จางอี้หมิง ค่อยๆ ก้าวลงสู่อ่างอาบน้ำร้อนภายในห้องส่วนตัวของสำนักสังคีต ไอน้ำลอยขึ้นคลอเคล้ากับแสงตะเกียงที่ส่องสว่างเบาๆ เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง และรอยแผลเป็นเด่นชัดกลางหน้าอก
หญิงสา วสองนางในชุดบางเบาท่อนบนกำลังขัดถูร่างกายของเขาด้วยมือที่นุ่มนวลและระมัดระวัง ในขณะที่อีกคนบีบนวดไหล่และต้นแขนให้เขาอย่างอ่อนโยน
เสียงประตูเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็น แม่นางฉีเหอ ในอาภรณ์สีแดงสดที่บางเบา เปิดเผยสัดส่วนอันงดงามและเย้ายวน เธอเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ดวงตาคมจับจ้องมาที่จางอี้หมิง
“พวกเจ้าออกไปก่อน” แม่นางฉีเหอเอ่ยเสียงนุ่ม หญิงสาวสองคนก้มหัวรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ
แม่นางฉีเหอนั่งลงข้างอ่าง รินสุราในถ้วยหยกส่งให้เขาด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเสี่ยวจาง สุรานี้เป็นของพิเศษที่ข้าเก็บไว้เพื่อแขกคนสำคัญ โปรดดื่มเพื่อให้ข้ามีเกียรติ”
จางอี้หมิงรับถ้วยสุราด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะดื่มจนหมดในคำเดียว “เป็นเกียรติอย่างยิ่ง แม่นางฉีเหอ”
แม่นางฉีเหอลงมาแช่น้ำในอ่างข้างๆ เขา น้ำในอ่างทำให้ชุดสีแดงที่นางใส่ยิ่งแนบเนื้อ เผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าที่น่าหลงใหล
“ข้าประทับใจในอักษรของท่านยิ่งนัก ไม่เคยมีใครทำให้ข้าหยุดมองได้เช่นนี้” นางเอ่ยชม
“แค่ลายมือธรรมดา ไม่สมควรให้แม่นางกล่าวเกินจริงเช่นนั้น” จางอี้หมิงตอบกลับด้วยท่าทีสุภาพ
แม่นางฉีเหอยื่นมือเรียวลูบไล้กล้ามเนื้อแกร่งของเขา ก่อนจะมองรอยแผลเป็นกลางอกด้วยความสนใจ “รอยแผลนี้... เกิดขึ้นได้อย่างไร?”
จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ “เป็นรอยจากการปะทะกับโจรภูเขาที่ข้าไปปราบ”
นางหัวเราะเบาๆ กับคำตอบ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมเชิญเขาไปยังเตียง
เมื่อถึงเตียง ทั้งสองสบตากันอย่างลึกซึ้ง แม่นางฉีเหอเอนตัวเข้ามาใกล้ แต่ทันใดนั้นเอง นางกลับฟุบหลับลงอย่างกะทันหัน
จางอี้หมิงตกใจเล็กน้อย เขาพยายามปลุกนาง แต่ไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่ตื่น เมื่อเดินออกไปดูที่หน้าห้อง ก็พบว่าหญิงสาวคนอื่นๆ ในสำนักสังคีตก็ล้มหลับไปเช่นกัน
เขาขมวดคิ้วทันที “นี่มัน... เวทจันทราของศิษย์พี่เจียงเยว่แน่นอน”
ยังไม่ทันตั้งตัว เชือกเวทสีทองก็ปรากฏขึ้นรัดตัวเขาแน่น ก่อนดึงตัวเขาออกจากสำนักสังคีตอย่างรวดเร็ว เมื่อออกมาถึงลานกว้าง เขาเห็น ซ่งอิน ถูกจับนั่งรออยู่ในสภาพหมดสภาพ
ที่เบื้องหน้าเขา เจียงเยว่ ยืนด้วยท่าทีเย็นชา ร่างของนางงดงามในชุดคลุมสีเหลืองนวลที่สะท้อนแสงจันทร์ แต่สายตาของนางกลับเต็มไปด้วยความกดดัน
“ศิษย์น้องจาง เจ้าช่างกล้าหาญยิ่งนัก ทั้งขายตำราติวสอบ ทั้งเที่ยวหอคณิกา ไม่อายต่อหน้าที่ของผู้ฝึกตนบ้างหรือ?”
จางอี้หมิงเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่าตนไม่มีทางหนี เขาจึงตัดสินใจแกล้งฟุบหลับทันที พลางพึมพำเบาๆ “ข้าเมา... ข้าไม่รู้เรื่อง…”
ซ่งอินที่นั่งอยู่ไม่ไกลได้แต่มองเขาแล้วก็แกล้งหลับไปเช่นกัน
จางอี้หมิงถูกจับมัดตรึงไว้บนแท่นเหล็กกล้าในห้องมืด มือนั้นถูกตรึงกางออก ขาทั้งสองข้างถูกล็อกแน่นหนา เขายังพยายามพูดแก้ตัว แต่ถูกขัดด้วยน้ำเสียงเย็นชาของ เจียงเยว่
“เจ้าอย่าพยายามพูดอะไรทั้งนั้น นี่คือการลงโทษที่ข้าจะมอบให้เจ้า”
เจียงเยว่ใช้มือเรียวจับศีรษะของเขาเบาๆ จากนั้นเอ่ยเสียงเย็น “จงหลับซะ…”
นางใช้ เวทจันทรา ส่งให้จางอี้หมิงเข้าสู่สภาวะหลับใหล นางก้มลงกระซิบข้างหูของเขา “ข้าจะให้เจ้าฝันในสิ่งที่เจ้าปรารถนา จากนั้นข้าจะทำลายมันลง ข้าจะให้เจ้ารู้จักกับความทรมานของฝันร้าย”
จากนั้นเจียงเยว่เข้าสู่ห้วงความฝันของเขา ภายในความฝันนางเห็นภาพ จางอี้หมิง กำลังพลอดรักกับสตรีงดงามผู้หนึ่ง ทั้งสองกอดจูบกันอย่างดูดดื่ม
เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คงไม่พ้นสตรีในสำนักสังคีตสินะ” นางพึมพำ ก่อนจะเดินเข้าไปดูใบหน้าของสตรีในฝันนั้นใกล้ๆ
แต่เมื่อมองชัดๆ ใบหน้าของสตรีกลับเป็น ตัวของนางเอง
ดวงตาของเจียงเยว่เบิกกว้าง ความรู้สึกอายพุ่งพล่าน นางพึมพำเสียงเบา “เจ้าลูกเต่าน้อย! ต่ำช้ายิ่งนัก!” ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความเขินอาย
เจียงเยว่พยายามรวบรวมสมาธิเพื่อทำลายภาพฝันนี้ให้กลายเป็นฝันร้าย แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ภาพของตัวนางและจางอี้หมิงกลับยิ่งชัดเจนเช่นเดิม
ทันใดนั้น เจียงเยว่สังเกตเห็นตัวอักษรเวทที่ลอยอยู่ในมุมหนึ่งของห้วงความฝัน ตัวอักษรเหล่านั้นเขียนว่า “ฝันลวง”
นางสะดุ้งเล็กน้อยและตระหนักทันทีว่านี่คือ ยันต์เวทอักษรที่จางอี้หมิงเขียนไว้ก่อนที่เขาจะบาดเจ็บ ซึ่งทำให้ความฝันนี้ไม่ใช่ความปรารถนาที่แท้จริง แต่เป็นกับดักที่เขาวางไว้เมื่อนานมาแล้ว
จางอี้หมิงถูกเจียงเยว่ใช้เวทจันทราใส่บ่อยจึงเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่ก่อนบาดเจ็บสาหัส
“เจ้าเล่ห์นัก!”
เจียงเยว่ถอนตัวออกจากห้วงความฝันทันที
เมื่อกลับมายังโลกจริง นางยืนมองจางอี้หมิงที่ยังหลับอยู่ ใบหน้ายิ้มอ่อนๆ ของเขาทำให้นางใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่ได้
“มารดามันเถอะ!...ในฝันต่ำช้าของเจ้าเหตุใดมีใบหน้าข้าติดอยู่!” นางบ่นพึมพำก่อนจะยกถังน้ำขึ้นมาสาดใส่เขาเต็มแรง
จางอี้หมิงสะดุ้งตื่นทันที เขาสบตากับเจียงเยว่ที่ยืนเท้าเอวด้วยใบหน้าแดงก่ำ เขายิ้มอ่อนๆ แล้วกล่าวอย่างล้อเลียน “ศิษย์พี่ ท่านทำอะไรของท่าน ข้ากำลังฝันดี”
เจียงเยว่ไม่ตอบอะไร แต่ยกเท้าถีบเขาเบาๆ ก่อนเดินออกจากห้องไปด้วยความขุ่นเคืองและเขินอายในคราวเดียวกัน
“กลับมาปล่อยข้าก่อน”
ยามเช้า ฟ่านหวง ศิษย์พี่บุรุษรูปงามผู้มีอัธยาศัยดีเดินเข้ามายังคุกใต้สำนักเพื่อปล่อยตัว จางอี้หมิง ที่ยังถูกตรึงอยู่ที่เดิม
“ศิษย์น้อง เจ้าออกมาได้แล้ว” ศิษย์พี่ฟ่านหวงกล่าวพร้อมไขประตูเหล็ก
จางอี้หมิงลุกขึ้นมาปัดฝุ่นออกจากเสื้อคลุม ก่อนเอ่ยล้อเล่น “ศิษย์พี่ฟ่านหวง ท่านจะช่วยปล่อยตัวข้าหรือมาลงโทษซ้ำ?”
ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ “ข้าช่วยเจ้าออกมานี่แหละ แต่ว่า... เจียงเยว่ดูแปลกๆ ตั้งแต่เช้า นางเก็บตัวอยู่ที่น้ำตก ไม่พูดจากับใคร เจ้ารู้เรื่องหรือไม่?”
จางอี้หมิงทำหน้าตาไร้เดียงสา “ข้าไม่รู้เรื่องเลยสักนิด ศิษย์พี่ เจียงเยว่ลงโทษข้าจนหมดสภาพ เจ้าคิดว่าข้ายังกล้าก่อเรื่องอีกหรือ?”
ฟ่านหวงมองเขาด้วยสายตาไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ
เมื่อเดินออกมาจากคุก จางอี้หมิงพบกับศิษย์พี่ระดับ 7 สองคนที่ยืนรออยู่หน้าทางเดิน
เฉินเจิ้ง ชายร่างท้วมท่าทางใจดี กล่าวขึ้นก่อน “ศิษย์น้องจาง อาจารย์สั่งให้เจ้าไปเป็นผู้สังเกตการณ์การสอบคัดเลือกผู้เข้าสำนักในปีนี้”
ฟางหรง สตรีงดงามที่มีท่าทางสง่างาม ยืนอยู่ข้างเฉินเจิ้ง ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวเสริม “นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเจ้า จะได้เห็นหน้าว่าที่เพื่อนร่วมชั้นเรียน”
จางอี้หมิงยิ้มรับพลางยกมือคารวะ “ข้ารับคำสั่งแล้ว ศิษย์พี่ทั้งสอง”
ฟางหรงมองไปรอบๆ แล้วถามทุกคน “ว่าแต่... เจียงเยว่อยู่ที่ใด? นางไม่เห็นปรากฏตัวเลยตั้งแต่เช้า”
ฟ่านหวงตอบพลางยักไหล่ “ได้ข่าวว่านางปิดวาจาอยู่ที่น้ำตก ดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่”
ฟางหรงได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เช่นนั้นข้าขอตัวไปหานางก่อน พวกเจ้าก็เตรียมตัวสำหรับงานสอบให้ดี”
นางกล่าวจบก็หมุนตัวจากไปอย่างสง่างาม ทิ้งให้จางอี้หมิงมองตามพลางคิดในใจว่า “ความจริงศิษย์พี่หญิงฟางหรงก็งดงาม แต่หุ่นทรวดทรงยังไม่เย้ายวนเท่าศิษย์พี่เยว่ ช่างเถอะ ข้าขอมีศิษย์พี่คนนึงไว้กราบไหว้ อีกคนเป็นภรรยาก็เพียงพอ หากมีสาวใช้คนงามของข้าอีกคนเป็นภรรยาด้วยก็ดียิ่ง”
แต่เขาก็รีบสลัดความคิดนั้นทิ้งและเดินไปเตรียมตัวสำหรับทำหน้าที่ทันที
ฟางหรง เดินมาถึงน้ำตกอันเงียบสงบ เห็น เจียงเยว่ นั่งสมาธิอยู่ใต้น้ำตกกระแสน้ำที่หล่นกระแทกร่างกายนางจนเสื้อผ้าบางแนบเนื้อ เผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้า โดยเฉพาะส่วนอกที่นูนเด่นจนทำให้ฟางหรงเผลอคิดเปรียบเทียบกับตัวเอง
ฟางหรงเดินเข้าไปใกล้พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ศิษย์น้องเจียงเยว่ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
เจียงเยว่นิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้น น้ำในแอ่งตกกระทบใบหน้าของนางดูชุ่มชื้นและงดงามยิ่งนัก “ข้ามานั่งสงบสติ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เจ้าสุนัขนั่น ทำให้ข้าต้องเห็นความฝันอันหยาบช้าของมัน”
ฟางหรงหัวเราะเบาๆ แต่ไม่พูดอะไร
เจียงเยว่ถอนหายใจแล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้ารู้สึกว่ายันต์เวทอักษรของเจ้าสุนัขนั่นที่เขียนไว้ก่อนเจ็บยังสามารถใช้งานได้ อาจช่วยฟื้นพลังให้เจ้านั่นได้ในอนาคต”
ฟางหรงยิ้มขบขัน “เจ้าเป็นห่วงเขาหรือ?”
เจียงเยว่ขมวดคิ้วแล้วรีบปฏิเสธ “ไม่ใช่เรื่องนั้น ข้าก็แค่... มันเป็นสิ่งที่ศิษย์ร่วมสำนักควรมีต่อกันเท่านั้น” นางตอบพลางหันหน้าหนี
ฟางหรงยังคงยิ้มอย่างรู้ทัน “เช่นนั้นข้าจะไปแจ้งเรื่องนี้ให้อาจารย์ทราบ เผื่อว่าท่านอาจารย์จะมีวิธีช่วยเหลือเจ้าสุนัขเสี่ยวอี้ของเจ้าได้เร็วขึ้น”
เจียงเยว่ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ฟางหรงก็ไม่รอฟัง นางหันหลังเดินจากไปก่อนจะเอ่ยทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ศิษย์น้องเจียงเยว่ รีบขึ้นจากน้ำเถอะ ถ้านั่งนานไปเจ้าจะป่วยเอาได้”
เจียงเยว่ได้แต่นั่งนิ่ง ถอนหายใจลึก “มันเป็นของข้าเมื่อไหร่กัน”
ในยามค่ำคืนก่อนวันสอบ จางอี้หมิงนอนหลับอยู่ในห้องพักเรียบง่าย แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างลงบนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของเขา ท่ามกลางความเงียบสงัด ความฝันได้พาเขาย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่เขาแทบจะลืมเลือนไปแล้วในความฝันนั้น เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กกำลังวิ่งเล่นในสวนดอกไม้กับมารดาผู้ให้กำเนิด ใบหน้าของนางอ่อนโยนและงดงามยิ่งนัก เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังขึ้นท่ามกลางสายลมเบาๆ ขณะนั้นบิดาของเขานั่งมองอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของบิดาเต็มไปด้วยความภูมิใจและอบอุ่นแต่แล้วภาพแห่งความสุขก็เลือนหายไป กลายเป็นภาพงานศพของมารดา เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กนั่งร้องไห้เสียงดัง สองแขนโอบร่างไร้วิญญาณของนางไว้แน่น ภาพนี้แทงลึกลงในจิตใจของเขาเหมือนหอกที่ทิ่มแทงไม่จบสิ้นจากนั้นความฝันเปลี่ยนไปเป็นภาพช่วงเวลาที่เขาเติบโต ฝึกฝนวิชาอย่างหนัก ภาพหอกเล่มหนึ่งพุ่งใส่เขาในสนามประลองและเขาต่อสู้กลับอย่างดุดัน ภาพเหล่านี้วนเวียนไปมาราวกับต้องการตอกย้ำอดีตของเขา
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง จางอี้หมิงเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เขาเดินตรงไปที่โต๊ะตัวสุดท้ายตามธรรมเนียม เนื่องจากเขาเป็นศิษย์คนเล็กของเจ้าสำนักเมื่อเขานั่งลงได้ไม่นาน ศิษย์พี่ฟางหรง ก็เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำชากาหนึ่ง วางลงตรงหน้าเขา พลางกล่าวสั้นๆ ว่า “ใกล้ได้เวลาแล้ว” ก่อนจะเดินจากไปจางอี้หมิงมองตามศิษย์พี่ฟางหรง พลางชื่นชมรูปร่างเพรียวบางของนางที่ดูงดงามอย่างไร้ที่ติ เมื่อฟางหรงนั่งลงตรงมุมหนึ่งของห้อง เขาเห็นใบหน้างดงามราวเทพธิดาของนางชัดเจนยิ่งขึ้น“งดงามยิ่งนัก” จางอี้หมิงนึกในใจจู่ๆ ฟางหรงหันมาสบตาเขาด้วยสายตาแฝงความสงสัย จางอี้หมิงรีบส่ายหน้าพลางสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป“ศิษย์พี่ฟางหรงสูงส่งและห่างไกลเกินไป นางไม่มีทางสละพรหมจรรย์ให้ข้าแน่”จางอี้หมิงยอมรับในใจว่าไม่คู
ภายในห้องประชุมของชั้นเก้า บรรยากาศเงียบสงบ ศิษย์ระดับสูงและเจ้าสำนักต่างจับจ้องภาพจากคันฉ่องวิเศษที่ฉายให้เห็นการทดสอบด้านล่าง จางอี้หมิง ที่กำลังครึ้มอกครึ้มใจได้เอ่ยขึ้นมาว่า "ท่านศิษย์พี่ฟ่านหวง ข้าขอเดิมพันว่า ผู้ที่หลุดจากภวังค์คนแรกจะเป็นสตรี ท่านว่าอย่างไร?"ฟ่านหวง หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าว่าจะต้องเป็นบุรุษ หากข้าผิด ข้ายินดีวาง 20 อีแปะเป็นเดิมพัน”จางอี้หมิงหัวเราะพลางโยนเหรียญ 20 อีแปะลงบนโต๊ะ “เช่นนั้นข้าขอพนันว่าเป็นสตรี!”เจียงเยว่ ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ทำหน้าหงุดหงิดพลางกล่าวลอยๆ “ไร้สาระนัก!”เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ยิ้มขำพลางโบกมือให้สงบ “ตั้งใจดูกันหน่อย!”เบื้องล่าง ผู้เข้าสอบทั้งหลายต่างตกอยู่ในภวังค์แห่ง เพลงพฤกษาเหมันต์สะท้านจันทรา ของศิษย์พี่ชิงซิ่ว ภาพต่างๆ ในใจของพวกเขาค่อยๆ ฉายออกมา รวมถึงหล
หวงจื่อรั่วค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อมองไปรอบๆ ทุกคนยังคงยืนนิ่ง หลับตาอยู่ในภวังค์ หวงจื่อรั่วสังเกตว่าตัวนางเป็นคนเดียวที่หลุดออกมาก่อน“เหตุใดข้าถึงหลุดออกมาก่อน บทเพลงยังคงบรรเลง นี่เป็นการทดสอบอะไรกัน ข้าผ่านแล้วงั้นหรือ”หวงจื่อรั่วหันไปมองหลินหนิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และยังคงหลับตาแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน“หลินหนิง!” หวงจื่อรั่วรีบก้าวเข้าไปใกล้ นางเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆหลินหนิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เสียงสะอื้นเล็กๆ ดังออกมาจากริมฝีปากของนาง ดวงตาของหลินหนิงเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอหน่วย ก่อนจะไหลรินลงมาอย่างเงียบงัน นางก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อของตัวเองแน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้น“เจ้าเป็นอะไร?” หวงจื่อรั่วถามหลินหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนตอบเสียงสั่นเครือ “ในภวังค์… ข
เมื่อการสอบสิ้นสุดลง จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่ในห้องประชุม จากนั้นศิษย์พี่ฟางหรงในชุดยาวปักลวดลายประณีต รูปร่างโปร่งบาง งดงามราวกับภาพวาดบนม้วนกระดาษโบราณ ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิฟางหรงหันมาทางจางอี้หมิง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่มีเสน่ห์ “จางอี้หมิง เดี๋ยวเจ้าตามข้ามา ข้ามียาฟื้นฟูที่บ่มไว้นานแล้ว คาดว่าน่าจะเสร็จพอดี เดี๋ยวเจ้าไปเอายาที่บ้านข้า”จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขามองศิษย์พี่ฟางหรงด้วยสายตาชื่นชม ก่อนพึมพำในใจว่า "ศิษย์พี่ฟางหรงของข้าผู้นี้ มองยังไงก็งดงาม น่าจะงามสุดในสำนักแล้ว"เขาลุกขึ้นยืน ยิ้มพลางตอบนาง “ขอบคุณศิษย์พี่ฟางหรง ข้าจะรีบไปตามคำสั่งของท่าน”ฟางหรง ผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์การรักษาและฟื้นฟู เป็นหนึ่งในศิษ
เสียงนกร้องแว่วมาเข้าหูเป็นสัญญาณแห่งยามเช้า จางอี้หมิงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อสายตาปรับให้เข้ากับแสงสว่างรอบตัว เขาพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้หลังหนึ่ง ภายในห้องนอนที่แปลกตาแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยผนังห้องถูกประดับด้วยภาพวาดภูเขาและสายน้ำ ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นผลงานวาดภาพของบิดา มุมหนึ่งของห้องมีตู้หนังสือเก่าที่เขาเคยอ่านในวัยเด็ก และบนโต๊ะไม้ใกล้เตียง มีโถยาที่ส่งกลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ ลอยมากระทบจมูกนี่คือห้องของเขาในจวนสกุลจาง บ้านเดิมของเขา แต่เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่?จางอี้หมิงพยายามลุกขึ้น แต่ความปวดร้าวที่หน้าอกทำให้เขาต้องนิ่งอยู่กับที่ เขาก้มลงมองร่างกายตนเองและพบว่ามีผ้าพันแผลขนาดใหญ่พันรอบหน้าอก บ่งบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส“เหตุใดข้าถึงเป็นเช่นนี้?” เขาพึมพำทันใดนั้น สายตาของเขาหันไปเห็นสตรีร่างเล็กนางหนึ่ง นาง
ซงเอ๋อร์ขยับตัวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง นางลืมตาขึ้นช้าๆ ท่าทางงัวเงียเล็กน้อย แต่ยังคงความงดงามอ่อนโยนอย่างเรียบง่าย เมื่อเห็นจางอี้หมิงนั่งพิงหัวเตียงอยู่ นางตื่นเต็มตาในทันที รอยยิ้มอ่อนปรากฏบนใบหน้า“คุณชายใหญ่! ท่านตื่นแล้ว!” เสียงของซงเอ๋อร์เต็มไปด้วยความดีใจจางอี้หมิงหันมองตามเสียง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยให้ “ใช่ ข้าตื่นแล้ว”ซงเอ๋อร์ยิ้มกว้างขึ้นด้วยความปิติ ก่อนจะโผเข้ากอดเขาแน่น น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่“อ๊ะ! เจ็บ…”ซงเอ๋อร์สะดุ้งรีบผละตัวออก ท่าทางของนางช่างน่าเอ็นดู “ข้าขอโทษคุณชาย! ข้าไม่ได้ตั้งใจ!”จางอี้หมิงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “ไม่เป็นไร เจ้าดีใจจนลืมตัว ข้าเข้าใจ”นางเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณชายต้องการดื่มน้ำหรือไม่?”“อืม…” เขาพยักหน้าเมื่อซงเอ๋อร์รินน้ำใส่ถ้วยและส่งให้ จางอี้หมิงรับมาดื่มพลางมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน เขาพลันนึกถึงชีวิตที่เรียบง่าย หากเขาสูญเสียพลังปราณไปอย่างถาวร การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในฐานะบุตรชายของอ๋องสกุลจาง มีซงเอ๋อร์เป็นภรรยา
ประตูห้องของจางอี้หมิงเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงผอมของชายวัยกลางคนที่สวมอาภรณ์งดงามดูสูงศักดิ์ ใบหน้าเรียวมีเคราบางๆ ดูสง่างาม ทว่าดวงตาแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า ท่านอ๋องจางส่วง ผู้เป็นบิดาของจางอี้หมิง เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายินดี“หมิงเอ๋อร์! ลูกพ่อฟื้นแล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโล่งใจจางอี้หมิงค้อมศีรษะให้บิดา “ขออภัยที่ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วง ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว”ท่านอ๋องจางส่วงนั่งลงข้างเตียง สังเกตบุตรชายของตนอย่างใกล้ชิด แม้จะเห็นสีหน้าซีดเซียว แต่ก็โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่จางส่วง ในฐานะบุตรชายคนที่ยี่สิบสี่ของอดีตฮ่องเต้เจ้าสำราญราชวงศ์ก่อน แต่ด้วยความที่เขาเป็นลูกคนเล็กที่เด็กมากเกินไป ปฐมฮ่องเต้ของราชวงศ์ปัจจุบันจึงเมตตาไว้ชีวิต และให้เป็นอ๋องเพื่อประดับไว้เฉยๆ ไม่มีอำนาจอื่นใดพิเศษ จางส่วงจึงเลือกใช้ชีวิตเงียบสงบ เขียนภาพวาดขายเลี้ยงชีพไปวันๆ พร้อมด้วยสมบัติอีกมากมาย ท่านอ๋องหันไปเรียกซงเอ๋อร์ที่ยืนรออยู่ด้านนอก “ซงเอ๋อร์ นำยาบำรุงเข้ามา”ซงเอ๋อร์รีบเดินเข้ามาพร้อมถ้วยยาสมุนไพรสีเข้ม กลิ่นฉุนแ
เมื่อการสอบสิ้นสุดลง จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่ในห้องประชุม จากนั้นศิษย์พี่ฟางหรงในชุดยาวปักลวดลายประณีต รูปร่างโปร่งบาง งดงามราวกับภาพวาดบนม้วนกระดาษโบราณ ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิฟางหรงหันมาทางจางอี้หมิง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่มีเสน่ห์ “จางอี้หมิง เดี๋ยวเจ้าตามข้ามา ข้ามียาฟื้นฟูที่บ่มไว้นานแล้ว คาดว่าน่าจะเสร็จพอดี เดี๋ยวเจ้าไปเอายาที่บ้านข้า”จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขามองศิษย์พี่ฟางหรงด้วยสายตาชื่นชม ก่อนพึมพำในใจว่า "ศิษย์พี่ฟางหรงของข้าผู้นี้ มองยังไงก็งดงาม น่าจะงามสุดในสำนักแล้ว"เขาลุกขึ้นยืน ยิ้มพลางตอบนาง “ขอบคุณศิษย์พี่ฟางหรง ข้าจะรีบไปตามคำสั่งของท่าน”ฟางหรง ผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์การรักษาและฟื้นฟู เป็นหนึ่งในศิษ
หวงจื่อรั่วค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อมองไปรอบๆ ทุกคนยังคงยืนนิ่ง หลับตาอยู่ในภวังค์ หวงจื่อรั่วสังเกตว่าตัวนางเป็นคนเดียวที่หลุดออกมาก่อน“เหตุใดข้าถึงหลุดออกมาก่อน บทเพลงยังคงบรรเลง นี่เป็นการทดสอบอะไรกัน ข้าผ่านแล้วงั้นหรือ”หวงจื่อรั่วหันไปมองหลินหนิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และยังคงหลับตาแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน“หลินหนิง!” หวงจื่อรั่วรีบก้าวเข้าไปใกล้ นางเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆหลินหนิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เสียงสะอื้นเล็กๆ ดังออกมาจากริมฝีปากของนาง ดวงตาของหลินหนิงเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอหน่วย ก่อนจะไหลรินลงมาอย่างเงียบงัน นางก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อของตัวเองแน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้น“เจ้าเป็นอะไร?” หวงจื่อรั่วถามหลินหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนตอบเสียงสั่นเครือ “ในภวังค์… ข
ภายในห้องประชุมของชั้นเก้า บรรยากาศเงียบสงบ ศิษย์ระดับสูงและเจ้าสำนักต่างจับจ้องภาพจากคันฉ่องวิเศษที่ฉายให้เห็นการทดสอบด้านล่าง จางอี้หมิง ที่กำลังครึ้มอกครึ้มใจได้เอ่ยขึ้นมาว่า "ท่านศิษย์พี่ฟ่านหวง ข้าขอเดิมพันว่า ผู้ที่หลุดจากภวังค์คนแรกจะเป็นสตรี ท่านว่าอย่างไร?"ฟ่านหวง หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าว่าจะต้องเป็นบุรุษ หากข้าผิด ข้ายินดีวาง 20 อีแปะเป็นเดิมพัน”จางอี้หมิงหัวเราะพลางโยนเหรียญ 20 อีแปะลงบนโต๊ะ “เช่นนั้นข้าขอพนันว่าเป็นสตรี!”เจียงเยว่ ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ทำหน้าหงุดหงิดพลางกล่าวลอยๆ “ไร้สาระนัก!”เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ยิ้มขำพลางโบกมือให้สงบ “ตั้งใจดูกันหน่อย!”เบื้องล่าง ผู้เข้าสอบทั้งหลายต่างตกอยู่ในภวังค์แห่ง เพลงพฤกษาเหมันต์สะท้านจันทรา ของศิษย์พี่ชิงซิ่ว ภาพต่างๆ ในใจของพวกเขาค่อยๆ ฉายออกมา รวมถึงหล
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง จางอี้หมิงเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เขาเดินตรงไปที่โต๊ะตัวสุดท้ายตามธรรมเนียม เนื่องจากเขาเป็นศิษย์คนเล็กของเจ้าสำนักเมื่อเขานั่งลงได้ไม่นาน ศิษย์พี่ฟางหรง ก็เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำชากาหนึ่ง วางลงตรงหน้าเขา พลางกล่าวสั้นๆ ว่า “ใกล้ได้เวลาแล้ว” ก่อนจะเดินจากไปจางอี้หมิงมองตามศิษย์พี่ฟางหรง พลางชื่นชมรูปร่างเพรียวบางของนางที่ดูงดงามอย่างไร้ที่ติ เมื่อฟางหรงนั่งลงตรงมุมหนึ่งของห้อง เขาเห็นใบหน้างดงามราวเทพธิดาของนางชัดเจนยิ่งขึ้น“งดงามยิ่งนัก” จางอี้หมิงนึกในใจจู่ๆ ฟางหรงหันมาสบตาเขาด้วยสายตาแฝงความสงสัย จางอี้หมิงรีบส่ายหน้าพลางสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป“ศิษย์พี่ฟางหรงสูงส่งและห่างไกลเกินไป นางไม่มีทางสละพรหมจรรย์ให้ข้าแน่”จางอี้หมิงยอมรับในใจว่าไม่คู
ในยามค่ำคืนก่อนวันสอบ จางอี้หมิงนอนหลับอยู่ในห้องพักเรียบง่าย แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างลงบนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของเขา ท่ามกลางความเงียบสงัด ความฝันได้พาเขาย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่เขาแทบจะลืมเลือนไปแล้วในความฝันนั้น เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กกำลังวิ่งเล่นในสวนดอกไม้กับมารดาผู้ให้กำเนิด ใบหน้าของนางอ่อนโยนและงดงามยิ่งนัก เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังขึ้นท่ามกลางสายลมเบาๆ ขณะนั้นบิดาของเขานั่งมองอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของบิดาเต็มไปด้วยความภูมิใจและอบอุ่นแต่แล้วภาพแห่งความสุขก็เลือนหายไป กลายเป็นภาพงานศพของมารดา เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กนั่งร้องไห้เสียงดัง สองแขนโอบร่างไร้วิญญาณของนางไว้แน่น ภาพนี้แทงลึกลงในจิตใจของเขาเหมือนหอกที่ทิ่มแทงไม่จบสิ้นจากนั้นความฝันเปลี่ยนไปเป็นภาพช่วงเวลาที่เขาเติบโต ฝึกฝนวิชาอย่างหนัก ภาพหอกเล่มหนึ่งพุ่งใส่เขาในสนามประลองและเขาต่อสู้กลับอย่างดุดัน ภาพเหล่านี้วนเวียนไปมาราวกับต้องการตอกย้ำอดีตของเขา
จางอี้หมิง ค่อยๆ ก้าวลงสู่อ่างอาบน้ำร้อนภายในห้องส่วนตัวของสำนักสังคีต ไอน้ำลอยขึ้นคลอเคล้ากับแสงตะเกียงที่ส่องสว่างเบาๆ เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง และรอยแผลเป็นเด่นชัดกลางหน้าอกหญิงสา วสองนางในชุดบางเบาท่อนบนกำลังขัดถูร่างกายของเขาด้วยมือที่นุ่มนวลและระมัดระวัง ในขณะที่อีกคนบีบนวดไหล่และต้นแขนให้เขาอย่างอ่อนโยนเสียงประตูเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็น แม่นางฉีเหอ ในอาภรณ์สีแดงสดที่บางเบา เปิดเผยสัดส่วนอันงดงามและเย้ายวน เธอเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ดวงตาคมจับจ้องมาที่จางอี้หมิง“พวกเจ้าออกไปก่อน” แม่นางฉีเหอเอ่ยเสียงนุ่ม หญิงสาวสองคนก้มหัวรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปเงียบๆแม่นางฉีเหอนั่งลงข้างอ่าง รินสุราในถ้วยหยกส่งให้เขาด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเสี่ยวจาง สุรานี้เป็นของพิเศษที่ข้าเก็บไว้
หลินหนิง สตรีสาววัยสิบหก ใบหน้างดงามดวงตาโตสดใส ร่างเล็กบางแต่ทรวดทรงได้สัดส่วน มีหน้าอกที่นูนขึ้นพอเหมาะ นางสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา แต่ความงามของนางกลับสะดุดตาผู้คนได้อย่างง่ายดาย หลินหนิงเป็นบุตรสาวขุนนางตำแหน่งเล็กในเมืองหลวง ตำแหน่งที่ไม่ได้โดดเด่นหรือทรงอำนาจ แต่นางมีความใฝ่ฝันแรงกล้าที่จะเป็นผู้ฝึกตนในสำนักเทียนหยางเมื่อได้ยินข่าวลือว่าในตลาดมีร้านขายตำราติวสอบของสำนักเทียนหยาง หลินหนิงไม่รอช้า รีบรุดไปยังตลาดทันทีแต่เมื่อไปถึงร้านที่ถูกกล่าวถึง กลับพบเพียงแผงเปล่าๆ และป้ายไม้ที่ถูกปลดลงแล้ว หลินหนิงยืนมองด้วยความผิดหวัง นางกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะบ่นออกมาเบาๆ “พลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไรกัน!” ดวงตากลมโตฉายแววเศร้าระหว่างที่หลินหนิงยังครุ่นคิดอยู่นั้น ทางด้าน จางอี้หมิง และ ซ่งอิน ซึ่งเป็นต้นตอของตำราติวสอบ กำลังนั่งพักอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จางอี้หมิงจิบน้ำชา พลางโบกตั๋วเงินในมือเหมือนพัดอย่างอารมณ์ดี
จางอี้หมิงเดินวนไปมาภายในบ้านพักขนาดกะทัดรัดของเขา ใช้ความคิดอย่างจริงจัง“การสอบเข้าสำนักนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้เข้าสอบต้องแสดงให้เห็นถึงความรู้ในศาสตร์ต่างๆ และความสามารถในการต่อสู้ด้วย แต่ว่าซงเอ๋อร์นั้นอ่านออกเขียนได้เพียงเล็กน้อย และความสามารถทางการต่อสู้นั้น…นางคุ้นเคยกับการใช้มีดทำครัวเสียมากกว่า”จางอี้หมิงถอนหายใจยาวขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง พลันสมองเขาก็แล่นวาบขึ้นมา“ใช่แล้ว!”เขาอุทานเสียงดัง พร้อมเดินตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องที่มีกระจกคันฉ่องวิเศษตั้งอยู่เขาเอื้อมมือไปลูบกรอบคันฉ่อง กระจกวิเศษบานนี้เป็นสมบัติของสำนัก มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถติดต่อกับผู้คนได้โดยไม่ต้องใช้พลังปราณเวท จางอี้หมิงสูดลมหายใจลึกก่อนจะยกมือโบกเบาๆ เหนือพื้นผิวกระจก คันฉ่องเปล่งแสงเล็กน้อยก่อนภาพของบุคคลหนึ่งปรากฏขึ้น
จางอี้หมิงยืนอยู่ในท่าจับกระบี่ไว้ในมือ มองหวงจื่อรั่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทางเย็นชา ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของนางในระยะประชิด ใจหนึ่งเขารู้สึกคุ้นเคยกับนางแต่ยังคงนึกไม่ออกเสียทีจากนั้นเขาดึงตัวนางเข้ามาใกล้เพื่อชิงกระบี่ ทันใดนั้น หน้าอกนิ่มๆ ของหวงจื่อรั่วสัมผัสกับแผ่นอกของเขาเล็กน้อย เขารู้สึกถึงกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ของร่างกายนางที่ลอยมาท่ามกลางลมเย็นๆ ในยามค่ำคืน ความรู้สึกนี้ทำให้เขาเผลอสูดกลิ่นเข้าไปในปอดเล็กน้อย“ชัดเจนแล้ว นางเป็นสตรี”จางอี้หมิงซ่อนความคิดนี้ไว้ในใจไม่อาจเปิดโปงออกไปให้นางอับอายเมื่อได้จังหวะที่เหมาะสม เขาผลักนางออกไปเบาๆ โดยไม่แรงนัก หวงจื่อรั่วสะบัดตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่เคยสัมผัสกันก่อนหน้านี้ห่างออกไปด้วยความเงียบ เขามองนางจากด้านหลังขณะที่นางถามเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มาทำอะไรบนนี้?” จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อยและยักไหล่ “มาดื่มสุราชมพระจันทร์... อยากมานั่งดื่มด้วยหรือไม่?” หวงจื่อรั่วไม่ตอบ แต่เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างเย็นชาแล้วพูดออกไป “ไม่ต้อง…” เสียงของนางเย็นชาดู