ซงเอ๋อร์ขยับตัวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง นางลืมตาขึ้นช้าๆ ท่าทางงัวเงียเล็กน้อย แต่ยังคงความงดงามอ่อนโยนอย่างเรียบง่าย เมื่อเห็นจางอี้หมิงนั่งพิงหัวเตียงอยู่ นางตื่นเต็มตาในทันที รอยยิ้มอ่อนปรากฏบนใบหน้า
“คุณชายใหญ่! ท่านตื่นแล้ว!” เสียงของซงเอ๋อร์เต็มไปด้วยความดีใจ จางอี้หมิงหันมองตามเสียง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยให้ “ใช่ ข้าตื่นแล้ว” ซงเอ๋อร์ยิ้มกว้างขึ้นด้วยความปิติ ก่อนจะโผเข้ากอดเขาแน่น น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “อ๊ะ! เจ็บ…” ซงเอ๋อร์สะดุ้งรีบผละตัวออก ท่าทางของนางช่างน่าเอ็นดู “ข้าขอโทษคุณชาย! ข้าไม่ได้ตั้งใจ!” จางอี้หมิงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “ไม่เป็นไร เจ้าดีใจจนลืมตัว ข้าเข้าใจ” นางเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณชายต้องการดื่มน้ำหรือไม่?” “อืม…” เขาพยักหน้า เมื่อซงเอ๋อร์รินน้ำใส่ถ้วยและส่งให้ จางอี้หมิงรับมาดื่มพลางมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน เขาพลันนึกถึงชีวิตที่เรียบง่าย หากเขาสูญเสียพลังปราณไปอย่างถาวร การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในฐานะบุตรชายของอ๋องสกุลจาง มีซงเอ๋อร์เป็นภรรยาคอยดูแลคงจะมีความสุขไม่น้อย หลังจากเขาดื่มน้ำเสร็จ ซงเอ๋อร์ลุกขึ้น “ข้าจะไปแจ้งข่าวดีนี้ให้ท่านอ๋องทราบ คุณชายพักผ่อนเถิด” จางอี้หมิงมองตามร่างเล็กบอบบางของนางจนลับสายตา ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แต่ความสงบของเขาถูกขัดจังหวะโดยแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า สองวงแสงเรืองรองส่องสว่าง เมื่อแสงนั้นจางลง บุคคลสองคนยืนอยู่ในห้อง ทั้งสองแต่งกายด้วยชุดสีขาวของศิษย์สำนักเทียนหยาง “ศิษย์พี่ลิ่วเฉียง... ศิษย์พี่เจียงเยว่…” จางอี้หมิงเอ่ยชื่อพวกเขาเบาๆ ลิ่วเฉียง เป็นบุรุษร่างสูงสง่า ใบหน้าหล่อเหลาดูสุขุม สายตาของเขามีแววเฉียบคมเหมือนพญาเหยี่ยว ส่วน เจียงเยว่ เป็นสตรีงดงามราวกับเทพธิดา ผิวขาวดุจหยก เส้นผมยาวดำขลับดั่งน้ำหมึก รูปร่างของนางดึงดูดสายตาโดยเฉพาะช่วงอกอิ่มที่สะดุดตาของจางอี้หมิงยิ่งนัก ลิ่วเฉียงมองจางอี้หมิงก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เจ้าฟื้นแล้วสินะ?” จางอี้หมิงพยักหน้า แต่ในใจอดคิดไม่ได้ “ก็เห็นอยู่ ยังจะถามอีก” ลิ่วเฉียงโยนขวดแก้วเล็กขวดหนึ่งมาให้ “พลังปราณของเจ้าถูกทำลายจนแทบหมดสิ้น อาจารย์ใช้เวลาตามหายานี้มาหลายเดือน นี่คือปราณฟื้นคืนในขวด ให้เจ้าดื่มเถอะ” จางอี้หมิงรับขวดมาอย่างรวดเร็ว ก่อนเปิดฝาและดื่มรวดเดียวจนหมด ทันใดนั้น เขารู้สึกถึงกระแสพลังปราณที่เริ่มไหลเวียนในร่าง แม้จะไม่เข้มแข็งเหมือนเดิม แต่ก็ช่วยให้เขารู้สึกมีพลังมากขึ้นกว่าเดิม ลิ่วเฉียงพยักหน้าเบาๆ “ข้าทำหน้าที่เสร็จแล้ว จะกลับไปแจ้งข่าวอาจารย์ก่อน เจ้าพักผ่อนเถิด” เขาพูดจบก็หมุนตัวหายไปในวงแสง ทิ้งให้จางอี้หมิงอยู่ตามลำพังกับเจียงเยว่ จางอี้หมิงหันมองศิษย์พี่หญิงอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดวงตาของเขาอดจับจ้องความงามของนางไม่ได้ เจียงเยว่ยิ้มบางๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เจ้าคงอยากรู้ว่าหอกเล่มนั้นมาจากใคร ใช่หรือไม่?” จางอี้หมิงขมวดคิ้วทันที “ท่านรู้?” นางพยักหน้า “หนึ่งในร่างแยกของจอมมารปีศาจ แต่ก็เป็นร่างแยกที่อ่อนแอที่สุด” คำตอบนั้นทำให้จางอี้หมิงชะงัก เขารู้ว่าจอมมารปีศาจคือศัตรูที่สำนักเทียนหยางพยายามกำจัดมานานหลายปี แต่การถูกเล่นงานโดย ร่างแยกที่อ่อนแอที่สุด ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยาม เจียงเยว่สังเกตเห็นสีหน้าของเขา นางหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดต่อ “ไม่ต้องกังวล ร่างแยกนั้นถูกอาจารย์กำจัดไปแล้ว” “ข้าเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับห้า! เหตุใดจึงพ่ายแพ้ให้กับร่างแยกที่อ่อนแอเช่นนั้น?” จางอี้หมิงเอ่ยเสียงเข้ม ความอับอายแผ่ซ่านในใจ เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนนั่งลงข้างเตียงของเขา การเคลื่อนไหวของนางทำให้เสื้อคลุมกระชับเข้ารูป หน้าอกอวบอิ่มของนางกระเพื่อมเบาๆ ดึงดูดสายตาของจางอี้หมิงโดยไม่รู้ตัว นางจับคางของเขาเบาๆ บังคับให้เงยหน้าขึ้นสบตากับนาง “เจ้ามีเวลาหนึ่งคืน บอกลาคนที่บ้านให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เจ้าจะต้องกลับสำนัก” จางอี้หมิงขมวดคิ้ว “กลับสำนักไปทำไม?” เจียงเยว่ปล่อยมือจากคางเขา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าจำเป็นต้องฟื้นพลังโดยการลงไปฝึกกับศิษย์ระดับศูนย์ที่กำลังจะสอบเข้าในเร็ววันนี้” “อะไรนะ?!” จางอี้หมิงลุกขึ้นทันที แต่ก็ต้องนิ่วหน้าเพราะเจ็บแผล “ข้าเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับห้า เหตุใดต้องไปฝึกร่วมกับศิษย์หน้าใหม่?” เจียงเยว่ยิ้มบางๆ ก่อนที่ร่างของนางจะเลือนหายไปในวงแสง ทิ้งคำถามมากมายไว้ในใจของจางอี้หมิง ไม่นานหลังจากนั้น ประตูห้องก็เปิดออก ท่านอ๋องจางส่วง บิดาของจางอี้หมิงก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าดีใจเมื่อเห็นบุตรชายของตนฟื้นขึ้นมา…ประตูห้องของจางอี้หมิงเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงผอมของชายวัยกลางคนที่สวมอาภรณ์งดงามดูสูงศักดิ์ ใบหน้าเรียวมีเคราบางๆ ดูสง่างาม ทว่าดวงตาแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า ท่านอ๋องจางส่วง ผู้เป็นบิดาของจางอี้หมิง เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายินดี“หมิงเอ๋อร์! ลูกพ่อฟื้นแล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโล่งใจจางอี้หมิงค้อมศีรษะให้บิดา “ขออภัยที่ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วง ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว”ท่านอ๋องจางส่วงนั่งลงข้างเตียง สังเกตบุตรชายของตนอย่างใกล้ชิด แม้จะเห็นสีหน้าซีดเซียว แต่ก็โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่จางส่วง ในฐานะบุตรชายคนที่ยี่สิบสี่ของอดีตฮ่องเต้เจ้าสำราญราชวงศ์ก่อน แต่ด้วยความที่เขาเป็นลูกคนเล็กที่เด็กมากเกินไป ปฐมฮ่องเต้ของราชวงศ์ปัจจุบันจึงเมตตาไว้ชีวิต และให้เป็นอ๋องเพื่อประดับไว้เฉยๆ ไม่มีอำนาจอื่นใดพิเศษ จางส่วงจึงเลือกใช้ชีวิตเงียบสงบ เขียนภาพวาดขายเลี้ยงชีพไปวันๆ พร้อมด้วยสมบัติอีกมากมาย ท่านอ๋องหันไปเรียกซงเอ๋อร์ที่ยืนรออยู่ด้านนอก “ซงเอ๋อร์ นำยาบำรุงเข้ามา”ซงเอ๋อร์รีบเดินเข้ามาพร้อมถ้วยยาสมุนไพรสีเข้ม กลิ่นฉุนแ
จางอี้หมิงยืนอยู่ในท่าจับกระบี่ไว้ในมือ มองหวงจื่อรั่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทางเย็นชา ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของนางในระยะประชิด ใจหนึ่งเขารู้สึกคุ้นเคยกับนางแต่ยังคงนึกไม่ออกเสียทีจากนั้นเขาดึงตัวนางเข้ามาใกล้เพื่อชิงกระบี่ ทันใดนั้น หน้าอกนิ่มๆ ของหวงจื่อรั่วสัมผัสกับแผ่นอกของเขาเล็กน้อย เขารู้สึกถึงกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ของร่างกายนางที่ลอยมาท่ามกลางลมเย็นๆ ในยามค่ำคืน ความรู้สึกนี้ทำให้เขาเผลอสูดกลิ่นเข้าไปในปอดเล็กน้อย“ชัดเจนแล้ว นางเป็นสตรี”จางอี้หมิงซ่อนความคิดนี้ไว้ในใจไม่อาจเปิดโปงออกไปให้นางอับอายเมื่อได้จังหวะที่เหมาะสม เขาผลักนางออกไปเบาๆ โดยไม่แรงนัก หวงจื่อรั่วสะบัดตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่เคยสัมผัสกันก่อนหน้านี้ห่างออกไปด้วยความเงียบ เขามองนางจากด้านหลังขณะที่นางถามเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มาทำอะไรบนนี้?” จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อยและยักไหล่ “มาดื่มสุราชมพระจันทร์... อยากมานั่งดื่มด้วยหรือไม่?” หวงจื่อรั่วไม่ตอบ แต่เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างเย็นชาแล้วพูดออกไป “ไม่ต้อง…” เสียงของนางเย็นชาดู
จางอี้หมิงเดินวนไปมาภายในบ้านพักขนาดกะทัดรัดของเขา ใช้ความคิดอย่างจริงจัง“การสอบเข้าสำนักนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้เข้าสอบต้องแสดงให้เห็นถึงความรู้ในศาสตร์ต่างๆ และความสามารถในการต่อสู้ด้วย แต่ว่าซงเอ๋อร์นั้นอ่านออกเขียนได้เพียงเล็กน้อย และความสามารถทางการต่อสู้นั้น…นางคุ้นเคยกับการใช้มีดทำครัวเสียมากกว่า”จางอี้หมิงถอนหายใจยาวขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง พลันสมองเขาก็แล่นวาบขึ้นมา“ใช่แล้ว!”เขาอุทานเสียงดัง พร้อมเดินตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องที่มีกระจกคันฉ่องวิเศษตั้งอยู่เขาเอื้อมมือไปลูบกรอบคันฉ่อง กระจกวิเศษบานนี้เป็นสมบัติของสำนัก มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถติดต่อกับผู้คนได้โดยไม่ต้องใช้พลังปราณเวท จางอี้หมิงสูดลมหายใจลึกก่อนจะยกมือโบกเบาๆ เหนือพื้นผิวกระจก คันฉ่องเปล่งแสงเล็กน้อยก่อนภาพของบุคคลหนึ่งปรากฏขึ้น
หลินหนิง สตรีสาววัยสิบหก ใบหน้างดงามดวงตาโตสดใส ร่างเล็กบางแต่ทรวดทรงได้สัดส่วน มีหน้าอกที่นูนขึ้นพอเหมาะ นางสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา แต่ความงามของนางกลับสะดุดตาผู้คนได้อย่างง่ายดาย หลินหนิงเป็นบุตรสาวขุนนางตำแหน่งเล็กในเมืองหลวง ตำแหน่งที่ไม่ได้โดดเด่นหรือทรงอำนาจ แต่นางมีความใฝ่ฝันแรงกล้าที่จะเป็นผู้ฝึกตนในสำนักเทียนหยางเมื่อได้ยินข่าวลือว่าในตลาดมีร้านขายตำราติวสอบของสำนักเทียนหยาง หลินหนิงไม่รอช้า รีบรุดไปยังตลาดทันทีแต่เมื่อไปถึงร้านที่ถูกกล่าวถึง กลับพบเพียงแผงเปล่าๆ และป้ายไม้ที่ถูกปลดลงแล้ว หลินหนิงยืนมองด้วยความผิดหวัง นางกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะบ่นออกมาเบาๆ “พลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไรกัน!” ดวงตากลมโตฉายแววเศร้าระหว่างที่หลินหนิงยังครุ่นคิดอยู่นั้น ทางด้าน จางอี้หมิง และ ซ่งอิน ซึ่งเป็นต้นตอของตำราติวสอบ กำลังนั่งพักอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จางอี้หมิงจิบน้ำชา พลางโบกตั๋วเงินในมือเหมือนพัดอย่างอารมณ์ดี
จางอี้หมิง ค่อยๆ ก้าวลงสู่อ่างอาบน้ำร้อนภายในห้องส่วนตัวของสำนักสังคีต ไอน้ำลอยขึ้นคลอเคล้ากับแสงตะเกียงที่ส่องสว่างเบาๆ เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง และรอยแผลเป็นเด่นชัดกลางหน้าอกหญิงสา วสองนางในชุดบางเบาท่อนบนกำลังขัดถูร่างกายของเขาด้วยมือที่นุ่มนวลและระมัดระวัง ในขณะที่อีกคนบีบนวดไหล่และต้นแขนให้เขาอย่างอ่อนโยนเสียงประตูเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็น แม่นางฉีเหอ ในอาภรณ์สีแดงสดที่บางเบา เปิดเผยสัดส่วนอันงดงามและเย้ายวน เธอเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ดวงตาคมจับจ้องมาที่จางอี้หมิง“พวกเจ้าออกไปก่อน” แม่นางฉีเหอเอ่ยเสียงนุ่ม หญิงสาวสองคนก้มหัวรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปเงียบๆแม่นางฉีเหอนั่งลงข้างอ่าง รินสุราในถ้วยหยกส่งให้เขาด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเสี่ยวจาง สุรานี้เป็นของพิเศษที่ข้าเก็บไว้
ในยามค่ำคืนก่อนวันสอบ จางอี้หมิงนอนหลับอยู่ในห้องพักเรียบง่าย แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างลงบนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของเขา ท่ามกลางความเงียบสงัด ความฝันได้พาเขาย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่เขาแทบจะลืมเลือนไปแล้วในความฝันนั้น เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กกำลังวิ่งเล่นในสวนดอกไม้กับมารดาผู้ให้กำเนิด ใบหน้าของนางอ่อนโยนและงดงามยิ่งนัก เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังขึ้นท่ามกลางสายลมเบาๆ ขณะนั้นบิดาของเขานั่งมองอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของบิดาเต็มไปด้วยความภูมิใจและอบอุ่นแต่แล้วภาพแห่งความสุขก็เลือนหายไป กลายเป็นภาพงานศพของมารดา เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กนั่งร้องไห้เสียงดัง สองแขนโอบร่างไร้วิญญาณของนางไว้แน่น ภาพนี้แทงลึกลงในจิตใจของเขาเหมือนหอกที่ทิ่มแทงไม่จบสิ้นจากนั้นความฝันเปลี่ยนไปเป็นภาพช่วงเวลาที่เขาเติบโต ฝึกฝนวิชาอย่างหนัก ภาพหอกเล่มหนึ่งพุ่งใส่เขาในสนามประลองและเขาต่อสู้กลับอย่างดุดัน ภาพเหล่านี้วนเวียนไปมาราวกับต้องการตอกย้ำอดีตของเขา
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง จางอี้หมิงเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เขาเดินตรงไปที่โต๊ะตัวสุดท้ายตามธรรมเนียม เนื่องจากเขาเป็นศิษย์คนเล็กของเจ้าสำนักเมื่อเขานั่งลงได้ไม่นาน ศิษย์พี่ฟางหรง ก็เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำชากาหนึ่ง วางลงตรงหน้าเขา พลางกล่าวสั้นๆ ว่า “ใกล้ได้เวลาแล้ว” ก่อนจะเดินจากไปจางอี้หมิงมองตามศิษย์พี่ฟางหรง พลางชื่นชมรูปร่างเพรียวบางของนางที่ดูงดงามอย่างไร้ที่ติ เมื่อฟางหรงนั่งลงตรงมุมหนึ่งของห้อง เขาเห็นใบหน้างดงามราวเทพธิดาของนางชัดเจนยิ่งขึ้น“งดงามยิ่งนัก” จางอี้หมิงนึกในใจจู่ๆ ฟางหรงหันมาสบตาเขาด้วยสายตาแฝงความสงสัย จางอี้หมิงรีบส่ายหน้าพลางสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป“ศิษย์พี่ฟางหรงสูงส่งและห่างไกลเกินไป นางไม่มีทางสละพรหมจรรย์ให้ข้าแน่”จางอี้หมิงยอมรับในใจว่าไม่คู
ภายในห้องประชุมของชั้นเก้า บรรยากาศเงียบสงบ ศิษย์ระดับสูงและเจ้าสำนักต่างจับจ้องภาพจากคันฉ่องวิเศษที่ฉายให้เห็นการทดสอบด้านล่าง จางอี้หมิง ที่กำลังครึ้มอกครึ้มใจได้เอ่ยขึ้นมาว่า "ท่านศิษย์พี่ฟ่านหวง ข้าขอเดิมพันว่า ผู้ที่หลุดจากภวังค์คนแรกจะเป็นสตรี ท่านว่าอย่างไร?"ฟ่านหวง หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าว่าจะต้องเป็นบุรุษ หากข้าผิด ข้ายินดีวาง 20 อีแปะเป็นเดิมพัน”จางอี้หมิงหัวเราะพลางโยนเหรียญ 20 อีแปะลงบนโต๊ะ “เช่นนั้นข้าขอพนันว่าเป็นสตรี!”เจียงเยว่ ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ทำหน้าหงุดหงิดพลางกล่าวลอยๆ “ไร้สาระนัก!”เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ยิ้มขำพลางโบกมือให้สงบ “ตั้งใจดูกันหน่อย!”เบื้องล่าง ผู้เข้าสอบทั้งหลายต่างตกอยู่ในภวังค์แห่ง เพลงพฤกษาเหมันต์สะท้านจันทรา ของศิษย์พี่ชิงซิ่ว ภาพต่างๆ ในใจของพวกเขาค่อยๆ ฉายออกมา รวมถึงหล
สายลมเย็นพัดผ่านยอดไม้ใหญ่ กิ่งไม้เสียดสีกันดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดบนก้านต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน ร่างสตรีปริศนาผู้หนึ่งยืนอยู่ นางสวมชุดคลุมสีเทาหม่น สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าสายตาของนางจ้องมองไปยังที่ตั้งของสำนักเทียนหยาง ราวกับกำลังเฝ้ารอเวลาอะไรบางอย่าง“เป็นอย่างไรบ้าง?”เสียงแหบห้าวดังขึ้นจากด้านหลังร่างชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทา สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเช่นกัน เขาก้าวเข้ามาใกล้อย่างเงียบงันสตรีในชุดคลุมไม่หันกลับมา นางเอ่ยเสียงเย็นชา“ข้าใส่จิตวิญญาณมารให้แก่ศิษย์คนนึงในสำนักเทียนหยางแล้ว ตอนนี้... ม่านพลังป้องกันมีรอยรั่วเล็กน้อย หน้าที่ของข้ามีเพียงเท่านี้”นางเหลือบตามองชายผู้นั้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว เชียนหวง”“อย่าทำให้เจ้าตำหนักพิโรธอีกรอบล่ะ”ดวงตาภายใต้หน้ากากของเชียนหวงเป็นประกายวาวโรจน์ เขายกคางขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งผยองทะนงตน “เรื่องนั้นไม่ต้องให้เจ้ามาสอน”“แน่ใจใช่ไหมว่าศิลาเฝิ่นเหิงอยู่ในสำนักเทียนหยาง?” เชียนหวงเอ่ยถาม น
แสงอรุณแรกสาดส่องผ่านบานหน้าต่าง ลำแสงสีทองกระทบใบหน้าของจางอี้หมิง เขาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย แต่เมื่อขยับตัวจึงพบว่า…“พื้นหน้าประตูบ้าน... ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้?”เขากวาดสายตามองรอบๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้ ศิษย์พี่เจียงเยว่ บุกมายึดเตียงของเขาและบังคับให้เขานอนเฝ้าประตูแทน“ช่างไร้น้ำใจเสียจริง! แย่งที่นอนข้าแล้วยังไม่คิดจะปลุกกันบ้างเลย”จางอี้หมิงบ่นอุบอิบพร้อมทั้งลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เส้นผมยุ่งเหยิง เขาขยี้ตาเบาๆ แล้วหันไปมองเตียงนอน…เตียงว่างเปล่า ไม่มีเงาของศิษย์พี่เจียงเยว่“ไว้วันหนึ่งท่านร่วมเตียงกับข้าเมื่อไหร่ ข้าจะปลุกขึ้นมาเสพสุขแต่เช้า”แม้จะบ่น แต่ใบหน้าของจางอี้หมิงกลับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อยจากนั้น จางอี้หมิงก็จัดการตัวเอง ล้างหน้า แปรงฟัน และเปลี่ยนชุดเรียบร้อย จางอี้หมิงเดินทอดน่องไปยังลานฝึกเบื้องล่างของสำนักวันนี้ก็เหมือนทุกวัน ไม่มีอันใดพิเศษเขาเข้าร่วมชั้นเรียนอย่างขอไปที ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ยังคงแสร้งทำเป็นตั้งใจต่อหน้าผู้สอนระหว่างพักการฝึก…
กริ๊ง!กริ๊ง!กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังขึ้น ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัด ถัวเค่อชีสะดุ้งตื่น ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เป็นเพราะแรงบางอย่างที่กำลังเรียกหาเขาวาบ!แสงสีม่วงสว่างวาบขึ้นตรงกลางหน้าผากของถัวเค่อชีลูกตาดำของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นราวกับวิญญาณไร้ชีวิต ก่อนจะค่อยๆ กลับคืนสู่สีดำ เสียงกระดิ่งยังคงดังต่อเนื่อง ดังก้องเข้าไปในห้วงจิตใจของเขากริ๊ง!อึก...!ถัวเค่อชีขบกรามแน่น พยายามดึงสติกลับคืนมา เขากุมศีรษะ ใช้กำปั้นทุบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ออกไป! ข้าไม่ต้องการเจ้า!”ถัวเค่อชียังคงทุกข์ทรมาน แต่แล้ว…เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเขา“จงลืมตาขึ้น... ความแข็งแกร่งที่แท้จริงกำลังรอเจ้าอยู่…”ดวงตาของถัวเค่อชีสั่นไหว มือของเขาสั่นระริก เสียงกระดิ่งยังคงดังไม่หยุด“เจ้าจำไม่ได้เหรอ... ว่าจางอี้หมิงน่าแค้นใจเพียงไร?”ทันใดนั้น ภาพแห่งความทรงจำในอดีตก็ไหลทะลักเข้ามาในหัวของเขาสิบปีก่อน…เด็กชายวัยสิบขวบเดินทางมาย
จางอี้หมิงเดินทางมาถึงบ้านของศิษย์พี่เฉินเจิ้ง บ้านของเฉินเจิ้งเต็มไปด้วยเศษโลหะกระจัดกระจายทั่วบริเวณ บางชิ้นเป็นแผ่นเหล็ก บางชิ้นเป็นเศษดาบที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และบางชิ้นก็เป็นเพียงเศษเหล็กที่ขึ้นสนิมไปแล้ว ที่หน้าบ้านมีเตาหลอมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ เปลวไฟที่มอดลงไปแล้วทำให้รู้ว่าเฉินเจิ้งคงเพิ่งทำงานเสร็จไม่นานจางอี้หมิงมองสภาพบ้านแล้วอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “เพ่ย! ศิษย์พี่เฉินเจิ้ง ช่างโสโครกยิ่งนัก!”ทันใดนั้น เสียงจากในบ้านก็ดังขึ้นมาทันที “เจ้าพูดอะไรข้าได้ยินนะ!”จางอี้หมิงยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าตั้งใจให้ท่านได้ยิน” แล้วเดินเข้าไปในบ้านภายในบ้านรกไม่แพ้ด้านนอก หากแต่สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในนี้ไม่ใช่เศษโลหะ แต่เป็นกองหนังสือที่กองระเกะระกะจนแทบไม่มีทางเดิน พื้นบางส่วนมีรอยหมึกเปรอะเปื้อน บางจุดมีม้วนตำราวางซ้อนกันจนสูงท่วมหัวเฉินเจิ้งคือผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ค้อนและหลอมโลหะ แถมยังเป็นผู้ชำนาญการอ่านตำราตอนกลางวันเขามักหมกมุ่นอยู่กับเตาหลอมโลหะ ส่วนกลางคืนจะหมกมุ่นอยู่กับตำราในบ้านจางอี้หมิงลัดเ
วันนี้เหล่าศิษย์ระดับศูนย์ ซึ่งเป็นระดับฐานของสำนักเทียนหยาง ต้องกลับสู่การฝึกฝนอีกครั้งจางอี้หมิงเดินผ่านประตูห้องเรียนเข้ามาด้วยท่าทางผ่อนคลาย สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับสองดรุณีงามหลินหนิงและหวงจื่อรั่ว สองสาวที่งามหยดย้อยในอาภรณ์ที่สะอาดตาแต่แนบเน้นรูปร่างพองาม สัดส่วนอ่อนช้อยของพวกนางช่างเย้ายวนจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง พลางโบกพัดในมือราวกับเป็นบัณฑิตเจ้าสำราญ แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาพวกนางอย่างไม่เร่งรีบทว่า ก่อนที่เขาจะไปถึงเป้าหมาย ชายหนุ่มสองคนก็ขวางทางไว้ คนหนึ่งแซ่หม่า อีกคนแซ่เจียง ทั้งสองเป็นสมุนของซุนสีห่าว บุตรชายของขุนนางใหญ่ แต่กลับเป็นคุณชายไม่เอาไหน ที่ฟ้าดินกลั่นแกล้งให้มาเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของน้องสาวจางอี้หมิงสมุนทั้งสองของซุนสีห่าวกอดอก ยืดอกทำท่าโอหัง ก่อนที่ผู้แซ่หม่าจะชี้นิ้วมาที่จางอี้หมิง“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” ผู้แซ่หม่ากล่าวเสียงดัง “วันนี้พวกข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าจากเหตุการณ์วันนั้น ที่เจ้าทำให้พวกข้าอับอายที่หน้าสำนักบ่อนเบี้ย!”จางอี้หมิงเหลือบตามองพวกเขาเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความเฉยเมย ก่อนจ
เช้าของวันใหม่ วันนี้เป็นวันที่ต้องเดินทางกลับสำนักเทียนหยางเพื่อไปฝึกฝนวิชาต่อ เหล่าศิษย์ระดับล่างที่หยุดผักผ่อนด้านนอก จะต้องกลับไปยังสำนักความจริงแล้วแม้ว่าจางอี้หมิงจะเป็นศิษย์ระดับสูง แต่ก็ต้องปฏิบัติถามกฎนี้ด้วยเช่นกัน เว้นแต่ว่าจะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจด้านนอก ก็สามารถแวะพักผ่อนตามทางได้เช่นกัน ขอแค่ภารกิจไม่เสียหายอาจจะมีบางครั้งที่เขาหรือศิษย์แอบหนีเที่ยวออกมา ซึ่งทางสำนักก็หลับตาข้างเดียวอนุโลมให้ หากหลบมาเพียงแค่คืนเดียว เพราะเป็นที่รู้กันว่าเป็นการออกไปหาความสุขชั่วคราวเท่านั้นจางอี้หมิง และ หวงจื่อรั่ว ควบม้าคู่กันออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน สายลมยามเช้าพัดจางๆ เย็นสบายยิ่งนัก ท้องฟ้าสีครามสดใส อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การเดินทางทั้งสองคนควบม้าเคียงกัน จางอี้หมิงมีธัญพืชขบเคียวตลอดทาง ส่วนหวงจื่อรั่วรักษาท่าทีได้ดี จนกระทั่งออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน เมื่อถึงบริเวณเขตชั้นนอก พวกเขาพบ แม่นางหลินหนิง กำลังยืนรออยู่ข้างทาง หลินหนิงทักทายทั้งสองก่อนจะขี่ม้าเดินต
เมื่อจางอี้หมิงก้าวเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และเครื่องหอม ลอยอบอวลในอากาศ เทียนไขบนโต๊ะเล็กส่องแสงวูบไหวเป็นประกายอ่อนโยน เงาสะท้อนของเปลวไฟเต้นระยิบระยับบนผ้าม่านโปร่งบาง ราวกับกำลังเต้นรำอยู่ในค่ำคืนที่เงียบสงบกลางห้อง มีร่างของดรุณีสาวผู้หนึ่ง ในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ เนื้อผ้าบางเบาพริ้วไหวไปตามลมอ่อน ซงเอ๋อร์ สาวใช้คู่ใจและว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง หันกลับมามองเขาแววตาอ่อนโยนคู่นั้นเต็มไปด้วยความใส่ใจ แก้มของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ ราวกับกลีบดอกท้อแรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ“คุณชายฝึกซ้อมเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ?” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ข้าจัดเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้ท่านแล้ว”จางอี้หมิงยิ้มบางๆ สายตาคมคายทอดมองหญิงสาวตรงหน้า “เจ้าช่างดีเหลือเกิน” เขากล่าวเบาๆซงเอ๋อร์เดินเข้ามาใกล้ นางช่วยปลดเสื้อคลุมของเขาออกอย่างนุ่มนวล มือเรียวของนางสัมผัสโดนปลายแขนของเขาเพียงแผ่วเบาทว่ากลับทำให้หัวใจของจางอี้หมิงเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัวหลังจากปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกแล้ว เขาก้าวลงไปในอ่างไม้ขนาดใหญ่ ไอน้ำอุ่นโอบล้อมร่างกายช่างผ่อนคลา
“พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย! ไอ้โรคจิตนี่จะขืนใจข้า!”“หา!?” จางอี้หมิงขมวดคิ้วทันใดนั้น ซุนสีห่าวที่กำลังวิ่งมาตามมา ก็ชะงักฝีเท้ากะทันหัน เมื่อเห็น ใบหน้าของจางอี้หมิงจากนั้น เข่าทรุดลงแทบพื้น!“พี่เขย!!”“...”“ข้าเคยล่วงเกินท่าน โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิด!!!”จางอี้หมิงกระพริบตาสองสามที ก่อนจะหันไปมองน้องสาวที่ยังยืนหลบอยู่ด้านหลังเขา จากนั้นรีบคว้ามือจางหลันซือขึ้นรถม้า แล้วควบรถม้าออกไปทันที!!เมื่อรถม้ากลับมาถึง จวนสกุลจาง จางหลันซือถอดปิ่นปักผมออก ผมสยายกระทบแสงอาทิตย์งดงาม ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ“เกิดอะไรขึ้น?”
ภายในห้องอาหารของจวนสกุลจาง ทุกคนในครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา จางส่วง ผู้เป็นบิดา นั่งอยู่หัวโต๊ะ ด้านข้างมี หลี่เอ้อเหมียว ภรรยาของเขาและเป็นมารดาเลี้ยงของ จางอี้หมิง ส่วน จางหลันซือ บุตรีของหลี่เอ้อเหมียว และ จางอี้หมิง พี่ชายต่างมารดา ก็นั่งร่วมโต๊ะพร้อมกันบรรยากาศเป็นไปอย่างสงบ ทุกคนเพลิดเพลินกับอาหารถูกจัดเตรียมมาอย่างดีจางอี้หมิงคีบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งอย่างใจเย็น และสูดกลิ่นหอมของอาหารเบาๆ ขณะที่หลี่เอ้อเหมียวรินน้ำชาให้สามีจางหลันซือที่เงียบมานานจ้องมองพี่ชายต่างมารดาของตน ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“พี่ใหญ่มีเรื่องใดสารภาพหรือไม่?”จางอี้หมิงชะงักมือที่กำลังคีบอาหาร ดวงตาคมเข้มเหลือบมองน้องสาวแล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจหลี่เอ้อเหมียววางกาน้ำชาลงแล้วหันมามองด้วยความสนใจ ขณะที่ จางส่วง ผู้เป็นบิดา ชะงักไปเพียงอึดใจ ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังแล้วกล่าวขึ้น“เจ้าไปทำนางคณิกาคนใดท้อง?”เสียงคำถามนั้นทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่พลันชะงักไปชั่วขณะ แม้แต่นางรับใช้ที่กำลังรินน้ำแกงยังเผลอมือสั่นเล็กน้อยจางอี้หมิงถอนหายใจแล้