งซีซีตอบว่า “ข้ามีงานต้องทำ ไม่มีเวลา” พระชายาอ๋องฮวยรีบกางมือขวางไว้ มองนางด้วยสายตาเว้าวอน “แค่พูดกันไม่กี่คำ ช่วยลูกพี่ลูกน้องของเจ้าเถอะ เขาบริสุทธิ์ เขาไม่รู้อะไรเลย ทุกอย่างเป็นเพราะถูกพ่อของเขาลากไป