ก่อนที่ข้าจะออกบวช ข้ามีนามว่าเซี่ยฟ่านตั้งแต่เล็ก ข้ามักได้ยินผู้คนกล่าวถึงข้าว่าเป็นเด็กเฉลียวฉลาด ปราดเปรื่องยิ่งนัก เป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่โอรสทั้งสามพระองค์ได้ฟังคำกล่าวเช่นนี้บ่อยครั้ง ข้าก็เริ่มเชื่อเสียเอง และบางครั้งยังรู้สึกภาคภูมิใจแต่ทุกครั้งที่ข้ารู้สึกปลาบปลื้มในคำสรรเสริญเหล่านั้น เสด็จแม่ก็จะดึงข้าลงจากฟ้าในบัดดล พระนางจะทอดพระเนตรมาที่ข้า ดวงเนตรเต็มไปด้วยความเวทนาและความรู้สึกสลับซับซ้อน แล้วทอดถอนพระทัยตรัสว่า “น่าเสียดายนักที่เจ้ามาเกิดในครรภ์ของแม่ ถูกเจ้าคนโง่นั่นกดไว้เสียหนึ่งช่วงตัว เจ้านั่นแค่ดวงดีเท่านั้น”เจ้าคนโง่นั่น ข้าก็ได้ยินเสด็จแม่เรียกอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่เด็กเสด็จแม่ไม่เคยตรัสเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่น มีเพียงยามอยู่ตามลำพังกับข้าเท่านั้นเมื่อยังเยาว์ ข้ารู้สึกประหลาดใจนัก เสด็จแม่ชัดเจนว่าส่งเสริมให้เกลียดเสด็จพี่ใหญ่ ทว่าเวลาที่พบเสด็จพี่ใหญ่ พระนางกลับแสดงสายตาอ่อนโยนเปี่ยมเมตตา ตรัสคำชมเชยกับเขามากมาย ทั้งที่เขาออกจะโง่เขลา แต่ยังตรัสว่าเขาฉลาดข้าไม่เข้าใจ จึงแอบไปถามชิงหลันกูกู ชิงหลันกูกูก็เพียงทอดถอนใจ ลูบศีรษะข้าแล้วกล่าวว่า “องค์ชา
เมื่อคราวล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิ เสด็จพี่ใหญ่ถูกเสด็จพ่อกริ้วตำหนิ เมื่อกลับมาก็ล้มป่วยไปพักหนึ่งเวลานั้นข้ากับพี่รุ่ยเอ่อร์ต่างกังวลเป็นอย่างยิ่ง ตรงกันข้าม เสด็จแม่กลับดีพระทัยนัก ตรัสว่าครานี้ผ่านไป เสด็จพ่อต้องเบื่อหน่ายในตัวเสด็จพี่ใหญ่แน่พระนางอุ้มข้าไว้ในอ้อมแขน กำชับข้าให้ขยันหมั่นเพียร ตั้งใจฟังคำของไทฟู่และเสด็จอา ต้องเรียนรู้ให้เหนือกว่าผู้อื่นทั้งหมด ต้องได้รับคำชมจากไทฟู่และเสด็จอา จึงจะกดเสด็จพี่ใหญ่ให้ต่ำลงได้ในใจข้านั้นสับสนยิ่งนัก แม้เสด็จแม่จะพร่ำบอกถึงข้อดีของการเป็นองค์รัชทายาทและฮ่องเต้ ข้าก็รู้สึกหวั่นไหว ทว่าเรื่องนั้นก็ยังเลือนลางนักเวลานี้ข้าสนิทสนมกับเสด็จพี่ใหญ่ พี่รุ่ยเอ่อร์ และน้องสามยิ่งนัก ข้าไม่อาจเกลียดเสด็จพี่ใหญ่ลงเลยอยู่แต่ละวันด้วยความขัดแย้งเช่นนั้น กลับทำให้การเรียนรู้ของข้ายิ่งย่ำแย่ ยามฝึกขี่ม้าก็พลาดพลั้งอยู่บ่อยครั้งน่าแปลกนัก เสด็จแม่กลับไม่ตำหนิข้า ยังทรงอนุญาตให้ข้าขี้เกียจไปอีกหลายวัน และในช่วงนั้นพระนางก็มักพาข้าไปเยี่ยมฟูเหนียงเหนียง ในตำหนักของพระนางฝู มักจะพบกับเสด็จพ่อเสมอเพียงไปอยู่ไม่กี่วัน เสด็จแม่ก็นิ่งตึง ตรัสว่าจะไม่ไป
ฤดูหนาวอันเหน็บหนาว หิมะโปรยปราย ชายแดนเฉิงหลิงถูกขังไว้ด้วยสีขาวโพลน ราวกับทั้งโลกใบนี้บริสุทธิ์หมดจดตลอดหลายปีมานี้ ข้าสวมจีวรเก่าเก็บ ถือบาตรออกเดินทาง บิณฑบาตตามหนทาง พบวัดใดก็ขออาศัยค้างแรมสองคืน กราบพระไถ่บาปแท้จริงแล้ว ข้าสามารถพำนักอยู่ในวัดเดิมตลอดไป แม้ไม่เรียกว่าสุขสบาย แต่ก็ไม่ต้องทนลำบากหนาวเหน็บหิวโหยเช่นนี้ทว่าข้ารู้ดี หากยังอยู่ในสถานที่อบอุ่นเช่นนั้น ชาตินี้ข้าย่อมลบล้างบาปของตนไม่หมดสิ้นมีเพียงการอยู่บนหนทางเสมอ รับทุกข์ทรมานอย่างต่อเนื่อง ใจของข้าถึงจะสงบข้ามาถึงชายแดนเฉิงหลิง รองเท้าหญ้าฟางของข้าขาดนานแล้ว ฝ่าเท้ามีแต่ตาปลาหนานหนา แม้ไม่สวมรองเท้า ข้าก็ยังเดินบนถนนที่เต็มไปด้วยกรวดหินได้แม้จะสวมเสื้อผ้าทั้งหมดที่มีอยู่ในตัว ก็ยังไม่อาจต้านทานความหนาวเหน็บได้ทว่าข้าก็คุ้นชินแล้ว คนชั่วมักอายุยืน ข้าเองก็ตายไม่ลงเช่นกันชายแดนเฉิงหลิงมีวัดแห่งหนึ่งนามว่าวัดกั่นเอิน ข้าเดินต้านลมและหิมะมุ่งหน้าไปเพียงแต่ตลอดหลายปีมานี้ ข้าไม่เคยหยุดเดิน ความอ่อนล้าแทรกซึมถึงกระดูก ลมและหิมะทำให้โรคกำเริบหนัก อีกทั้งข้าหิวโหยไม่ได้กินอะไรมาสองวัน สุดท้ายก็เป็นลมล้มลงบนท
ข้ามีนามว่าเสิ่นอี๋ ผู้ใดที่รู้จักข้า เมื่อเอ่ยถึงข้าก็มักจะแสดงสีหน้าเหยียดหยาม แม้แต่ผู้ที่ไม่รู้จักข้า เมื่อได้ยินเรื่องของข้า ก็ยังต้อง แค่นเสียงเหอะ แล้วพูดว่า “ไร้ยางอายนัก”ทุกคนต่างรู้ดีว่าหนีตามบุรุษนั้น เป็นเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่าฆ่าคนวางเพลิงเสียอีกหลายคนเคยถามข้าด้วยคำถามหนึ่ง...เสียใจหรือไม่?ข้ามิได้เสียใจที่แต่งงานกับเขา แต่ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ในใจ ท้ายที่สุดแล้ว เพราะข้าคนเดียว ทำให้ตระกูลเสิ่นต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง พี่น้อง หลานชายหลานสาวของข้าก็พลอยลำบากในการหาคู่แต่งงานในฐานะบุตรีตระกูลเสิ่น ตั้งแต่แรกเกิด ข้าก็เติบโตมาในความทะนุถนอมเปี่ยมด้วยความรัก กินแต่อาหารเลิศรส สวมเสื้อผ้าหรูหราราคาแพง พ่อแม่รักใคร่ พี่ชายเอ็นดูแต่ข้ากลับมีตำหนิ กระทั่งอายุสิบสี่ปีแล้ว ประจำเดือนยังไม่มา เคยเชิญหมอมากี่คนแล้วก็ไม่อาจนับได้ ยาแต่ละชามดื่มเข้าไปทั้งกลางวันกลางคืน ก็ยังไร้ผลสิ้นดีมารดาบอกข้าว่าเป็นเพราะร่างกายข้าเย็น ประจำเดือนจึงมาช้า เพียงบำรุงไปเรื่อยๆ ก็จะดีขึ้นเองแต่ข้าดันแอบได้ยินสิ่งที่หมอพูดกับบิดามารดาว่า มิใช่เพราะร่างกายเย็น หากแต่ตำแหน่งที่ควรให้กำเนิดบุตรข
ลูกพี่ลูกน้องกับสาวใช้กลับมาตามหาข้า ข้าก็ให้สาวใช้นับเงินสามร้อยอีแปะมอบให้เขา เขายิ้มพลางกล่าวคำขอบคุณข้าเคยคิดว่าเป็นเพียงการพบกันโดยบังเอิญ ไม่อาจเกี่ยวข้องกันอีก คาดไม่ถึงว่าผ่านไปหนึ่งเดือน วันฉลองวันคล้ายวันเกิดของท่านย่า ครอบครัวจัดงานเลี้ยงรับรอง ผู้ดูแลสถาบันขงจื้อก็นำศิษย์คนโปรดของตนมาร่วมงานด้วย...เขาก็อยู่ในกลุ่มนั้นกฎเกณฑ์ธรรมเนียมแห่งเจียงหนานนั้นไม่เคร่งครัดเหมือนเมืองหลวง ยามจัดงานเลี้ยง สตรีก็สามารถออกไปที่เรือนหน้าได้เขาเห็นได้ชัดว่าไม่จำข้าได้...ตอนนั้นข้าคลุมหน้าด้วยผ้าบาง เหลือเพียงดวงตาให้เห็น ไม่จำได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกทว่า เขามิได้อยู่ร่วมงานเลี้ยง เพียงนำภาพหมากู๋ถวายพรอายุวัฒนะมามอบให้ท่านย่า แล้วกล่าวว่ามีธุระที่บ้าน จากนั้นก็ขอลาไปหลังจากเขาไปแล้ว ผู้ดูแลสถาบันก็กล่าวถึงเขาด้วยน้ำเสียงแฝงความเสียดายว่า “เขาเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่น่าเสียดายที่ไม่มุ่งมั่นใฝ่ดี ดื้อรั้นจะลาออกจากสำนัก ข้าคิดจะพาเขามาวันนี้ให้รู้จักกับคนดีมีปัญญา เขากลับไม่เห็นคุณค่า น่าผิดหวังนัก ช่างเถอะ หากอยากลาออกก็ให้ลาไปเถอะ”บิดาข้าปลอบว่า “อย่าได้โกรธเลย ท่านมีศิษย์มากมาย ขาดเขา
ในเรือนเหวินซี โคมไฟที่อยู่หน้าทางเดินส่องภาพกระดาษตัดบนโครงตาข่ายหน้าต่าง และสะท้อนมันลงบนผนังบ้านราวกับสัตว์ขนาดยักษ์อย่างไรอย่างนั้นซ่งซีซีนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่มีพนักพิง ประสานมือไว้ข้างหน้า ร่างเพรียวบางห่อด้วยเสื้อผ้าเรียบๆ นางมองไปที่คนอยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นสามีที่เพิ่งต่างงานของนาง ซึ่งนางรอคอยมานานหนึ่งปีชุดเกราะทหารที่ดูค่อนข้างเก่าของจ้านเป่ยว่างยังไม่ได้ถอด และเขาดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลาของเขามีความรู้สึกขอโทษแฝงไว้ "ซีซี ได้ออกพระราชกฤษฎีกาให้สมรสกันแล้ว ยี่ฝางจะต้องแต่งเข้ามาอย่างแน่นอน"ซ่งซีซีประสานมือไว้หน้าลำตัว ดวงตาของนางมืดมัว นางถามอย่างสงสัย "ไทโฮ่วเคยกล่าวไว้ว่าแม่ทัพยี่ฝางเป็นแบบอย่างสำหรับผู้หญิงในใต้หล้า นางยอมที่จะเป็นอนุภรรยาหรือ? "ดวงตาที่หนักอึ้งของจ้านเป่ยว่างฉายแววความไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย "ไม่ ไม่ใช่อนุภรรยา นางเป็นภรรยาเท่าเทียม ไม่ต่างจากเจ้า"ซ่งซีซียังคงนิ่งเฉยและพูดว่า "ท่านแม่ทัพรู้ดีว่าภรรยาเท่าเทียมแค่ฟังดูดีเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วนางก็เป็นอนุภรรยาอยู่ดี"จ้านเป่ยว่างขมวดคิ้ว "จะอนุอะไรกัน นางกับข้ามีใจให้กันในสนามรบและตกหลุมรักกัน อีกอย่างเ
จ้านเป่ยว่างจนใจเล็กน้อย "ทำไมต้องหาเรื่องด้วยล่ะ? นี่คือพระราชทานสมรสที่ฝ่าบาทออกให้ และแม้ว่ายี่ฝางจะเข้ามา พวกเจ้าก็อยู่คนละเรือนกัน และนางก็จะไม่แย่งชิงสิทธิในการบริหารครอบครัวกับเจ้า ซีซี สิ่งที่เจ้าให้สำคัญนั้นนางไม่สนหรอก""ท่านคิดว่าข้าสนใจอยากกุมอำนาจดูแลบ้านเหรอ?" ซ่งซีซีถามกลับ มันไม่ง่ายเลยที่จะเป็นผู้นำที่ดูแลจวนแม่ทัพ แค่ยาที่หมอมหัศจรรย์ดันออกให้ฮูหยินผู้เฒ่ากินในแต่ละเดือนก็ต้องเสียเงินหลายสิบตำลึง ไหนจะของกินของใช้ของทุกคน ไหนจะมีญาติพี่น้องและเพื่อนต้องติดต่ออีก ต้องใช้เงินไปหมดจวนแม่ทัพมีแค่มีชื่อเสียงเท่านั้น ในปีที่ผ่านมา เงินสินเดิมของนางใช้อุดหนุนไปไม่น้อยเลย แต่นี่คือผลที่นางแลกมางั้นหรือจ้านเป่ยว่างหมดความอดทนโดยสิ้นเชิง "ช่างเถอะ ข้าไม่อยากเสียน้ำลายกับเจ้า ข้าแค่ต้องแจ้งให้เจ้าทราบเรื่องก็เท่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนใจข้าได้"ซ่งซีซีเฝ้าดูเขาเดินจากไปอย่างเย็นชา รู้สึกตัวเองน่าขำมากทีเดียว"คุณหนู" เป่าจูเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ "ท่านเขยเขารังแกคนมากเกินไปจริงๆ""อย่าเรียกไปมั่ว!" ซ่งซีซีเหลือบมองนางเบาๆ "เขาและข้ายังไม่ได้
เป่าจูหยิบรายการสินเดิมมา "ในเวลาหนึ่งปีนี้ ท่านได้อุดหนุนเงินไปมากกว่าหกพันตำลึง แต่ร้านค้า บ้านพัก และสวนต่างไม่ได้แตะต้องเลย ใบรับรองเงินฝากของฮูหยิงที่เก็บไว้ในร้านฝากเงินตอนมีชีวิต และโฉนดบ้าน โฉนดที่ดิน ฯลฯ ทั้งหมดอยู่ในกล่องแถมได้ปิดไว้เรียบร้อย""อืม!" ซ่งซีซีดูรายการนั้น ท่านแม่ของนางให้สินเดิมก้อนโตแก่นางในเวลานั้น คงกลัวว่านางจะต้องทนทุกข์ในครอบครัวของสามี และนางรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างรุนแรงขึ้นมาเป่าจูถามอย่างเศร้าๆ จากด้านข้าง "คุณหนู เราจะไปที่ไหนได้บ้าง หรือว่าจะกลับจวนโหวเหรอ ไม่งั้นเรากลับภูเขาเหม่ยชานดีไหม"สายตาของนางแวบภาพที่ทั้งจวนเต็มไปด้วยเลือดและศพอันน่าสลดใจของคนในครอบครัว นางรู้สึกเจ็บปวดใจทันที "ไปไหนก็ได้ ยังไงก็ดีกว่าอยู่ที่นี่""พอท่านไปแล้ว มันก็ให้พวกเขาได้สมหวังสินะ"ซ่งซีซีพูดดรียบๆ "ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเขาได้สมหวังเถอะ หากข้าอยู่ต่อ ก็จะใช้ชีวิตอย่างทรมานเมื่อต้องเห็นพวกเขารักใคร่กัน เป่าจู ยามนี้ จวนโหวเหลือข้าเพียงคนเดียว ข้าต้องอยู่ดีกินดีเพื่อที่พ่อแม่และพี่ๆ ของข้าที่อยู่ในสวรรค์ได้หายห่วง""คุณหนู!" เป่าจูร้องไห้อย่างหนัก นางเป็นผู้รับใช้ที่
ลูกพี่ลูกน้องกับสาวใช้กลับมาตามหาข้า ข้าก็ให้สาวใช้นับเงินสามร้อยอีแปะมอบให้เขา เขายิ้มพลางกล่าวคำขอบคุณข้าเคยคิดว่าเป็นเพียงการพบกันโดยบังเอิญ ไม่อาจเกี่ยวข้องกันอีก คาดไม่ถึงว่าผ่านไปหนึ่งเดือน วันฉลองวันคล้ายวันเกิดของท่านย่า ครอบครัวจัดงานเลี้ยงรับรอง ผู้ดูแลสถาบันขงจื้อก็นำศิษย์คนโปรดของตนมาร่วมงานด้วย...เขาก็อยู่ในกลุ่มนั้นกฎเกณฑ์ธรรมเนียมแห่งเจียงหนานนั้นไม่เคร่งครัดเหมือนเมืองหลวง ยามจัดงานเลี้ยง สตรีก็สามารถออกไปที่เรือนหน้าได้เขาเห็นได้ชัดว่าไม่จำข้าได้...ตอนนั้นข้าคลุมหน้าด้วยผ้าบาง เหลือเพียงดวงตาให้เห็น ไม่จำได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกทว่า เขามิได้อยู่ร่วมงานเลี้ยง เพียงนำภาพหมากู๋ถวายพรอายุวัฒนะมามอบให้ท่านย่า แล้วกล่าวว่ามีธุระที่บ้าน จากนั้นก็ขอลาไปหลังจากเขาไปแล้ว ผู้ดูแลสถาบันก็กล่าวถึงเขาด้วยน้ำเสียงแฝงความเสียดายว่า “เขาเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่น่าเสียดายที่ไม่มุ่งมั่นใฝ่ดี ดื้อรั้นจะลาออกจากสำนัก ข้าคิดจะพาเขามาวันนี้ให้รู้จักกับคนดีมีปัญญา เขากลับไม่เห็นคุณค่า น่าผิดหวังนัก ช่างเถอะ หากอยากลาออกก็ให้ลาไปเถอะ”บิดาข้าปลอบว่า “อย่าได้โกรธเลย ท่านมีศิษย์มากมาย ขาดเขา
ข้ามีนามว่าเสิ่นอี๋ ผู้ใดที่รู้จักข้า เมื่อเอ่ยถึงข้าก็มักจะแสดงสีหน้าเหยียดหยาม แม้แต่ผู้ที่ไม่รู้จักข้า เมื่อได้ยินเรื่องของข้า ก็ยังต้อง แค่นเสียงเหอะ แล้วพูดว่า “ไร้ยางอายนัก”ทุกคนต่างรู้ดีว่าหนีตามบุรุษนั้น เป็นเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่าฆ่าคนวางเพลิงเสียอีกหลายคนเคยถามข้าด้วยคำถามหนึ่ง...เสียใจหรือไม่?ข้ามิได้เสียใจที่แต่งงานกับเขา แต่ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ในใจ ท้ายที่สุดแล้ว เพราะข้าคนเดียว ทำให้ตระกูลเสิ่นต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง พี่น้อง หลานชายหลานสาวของข้าก็พลอยลำบากในการหาคู่แต่งงานในฐานะบุตรีตระกูลเสิ่น ตั้งแต่แรกเกิด ข้าก็เติบโตมาในความทะนุถนอมเปี่ยมด้วยความรัก กินแต่อาหารเลิศรส สวมเสื้อผ้าหรูหราราคาแพง พ่อแม่รักใคร่ พี่ชายเอ็นดูแต่ข้ากลับมีตำหนิ กระทั่งอายุสิบสี่ปีแล้ว ประจำเดือนยังไม่มา เคยเชิญหมอมากี่คนแล้วก็ไม่อาจนับได้ ยาแต่ละชามดื่มเข้าไปทั้งกลางวันกลางคืน ก็ยังไร้ผลสิ้นดีมารดาบอกข้าว่าเป็นเพราะร่างกายข้าเย็น ประจำเดือนจึงมาช้า เพียงบำรุงไปเรื่อยๆ ก็จะดีขึ้นเองแต่ข้าดันแอบได้ยินสิ่งที่หมอพูดกับบิดามารดาว่า มิใช่เพราะร่างกายเย็น หากแต่ตำแหน่งที่ควรให้กำเนิดบุตรข
ฤดูหนาวอันเหน็บหนาว หิมะโปรยปราย ชายแดนเฉิงหลิงถูกขังไว้ด้วยสีขาวโพลน ราวกับทั้งโลกใบนี้บริสุทธิ์หมดจดตลอดหลายปีมานี้ ข้าสวมจีวรเก่าเก็บ ถือบาตรออกเดินทาง บิณฑบาตตามหนทาง พบวัดใดก็ขออาศัยค้างแรมสองคืน กราบพระไถ่บาปแท้จริงแล้ว ข้าสามารถพำนักอยู่ในวัดเดิมตลอดไป แม้ไม่เรียกว่าสุขสบาย แต่ก็ไม่ต้องทนลำบากหนาวเหน็บหิวโหยเช่นนี้ทว่าข้ารู้ดี หากยังอยู่ในสถานที่อบอุ่นเช่นนั้น ชาตินี้ข้าย่อมลบล้างบาปของตนไม่หมดสิ้นมีเพียงการอยู่บนหนทางเสมอ รับทุกข์ทรมานอย่างต่อเนื่อง ใจของข้าถึงจะสงบข้ามาถึงชายแดนเฉิงหลิง รองเท้าหญ้าฟางของข้าขาดนานแล้ว ฝ่าเท้ามีแต่ตาปลาหนานหนา แม้ไม่สวมรองเท้า ข้าก็ยังเดินบนถนนที่เต็มไปด้วยกรวดหินได้แม้จะสวมเสื้อผ้าทั้งหมดที่มีอยู่ในตัว ก็ยังไม่อาจต้านทานความหนาวเหน็บได้ทว่าข้าก็คุ้นชินแล้ว คนชั่วมักอายุยืน ข้าเองก็ตายไม่ลงเช่นกันชายแดนเฉิงหลิงมีวัดแห่งหนึ่งนามว่าวัดกั่นเอิน ข้าเดินต้านลมและหิมะมุ่งหน้าไปเพียงแต่ตลอดหลายปีมานี้ ข้าไม่เคยหยุดเดิน ความอ่อนล้าแทรกซึมถึงกระดูก ลมและหิมะทำให้โรคกำเริบหนัก อีกทั้งข้าหิวโหยไม่ได้กินอะไรมาสองวัน สุดท้ายก็เป็นลมล้มลงบนท
เมื่อคราวล่าสัตว์ฤดูใบไม้ผลิ เสด็จพี่ใหญ่ถูกเสด็จพ่อกริ้วตำหนิ เมื่อกลับมาก็ล้มป่วยไปพักหนึ่งเวลานั้นข้ากับพี่รุ่ยเอ่อร์ต่างกังวลเป็นอย่างยิ่ง ตรงกันข้าม เสด็จแม่กลับดีพระทัยนัก ตรัสว่าครานี้ผ่านไป เสด็จพ่อต้องเบื่อหน่ายในตัวเสด็จพี่ใหญ่แน่พระนางอุ้มข้าไว้ในอ้อมแขน กำชับข้าให้ขยันหมั่นเพียร ตั้งใจฟังคำของไทฟู่และเสด็จอา ต้องเรียนรู้ให้เหนือกว่าผู้อื่นทั้งหมด ต้องได้รับคำชมจากไทฟู่และเสด็จอา จึงจะกดเสด็จพี่ใหญ่ให้ต่ำลงได้ในใจข้านั้นสับสนยิ่งนัก แม้เสด็จแม่จะพร่ำบอกถึงข้อดีของการเป็นองค์รัชทายาทและฮ่องเต้ ข้าก็รู้สึกหวั่นไหว ทว่าเรื่องนั้นก็ยังเลือนลางนักเวลานี้ข้าสนิทสนมกับเสด็จพี่ใหญ่ พี่รุ่ยเอ่อร์ และน้องสามยิ่งนัก ข้าไม่อาจเกลียดเสด็จพี่ใหญ่ลงเลยอยู่แต่ละวันด้วยความขัดแย้งเช่นนั้น กลับทำให้การเรียนรู้ของข้ายิ่งย่ำแย่ ยามฝึกขี่ม้าก็พลาดพลั้งอยู่บ่อยครั้งน่าแปลกนัก เสด็จแม่กลับไม่ตำหนิข้า ยังทรงอนุญาตให้ข้าขี้เกียจไปอีกหลายวัน และในช่วงนั้นพระนางก็มักพาข้าไปเยี่ยมฟูเหนียงเหนียง ในตำหนักของพระนางฝู มักจะพบกับเสด็จพ่อเสมอเพียงไปอยู่ไม่กี่วัน เสด็จแม่ก็นิ่งตึง ตรัสว่าจะไม่ไป
ก่อนที่ข้าจะออกบวช ข้ามีนามว่าเซี่ยฟ่านตั้งแต่เล็ก ข้ามักได้ยินผู้คนกล่าวถึงข้าว่าเป็นเด็กเฉลียวฉลาด ปราดเปรื่องยิ่งนัก เป็นผู้ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่โอรสทั้งสามพระองค์ได้ฟังคำกล่าวเช่นนี้บ่อยครั้ง ข้าก็เริ่มเชื่อเสียเอง และบางครั้งยังรู้สึกภาคภูมิใจแต่ทุกครั้งที่ข้ารู้สึกปลาบปลื้มในคำสรรเสริญเหล่านั้น เสด็จแม่ก็จะดึงข้าลงจากฟ้าในบัดดล พระนางจะทอดพระเนตรมาที่ข้า ดวงเนตรเต็มไปด้วยความเวทนาและความรู้สึกสลับซับซ้อน แล้วทอดถอนพระทัยตรัสว่า “น่าเสียดายนักที่เจ้ามาเกิดในครรภ์ของแม่ ถูกเจ้าคนโง่นั่นกดไว้เสียหนึ่งช่วงตัว เจ้านั่นแค่ดวงดีเท่านั้น”เจ้าคนโง่นั่น ข้าก็ได้ยินเสด็จแม่เรียกอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่เด็กเสด็จแม่ไม่เคยตรัสเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่น มีเพียงยามอยู่ตามลำพังกับข้าเท่านั้นเมื่อยังเยาว์ ข้ารู้สึกประหลาดใจนัก เสด็จแม่ชัดเจนว่าส่งเสริมให้เกลียดเสด็จพี่ใหญ่ ทว่าเวลาที่พบเสด็จพี่ใหญ่ พระนางกลับแสดงสายตาอ่อนโยนเปี่ยมเมตตา ตรัสคำชมเชยกับเขามากมาย ทั้งที่เขาออกจะโง่เขลา แต่ยังตรัสว่าเขาฉลาดข้าไม่เข้าใจ จึงแอบไปถามชิงหลันกูกู ชิงหลันกูกูก็เพียงทอดถอนใจ ลูบศีรษะข้าแล้วกล่าวว่า “องค์ชา
เพื่อนรักวัยเยาว์ทั้งสอง ต่างก็มุ่งมั่นสุดกำลังในเส้นทางของตน ซิวเช่อเริ่มต้นจากการเรียนรู้เรื่องสมุนไพร จากสมุนไพรสู่แพทย์ นั่นกลายเป็นที่พึ่งพิงทั้งชีวิตของเขาในสำนักเทพโอสถ แต่เดิม เขาใช้มันเป็นที่พึ่ง เพราะรู้ดีว่าตนไม่อาจลงเขาไปเปิดสถานรักษา รักษาผู้คนได้จริง กระทั่งซ่งรุ่ยมาเยือน และทิ้งท้ายด้วยจดหมายฉบับหนึ่ง ทำให้เขาเริ่มมีความหวังว่าจะได้ลงเขาอีกครั้ง นับแต่นั้น เขาจึงยิ่งทุ่มเทฝึกฝนไม่พักไม่ผ่อน เขาผ่านความเจ็บปวดแสนสาหัส จึงเน้นศึกษาการรักษาอาการบาดเจ็บและอาการเจ็บปวดโดยเฉพาะ แน่นอนว่า การแพทย์คือศาสตร์ที่ต้องรู้รอบด้าน เขาจึงไม่ละเลยสาขาอื่น ในใจเขามีเปลวไฟดวงหนึ่ง เป็นเปลวไฟที่ไม่เคยลุกโชนเลยในหลายปีที่ผ่านมา นับแต่วันที่ถูกส่งมายังสำนักเทพโอสถ เขารู้ตัวดีว่า แม้จะมีชีวิตรอด แต่ชีวิตนี้ก็คงมีเพียงเท่านี้ ทว่าบัดนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เขามีโอกาสเปลี่ยนตัวตน เปลี่ยนใบหน้า นำสิ่งที่เรียนรู้ติดตัวลงจากเขาไป เขาจะเป็นคนที่มีประโยชน์ เป็นผู้ที่ใช้ชีวิตในแสงตะวัน ไม่ใช่เต่าที่ซ่อนตัวอยู่ในเปลือก เขาตื่นเต้นถึงขั้นหลายคืนติดกันขลุกอยู่ในโรงปรุงยา ทั้งกินทั
"เซี่ยจิ้งเหยียน ปากเจ้าหยุดได้บ้างหรือไม่?" ซ่งซีซีขมวดคิ้ว มองดูบุตรสาวที่กำลังพันแข้งพันขาพี่รุ่ยเอ่อร์ด้วยคำถามไม่หยุดไม่หย่อนใบหน้าเล็กๆ แดงจัดจากแดด เผ้าผมยุ่งเหยิงราวกับรังนก มองปราดเดียวก็รู้ว่าเพิ่งออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านมานับแต่พี่รุ่ยเอ่อร์กลับจากการเดินทาง เข้าประตูมา เด็กน้อยก็ไม่หยุดเจื้อยแจ้ว ถามเรื่องสนุกต่างๆ ที่พี่ชายพบเจอระหว่างท่องเที่ยว"เสด็จแม่เจ้าคะ" เซี่ยจิ้งเหยียนเบิกตากลมโต มองมาด้วยท่าทีใสซื่อไร้เดียงสา ใบหน้าราวกับเก็บเอาส่วนดีจากทั้งบิดาและมารดามาไว้ครบถ้วน "ข้ามิได้พบพี่รุ่ยเอ่อร์มานาน วันเดียวไม่ได้เจอ เหมือนห่างกันสามปี นี่ไม่รู้เลยว่าห่างกันมากี่เดือนกี่ปีแล้ว ข้าย่อมมีเรื่องมากมายต้องพูดกับพี่เขาเจ้าค่ะ""วันเดียวไม่เจอเหมือนห่างกันสามปี ใครสอนเจ้าพูดเช่นนี้?" ซ่งซีซีขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิมเซี่ยจิ้งเหยียนตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ "อาจารย์ลุงหวังพูดกับท่านน้าเสิ่นอย่างนี้ ตอนก่อนเขากลับไปเขาเหม่ยซานไม่กี่วัน พอกลับมาก็กอดท่านน้าเสิ่นแล้วพูดประโยคนี้ล่ะเจ้าค่ะ"เสิ่นว่านจือรีบก้มหน้าลงทันที หลบเลี่ยงสายตาคมกริบดั่งมีดของซ่งซีซี ใครจะรู้เล่าว่าตอนนั้นจิ้งเ
การออกจากเมืองครั้งนี้ของซ่งรุ่ย เขาแจ้งกับฮ่องเต้ว่าออกไปท่องเที่ยว แต่เขามิได้อยู่ที่สำนักเทพโอสถนานนัก เพียงเจ็ดวันก็ออกเดินทางต่อ แล้วมุ่งหน้าไปยังสถาบันว่านซงเหมินแต่เดิมตั้งใจจะกลับเมืองหลวงไปหาท่านอาหงเซียว ทว่าคิดไปคิดมา สู้ไปหาศิษย์อาผิงหวูจูงโดยตรงดีกว่า ขอให้นางเป็นผู้สอนวิชาแปลงโฉมด้วยตนเอง วิชาแปลงโฉมไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากต้องการให้ถึงขั้นแยบยล แปลงแล้วไร้ผู้ใดมองออก เช่นนั้นก็ไม่อาจสำเร็จได้ในเวลาเดือนสองเดือน วิชาแปลงโฉมอย่างง่ายนั้น สามารถทำได้โดยไม่ต้องเสริมอะไรเพิ่มเติมไปจากใบหน้าตนเอง จะเป็นการแต่งเติมหรือแต่งหน้าเท่านั้น แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา แม้แต่ฝนตกเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้ความลับถูกเปิดเผย เพราะฉะนั้น ไม่อาจเรียนเพียงวิชาเบื้องต้นเช่นนี้ได้ อีกแขนงหนึ่งของวิชาแปลงโฉม คือการสร้าง “ใบหน้าเทียม” ขึ้นมา ทว่าใบหน้าเทียมทั่วไปนั้นมีความหนา อึดอัด หากสวมใส่นานจะทำร้ายผิวหน้าของผู้สวมใส่ อีกทั้งยังต้องใช้ยาพิเศษในการติดกับผิวหน้า พอถึงเวลาพักผ่อน จะต้องลอกออก ซึ่งอาจดึงเอาผิวหน้าเดิมติดออกมาด้วย ในสำนักหออวิ๋นอี้ แม้จะมีการใช้ใบหน้าเทีย
ยามค่ำ ทั้งสองนั่งสนทนาใต้แสงเทียน เรื่องราวในราชสำนักไม่มีการเอ่ยถึงแม้แต่น้อย ซิวเช่อเพียงรู้ว่าแผ่นดินสงบสุขร่มเย็น เพียงเท่านี้ก็มากพอแล้ว เขามิใช่องค์ชายใหญ่คนเดิมอีกต่อไป สิ่งที่เขาต้องแบกรับ มีเพียงชีวิตของตน ส่วนอื่นนั้น ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว การเข้าไปเกี่ยวข้องกับราชสำนักนั้นเป็นเรื่องอ่อนไหวอย่างยิ่ง ทางที่ดีคือต้องไม่เอ่ยถึงเลยจะปลอดภัยที่สุด เมื่อยังเยาว์ เขายังไม่เข้าใจนักว่าทำไมเขาถึง “ต้องตาย” จนกระทั่งท่านปรมาจารย์ดันค่อยๆ อธิบายให้เขาเข้าใจ รวมถึงอาจารย์ของเขาก็เคยพูดถึงผลได้ผลเสียเหล่านี้ให้ฟัง ระหว่างเขากับน้องสาม แม้จะไม่ไร้ซึ่งสายสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ทว่า หากจะใช้ความสัมพันธ์นั้นไปเดิมพันกับชีวิต เดิมพันกับอนาคตที่ไม่แน่นอน ก็มิใช่เรื่องดีสำหรับผู้ใดเลย เขาจึงยอมรับความจริง ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป และต้องมีชีวิตที่ดีในแต่ละวัน ยิ่งกว่าวันพรุ่งนี้ถึงจะไม่เสียเปล่าที่ได้เกิดมา ซ่งรุ่ยถามถึงขาของเขา “ตอนข้ามา ท่านอาบอกข้าว่า ขาของเจ้าลุกไม่ขึ้นอีกแล้ว แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงเดินได้บ้างเล่า?” ซิวเช่อตอบว่า “ปีที่เสด็จพ่อสวรรคต มีคนอยู่เพียงไม