แชร์

บทที่ 9

ผู้เขียน: ปาเย่วเซิ่งเซี่ย
จ้านเป่ยว่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ยังคงพูดอย่างเย็นชาว่า "นี่มันข้าขอด้วยความผลงานในการออกศึก หากพระองค์ถอนพระราชกฤษฎีกาของเขาจริงๆ มันจะทำให้ทหารผิดหวังแน่ๆ วันนี้พระองค์ทรงเรียกข้าไปพบ แต่ก็ไม่ยอมพบข้า อาจเป็นเพราะเจ้าฟ้องว่าตัวเองได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดี ซ่งซีซี ข้าไม่ถือสาเจ้า แต่ข้าเมตตากับเจ้ามามากพอแล้วจริงๆ"

"ข้าหวังว่าเจ้าจะทำตัวดีๆ หยุดสร้างปัญหา หลังจากที่ข้าแต่งงานกับยี่ฝาง ข้าจะให้เจ้ามีลูกเป็นของตัวเองด้วย และเจ้าก็จะมีที่พึ่งพาในชีวิตที่เหลือ"

ซ่งซีซีลดสายตาลง แล้วพูดเบาๆ "เป่าจู่ ส่งแขก!"

เป่าจูยืนขึ้นแล้วพูดว่า "ท่าแม่ทัพเชิญเจ้าคะ!"

จ้านเป่ยว่างเดินจากไปอย่างไม่ลังเล

ก่อนที่ซ่งซีซีจะพูดอะไร น้ำตาของเป่าจูก็ไหลออกมาราวกับลูกปัดที่แตกสลาย

ซ่งซีซีเดินเข้ามาเพื่อเกลี้ยกล่อมนาง "เป็นอะไรอีก?"

"ข้าน้อยรู้สึกน้อยใจแทนคุณหนู คุณหนูไม่รู้สึกน้อยใจหรือ?" เป่าจูถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

ซ่งซีซียิ้มและพูดว่า "น้อยใจสิ แต่ร้องไห้จะแก้ไขปัญหาอะไรได้ล่ะ สู้คิดหาทางออกเพื่อให้เราสองคนมีชีวิตที่ดีจะดีซะกว่า ตระกูลซ่งจะมีคนอ่อนแอที่ไหนกัน"

เป่าจูเช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้า และเบะปากของนาง "ทำไมทุกคนถึงมารังแกคุณหนูหมดเลย ท่านดีกับคนในจวนแม่ทัพมากด้วยซ้ำ"

"เพราะในสายตาพวกเขา ตอนนี้ข้าไม่สำคัญแล้ว" ซ่งซีซีพูดด้วยรอยยิ้ม จริงๆ แล้วนางไม่เคยมีความสำคัญเลย สิ่งสำคัญคือสินเดิมที่นางอนำมา

น้ำตาของเป่าจูไหลหนักหว่าเดิม เพราะในใจของนาง คุณหนูเป็นคนสำคัญที่สุด

"เอาน่ะ อย่าร้องไห้เลย เจ้าไปทำธุระของเจ้าเถอะ เราต้องใช้ชีวิตตามปกติต่อนี่น่ะ" ซ่งซีซีลูบแก้มนางแล้วพูดว่า "ไปเถอะ!"

"คุณหนู" เป่าจูเช็ดน้ำตาของนาง "แล้วคนที่ท่านนำมาตอนแต่งงานนั้น ท่านจะเอากลับไปด้วยหรือไม่?"

"โฉนดขายตัวของพวกเขายังอยู่กับข้า หากข้าจากไปแล้ว ยี่ฝางจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี ดังนั้นต้องให้พวกเขาติดตามข้าด้วย"

ตอนนางแต่งงาน ท่านแม่ของนางให้แม่นมเหลียงและแม่นมฮวงมาด้วย รวมทั้งคนรับใช้สี่คนและสาวใช้สี่คน

เนื่องจากฮูหยินผู้เฒ่าป่วยหนักตลอกทั้งปีนี้ นางจึงต้องดูแลจวนแม่ทัพ ดังนั้นคนที่นางพามานั้นต่างดำรงตำแหน่งสำคัญในจวน เหตุผลหนึ่งก็คือที่จวนแม่ทัพมีคนรับใช่ไม่พอ เพราะเงินเดือนของท่านพ่อสามีกับจ้านเป่ยว่างมีไม่เยอะ และไม่ได้ทำธุระกิจอะไรด้วย ดังนั้นที่จวนไม่มีปัญญาเลี้ยงคนจำนวนมากได้

ประการที่สองคือ นางคิดว่าการใช้คนของตัวเองมันค่อนข้างไว้ใจได้ ไม่งั้นก้ต้องาวงท่าเพื่อสร้างอำนาจ ฮูหยินผู้เฒ่าสุขภาพไม่ดี นางจึงสามารถเจียดเวลาดูแลนางได้มากขึ้น

ส่วนสินเดิมที่นางนำมาด้วย ก็อุดหนุนไปไม่น้อยด้วย ค่ายาสำหรับอาการป่วยของแม่สามีนั้นแพงมาก ฝ่ายจวนก็จ่ายไม่ไหว

แต่โชคดีที่ใช้กำไรจากร้านขายของและเก็บค่าเช่าบ้าน รายได้จากที่ดินต่างๆ ก็พอจ่ายไหว

วันรุ่งขึ้น ซ่งซีซีไปดูแลฮูหยินผู้เฒ่าตามปกติ

แต่ที่นางมาวันนี้ เป็นเพียงเพราะหมอมหัศจรรย์ดันมาแล้ว

เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางมา ก็คิดว่านางคิดตกแล้วเลยโล่งใจ "เดี๋ยวยี่ฝางก็จะมาด้วย พวกเจ้าเจอสักหน่อย ต่อไปจะเป็นพี่น้องกัน ต้องอยู่อย่างสามัคคีกันนะ"

ซ่งซีซีไม่ตอบ นางแค่รอหมอมหัศจรรย์ดันอยู่ข้างๆ เมื่อเขาสั่งยาเสร็จ ซ่งซีซีพูดว่า "ลุงดัน ให้ข้าไปส่งท่านนะ"

"อืม ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าพอดีเลย" หมอมหัศจรรย์ดันให้เด็กรับใช้ไปเอากล่องยา และออกไปพร้อมกับซ่งซีซีโดยไม่กล่าวลาอะไรกับฮูหยินผู้เฒ่าเลย

พอถึงทางเดิน หมอมหัศจรรย์ดันพูดว่า "เด็กโง่เอ๊ย ครอบครัวนี้ไม่ผู้ใดมีจิตใจดี พวกเขาไม่คู่ควรได้รับความเมตตาจากเจ้า ต่อไปเจ้าไม่จำเป็นต้องส่งคนมาตามหาข้า ข้าจะไม่มาอีกเลย"

ซ่งซีซีกล่าวว่า "ลุงดัน ข้าเข้าใจ ตอไปข้าจะไม่ส่งคนไปตามหาท่านแล้ว ข้าวางแผนจะหย่าแล้ว"

จากนั้นหมอมหัศจรรย์ดันก็ยิ้ม "เด็กดี เช่นนี่ถึงสมเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดของลูกสาวของตระกูลซ่งควรทำ ข้าไม่ขาดเงินเล็กน้อยจากพวกเขาหรอก หากไม่ได้เห็นแก่เจ้า ข้าไม่มารักษานางหรอก"

หมอมหัศจรรย์ดันเห็นคนมาเยอะ แค่เห็นหน้าของฮูหยินผู้เฒ่านั้นก็รู้ว่าเป็นคนโลภมาก
ความคิดเห็น (9)
goodnovel comment avatar
Kantitat
เป่าจูรักนายมากกก พูดดี อะไรที่ไม่ถูกต้องก็ฟาดมันไปซะ!!!
goodnovel comment avatar
Kantitat
นิยายนี่แปลมาจากภาษาจีน หรือเขียนใหม่โดยคนไทย?!?
goodnovel comment avatar
Kantitat
เออ ดียยย์ เอาซี๊ อิครอบครัวนี้ จะเหลืออะไร 5555
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทที่เกี่ยวข้อง

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 10

    หลังจากส่งหมอมหัศจรรย์ดันกลับไป ซ่งซีซีก็กลับไปที่เรือนเหวินซี ครึ่งชั่วยามต่อมา จ้านเป่ยว่างก็พายี่ฝางไปที่เรือนเหวินซีเพื่อตามหานางนางกำลังทำบัญชีของจวนเดือนนี้ในห้องหนังสือ เมื่อนางเห็นพวกเขาเข้ามา ดวงตาของนางก็จับจ้องไปที่มือที่ประสานกันของพวกเขากระถางธูปสีทองตัวเล็กๆ กำลังออกกลิ่มธูปหอมอยู่ กลิ่มนั้รทำให้คนสงบอารมณ์ได้ด้วย นางหายใจเข้าลึกๆ พูดให้ชัดเจนก็ดีหลังจากที่นางสั่งให้เป่าจูออกไป ก่อนพูดว่า "เชิญนั่งเลย!"ยี่ฝางเปลี่ยนกลับมาสวมเสื้อผ้าสตรีด้วยกระโปรงจีบสีแดงปักลายผีเสื้อสีทอง นางนั่งลง กระโปรงห้อยลงมา และผีเสื้อก็ดูนิ่งอยู่เช่นกันยี่ฝางไม่ถือว่าสวย แต่นางมีออร่ามาก"นางซ่ง!" นางเอ่ยปากก่อนและมองตรงไปที่ซ่งซีซี นางเคยอยู่ในกองทัพ และสังหารศัตรู นางคิดว่าความแข็งแกร่งของนางน่าจะทำให้ซ่งซีซีไม่กล้ามองตรงๆ อย่างไรก็ตาม ดวงตาของซ่งซีซีนั้นดูสดใส ไม่มีการหลบหนีแม้แต่น้อย นี่กลับทำให้นางประหลาดใจ"ท่านแม่ทัพมีอะไรก็พูดออกมาเถอะ!" ซ่งซีซีกล่าว"ข้าได้ยินมาว่าเจ้าอยากพบข้า ข้าก็เลยมาที่นี่ ข้าแค่อยากถามเจ้าว่าเจ้าจะยินดีที่จะอยู่ร่วมกับฉันอย่างสันติหรือไม่" ยี่ฝางพูดอย่า

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 11

    แม้ว่ายี่ฝางจะรู้สึกขมขื่นใจเล็กน้อย แต่นางก็พูดว่า "ข้ามิใช่คนขี้อิจฉาขี้หึงอะไร และถ้าคิดเพื่อตัวเจ้าเอง หากเจ้ามีลูกของตัวเอง และต่อไปเจ้าก็จะมีคนที่ให้พึ่งพา ส่วนหลังจากเจ้าท้องเขาเขาจะร่วมหอกับเจ้าอีกหรือไม่ ข้าไม่อยากยุ่ง"ด้วยประโยคสุดท้าย เห็นได้ชัดว่านางโกรธแล้วจ้านเป่ยว่างรีบสัญญาอย่างว่า "ไม่ต้องห่วง ถ้านางท้อง ข้าจะไม่แตะต้องนางอีกเลย""ไม่จำเป็นต้องสัญญาหรอก ข้าไม่ได้เป็นคนใจแคบอย่างนั้น" ยี่ฝางหันหน้าออกไป ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจซ่งซีซีมองไปคนสองคนที่อยู่ตรงหน้านาง และรู้สึกว่าน่าเกลียดอย่างยิ่ง นางยืนขึ้นและมองไปที่ยี่ฝาง ก่อนพูดอย่างเคร่งขรึม "สตรีอยู่ในโลกนี้มันยากลำบากมากอยู่แล้ว ทำไมเจ้าต้องดูถูกสตรีอีก เจ้าเองก็เป็นสตรีนะ แล้วจะมาดูถูกสตรีเช่นนี้เพียงเพราะเจ้าฆ่าศัตรูในสนามรบไม่ได้นะ เจ้าคิดว่าข้า ซ่งซีซีจะอยู่รอดก็ต่อเมื่อพึ่งพาสายเลือดของตระกูลจ้านเท่านั้นเหรอ ชีวิตข้าไม่มีอะไรที่ข้าเองต้องไปทำ ไม่มีชีวิตที่ข้าต้องการอยู่ จะต้องเป็นตัวประกอบของพวกเจ้าเท่านั้น และมีชีวิตอย่างอับอายในหลังจวนที่นี่เหรอ พวกเจ้าคิดว่าข้าซ่งซีซีเป็นอะไรกัน?"ยี่ฝางอึ้งไ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 12

    เป่าจู้รู้สึกปวดใจที่คุณหนูของตัวเองถูกรังแกเช่นนี้ คำบางคำที่คุณหนูต้องเห็นถึงกาลเทศะเลยไม่สามรถพูดได้ แต่นางเป็นสาวรับใช้ที่หยาบคาย นางไม่กลัว ดวงตาของนางแดงก่ำ "ข้อน้อยเป็นแค่สาวใช้ผู้ต่ำต้อย ยังรู้อะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ท่านเป็นถึงแม่ทัพหญิงในราชสำนัก แต่กลับไปคบชู้กับสามีคนอื่นในสนามรบ และตอนนี้กลับอาศัยความสำเร็จมารังแกคุณหนูของข้าโ... ""เพี๊ยะ!"การตบอย่างเสียงดังลงบนใบหน้าของเป่าจูจ้านเป่ยว่างตบเป่าจูอย่างแรงด้วยความโกรธ จากนั้นจ้องมองไปที่ซ่งซีซีด้วยความเย็นชา "นี่ก็คือสาวใช้ที่เจ้าสอนมาหรือ ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเลย"ซ่งซีซีรีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปพยุงเป่าจูก่อน เมื่อเห็นแก้มของนางบวมทันที ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจ้านเป่ยว่างออกแรงไปมากแค่ไหนนางหันกลับมาและดวงตาของนางก็เย็นชา จากนั้นนางก็ตบหน้าจ้านเป่ยว่างฉาดหนึ่ง "คนของข้า จะยอมให้เจ้าทุบตีอย่างตามใจเลยเหรอ"จ้านเป่ยว่างไม่คาดคิดว่านางจะตบเขาเพื่อสาวใช้คนหนึ่ง หน้าของผู้ชายจะโดนผู้หญิงตบแบบง่ายๆ ได้ยังไงกัน โดยเฉพาะต่อหน้ายี่ฝางแต่มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อสู้กลับ ดังนั้นเขาจึงได้แต่จ้องเขม็งไปที่ซ่งซีซีอย่างเย็นชา และจากไปพร

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 13

    เมื่อจ้านเป่ยว่างเห็นว่าทุกคนลำบากใจเช่นนี้ เลยหยิบรายการสินสอดขึ้นมาดู หลังจากอ่านแล้ว เขาจึงถามป้ารองว่า "แค่นี้มีปัญหาอะไรหรือ เงินสดหนึ่งหมื่นตำลึง กำไลทองสองคู่ กำไลหยกสองคู่ เครื่องประดับบนหัวสองอัน ผ้าทอชั้นดีห้าสิบชิ้น แค่นี้นี่เอง ส่วนอื่นๆ เป็นของเล็กน้อย ไม่ได้เยอะนี่""ไม่ได้เยอะเหรอ?" ฮูหยินผู้เฒ่ารองหัวเราะเยาะ "น่าเสียดายบัดนี้บัญชีของจวนแม้แต่เงินหนึ่งพันตำลึงก็ให้ไม่ได้เลย"จ้านเป่ยว่างประหลาดใจ "เป็นไปได้ยังไง? ใครเป็นผู้รับผิดชอบบัญชี? มันขาดทุนหรือเปล่า?""ข้ารับผิดชอบบัญชี!" ซ่งซีซีพูดเรียบๆ"เจ้าเป็นคนดูแลบัญชี แล้วเงินล่ะ?" จ้านเป่ยว่างถาม"ใช่สิ แล้วเงินล่ะ" ฮูหยินผู้เฒ่ารองยิ้มเยาะ "เจ้าคิดว่าจวนแม่ทัพของเราเป็นตระกูลใหญ่โตหรือไง จวนแม่ทัพหลังนี้ เป็นท่านย่าของเจ้าที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด จักรพรรดิองค์ก่อนทรงมอบให้ เงินเดือนประจำปีของท่านพ่อเจ้ารวมกับท่านอาเจ้า ไม่ถึงสองพันตำลึงเลย ส่วนเจ้า เป็นแม่ทัพแค่ขั้นสี่ จะมากกว่าท่านพ่อของเจ้าหรือ""แล้วทรัพย์สินที่ท่านปู่ทิ้งไว้ล่ะ ยังไงมันต้องทำกำไรไว้ ไม่มากก็น้อยสินะ?" จ้านเป่ยว่างกล่าวฮูหยินผู้เฒ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 14

    ฮูหยินผู้เฒ่าชะงัก ยืมเหรอ?ทว่าเมื่อกี้นางเองก็บอกว่ายืม รอที่จวนมีเงินแล้วก็คืนนาง ที่ซ่งซีซีพูดแบบทำให้นางไม่สามารถโต้แย้งได้เพียงแต่ นางยังคงบ่นอยู่ในใจว่า ซ่งซีซีเป็นคนไม่รู้ความจริงๆ กลับคิดเล็กคิดน้อยกับสามีตัวเอง ครอบครัวของพ่อแม่นางก็ตายหมดแล้ว เงินไม่ใช้กับจวนแม่ทัพ แล้วจะใช้ที่ไหนได้อีก?จ้านเป่ยว่างส่ายหัว "ข้าจะคิดหาทางออกเอง ไม่จำเป็นต้องยืมของเจ้า"หลังจากพูดแล้วเขาก็หันหลังกลับและออกไปทุกคนในห้องต่างมองไปที่ซ่งซีซี ซ่งซีซีคารวะทีหนึ่ง "ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอกลับไปก่อนนะ""เดี๋ยวก่อนซีซี!" ฮูหยินผู้เฒ่าทำหน้าบึ้งตึง ตอนนี้นางโกรธขึ้นมา และไม่ไอหรืออ่อนแรงอีก เพราะเมื่อวานนางเพิ่งกินยาหมอมหัศจรรย์ดันไปหนึ่งเม็ดซ่งซีซีมองดูนาง "ท่านมีคำสั่งอะไรอีกหรือ"ฮูหยินผู้เฒ่าพูดอย่างจริงจัง "ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าวังเพื่อขอร้องฝ่าบาทมา แต่มันไม่เหมาะเลยที่เจ้าทำเช่นนั้น ยี่ฝางแต่งเข้ามา หากต่อไปได้สร้างผลงานให้บ้านเมืองอีก มันสร้างชื่อเสียงให้ลูกหลานของจวนแม่ทัพนะ เจ้าก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย หากสร้างผลงานมากมาย เจ้าก็อาจรับยศไป มันก็เป็นบุญคุณของเจ้า"ซ่งซีซีไม่ได้ปฏิเสธ "ท่

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 15

    ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เชื่อว่าหมอมหัศจรรย์ดันจะไม่มา เพราะเมื่อวานเขายังมาส่งยาด้วย และให้คำกำชับเกี่ยวกับอาการของนาง จากนั้นนางรีบส่งคนไปที่ร้านขายยาของเขาทันทีเพื่อเชิญหมอมหัศจรรย์ดันมา แต่หมอมหัศจรรย์ดันไม่แม้แต่ออกมาพบหน้าเลย แค่ให้หมอแระจำร้านให้คำตอบแทนคำตอบนั้นพ่อบ้านบอกฮูหยินผู้เฒ่าทุกคำ เกือบทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาสิ่งที่หมอประจำร้านพูดนั้นเป็นคำพูดของหมอมหัศจรรย์ดัน "ต่อไปม่ต้องมามาเลย สิ่งที่จวนแม่ทัพทำนั้นช่างทำให้คนเรารู้สึกเสียใจมาก หากรักษาโรคให้บุคคลไร้ศีลธรรมเช่นนี้ ข้ากลัวสร้างกรรมเอาไว้ ข้ายังไม่อยากตาย"ฮูหยินผู้เฒ่าพูดด้วยความโกรธ "ต้องเป็นนางที่ไม่ให้หมอมหัศจรรย์ดันมารักษาข้า ข้าไม่ได้คาดคิดว่านางจะใจร้ายขนาดนี้ ตอนที่รับนางเป็นลูกสะใภ้ยังคิดว่านางจะมีน้ำใจและอ่อนโยน ตั้งหนึ่งปีแล้วก็มองไม่ออกเลยนางจะเป็นคนร้ายกาจเช่นนี้ นางจงใจทำร้ายข้า หากไม่มียาของหมอมหัศจรรย์ดัน งั้นเท่ากับต้องให้ข้าตายสิ"จ้านจี้ยังคงเงียบอยู่ข้างๆ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สบอารมณ์อยู่ รู้สึกว่าลูกสะใภ้คนนี้ไม่ได้เชื่อฟังเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเขาคิดว่านางแค่ขี้น้อยใจ พอโกรธไปสักหน

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 16

    จ้านเป่ยว่างไปหาเพื่อนข้างนอกมารอบหนึ่ง เพื่อขอยืมเงินกับคนรู้จักกันแต่จำนวนเงินที่ยืมไปมีเพียงหนึ่งพันตำลึง ซึ่งต่างจากหนึ่งหมื่นกว่าตำลึงที่ต้องใช้กับเงินหมั้นสินสอดและงานเลี้ยงมากมายแน่นอนว่าหากเขายอมแบกหน้าไปขอยืมเงินจากตระกูลขุนนาง ยืมสักสองสามหมื่นย่อมไม่มีปัญหา เพราะถึงยังไงเขาเพิ่งเอาชนะศึก เป็นคนโปรดของฮ่องเต้ ทุกคนต่างอยากจะไปประจบประแจงเขาแต่เขาไม่สามารถแบกหน้าไปหาได้การยืมเงินเป็นเรื่องน่าอายและอ่อนไหวอยู่แล้ว แล้วเขาจะหน้าได้ยังไงล่ะ?หลังจากคิดไปคิดมา เขาก็รู้สึกว่าเป็นการดีกว่าที่จะยืมเงินจากซ่งซีซี อับอายต่อหน้านางยังดีกว่าต้องอับอายต่อหน้าคนอื่นระหว่างทางกลับบ้าน เขาเห็นน้องชายสามขี่ม้ามาหาเขา ก่อนที่เขาจะถาม จ้านเป่ยเซินก็พูดว่า "พี่รอง ท่านรีบกลับบ้านเร็วเข้า ท่านแม่ถูกพี่สะใภ้รองยั่วโมโหแทบไม่ไหวแล้ว"เมื่อได้ยินว่าเป็นซ่งซีซีอีกแล้ว เขาก็พูดอย่างน่ารำคาญว่า "นางเป็นอะไรอีก"จ้านเป่ยเซินกล่าวว่า "นางให้หมอมหัศจรรย์ดันหย่ามารักษาให้ท่านแม่อีก"จ้านเป่ยว่างยังคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหนเชียว ที่แท้เป็นแค่เรื่องรักษาโรคของท่านแม่เอง "มีหมอมากมายในเมืองห

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 17

    จ้านเป่ยว่างหายใจเข้าลึกๆ และมองนางด้วยความไม่อยากเชื่อนางอยากไปจริงๆ หรือนางใช้สิ่งนี้เพื่อบังคับเขา? แต่เขาจะไม่หย่าเด็ดขาด เมื่อเขาหย่ากับนาง คำด่าทอของคนภายนอกจะด่าเขากับยี่ฝางจมไม่อาจจะลืมตาอ้าปากได้อีกเลยนอกจากนี้ ผู้คนในกองทัพจะเห็นว่าพวกเขาเป็นคนไม่มีความ ละอายใจ ทุกคนต่างยกย่องท่านโหวเป็นวีรบุรุษ เขาไม่สามารถสูญเสียขวัญกำลังใจทางทหารของเขาได้"ซ่งซีซี ข้าจะไม่หย่ากับเจ้า" เขารู้สึกรำคาญและเป็นทุกข์ด้วย "ข้าจะไม่หย่ากับเจ้า และไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่ดีเช่นกัน ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะไม่สร้างปัญหามากมายอะไรอีก โดยเฉพาะครั้งนี้ที่เจ้าขู่ข้าด้วยอาการป่วยของท่านแม่เจ้าไม่คิดว่าตัวเองเลวทรามเกินไปหรือ เจ้ามีคำขออะไร มีความไม่พอใจอะไร ระบายความโกรธกับข้าได้ อย่าทรมานท่านแม่ เจ้าทำแบบนี้คืออกตัญญู ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป มันจะไม่ดีต่อชื่อเสียงของเจ้า"ใบหน้าของซ่งซีซีเย็นชามาก "คือเจ้าจะไม่หย่ากับข้า หรือเจ้าไม่กล้าที่จะหย่ากับข้า? การหย่ากับข้า สำหรับเจ้าแล้วมีแต่เสียกับเสีย ไม่เพียงแต่โดนคนอื่นด่าทอว่าเจ้าเป็นคนใจร้ายและโหดเหี้ยม กลัวที่จะสูญเสียการสนับสนุนจากลูกน้องเก่าของท่านพ่อข

บทล่าสุด

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1429

    ฮองเฮาเลือกเวลาอย่างเหมาะสม ไปยังห้องหนังสือเพื่อรับองค์ชายใหญ่ แล้วจึงพากันกลับไปยังตำหนักฉือหนิงเพื่อถวายพระพรไทเฮา กลุ่มคนที่ตามหลังมานั้นอลังการยิ่งนัก แม้แต่องค์ชายใหญ่ยังถูกข้ารับใช้ตัวน้อยอุ้มกลับมา พอมาถึงประตูตำหนักจึงวางเขาลง ฮองเฮาจัดระเบียบอาภรณ์ให้เรียบร้อย แล้วจูงมือองค์ชายใหญ่เข้าไปด้านใน ทำความเคารพด้วยการคุกเข่าตามธรรมเนียม ถวายพระพรไทเฮาอย่างครบถ้วน แต่ไทเฮากลับมิทรงอนุญาตให้นางลุกขึ้นทันที เพียงเรียกองค์ชายใหญ่เข้าไปใกล้ "วันนี้ไทฟู่ชมเจ้าหรือไม่?" องค์ชายใหญ่หดคอเล็กน้อย มองไทเฮาอย่างระมัดระวัง ก่อนตอบเสียงเบา "วันนี้ไทฟู่ลืมชมขอรับ" ฮองเฮาที่ยังคุกเข่าอยู่รีบเสริมว่า "เสด็จแม่ ไทฟู่เข้มงวดนัก มิชมผู้ใดง่ายๆ" แน่นอนว่าฮองเฮาหาได้ทราบไม่ว่า ไทเฮาเคยตกลงกับไทฟู่ว่าหากองค์ชายใหญ่ประพฤติดีและตั้งใจเรียน ไทฟู่จะกล่าวชมเมื่อตอนเลิกเรียน หากมิใช่ก็จะเงียบเสีย ด้วยเหตุนี้ ไทเฮาจึงทรงทราบถึงความประพฤติขององค์ชายใหญ่ในแต่ละวันโดยง่าย ไทเฮามิทรงตอบคำของฉีฮองเฮา เพียงตรัสกับองค์ชายใหญ่อย่างเรียบๆ ว่า "ยังจำกฎเกณฑ์ได้หรือไม่?" องค์ชายใหญ่หน้าซีด รีบ

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1428

    สองแม่ลูกพูดคุยกันในห้องทรงพระอักษรเกือบสองชั่วโมง หลังจากไทเฮาเสด็จกลับ จักรพรรดิ์ซูชิงมีพระราชโองการให้ปลดโทษกักบริเวณของฮองเฮา แต่ยังไม่คืนสิทธิ์การบริหารวังหลังให้ ฉีฮองเฮาเมื่อได้ยินคำประกาศจากอู๋ต้าปั้น ก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง ไฉนถึงยกเลิกโทษกักบริเวณอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ในทันใดนั้น นางก็คิดได้ว่าคงเป็นเพราะคำพูดที่ให้นักเลงปากมอมแพร่ออกไปก่อนหน้านี้ได้ผล ฮองเฮายังมีชีวิตอยู่ แต่จะส่งรัชทายาทไปเลี้ยงดูในวังไทเฮา เช่นนี้ไม่สมเหตุสมผล ดังนั้น หลังจากนางได้รับการปลดโทษ นางไม่ได้รีบไปขอบคุณพระมหากษัตริย์ แต่เลือกไปที่โรงเรียนหลวงเพื่อเยี่ยมองค์ชายใหญ่ เมื่อองค์ชายใหญ่เห็นฮองเฮา ทรงดีพระทัยจนสุดขีด ไม่สนใจว่าไทฟู่ยังสอนอยู่ รีบลุกขึ้นพุ่งตัวราวกับนกที่พ้นกรง กระโจนเข้าสู่อ้อมอกของฉีฮองเฮา "เสด็จแม่ ลูกคิดถึงท่านเหลือเกิน ท่านจะพาลูกกลับไปเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ?" ฮองเฮาก้มลงจับบ่าของพระองค์ ลูบเส้นผม แล้วสังเกตดูอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นว่าไม่ได้สวมเสื้อขนสัตว์ และตัวผอมลงมาก คางแหลม นางก็อดปวดใจไม่ได้ "เหตุใดเจ้าผอมเช่นนี้? ที่วังเสด็จย่าไม่ได้เลี้ยงดูอย่างดีหรือ?" องค์

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1427

    รุ่งขึ้น เสนาบดีมู่มาถึงสำนักหมอหลวง บรรดาหมอหลวงทั้งหมด รวมทั้งเจ้าสำนักอยู่พร้อมหน้า เสนาบดีมู่ประทับนั่งลงก่อนมองพวกเขาด้วยแววตาหนักอึ้ง "ข้าถามพวกเจ้าเพียงคำเดียว โรคของฝ่าบาท พวกเจ้ามีความมั่นใจหรือไม่?" เหล่าแพทย์เงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่อู๋ย่วนเจิ้งจะเงยหน้าที่ตาแดงก่ำเพราะอดหลับอดนอนขึ้นมองเสนาบดีมู่แล้วส่ายหน้า "ไม่มีขอรับ" "ไม่มีเลยหรือ?" เสนาบดีมู่ถามด้วยท่าทีเหมือนไม่ยอมแพ้ "แม้แต่ความหวังเล็กๆ หรือวิธีการสักนิด?" ในความเงียบงันอีกครั้ง ดวงตาของเสนาบดีมู่ค่อยๆ หมองลงจนไร้แสง เขาถอนหายใจยาว "หากระดมกำลังจากสำนักหมอหลวงทั้งหมด จะยืดเวลาออกไปได้ถึงสองปีหรือไม่?" อู๋ย่วนเจิ้งมีสีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "ท่านเสนาบดี โรคปอดทรุดนี้กำเริบอย่างรุนแรง อย่าว่าแต่สองปีเลย เพียงหนึ่งปีก็...ยากมากพ่ะย่ะค่ะ" ครั้งนี้ถึงคราวเสนาบดีมู่เงียบไปนาน ก่อนทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง "ระวังคำพูดของพวกเจ้าด้วย" เขาค่อยๆ เดินออกจากสำนักหมอหลวง พลางกระชับเสื้อคลุมให้แน่น ฤดูหนาวผ่านเข้ามาเร็วนัก อากาศยิ่งหนาวจนแทงกระดูก ไทเฮาดูเหมือนจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่แสงไฟในสำนักหมอหลวงสว่างตล

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1426

    คืนนี้ เสนาบดีมู่พักอยู่ในวัง จักรพรรดิ์ซูชิงยังคงไม่ได้เสด็จไปยังฝ่ายใน หรือแม้แต่ห้องบรรทมของพระองค์เอง แต่กลับพักผ่อนอยู่บนเตียงลั่วฮั่นในห้องทรงพระอักษร เสนาบดีมู่มองพระองค์เสวยยาเสร็จ แล้วหยิบขนมหวานมอบให้ จักรพรรดิ์ซูชิงรับมาแต่ยังไม่เสวย ทรงยิ้มด้วยสายตา "จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเยาว์ เสด็จพ่อเคยทรงลงโทษข้าในห้องทรงพระอักษร พอออกมา ท่านเสนาบดีจะให้ขนมหวานข้าหนึ่งชิ้น พร้อมคำให้กำลังใจ" เสนาบดีมู่มองพระองค์ "ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็ยังจำได้ ฝ่าบาทเคยตรัสกับกระหม่อมว่า จะทรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าทำให้ท่านผิดหวังหรือไม่?" จักรพรรดิ์ซูชิงเสวยขนมหวานเข้าไป น้ำเสียงจึงพร่ามัว เสนาบดีมู่กล่าว "ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ในใจของกระหม่อม ฝ่าบาททรงเป็นจักรพรรดิ์ผู้ทรงธรรม" "ข้าไม่ใช่" จักรพรรดิ์ซูชิงตรัสด้วยความเศร้าหมอง "ข้ายังมีปณิธานอีกมาก แต่เกรงว่าจะไม่มีโอกาสทำได้" "สำนักหมอหลวงยังไม่ได้ลงความเห็นแน่ชัด ฝ่าบาทไม่ควรทรงหมดกำลังใจ" เสนาบดีมู่กล่าวปลอบ แม้ถ้อยคำจะดูแห้งแล้ง "ข้าเพียงมีเรื่องให้เสียใจอยู่บ้าง แต่ยิ่งกว่านั้น ข้าคิดการณ์ใหญ่" จักรพรรดิ์ซูชิงเอนกายลงบน

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1425

    เรื่องนี้ใหญ่เกินไป ทำให้ซ่งซีซีสมองมึนงง คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต องค์ชายใหญ่แทบไม่มีข้อกังขาว่าจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ และคาดว่าไม่นานตำแหน่งองค์รัชทายาทจะถูกแต่งตั้ง เมื่อฮ่องเต้หนุ่มเยาว์ขึ้นครองราชย์ จำเป็นต้องมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และไม่ใช่เพียงคนเดียว ซึ่งจะทำให้ราชสำนักแบ่งพรรคแบ่งฝ่าย สถานการณ์ในราชสำนักจะวุ่นวาย หากไม่มีการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการ อาจเป็นไทเฮาหรือฉีฮองเฮาที่ปกครองราชสำนักแทน ฮองเฮาเป็นคนทะเยอทะยาน แม้ตอนนี้ถูกกักบริเวณก็ยังคงวางแผนเพื่อองค์ชายใหญ่ ตระกูลฉีมีอำนาจใหญ่โต แม้ช่วงนี้จะถูกฝ่าบาทกดดัน แต่หากฝ่าบาทเสด็จสวรรคต และองค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์ ตระกูลฉีก็จะกลับมาผงาดอีกครั้ง ใครจะไม่อยากได้อำนาจ? เสนาบดีมู่ชราภาพและมีความคิดที่จะวางมือ แม้เขาอยากจะช่วยค้ำจุนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แต่สถานการณ์ในตอนนั้นอาจไม่เอื้ออำนวย นี่เป็นเรื่องในอนาคต สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ หากฝ่าบาทเหลือเวลาเพียงหนึ่งปี พระองค์ย่อมจะกวาดล้างอุปสรรคและภัยคุกคามทั้งหมดเพื่อเปิดทางให้องค์ชายใหญ่ก่อนเสด็จสวรรคต และจวนเป่ยหมิงอ๋องก็คือภัยคุกคามที่

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1424

    ผู้ที่ควรมาเยี่ยมก็มาเยี่ยมกันครบแล้ว ซ่งซีซีจึงสามารถพักฟื้นได้อย่างสบายใจ มีเพียงหมอหลวงหลินที่ยังมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว พร้อมนำยารักษาและยาลดรอยแผลเป็นมาให้ อาจารย์หยูมักจะคอยอยู่ข้างๆ คอยกล่าวขอบคุณหมอหลวงหลิน และฝากให้ช่วยกราบทูลขอบพระทัยฝ่าบาท วันหนึ่ง หมอหลวงหลินมาพร้อมกับอู๋ต้าปั้น อาจารย์หยูเห็นว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก จึงเชิญหมอหลวงหลินออกไปอ้างว่าขอคำแนะนำเรื่องรอยแผลเป็น เพื่อเปิดโอกาสให้พระชายาได้พูดคุยกับอู๋ต้าปั้นตามลำพัง ซ่งซีซีเชิญอู๋ต้าปั้นนั่งลงแล้วถามว่า "ฝ่าบาททรงส่งท่านมาหรือ?" อู๋ต้าปั้นถือพัดขนนกวางไว้ที่ข้อศอก มองไปที่องครักษ์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักแล้วกล่าวว่า "ฝ่าบาททรงส่งข้ามา และข้าก็อยากมาเอง พระชายาบาดเจ็บดีขึ้นบ้างหรือไม่?" ซ่งซีซีลังเลเล็กน้อย ก่อนมองเขาตรงๆ แล้วถามว่า "ท่านคิดว่า บาดแผลข้าหายดีแล้วหรือ?" อู๋ต้าปั้นถอนหายใจ "พระชายาโปรดอภัย บาดแผลดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินได้" ซ่งซีซีฝืนยิ้ม "อย่างที่ท่านว่ามา ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังเดินไม่ได้" "พระชายาอย่าใจร้อน รีบพักฟื้นเถิด" อู๋ต้าปั้นกล่าว ซ่งซีซีพูดเบาๆ "ข้าก็ใจร้

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1423

    หยานหรูอวี้ย่อตัวคำนับ "เช่นนั้นข้าคงไม่รบกวนพวกท่าน ขอตัวเจ้าค่ะ" "เดินทางดีๆ นะ!" จีซูเซิ่นยิ้มส่งด้วยความอบอุ่น หลังจากหยานหรูอวี้จากไป จีซูเซิ่นหันไปมองหวังชิงหรู เห็นแววตาของนางที่เคยสดใสกลับมืดมนและเต็มไปด้วยความเศร้าใจ จีซูเซิ่นรู้ว่านางกำลังเสียใจอีกครั้งจึงกล่าวว่า "เรื่องที่ผ่านมาแล้วคิดไปก็ไร้ประโยชน์ เข้าไปข้างในเถอะ" การที่หวังชิงหรูมาหาซ่งซีซีในวันนี้ ต้องใช้ความกล้าอย่างมหาศาล เพราะนางติดค้างซ่งซีซีทั้งคำขอโทษและคำขอบคุณ ที่บอกว่ามากับพี่สะใภ้ในวันนี้ ที่จริงแล้วคือการเผชิญหน้ากับเรื่องราวในอดีต แต่ทว่านางอาจจะประเมินตัวเองสูงเกินไป แม้จะสามารถโน้มน้าวใจตัวเองให้เผชิญหน้ากับซ่งซีซีได้ แต่ในวินาทีที่เห็นหยานหรูอวี้ นางก็รู้สึกอธิบายไม่ถูก เหมือนโดนบางสิ่งกระแทกอย่างแรงจนสมองโล่งว่างเปล่า รอยยิ้มที่ยกขึ้นมาก็ดูฝืนเหลือเกิน นางกลัวเหลือเกินว่าจะร้องไห้ออกมา นางเดินตามพี่สะใภ้ทั้งสองเข้าไปในห้องรับรองอย่างไร้ชีวิตชีวา และเมื่อได้พบซ่งซีซี น้ำตาก็เอ่อท้นอยู่ในดวงตา ซ่งซีซีมองนางแวบหนึ่ง ก่อนเชื้อเชิญทุกคนให้นั่งลงพร้อมรอยยิ้ม และรินชาให้ จีซูเซิ่นมองดู

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1422

    หลังจากสนมฮุ่ยไทเฟยออกจากวังและกลับจวน นางพารุ่ยเอ๋อร์มาเยี่ยมซ่งซีซี นางเป็นคนพูดไม่หยุด พอรุ่ยเอ๋อร์พูดคุยกับซ่งซีซีเสร็จและเดินออกไป นางก็เล่าทุกเรื่องที่ได้ยินในวัง รวมถึงเรื่องที่ไทเฮาลงโทษอย่างหนัก ซ่งซีซีฟังจบแล้วกลับปลอบใจนางแทนว่า "คนที่ติดอยู่ในวังหลังไม่มีอะไรทำทุกวัน จะเหมือนข้าออกไปเดินเล่นหรือฟังละครไม่ได้ ย่อมชอบแต่งเรื่องเล่าต่างๆ เพื่อผ่านเวลาไป หากไม่ทำเช่นนั้น วันเวลาที่เนิ่นนานจะผ่านไปได้อย่างไร?" สนมฮุ่ยไทเฟยกล่าวด้วยความโกรธ "ถึงอย่างนั้นก็ไม่ควรพูดจาไร้สาระ พูดออกมาน่าเกลียดขนาดนั้น หากทำให้หมอเอ๋อร์ของเราถูกสวมเขาโดยไม่รู้ตัว นี่หรือคำพูดของคน? แล้วนี่เป็นคำพูดที่ผู้ใหญ่ควรพูดหรือ? ช่างไม่สำรวมจริงๆ" ซ่งซีซีถอนหายใจ นางเพียงเสียใจว่าตอนที่เริ่มรู้สึกผิดปกติ นางไม่ได้ "บาดเจ็บ" ในทันที แต่ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ดื่มน้ำซุปนั้น แม้นางจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าผิดปกติถึงขนาดนั้น นางกลับคิดว่าฝ่าบาทต้องการสืบเรื่องของสถาบันว่านซงเหมิน แต่ในความเป็นจริง ตอนนี้นางก็ไม่แน่ใจว่าฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไรกันแน่ พระองค์ทรงมีความคิดล

  • สตรีขี่ม้าออกศึก   บทที่ 1421

    ไม่นานนัก สนมฮุ่ยไทเฟยก็กลับมาถึงตำหนักฉือหนิงด้วยท่าทางโกรธจัด ไม่สนใจว่าฝูกงกงอยู่ด้วย นางก็กล่าวด้วยความโกรธว่า "จะไม่ให้พูดได้อย่างไรว่าคนที่อยู่ในวังหลวงนั้นมองโลกแคบ ใจคับแคบเหมือนรูเข็ม เห็นใครดีกว่าไม่ได้! ซีซีของพวกเรามีความดีความชอบจนฝ่าบาททรงชื่นชม เรียกให้นางไปเข้าร่วมการปรึกษาหารือเสมอ แต่คนพวกนั้นกลับแอบพูดกระแนะกระแหนเรื่องหญิงชายอยู่ในที่เดียวกัน ว่าอยู่ในห้องทรงพระอักษรด้วยกันไม่เหมาะสม ช่างน่าขำสิ้นดี พวกนางลืมไปแล้วหรือว่าซีซีเป็นขุนนางราชสำนัก? หากไม่ไปห้องทรงพระอักษรเพื่อประชุมราชการ จะให้นางไปแย่งความโปรดปรานในวังหลังหรืออย่างไร?" ไทเฮาทรงจิบน้ำชาอย่างช้าๆ ตรัสถามว่า "พวกนางพูดอย่างนั้นหรือ?" สนมฮุ่ยไทเฟยโกรธจนดวงตาแทบถลนออกมา "ตอนแรกข้าก็ไม่รู้เรื่อง พวกนางชมซีซีอย่างกับว่าเป็นคนใหม่ ว่าช่วงนี้นางมักจะอยู่ในห้องทรงพระอักษรกับฝ่าบาท ข้ายังรู้สึกภูมิใจอยู่พักหนึ่ง แต่ฟังไปฟังมาก็รู้สึกแปลกๆ พวกนางพูดเหมือนกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี แล้วบอกว่าซีซีของเราคิดจะเกาะกิ่งไม้สูงกลายเป็นหงส์ อ๊าก! ข้าโกรธจนแทบตาย พวกนางยังกลั้นหัวเราะพลางปิดปาก เหมือนพวกแม่ค้าในตลาดเ

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status