Home / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 7 บทลงโทษจากสำนัก

Share

บทที่ 7 บทลงโทษจากสำนัก

จางอี้หมิง ค่อยๆ ก้าวลงสู่อ่างอาบน้ำร้อนภายในห้องส่วนตัวของสำนักสังคีต ไอน้ำลอยขึ้นคลอเคล้ากับแสงตะเกียงที่ส่องสว่างเบาๆ เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง และรอยแผลเป็นเด่นชัดกลางหน้าอก

หญิงสา วสองนางในชุดบางเบาท่อนบนกำลังขัดถูร่างกายของเขาด้วยมือที่นุ่มนวลและระมัดระวัง ในขณะที่อีกคนบีบนวดไหล่และต้นแขนให้เขาอย่างอ่อนโยน

เสียงประตูเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็น แม่นางฉีเหอ ในอาภรณ์สีแดงสดที่บางเบา เปิดเผยสัดส่วนอันงดงามและเย้ายวน เธอเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ดวงตาคมจับจ้องมาที่จางอี้หมิง

“พวกเจ้าออกไปก่อน” แม่นางฉีเหอเอ่ยเสียงนุ่ม หญิงสาวสองคนก้มหัวรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ

แม่นางฉีเหอนั่งลงข้างอ่าง รินสุราในถ้วยหยกส่งให้เขาด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเสี่ยวจาง สุรานี้เป็นของพิเศษที่ข้าเก็บไว้เพื่อแขกคนสำคัญ โปรดดื่มเพื่อให้ข้ามีเกียรติ”

จางอี้หมิงรับถ้วยสุราด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะดื่มจนหมดในคำเดียว “เป็นเกียรติอย่างยิ่ง แม่นางฉีเหอ”

แม่นางฉีเหอลงมาแช่น้ำในอ่างข้างๆ เขา น้ำในอ่างทำให้ชุดสีแดงที่นางใส่ยิ่งแนบเนื้อ เผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าที่น่าหลงใหล

“ข้าประทับใจในอักษรของท่านยิ่งนัก ไม่เคยมีใครทำให้ข้าหยุดมองได้เช่นนี้” นางเอ่ยชม

“แค่ลายมือธรรมดา ไม่สมควรให้แม่นางกล่าวเกินจริงเช่นนั้น” จางอี้หมิงตอบกลับด้วยท่าทีสุภาพ

แม่นางฉีเหอยื่นมือเรียวลูบไล้กล้ามเนื้อแกร่งของเขา ก่อนจะมองรอยแผลเป็นกลางอกด้วยความสนใจ “รอยแผลนี้... เกิดขึ้นได้อย่างไร?”

จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ “เป็นรอยจากการปะทะกับโจรภูเขาที่ข้าไปปราบ”

นางหัวเราะเบาๆ กับคำตอบ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมเชิญเขาไปยังเตียง

เมื่อถึงเตียง ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้ง แม่นางฉีเหอเอนตัวเข้ามาใกล้ แต่ทันใดนั้นเอง นางกลับฟุบหลับลงอย่างกะทันหัน

จางอี้หมิงตกใจเล็กน้อย เขาพยายามปลุกนาง แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่ตื่น เมื่อเดินออกไปดูที่หน้าห้อง ก็พบว่าหญิงสาวคนอื่นๆ ในสำนักสังคีตก็ล้มหลับไปเช่นกัน

เขาขมวดคิ้วทันที “นี่มัน... เวทจันทราของศิษย์พี่เจียงเยว่แน่นอน”

ยังไม่ทันตั้งตัว เชือกเวทสีทองก็ปรากฏขึ้นรัดตัวเขาแน่น ก่อนดึงตัวเขาออกจากสำนักสังคีตอย่างรวดเร็ว เมื่อออกมาถึงลานกว้าง เขาเห็น ซ่งอิน ถูกจับนั่งรออยู่ในสภาพหมดสภาพ

ที่เบื้องหน้าเขา เจียงเยว่ ยืนด้วยท่าทีเย็นชา ร่างของนางงดงามในชุดคลุมสีเหลืองนวลที่สะท้อนแสงจันทร์ แต่สายตาของนางกลับเต็มไปด้วยความกดดัน

“ศิษย์น้องจาง เจ้าช่างกล้าหาญยิ่งนัก ทั้งขายตำราติวสอบ ทั้งเที่ยวหอคณิกา ไม่อายต่อหน้าที่ของผู้ฝึกตนบ้างหรือ?”

จางอี้หมิงเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่าตนไม่มีทางหนี เขาจึงตัดสินใจแกล้งฟุบหลับทันที พลางพึมพำเบาๆ “ข้าเมา... ข้าไม่รู้เรื่อง…”

ซ่งอินที่นั่งอยู่ไม่ไกลได้แต่มองเขาแล้วก็แกล้งหลับไปเช่นกัน

จางอี้หมิงถูกจับมัดตรึงไว้บนแท่นเหล็กกล้าในห้องมืด มือนั้นถูกตรึงกางออก ขาทั้งสองข้างถูกล็อกแน่นหนา เขายังพยายามพูดแก้ตัว แต่ถูกขัดด้วยน้ำเสียงเย็นชาของ เจียงเยว่

“เจ้าอย่าพยายามพูดอะไรทั้งนั้น นี่คือการลงโทษที่ข้าจะมอบให้เจ้า”

เจียงเยว่ใช้มือเรียวจับศีรษะของเขาเบาๆ จากนั้นเอ่ยเสียงเย็น “จงหลับซะ…”

นางใช้ เวทจันทรา ส่งให้จางอี้หมิงเข้าสู่สภาวะหลับใหล นางก้มลงกระซิบข้างหูของเขา “ข้าจะให้เจ้าฝันในสิ่งที่เจ้าปรารถนา จากนั้นข้าจะทำลายมันลง ข้าจะให้เจ้ารู้จักกับความทรมานของฝันร้าย”

จากนั้นเจียงเยว่เข้าสู่ห้วงความฝันของเขา ภายในความฝันนางเห็นภาพ จางอี้หมิง กำลังพลอดรักกับสตรีงดงามผู้หนึ่ง ทั้งสองกอดจูบกันอย่างดูดดื่ม

เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คงไม่พ้นสตรีในสำนักสังคีตสินะ” นางพึมพำ ก่อนจะเดินเข้าไปดูใบหน้าของสตรีในฝันนั้นใกล้ๆ

แต่เมื่อมองชัดๆ ใบหน้าของสตรีกลับเป็น ตัวของนางเอง

ดวงตาของเจียงเยว่เบิกกว้าง ความรู้สึกอายพุ่งพล่าน นางพึมพำเสียงเบา “เจ้าลูกเต่าน้อย! ต่ำช้ายิ่งนัก!” ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความเขินอาย

เจียงเยว่พยายามรวบรวมสมาธิเพื่อทำลายภาพฝันนี้ให้กลายเป็นฝันร้าย แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ภาพของตัวนางและจางอี้หมิงกลับยิ่งชัดเจนเช่นเดิม

ทันใดนั้น เจียงเยว่สังเกตเห็นตัวอักษรเวทที่ลอยอยู่ในมุมหนึ่งของห้วงความฝัน ตัวอักษรเหล่านั้นเขียนว่า “ฝันลวง”

นางสะดุ้งเล็กน้อยและตระหนักทันทีว่านี่คือ ยันต์เวทอักษรที่จางอี้หมิงเขียนไว้ก่อนที่เขาจะบาดเจ็บ ซึ่งทำให้ความฝันนี้ไม่ใช่ความปรารถนาที่แท้จริง แต่เป็นกับดักที่เขาวางไว้เมื่อนานมาแล้ว

จางอี้หมิงถูกเจียงเยว่ใช้เวทจันทราใส่บ่อยจึงเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่ก่อนบาดเจ็บสาหัส

“เจ้าเล่ห์นัก!” 

เจียงเยว่ถอนตัวออกจากห้วงความฝันทันที

เมื่อกลับมายังโลกจริง นางยืนมองจางอี้หมิงที่ยังหลับอยู่ ใบหน้ายิ้มอ่อนๆ ของเขาทำให้นางใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้

“มารดามันเถอะ!...ในฝันต่ำช้าของเจ้าเหตุใดมีใบหน้าข้าติดอยู่!” นางบ่นพึมพำก่อนจะยกถังน้ำขึ้นมาสาดใส่เขาเต็มแรง

จางอี้หมิงสะดุ้งตื่นทันที เขาสบตากับเจียงเยว่ที่ยืนเท้าเอวด้วยใบหน้าแดงก่ำ เขายิ้มอ่อนๆ แล้วกล่าวอย่างล้อเลียน “ศิษย์พี่ ท่านทำอะไรของท่าน ข้ากำลังฝันดี”

เจียงเยว่ไม่ตอบอะไร แต่ยกเท้าถีบเขาเบาๆ ก่อนเดินออกจากห้องไปด้วยความขุ่นเคืองและเขินอายในคราวเดียวกัน

“กลับมาปล่อยข้าก่อน”

ยามเช้า ฟ่านหวง ศิษย์พี่บุรุษรูปงามผู้มีอัธยาศัยดีเดินเข้ามายังคุกใต้สำนักเพื่อปล่อยตัว จางอี้หมิง ที่ยังถูกตรึงอยู่ที่เดิม

“ศิษย์น้อง เจ้าออกมาได้แล้ว” ศิษย์พี่ฟ่านหวงกล่าวพร้อมไขประตูเหล็ก

จางอี้หมิงลุกขึ้นมาปัดฝุ่นออกจากเสื้อคลุม ก่อนเอ่ยล้อเล่น “ศิษย์พี่ฟ่านหวง ท่านจะช่วยปล่อยตัวข้าหรือมาลงโทษซ้ำ?”

ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ “ข้าช่วยเจ้าออกมานี่แหละ แต่ว่า... เจียงเยว่ดูแปลกๆ ตั้งแต่เช้า นางเก็บตัวอยู่ที่น้ำตก ไม่พูดจากับใคร เจ้ารู้เรื่องหรือไม่?”

จางอี้หมิงทำหน้าตาไร้เดียงสา “ข้าไม่รู้เรื่องเลยสักนิด ศิษย์พี่ เจียงเยว่ลงโทษข้าจนหมดสภาพ เจ้าคิดว่าข้ายังกล้าก่อเรื่องอีกหรือ?”

ฟ่านหวงมองเขาด้วยสายตาไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ

เมื่อเดินออกมาจากคุก จางอี้หมิงพบกับศิษย์พี่ระดับ 7 สองคนที่ยืนรออยู่หน้าทางเดิน

เฉินเจิ้ง ชายร่างท้วมท่าทางใจดี กล่าวขึ้นก่อน “ศิษย์น้องจาง อาจารย์สั่งให้เจ้าไปเป็นผู้สังเกตการณ์การสอบคัดเลือกผู้เข้าสำนักในปีนี้”

ฟางหรง สตรีงดงามที่มีท่าทางสง่างาม ยืนอยู่ข้างเฉินเจิ้ง ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวเสริม “นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเจ้า จะได้เห็นหน้าว่าที่เพื่อนร่วมชั้นเรียน”

จางอี้หมิงยิ้มรับพลางยกมือคารวะ “ข้ารับคำสั่งแล้ว ศิษย์พี่ทั้งสอง”

ฟางหรงมองไปรอบๆ แล้วถามทุกคน “ว่าแต่... เจียงเยว่อยู่ที่ใด? นางไม่เห็นปรากฏตัวเลยตั้งแต่เช้า”

ฟ่านหวงตอบพลางยักไหล่ “ได้ข่าวว่านางปิดวาจาอยู่ที่น้ำตก ดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่”

ฟางหรงได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เช่นนั้นข้าขอตัวไปหานางก่อน พวกเจ้าก็เตรียมตัวสำหรับงานสอบให้ดี”

นางกล่าวจบก็หมุนตัวจากไปอย่างสง่างาม ทิ้งให้จางอี้หมิงมองตามพลางคิดในใจว่า “ความจริงศิษย์พี่หญิงฟางหรงก็งดงาม แต่หุ่นทรวดทรงยังไม่เย้ายวนเท่าศิษย์พี่เยว่ ช่างเถอะ ข้าขอมีศิษย์พี่คนนึงไว้กราบไหว้ อีกคนเป็นภรรยาก็เพียงพอ หากมีสาวใช้คนงามของข้าอีกคนเป็นภรรยาด้วยก็ดียิ่ง”

แต่เขาก็รีบสลัดความคิดนั้นทิ้งและเดินไปเตรียมตัวสำหรับทำหน้าที่ทันที

ฟางหรง เดินมาถึงน้ำตกอันเงียบสงบ เห็น เจียงเยว่ นั่งสมาธิอยู่ใต้น้ำตกกระแสน้ำที่หล่นกระแทกร่างกายนางจนเสื้อผ้าบางแนบเนื้อ เผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้า โดยเฉพาะส่วนอกที่นูนเด่นจนทำให้ฟางหรงเผลอคิดเปรียบเทียบกับตัวเอง

ฟางหรงเดินเข้าไปใกล้พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ศิษย์น้องเจียงเยว่ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

เจียงเยว่นิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้น น้ำในแอ่งตกกระทบใบหน้าของนางดูชุ่มชื้นและงดงามยิ่งนัก “ข้ามานั่งสงบสติ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เจ้าสุนัขนั่น ทำให้ข้าต้องเห็นความฝันอันหยาบช้าของมัน”

ฟางหรงหัวเราะเบาๆ แต่ไม่พูดอะไร

เจียงเยว่ถอนหายใจแล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้ารู้สึกว่ายันต์เวทอักษรของเจ้าสุนัขนั่นที่เขียนไว้ก่อนเจ็บยังสามารถใช้งานได้ อาจช่วยฟื้นพลังให้เจ้านั่นได้ในอนาคต”

ฟางหรงยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นห่วงเขาหรือ?”

เจียงเยว่ขมวดคิ้วแล้วรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่เรื่องนั้น ข้าก็แค่... มันเป็นสิ่งที่ศิษย์ร่วมสำนักควรมีต่อกันเท่านั้น” นางตอบพลางหันหน้าหนี

ฟางหรงยังคงยิ้มอย่างรู้ทัน “เช่นนั้นข้าจะไปแจ้งเรื่องนี้ให้อาจารย์ทราบ เผื่อว่าท่านอาจารย์จะมีวิธีช่วยเหลือเจ้าสุนัขเสี่ยวอี้ของเจ้าได้เร็วขึ้น”

เจียงเยว่ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ฟางหรงก็ไม่รอฟัง นางหันหลังเดินจากไปก่อนจะเอ่ยทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ศิษย์น้องเจียงเยว่ รีบขึ้นจากน้ำเถอะ ถ้านั่งนานไปเจ้าจะป่วยเอาได้”

เจียงเยว่ได้แต่นั่งนิ่ง ถอนหายใจลึก “มันเป็นของข้าเมื่อไหร่กัน”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 8 การปรับสมดุลของผู้สูญเสียพลังปราณ

    ในยามค่ำคืนก่อนวันสอบ จางอี้หมิงนอนหลับอยู่ในห้องพักเรียบง่าย แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างลงบนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของเขา ท่ามกลางความเงียบสงัด ความฝันได้พาเขาย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่เขาแทบจะลืมเลือนไปแล้วในความฝันนั้น เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กกำลังวิ่งเล่นในสวนดอกไม้กับมารดาผู้ให้กำเนิด ใบหน้าของนางอ่อนโยนและงดงามยิ่งนัก เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังขึ้นท่ามกลางสายลมเบาๆ ขณะนั้นบิดาของเขานั่งมองอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของบิดาเต็มไปด้วยความภูมิใจและอบอุ่นแต่แล้วภาพแห่งความสุขก็เลือนหายไป กลายเป็นภาพงานศพของมารดา เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กนั่งร้องไห้เสียงดัง สองแขนโอบร่างไร้วิญญาณของนางไว้แน่น ภาพนี้แทงลึกลงในจิตใจของเขาเหมือนหอกที่ทิ่มแทงไม่จบสิ้นจากนั้นความฝันเปลี่ยนไปเป็นภาพช่วงเวลาที่เขาเติบโต ฝึกฝนวิชาอย่างหนัก ภาพหอกเล่มหนึ่งพุ่งใส่เขาในสนามประลองและเขาต่อสู้กลับอย่างดุดัน ภาพเหล่านี้วนเวียนไปมาราวกับต้องการตอกย้ำอดีตของเขา

    Last Updated : 2025-02-02
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 9 วันแรกของการทดสอบ

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง จางอี้หมิงเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เขาเดินตรงไปที่โต๊ะตัวสุดท้ายตามธรรมเนียม เนื่องจากเขาเป็นศิษย์คนเล็กของเจ้าสำนักเมื่อเขานั่งลงได้ไม่นาน ศิษย์พี่ฟางหรง ก็เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำชากาหนึ่ง วางลงตรงหน้าเขา พลางกล่าวสั้นๆ ว่า “ใกล้ได้เวลาแล้ว” ก่อนจะเดินจากไปจางอี้หมิงมองตามศิษย์พี่ฟางหรง พลางชื่นชมรูปร่างเพรียวบางของนางที่ดูงดงามอย่างไร้ที่ติ เมื่อฟางหรงนั่งลงตรงมุมหนึ่งของห้อง เขาเห็นใบหน้างดงามราวเทพธิดาของนางชัดเจนยิ่งขึ้น“งดงามยิ่งนัก” จางอี้หมิงนึกในใจจู่ๆ ฟางหรงหันมาสบตาเขาด้วยสายตาแฝงความสงสัย จางอี้หมิงรีบส่ายหน้าพลางสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป“ศิษย์พี่ฟางหรงสูงส่งและห่างไกลเกินไป นางไม่มีทางสละพรหมจรรย์ให้ข้าแน่”จางอี้หมิงยอมรับในใจว่าไม่คู

    Last Updated : 2025-02-08
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 10 เดิมพันแห่งภวังค์

    ภายในห้องประชุมของชั้นเก้า บรรยากาศเงียบสงบ ศิษย์ระดับสูงและเจ้าสำนักต่างจับจ้องภาพจากคันฉ่องวิเศษที่ฉายให้เห็นการทดสอบด้านล่าง จางอี้หมิง ที่กำลังครึ้มอกครึ้มใจได้เอ่ยขึ้นมาว่า "ท่านศิษย์พี่ฟ่านหวง ข้าขอเดิมพันว่า ผู้ที่หลุดจากภวังค์คนแรกจะเป็นสตรี ท่านว่าอย่างไร?"ฟ่านหวง หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าว่าจะต้องเป็นบุรุษ หากข้าผิด ข้ายินดีวาง 20 อีแปะเป็นเดิมพัน”จางอี้หมิงหัวเราะพลางโยนเหรียญ 20 อีแปะลงบนโต๊ะ “เช่นนั้นข้าขอพนันว่าเป็นสตรี!”เจียงเยว่ ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ทำหน้าหงุดหงิดพลางกล่าวลอยๆ “ไร้สาระนัก!”เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ยิ้มขำพลางโบกมือให้สงบ “ตั้งใจดูกันหน่อย!”เบื้องล่าง ผู้เข้าสอบทั้งหลายต่างตกอยู่ในภวังค์แห่ง เพลงพฤกษาเหมันต์สะท้านจันทรา ของศิษย์พี่ชิงซิ่ว ภาพต่างๆ ในใจของพวกเขาค่อยๆ ฉายออกมา รวมถึงหล

    Last Updated : 2025-02-09
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 11 ผู้สอบผ่านแห่งเพลงสะกดใจ

    หวงจื่อรั่วค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อมองไปรอบๆ ทุกคนยังคงยืนนิ่ง หลับตาอยู่ในภวังค์ หวงจื่อรั่วสังเกตว่าตัวนางเป็นคนเดียวที่หลุดออกมาก่อน“เหตุใดข้าถึงหลุดออกมาก่อน บทเพลงยังคงบรรเลง นี่เป็นการทดสอบอะไรกัน ข้าผ่านแล้วงั้นหรือ”หวงจื่อรั่วหันไปมองหลินหนิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และยังคงหลับตาแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน“หลินหนิง!” หวงจื่อรั่วรีบก้าวเข้าไปใกล้ นางเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆหลินหนิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เสียงสะอื้นเล็กๆ ดังออกมาจากริมฝีปากของนาง ดวงตาของหลินหนิงเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอหน่วย ก่อนจะไหลรินลงมาอย่างเงียบงัน นางก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อของตัวเองแน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้น“เจ้าเป็นอะไร?” หวงจื่อรั่วถามหลินหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนตอบเสียงสั่นเครือ “ในภวังค์… ข

    Last Updated : 2025-02-15
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 12 ยาฟื้นฟูร่างกายไม่ใช่ปรับสมดุลพลัง

    เมื่อการสอบสิ้นสุดลง จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่ในห้องประชุม จากนั้นศิษย์พี่ฟางหรงในชุดยาวปักลวดลายประณีต รูปร่างโปร่งบาง งดงามราวกับภาพวาดบนม้วนกระดาษโบราณ ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิฟางหรงหันมาทางจางอี้หมิง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่มีเสน่ห์ “จางอี้หมิง เดี๋ยวเจ้าตามข้ามา ข้ามียาฟื้นฟูที่บ่มไว้นานแล้ว คาดว่าน่าจะเสร็จพอดี เดี๋ยวเจ้าไปเอายาที่บ้านข้า”จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขามองศิษย์พี่ฟางหรงด้วยสายตาชื่นชม ก่อนพึมพำในใจว่า "ศิษย์พี่ฟางหรงของข้าผู้นี้ มองยังไงก็งดงาม น่าจะงามสุดในสำนักแล้ว"เขาลุกขึ้นยืน ยิ้มพลางตอบนาง “ขอบคุณศิษย์พี่ฟางหรง ข้าจะรีบไปตามคำสั่งของท่าน”ฟางหรง ผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์การรักษาและฟื้นฟู เป็นหนึ่งในศิษ

    Last Updated : 2025-02-16
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 13 วันเปิดการศึกษาของศิษย์หน้าใหม่

    วันที่สำนักเทียนหยางกลับมาเปิดการฝึกฝนใหม่อีกครั้ง ยามนี้ศิษย์ระดับสูงอย่างชิงซิ่วและลิ่วเฉียงที่อยู่ในระดับแปดซึ่งตอนนี้ก็ต่างแยกย้ายกันไปเก็บตัวเพื่อฝึกฝนพลังปราณให้แข็งแกร่งกว่าเดิม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครจะทะลวงเข้าสู่ระดับเก้าก่อนกัน ฟางหรงคนงามตอนนี้ก็ออกเดินทางไปรวบรวมสมุนไพรที่เหลืออยู่อีกสิบเจ็ดชนิด เมื่อมีเหตุด่วนเหตุร้ายเมื่อไหร่จึงค่อยกลับมายังสำนักเทียนหยาง ส่วนเรื่องการฟื้นฟูรักษาก็เป็นหน้าที่ของศิษย์สายตรงของนางที่รับไว้ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในระดับสองและระดับหนึ่งเป็นผู้ดูแลศิษย์ที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วย ในเวลานี้ศิษย์ระดับเจ็ดอย่างเฉินเจิ้งเป็นผู้มีระดับปราณสูงสุดในสำนักส่วนเจ้าสำนักกู่เจิ้งไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน หากเขาอยากมาก็จะมาเอง

    Last Updated : 2025-03-01
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 14 ด้ามพัดอันเร้าร้อน

    จางอี้หมิงมองตามถัวเค่อชีผู้นั้น เขารู้ดีว่าศิษย์ระดับสามผู้นั้นริษยาเขามาตลอด เหตุที่อายุเท่ากัน แต่จางอี้หมิงเข้าสำนักก่อน ได้เป็นศิษย์สายตรงของกู่เจิ้ง และทะลวงด่านขึ้นสู่ระดับสูงสำเร็จ แต่ถั่วเค่อชีผู้นั้นทำได้เพียงระดับสามเท่านั้น “หากข้าได้พลังปราณกลับคืนเพียงนิด เจ้าจะเป็นคนแรกที่บิดาจะสั่งสอน!” จางอี้หมิงลอบคิดในใจ ก่อนจะเดินนำหลินหนิงและหวงจื่อรั่วไปเพื่อรับฟังคำชี้แจงจางอี้หมิงยืนข้างหวงจื่อรั่ว ลอบมองใบหน้างดงามหมดจดของนาง ก่อนจะกระซิบกับนางเบาๆ “ที่นี่ศิษย์ระดับศูนย์จะต้องนอนร่วมกัน แต่แบ่งแยกชายหญิง เจ้าควรเลิกปลอมเป็นชายได้แล้ว”หวงจื่อรั่วมองเขาตอบด้วยสายตาเย็นชา “ข้าไม่ได้ปลอม”“เห็นชั

    Last Updated : 2025-03-02
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 15 บทเรียนแรก

    เสียงระฆังดังเป็นสัญญาณเริ่มต้นวันเรียนแรกของเหล่าผู้ฝึกตนหน้าใหม่ ศิษย์ใหม่ต่างทยอยกันเข้ามานั่งประจำโต๊ะกันอย่างเร่งรีบ เนื่องจากเป็นวันแรกที่ไม่มีใครอยากถูกเพ่งเล็งมากนักนี่เป็นสิ่งที่จางอี้หมิงเห็นเป็นประจำในทุกครั้ง แต่หลังจากศิษย์หน้าใหม่เหล่านี้ สามารถจับทิศทางของอาจารย์ผู้สอนได้แล้ว ก็มักจะนอกลู่นอกทางกันบ้างแต่ยังอยู่ในขอบเขตท่ามกลางบรรยากาศของห้องเรียนที่โปร่งโล่ง ผนังแกะสลักลวดลายวิจิตรและหน้าต่างเปิดรับแสง สองดรุณีสาวผู้งดงามเหนือใครในสายตาของจางอี้หมิงรวมถึงสายตาใครอีกหลายคน พลันปรากฏตัวขึ้นในห้องเรียนนี้หลินหนิง ดรุณีสาววัยสิบหก ผู้มีดวงตากลมโตแวววาวเหมือนหยาดน้ำค้าง ผิวขาวอมชมพูเปล่งประกายราวหิมะ นางเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใสที่ทำให้ทั้งห้องเหมือนสว่างขึ้น ข้างกายนางคือ หวงจื่อรั่ว ผู้มีโฉมงามหมดจดราวนางในภาพวาด แต่มักทำหน้านิ่งขรึมจนดูเย็นชา ทั้งสองเลือกโต๊ะคู่อยู่กลางห้อง และนั่งลงอย่างสงบ

    Last Updated : 2025-03-03

Latest chapter

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 47 คมดาบไร้ลมปราณและไร้ปราณี

    ท่ามกลางป่าทึบยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์หรือประกายดาว มีเพียงเสียงลมพัดเอื่อยๆ ราวกับเสียงกระซิบจากธรรมชาติเพียงเท่านั้นถัวเค่อชี ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เรือนผมยุ่งเหยิง เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจากร่องรอยการดิ้นรนทรมานจากฤทธิ์ยา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังแดงก่ำ ราวกับมีเปลวไฟกำลังเผาผลาญจากภายในความเจ็บปวดจากพิษของยาเสริมพลังที่ เชียนหวง มอบให้เขา ตอนนี้ค่อยๆ สลายไปแล้ว“ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า!”เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง ราวกับสายธารปราณที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเขาหลับตา โคจรลมปราณทั่วร่าง และสิ่งที่ค้นพบก็ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย“พลังของข้า... เพิ่มขึ้นแล้ว!”เขาเผยรอยยิ้มสะใจ ก่อนจะกระชากกระบี่ออกจากฝัก แสงเย็นเยียบสะท้อนจากใบกระบี่ เขารวบรวมพลังลงไปในคมดาบ จากนั้นฟาดมันออกไปเต็มแรงฉัวะ!เสียงกระบี่เฉือนอากาศดังก้อง ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เศษไม้ปลิวกระจายไปทั่ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 46 ขอเพียงสามกระบวนท่า

    “หากพวกเจ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าสำนัก จงบอกที่ซ่อนของศิลาเฝิ่นเหิงมาเดี๋ยวนี้!”เสียงของเชียนหวงก้องกังวาน แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกบีบอัดจนหนักอึ้งลิ่วเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิลาเฝิ่นเหิง?”จางอี้หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเคยอ่านเจอในนิยาย ตำนานเซียนไท่ซวิน ไม่คิดว่าจะมีคนที่เชื่อว่าเป็นของจริงด้วย”ลิ่วเฉียงหันไปมองหน้าเชียนหวง ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ไปถามผู้เขียนนิยายสิ!”“หุบปาก!” เชียนหวงตะโกนลั่น ‘ปากแข็งหรือเบาปัญญาก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก!’ รังสีอำมหิตระเบิดออกมาจากร่าง พลังสีดำมืดหม่นหมุนวนไปรอบตัวเขา ราวกับเป็นพายุวิญญาณอาฆาต“เช่นนั้น ข้าคงต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดแล้วค่อยค้นหาด้วยตัวเอง!”ซ่าาา!พลังอาฆาตสีดำแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเชียนหวง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกร้าว เปลวพลังสีดำคุกรุ่นรอบตัวลิ่วเฉียงยังคงยืนสงบนิ่ง มองดูศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะหันไปถามเฉินเจิ้ง “แค่ระดับเจ็ด เจ้าสู้ไม่ได้รึ?”เฉินเจิ้งกำหมัดแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงเจ็บใจ “น่าอ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 45 เมื่อเชียนหวงปรากฏกาย

    สายลมพัดเอื่อย สะบัดผ่านร่างของสองศิษย์พี่น้องที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ่านหวงและเฉินเจิ้งต่างจมอยู่ในสมาธิ โคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อรอบกายเต็มไปด้วยซากอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดิน เศษหิน เสียงลมหายใจของทั้งสองเริ่มกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงชั่วขณะ“ตรวจสอบหาผู้นำพวกมันได้หรือยัง?” เฉินเจิ้งถามเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังฟ่านหวงมองไปรอบๆ “ยัง”เฉินเจิ้งแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ระหว่างที่ข้ากำจัดพวกมัน เจ้าไม่ได้อู้ใช่หรือไม่?”ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “ศิษย์พี่เอ๋ย หากข้าตอบว่าใช่ ท่านจะทำอะไรข้า?”“เจ้ามันตัวบัดซบ กินแรงผู้อื่น!”เสียงหัวเราะของฟ่านหวงดังขึ้น ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำต่อไป บรรยากาศรอบกายพลันเย็นยะเยือกลงจนขนลุกชันวูบบบ!“ศิษย์พี่…ท่านหายเหนื่อยแล้วหรือยัง?”เฉินเจิ้งยืดเส้นยืดสาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็… 5… 4… 3… 2… 1…”วูบบบ!!!

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 44 กระแสทวนแห่งฟ้า

    ทางด้านลานกว้างหน้าหอเทียนหยางจางอี้หมิยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลานกว้างหน้าหอเทียนหยาง ท่ามกลางหมอกฝุ่นและเสียงคำรามของเหล่าอสูรดินเหนียว ดาบในมือของเขาเปื้อนเศษดินและคราบอสูร แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับกระชับแน่น แม้ไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ด้วยร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงและกระบวนท่าอันเฉียบคม เขาก็ยังคงยืนหยัดต้านศัตรูได้อย่างไม่ลดละเมื่ออสูรตนหนึ่งพุ่งเข้ามาทางด้านซ้าย จางอี้หมิงใช้แรงบิดเอว เหวี่ยงดาบออกไปเป็นแนวโค้งคมกริบ ปลายดาบฟันทะลุไหล่อสูรดินเหนียวเสียงดังฉึบ! เศษดินกระจายตัวออกเป็นฝุ่นสีดำ อสูรตัวนั้นเซถลาไปด้านหลังก่อนที่ร่างจะถูกแรงฟันฉีกออกเป็นสองซีก ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ! โฮกกก!!!!เสียงคำรามจากอสูรตัวอื่นดังก้อง มันพุ่งเข้ามารุมล้อมจากทุกทิศทาง จางอี้หมิงย่อกายลงเล็กน้อยก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้า ใช้ดาบแทงทะลุอกของตัวหนึ่ง จากนั้นดึงกลับแล้วฟาดดาบฟันเข้าที่คอของอีกตัว เศษดินและโคล

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 43 ซ่อมม่านพลังป้องกัน

    ศิษย์ระดับสามและศิษย์ระดับต่ำกว่านั้นบางกลุ่มก็ออกไปจัดการกับอสูรดินเหนียวในจุดต่างๆ ถัวเค่อชีเองก็เช่นกัน ที่มีหน้าที่จัดการกับเหล่าอสูรดินเหนียวที่บุกโจมตีสำนักจากนั้นถัวเค่อชีก็แยกตัวออกจากกลุ่มศิษย์ที่กำลังต่อสู้กับอสูรดินเหนียว โดยอ้างว่าจะจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียว ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเรียกหาอยู่กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาท ขณะที่ถัวเค่อชีเดินเข้าไปในเงามืดของป่า เสียงนั้นไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวของเขาเอง และไม่อาจสลัดเสียงเหล่านั้นออกไปจากร่างกายได้แม้แต่น้อยร่างกายของถัวเค่อชีเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกย่างก้าว จนกระทั่งเขามาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีเงาร่มครึ้มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นขึ้นมาจากกลางศีรษะ ทะลวงไปถึงไขสันหลัง ถัวเค่อชีทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมหัวแน่นราวกับจะป้องกันมิให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง ร่างกายสั่นสะท้านจากความทุกข์ทรมาน ดวงตาพร่าเลือน เหมือนมีเงามืดแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ“อ๊ากกก!!”ถัวเค่อชีส่งเสี

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 42 เสริมม่านพลัง

    เจียงเยว่และหลี่เกอซินยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของหอเทียนหยาง สายลมพัดเอื่อย ผมยาวสลวยของทั้งคู่ปลิวไสวไปตามสายลมดวงตาของเจียงเยว่จับจ้องไปยังท้องฟ้า และพื้นเบื้องล่าง ที่มีกองทัพอสูรดินเหนียวเข้ามาไม่พักหลี่เกอซิน ศิษย์น้องผู้ชำนาญวิชาตรวจจับ ยืนนิ่งข้างๆ นางหลับตาลงเล็กน้อย ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ที่อารามทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีปัญหา ทำให้ม่านพลังป้องกันเกิดรอยรั่ว”“แล้วอย่างไร?”“พวกเราต้องไปซ่อมแซมจุดนั้นโดยด่วน เพียงแต่ทางด้านนั้นมีศัตรูเข้ามามากเกินไป ข้าเกรงว่าหากไปตอนนี้จะไม่ปลอดภัย”เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ นางคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “ก่อนอื่นต้องระงับศัตรูไม่ให้เข้ามาชั่วคราว แล้วค่อยเข้าไปซ่อมแซมม่านพลัง”“แล้วควรทำอย่างไรดีศิษย์พี่?”“เจ้ารอที่นี่ก่อน”เจียงเยว่เหลือบตามองลงไปด้านล่าง ราวกับกำลังมองหาบางคน ดวงตาของนางสะท้อนเงาร่างหนึ่งที่กำลังต่อสู้

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status