Home / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

Share

บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืน

เขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงัน

เขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียด

จางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ

“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้น

จางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”

แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกัน

เสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งรีบมาถึง บรรยากาศรอบตัวที่เคยเงียบงันกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดอีกครั้ง

ชิงซิ่ว ศิษย์พี่ผู้มีอาวุโสสูงสุด ตามมาด้วยลิ่วเฉียง เฉินเจิ้ง ฟ่านหวง และศิษย์พี่หญิงฟางหรง พวกเขาหยุดยืนมองฉากตรงหน้า ร่างของถัวเค่อชีที่ไร้วิญญาณ ร่างของเจียงเยว่ที่นอนอ่อนแรง และจางอี้หมิงที่นั่งนิ่งอยู่ข้าง ๆ นาง

ศิษย์พี่ฟางหรงผู้เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ก้าวขาออกมา นางรีบเข้าไปตรวจสอบร่างของถัวเค่อชี ปลายนิ้วแตะลงบนข้อมือเขาเบา ๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา

“สายไปแล้ว…”

ชิงซิ่วจ้องมองศพของศิษย์ในสังกัดตนเอง ก่อนจะกล่าวเสียงต่ำ

“เสียดายยิ่งนัก…ข้าไม่ได้เป็นคนลงมือจัดการศิษย์ชั่วด้วยตัวเอง”

ในแววตาของชิงซิ่วเต็มไปด้วยความผิดหวัง ถัวเค่อชีคือศิษย์ที่เขาหมายมั่นปั้นมือ แต่กลับทรยศสำนัก

ลิ่วเฉียงกวาดตามองร่างของถัวเค่อชีครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยต่อฟางหรง

“อย่าสนใจคนตาย ไปช่วยรักษาคนเป็นก่อนเถอะ”

ฟางหรงพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปประคองเจียงเยว่ นางตรวจชีพจรของหญิงสาวอย่างระมัดระวัง ดวงตาของฟางหรงฉายแววเป็นกังวล

เจียงเยว่ฝืนยิ้มบาง ๆ แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้าเต็มที่ก็ตาม

“ศิษย์พี่ ข้าไม่เป็นอะไรมาก”

“อื้ม เจ้าอ่อนเพลียเต็มที”

ในขณะเดียวกัน ลิ่วเฉียงหันมามองจางอี้หมิง ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ แต่แววตานั้นลึกล้ำ

“เป็นฝีมือเจ้าหรือ?” เขาถามช้า ๆ น้ำเสียงไม่ได้ตำหนิ แต่ก็แฝงไปด้วยความกังวล

จางอี้หมิงไม่ได้หลบสายตาของอีกฝ่าย เขาจ้องกลับไปอย่างมั่นคง ก่อนจะตอบสั้น ๆ

“ใช่”

“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ การทำเช่นนี้มีความผิด”

“ใช่”

บรรยากาศโดยรอบเงียบลงชั่วขณะ ก่อนที่ศิษย์พี่บางคนจะถอนหายใจเบาๆ

การสังหารศิษย์ร่วมสำนักถือเป็นเรื่องใหญ่ แม้ทุกคนจะรู้ว่าถัวเค่อชีเป็นคนเช่นไร แต่กฎของสำนักก็คือกฎ

ลิ่วเฉียงหันไปหาชิงซิ่ว ศิษย์พี่อาวุโสที่สุดในกลุ่ม ก่อนจะกล่าว

“ท่านอาวุโสสูงสุด เชิญท่านตัดสินเถิด”

ชิงซิ่วนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

“เฉินเจิ้ง ฟ่านหวง คุมตัวจางอี้หมิงไปกักไว้ที่บ้านพักของเขา ห้ามออกมาจนกว่าอาจารย์จะมาถึง เวลานั้นค่อยให้ท่านอาจารย์ตัดสิน”

เฉินเจิ้งกับฟ่านหวงรับคำ ก่อนเดินเข้าไปหาจางอี้หมิง

“เสี่ยวอี้ ไปกันเถอะ” เฉินเจิ้งกล่าว

จางอี้หมิงมองพวกเขา ก่อนจะลุกขึ้นอย่างไม่ขัดขืน

เขาหันกลับไปมองเจียงเยว่อีกครั้ง นางจ้องมองเขาด้วยแววตาวิตก แต่ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้

จางอี้หมิงยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวเสียงเบา

“ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับข้า”

จากนั้น จางอี้หมิงก็เดินตามเฉินเจิ้งและฟ่านหวงออกไป

ค่ำคืนนี้เงียบงัน อากาศเย็นเยียบจนสัมผัสได้ถึงไอหนาวที่แผ่กระจายไปทั่วบริเวณ

ภายในบ้านพัก จางอี้หมิงนั่งอยู่เพียงลำพัง มีเพียงสุราไหหนึ่งเป็นเพื่อน เสียงของเหลวกระเพื่อมเบา ๆ ขณะที่เขายกขึ้นดื่ม ซดเข้าไปอึกใหญ่แล้วใช้หลังมือเช็ดปาก ดวงตาของเขาหลุบต่ำ จ้องมองไหสุราราวกับกำลังขบคิดบางอย่าง

ที่ด้านนอก เฉินเจิ้งและฟ่านหวงนั่งพิงกำแพงเฝ้าอยู่ ทั้งคู่ก็มีสุราอยู่กับตัวเช่นกัน

“เสี่ยวอี้ ฝีมือเจ้ายอดเยี่ยม น่าเสียดายที่ผิดสถานที่ไปหน่อย” เฉินเจิงกล่าวข้ามกำแพง พลางยกไหสุราขึ้นดื่ม

ฟ่านหวงหัวเราะเบา ๆ เสริมว่า “ใช่แล้ว ผิดสถานที่ไปหน่อย แต่ก็นับว่าถูกเวลา หากเป็นข้า ก็คงทำเช่นเดียวกับเจ้า”

เสียงหัวเราะของพวกเขาฟังดูผ่อนคลาย แต่ก็ซ่อนความกังวลไว้ลึก ๆ

จากด้านใน จางอี้หมิงยกไหสุราซดอีกอึก ก่อนจะตอบกลับผ่านกำแพงไม้

“ข้าอยากจะสับมันให้ละเอียดด้วยซ้ำ”

ฟ่านหวงได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเล่นกึ่งจริงจัง

“ศิษย์น้อง เจ้าโหดร้ายเกินไปแล้ว ระวังจะเข้าสู่วิถีมารเหมือนเดรัจฉานที่เจ้าสังหาร”

จางอี้หมิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ แม้อีกฝ่ายจะมองไม่เห็นก็ตาม “จริงของท่าน… ขอบคุณศิษย์พี่ที่เตือนสติข้า”

เฉินเจิ้งวางไหสุราลงข้างตัว แล้วกล่าวเสียงเรียบ “ช่างเถอะ คนก็ตายไปแล้ว หวังว่าอาจารย์จะเมตตาเจ้า ไม่ลงโทษรุนแรง”

ระหว่างที่พวกเขากำลังสนทนาผ่านกำแพง เสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังขึ้นจากระยะไกล เป็นจังหวะที่เนิบช้าแต่มั่นคง

พวกเขาหันไปมอง พบว่าร่างอันงดงามของเจียงเยว่กำลังค่อย ๆ เดินเข้ามา ใบหน้าของนางยังคงซีดเซียว แต่แววตาดีขึ้นกว่าก่อนหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนร่างกายจะมีเรี่ยวแรงขึ้นบ้าง

เฉินเจิ้งมองนางก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าหายดีแล้วหรือ?”

เจียงเยว่พยักหน้า “ดีขึ้นแล้ว”

จากนั้น นางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่แฝงด้วยความหนักแน่น

“ข้าขอเข้าไปเยี่ยมเสี่ยวอี้ได้หรือไม่”

ฟ่านหวงขมวดคิ้ว “ไม่…”

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เฉินเจิ้งก็กล่าวแทรกขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ

“ตามสบายเถอะ ศิษย์พี่ชิงซิ่วห้ามแค่จางอี้หมิงออกมา แต่ไม่ได้ห้ามคนอื่นเข้าไป เชิญเจ้าเถอะ”

ฟ่านหวงหันไปมองเฉินเจิ้งด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ แต่เฉินเจิ้งเพียงยกไหสุราขึ้นดื่มอย่างไม่ใส่ใจ

“ถูกของท่าน”

เฉินเจิ้งลุกขึ้นก่อนจะดึงฟ่านหวงออกไปให้ห่างจากตัวบ้าน ทิ้งให้เจียงเยว่ได้เข้าไปด้านในเพียงลำพัง

“ไปเถอะ ปล่อยพวกเขาคุยกัน เฝ้าที่รั้วก็ได้”

เจียงเยว่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านพัก เงยหน้ามองมันครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือเคาะประตูเบา ๆ

“เสี่ยวอี้ ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”

ภายในบ้านพัก เงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่เสียงของจางอี้หมิงจะดังขึ้นเบา ๆ

“เชิญท่านเถิด”

เจียงเยว่สูดลมหายใจลึก ก่อนจะผลักประตูเข้าไป ภายในห้องมีเพียงแสงตะเกียงสลัว ส่องให้เห็นเงาของชายหนุ่มที่นั่งอยู่กับไหสุราในมือ

เจียงเยว่กวาดตามองไหสุราที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นของบ้านพักจางอี้หมิง นางเอื้อมมือไปหยิบไหสุราไหหนึ่ง ก่อนจะตั้งลงข้าง ๆ เขา

จางอี้หมิงเหลือบมองไหสุราของนางแล้วกล่าวขึ้นเสียงเนือย ๆ “อยากจะเมาแล้วยังมาดื่มสุราข้าอีก สิ้นเปลืองยิ่งนัก”

เจียงเยว่เลิกคิ้ว นางหัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ปากดียิ่งนัก”

นางนั่งลงข้างเขา เปิดไหสุราดื่มอึกหนึ่ง ก่อนจะเอียงหน้ามองชายหนุ่มที่ยังคงนั่งเงียบ แล้วกล่าวว่า

“เจ้าไม่กังวลเลยหรือ?”

จางอี้หมิงเงยหน้าขึ้นจากไหสุราของตนเอง สบตานางก่อนจะเอียงคอถามกลับ

“กังวลอันใด ท่านเป็นห่วงข้าหรือไร?”

เจียงเยว่พยักหน้าช้า ๆ

“ใช่”

จางอี้หมิงนิ่งไปเล็กน้อย สายตาของเจียงเยว่สะท้อนความรู้สึกจริงใจมากกว่าครั้งไหน ๆ เขาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่นางมีต่อตนเองได้มากกว่าปกติ

“ท่านพูดจริงหรือ?”

เจียงเยว่ไม่ได้ตอบ นางเพียงเงียบแล้วซดสุราเข้าไปอีกอึก และอีกอึก จางอี้หมิงเห็นเช่นนั้นจึงยื่นมือไปคว้าข้อมือนางไว้ แล้วกล่าวเสียงเรียบ

“มันเปลือง”

เจียงเยว่เงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับจากฤทธิ์สุรา แก้มของนางแดงเรื่อ เพิ่มความเย้ายวนมากกว่าเดิม นางจ้องเขานิ่ง ก่อนจะถามกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ?”

จางอี้หมิงรู้สึกหัวใจเต้นแรงจนควบคุมไม่อยู่มากกว่าทุกครั้งที่อยู่ใกล้ศิษย์พี่คนงามผู้นี้ แต่เขากลับไม่ตอบคำ เพียงหลบสายตาไปทางอื่น

เจียงเยว่มองเขา แล้วยิ้มบาง ๆ นางเอนตัวเข้าใกล้แล้วกล่าวเสียงเบา “เจ้าอยากรู้หรือไม่ ว่าอาการของข้าคืออะไร และทำอย่างไรถึงจะหาย?”

จางอี้หมิงพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว “ท่านเล่าสิ”

เจียงเยว่เอนหลังพิงโต๊ะ สูดหายใจช้า ๆ ก่อนจะอธิบาย

“นี่เป็นข้อจำกัดพิเศษของตระกูลข้า วันใดที่พระจันทร์เต็มดวง ข้าจะมีพลังสูงสุด… แต่วันใดที่พระจันทร์ดับแดง ข้าจะไร้เรี่ยวแรงที่สุด”

จางอี้หมิงตั้งใจฟัง แล้วเอ่ยถามต่อ

“แล้วทางแก้?”

เจียงเยว่ลุกขึ้นยืน มือแตะโต๊ะเพื่อพยุงตัวเล็กน้อย ลมหายใจของนางติดขัดเล็กน้อยจากฤทธิ์สุรา ทรวงอกกระเพื่อมขึ้นลงเบา ๆ นางหันมาสบตาจางอี้หมิง ก่อนจะเผยรอยยิ้มบาง ๆ

“ทางแก้ก็คือ…”

นางยกไหสุราขึ้นดื่มอึกใหญ่ ก่อนจะนั่งลงบนตักของจางอี้หมิง

จางอี้หมิงตัวแข็งทื่อทันที

“ท่าน…”

ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ สองแขนของเจียงเยว่ก็คล้องรอบคอเขา ก่อนที่นางจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ของกันและกัน

จากนั้น… นางใช้ปากของตนป้อนสุราเข้าปากเขา ปากของทั้งสองประกบกัน ลิ้มรสสุราอุ่นร้อนที่ไหลผ่านปลายลิ้น

จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของนางเจืออยู่กับกลิ่นสุรา มันหวานล้ำและร้อนแรงเกินกว่าที่เขาจะคาดคิดหัวใจของเขาเต้นรัวราวกับกลองศึก ปานจะกระเด็นออกมาด้านนอก

แม้จะปราถนาในสิ่งนี้มาเนิ่นนาน แต่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนมาจะถูกรุกล้ำพื้นที่ก่อนเช่นนี้ ข้าต้องบุกท่านสิ เหตุใดกันกลายเป็นท่านที่เข้าโจมตีข้า…

จากนั้น เจียงเยว่ถอยใบหน้าออกไปเล็กน้อย นางมองเขาด้วยรอยยิ้มซุกซน “ต้องใช้วิธีการเดียวกันกับที่เจ้าต้องปรับสมดุลลมปราณ”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

    Last Updated : 2025-04-06
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

    Last Updated : 2025-04-07
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 1 การลืมตาของจางอี้หมิง

    เสียงนกร้องแว่วมาเข้าหูเป็นสัญญาณแห่งยามเช้า จางอี้หมิงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อสายตาปรับให้เข้ากับแสงสว่างรอบตัว เขาพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้หลังหนึ่ง ภายในห้องนอนที่แปลกตาแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยผนังห้องถูกประดับด้วยภาพวาดภูเขาและสายน้ำ ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นผลงานวาดภาพของบิดา มุมหนึ่งของห้องมีตู้หนังสือเก่าที่เขาเคยอ่านในวัยเด็ก และบนโต๊ะไม้ใกล้เตียง มีโถยาที่ส่งกลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ ลอยมากระทบจมูกนี่คือห้องของเขาในจวนสกุลจาง บ้านเดิมของเขา แต่เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่?จางอี้หมิงพยายามลุกขึ้น แต่ความปวดร้าวที่หน้าอกทำให้เขาต้องนิ่งอยู่กับที่ เขาก้มลงมองร่างกายตนเองและพบว่ามีผ้าพันแผลขนาดใหญ่พันรอบหน้าอก บ่งบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส“เหตุใดข้าถึงเป็นเช่นนี้?” เขาพึมพำทันใดนั้น สายตาของเขาหันไปเห็นสตรีร่างเล็กนางหนึ่ง นาง

    Last Updated : 2025-01-20
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 2 พลังปราณที่เลือนหาย

    ซงเอ๋อร์ขยับตัวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง นางลืมตาขึ้นช้าๆ ท่าทางงัวเงียเล็กน้อย แต่ยังคงความงดงามอ่อนโยนอย่างเรียบง่าย เมื่อเห็นจางอี้หมิงนั่งพิงหัวเตียงอยู่ นางตื่นเต็มตาในทันที รอยยิ้มอ่อนปรากฏบนใบหน้า“คุณชายใหญ่! ท่านตื่นแล้ว!” เสียงของซงเอ๋อร์เต็มไปด้วยความดีใจจางอี้หมิงหันมองตามเสียง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยให้ “ใช่ ข้าตื่นแล้ว”ซงเอ๋อร์ยิ้มกว้างขึ้นด้วยความปิติ ก่อนจะโผเข้ากอดเขาแน่น น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่“อ๊ะ! เจ็บ…”ซงเอ๋อร์สะดุ้งรีบผละตัวออก ท่าทางของนางช่างน่าเอ็นดู “ข้าขอโทษคุณชาย! ข้าไม่ได้ตั้งใจ!”จางอี้หมิงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “ไม่เป็นไร เจ้าดีใจจนลืมตัว ข้าเข้าใจ”นางเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณชายต้องการดื่มน้ำหรือไม่?”“อืม…” เขาพยักหน้าเมื่อซงเอ๋อร์รินน้ำใส่ถ้วยและส่งให้ จางอี้หมิงรับมาดื่มพลางมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน เขาพลันนึกถึงชีวิตที่เรียบง่าย หากเขาสูญเสียพลังปราณไปอย่างถาวร การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในฐานะบุตรชายของอ๋องสกุลจาง มีซงเอ๋อร์เป็นภรรยา

    Last Updated : 2025-01-21
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 3 พร้อมหน้าพร้อมตาในห้องอาหาร

    ประตูห้องของจางอี้หมิงเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงผอมของชายวัยกลางคนที่สวมอาภรณ์งดงามดูสูงศักดิ์ ใบหน้าเรียวมีเคราบางๆ ดูสง่างาม ทว่าดวงตาแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า ท่านอ๋องจางส่วง ผู้เป็นบิดาของจางอี้หมิง เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายินดี“หมิงเอ๋อร์! ลูกพ่อฟื้นแล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโล่งใจจางอี้หมิงค้อมศีรษะให้บิดา “ขออภัยที่ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วง ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว”ท่านอ๋องจางส่วงนั่งลงข้างเตียง สังเกตบุตรชายของตนอย่างใกล้ชิด แม้จะเห็นสีหน้าซีดเซียว แต่ก็โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่จางส่วง ในฐานะบุตรชายคนที่ยี่สิบสี่ของอดีตฮ่องเต้เจ้าสำราญราชวงศ์ก่อน แต่ด้วยความที่เขาเป็นลูกคนเล็กที่เด็กมากเกินไป ปฐมฮ่องเต้ของราชวงศ์ปัจจุบันจึงเมตตาไว้ชีวิต และให้เป็นอ๋องเพื่อประดับไว้เฉยๆ ไม่มีอำนาจอื่นใดพิเศษ จางส่วงจึงเลือกใช้ชีวิตเงียบสงบ เขียนภาพวาดขายเลี้ยงชีพไปวันๆ พร้อมด้วยสมบัติอีกมากมาย ท่านอ๋องหันไปเรียกซงเอ๋อร์ที่ยืนรออยู่ด้านนอก “ซงเอ๋อร์ นำยาบำรุงเข้ามา”ซงเอ๋อร์รีบเดินเข้ามาพร้อมถ้วยยาสมุนไพรสีเข้ม กลิ่นฉุนแ

    Last Updated : 2025-01-21
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 4 กลับสู่เทียนหยาง

    จางอี้หมิงยืนอยู่ในท่าจับกระบี่ไว้ในมือ มองหวงจื่อรั่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทางเย็นชา ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของนางในระยะประชิด ใจหนึ่งเขารู้สึกคุ้นเคยกับนางแต่ยังคงนึกไม่ออกเสียทีจากนั้นเขาดึงตัวนางเข้ามาใกล้เพื่อชิงกระบี่ ทันใดนั้น หน้าอกนิ่มๆ ของหวงจื่อรั่วสัมผัสกับแผ่นอกของเขาเล็กน้อย เขารู้สึกถึงกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ของร่างกายนางที่ลอยมาท่ามกลางลมเย็นๆ ในยามค่ำคืน ความรู้สึกนี้ทำให้เขาเผลอสูดกลิ่นเข้าไปในปอดเล็กน้อย“ชัดเจนแล้ว นางเป็นสตรี”จางอี้หมิงซ่อนความคิดนี้ไว้ในใจไม่อาจเปิดโปงออกไปให้นางอับอายเมื่อได้จังหวะที่เหมาะสม เขาผลักนางออกไปเบาๆ โดยไม่แรงนัก หวงจื่อรั่วสะบัดตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่เคยสัมผัสกันก่อนหน้านี้ห่างออกไปด้วยความเงียบ เขามองนางจากด้านหลังขณะที่นางถามเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มาทำอะไรบนนี้?” จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อยและยักไหล่ “มาดื่มสุราชมพระจันทร์... อยากมานั่งดื่มด้วยหรือไม่?” หวงจื่อรั่วไม่ตอบ แต่เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างเย็นชาแล้วพูดออกไป “ไม่ต้อง…” เสียงของนางเย็นชาดู

    Last Updated : 2025-01-21
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 5 ตำราติวสอบใครก็อยากซื้อ

    จางอี้หมิงเดินวนไปมาภายในบ้านพักขนาดกะทัดรัดของเขา ใช้ความคิดอย่างจริงจัง“การสอบเข้าสำนักนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้เข้าสอบต้องแสดงให้เห็นถึงความรู้ในศาสตร์ต่างๆ และความสามารถในการต่อสู้ด้วย แต่ว่าซงเอ๋อร์นั้นอ่านออกเขียนได้เพียงเล็กน้อย และความสามารถทางการต่อสู้นั้น…นางคุ้นเคยกับการใช้มีดทำครัวเสียมากกว่า”จางอี้หมิงถอนหายใจยาวขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง พลันสมองเขาก็แล่นวาบขึ้นมา“ใช่แล้ว!”เขาอุทานเสียงดัง พร้อมเดินตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องที่มีกระจกคันฉ่องวิเศษตั้งอยู่เขาเอื้อมมือไปลูบกรอบคันฉ่อง กระจกวิเศษบานนี้เป็นสมบัติของสำนัก มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถติดต่อกับผู้คนได้โดยไม่ต้องใช้พลังปราณเวท จางอี้หมิงสูดลมหายใจลึกก่อนจะยกมือโบกเบาๆ เหนือพื้นผิวกระจก คันฉ่องเปล่งแสงเล็กน้อยก่อนภาพของบุคคลหนึ่งปรากฏขึ้น

    Last Updated : 2025-01-25
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 6 ท่องหอคณิกา

    หลินหนิง สตรีสาววัยสิบหก ใบหน้างดงามดวงตาโตสดใส ร่างเล็กบางแต่ทรวดทรงได้สัดส่วน มีหน้าอกที่นูนขึ้นพอเหมาะ นางสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา แต่ความงามของนางกลับสะดุดตาผู้คนได้อย่างง่ายดาย หลินหนิงเป็นบุตรสาวขุนนางตำแหน่งเล็กในเมืองหลวง ตำแหน่งที่ไม่ได้โดดเด่นหรือทรงอำนาจ แต่นางมีความใฝ่ฝันแรงกล้าที่จะเป็นผู้ฝึกตนในสำนักเทียนหยางเมื่อได้ยินข่าวลือว่าในตลาดมีร้านขายตำราติวสอบของสำนักเทียนหยาง หลินหนิงไม่รอช้า รีบรุดไปยังตลาดทันทีแต่เมื่อไปถึงร้านที่ถูกกล่าวถึง กลับพบเพียงแผงเปล่าๆ และป้ายไม้ที่ถูกปลดลงแล้ว หลินหนิงยืนมองด้วยความผิดหวัง นางกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะบ่นออกมาเบาๆ “พลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไรกัน!” ดวงตากลมโตฉายแววเศร้าระหว่างที่หลินหนิงยังครุ่นคิดอยู่นั้น ทางด้าน จางอี้หมิง และ ซ่งอิน ซึ่งเป็นต้นตอของตำราติวสอบ กำลังนั่งพักอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จางอี้หมิงจิบน้ำชา พลางโบกตั๋วเงินในมือเหมือนพัดอย่างอารมณ์ดี

    Last Updated : 2025-01-26

Latest chapter

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 47 คมดาบไร้ลมปราณและไร้ปราณี

    ท่ามกลางป่าทึบยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์หรือประกายดาว มีเพียงเสียงลมพัดเอื่อยๆ ราวกับเสียงกระซิบจากธรรมชาติเพียงเท่านั้นถัวเค่อชี ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เรือนผมยุ่งเหยิง เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจากร่องรอยการดิ้นรนทรมานจากฤทธิ์ยา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังแดงก่ำ ราวกับมีเปลวไฟกำลังเผาผลาญจากภายในความเจ็บปวดจากพิษของยาเสริมพลังที่ เชียนหวง มอบให้เขา ตอนนี้ค่อยๆ สลายไปแล้ว“ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า!”เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง ราวกับสายธารปราณที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเขาหลับตา โคจรลมปราณทั่วร่าง และสิ่งที่ค้นพบก็ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย“พลังของข้า... เพิ่มขึ้นแล้ว!”เขาเผยรอยยิ้มสะใจ ก่อนจะกระชากกระบี่ออกจากฝัก แสงเย็นเยียบสะท้อนจากใบกระบี่ เขารวบรวมพลังลงไปในคมดาบ จากนั้นฟาดมันออกไปเต็มแรงฉัวะ!เสียงกระบี่เฉือนอากาศดังก้อง ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เศษไม้ปลิวกระจายไปทั่ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 46 ขอเพียงสามกระบวนท่า

    “หากพวกเจ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าสำนัก จงบอกที่ซ่อนของศิลาเฝิ่นเหิงมาเดี๋ยวนี้!”เสียงของเชียนหวงก้องกังวาน แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกบีบอัดจนหนักอึ้งลิ่วเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิลาเฝิ่นเหิง?”จางอี้หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเคยอ่านเจอในนิยาย ตำนานเซียนไท่ซวิน ไม่คิดว่าจะมีคนที่เชื่อว่าเป็นของจริงด้วย”ลิ่วเฉียงหันไปมองหน้าเชียนหวง ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ไปถามผู้เขียนนิยายสิ!”“หุบปาก!” เชียนหวงตะโกนลั่น ‘ปากแข็งหรือเบาปัญญาก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก!’ รังสีอำมหิตระเบิดออกมาจากร่าง พลังสีดำมืดหม่นหมุนวนไปรอบตัวเขา ราวกับเป็นพายุวิญญาณอาฆาต“เช่นนั้น ข้าคงต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดแล้วค่อยค้นหาด้วยตัวเอง!”ซ่าาา!พลังอาฆาตสีดำแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเชียนหวง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกร้าว เปลวพลังสีดำคุกรุ่นรอบตัวลิ่วเฉียงยังคงยืนสงบนิ่ง มองดูศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะหันไปถามเฉินเจิ้ง “แค่ระดับเจ็ด เจ้าสู้ไม่ได้รึ?”เฉินเจิ้งกำหมัดแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงเจ็บใจ “น่าอ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 45 เมื่อเชียนหวงปรากฏกาย

    สายลมพัดเอื่อย สะบัดผ่านร่างของสองศิษย์พี่น้องที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ่านหวงและเฉินเจิ้งต่างจมอยู่ในสมาธิ โคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อรอบกายเต็มไปด้วยซากอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดิน เศษหิน เสียงลมหายใจของทั้งสองเริ่มกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงชั่วขณะ“ตรวจสอบหาผู้นำพวกมันได้หรือยัง?” เฉินเจิ้งถามเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังฟ่านหวงมองไปรอบๆ “ยัง”เฉินเจิ้งแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ระหว่างที่ข้ากำจัดพวกมัน เจ้าไม่ได้อู้ใช่หรือไม่?”ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “ศิษย์พี่เอ๋ย หากข้าตอบว่าใช่ ท่านจะทำอะไรข้า?”“เจ้ามันตัวบัดซบ กินแรงผู้อื่น!”เสียงหัวเราะของฟ่านหวงดังขึ้น ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำต่อไป บรรยากาศรอบกายพลันเย็นยะเยือกลงจนขนลุกชันวูบบบ!“ศิษย์พี่…ท่านหายเหนื่อยแล้วหรือยัง?”เฉินเจิ้งยืดเส้นยืดสาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็… 5… 4… 3… 2… 1…”วูบบบ!!!

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 44 กระแสทวนแห่งฟ้า

    ทางด้านลานกว้างหน้าหอเทียนหยางจางอี้หมิยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลานกว้างหน้าหอเทียนหยาง ท่ามกลางหมอกฝุ่นและเสียงคำรามของเหล่าอสูรดินเหนียว ดาบในมือของเขาเปื้อนเศษดินและคราบอสูร แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับกระชับแน่น แม้ไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ด้วยร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงและกระบวนท่าอันเฉียบคม เขาก็ยังคงยืนหยัดต้านศัตรูได้อย่างไม่ลดละเมื่ออสูรตนหนึ่งพุ่งเข้ามาทางด้านซ้าย จางอี้หมิงใช้แรงบิดเอว เหวี่ยงดาบออกไปเป็นแนวโค้งคมกริบ ปลายดาบฟันทะลุไหล่อสูรดินเหนียวเสียงดังฉึบ! เศษดินกระจายตัวออกเป็นฝุ่นสีดำ อสูรตัวนั้นเซถลาไปด้านหลังก่อนที่ร่างจะถูกแรงฟันฉีกออกเป็นสองซีก ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ! โฮกกก!!!!เสียงคำรามจากอสูรตัวอื่นดังก้อง มันพุ่งเข้ามารุมล้อมจากทุกทิศทาง จางอี้หมิงย่อกายลงเล็กน้อยก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้า ใช้ดาบแทงทะลุอกของตัวหนึ่ง จากนั้นดึงกลับแล้วฟาดดาบฟันเข้าที่คอของอีกตัว เศษดินและโคล

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 43 ซ่อมม่านพลังป้องกัน

    ศิษย์ระดับสามและศิษย์ระดับต่ำกว่านั้นบางกลุ่มก็ออกไปจัดการกับอสูรดินเหนียวในจุดต่างๆ ถัวเค่อชีเองก็เช่นกัน ที่มีหน้าที่จัดการกับเหล่าอสูรดินเหนียวที่บุกโจมตีสำนักจากนั้นถัวเค่อชีก็แยกตัวออกจากกลุ่มศิษย์ที่กำลังต่อสู้กับอสูรดินเหนียว โดยอ้างว่าจะจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียว ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเรียกหาอยู่กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาท ขณะที่ถัวเค่อชีเดินเข้าไปในเงามืดของป่า เสียงนั้นไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวของเขาเอง และไม่อาจสลัดเสียงเหล่านั้นออกไปจากร่างกายได้แม้แต่น้อยร่างกายของถัวเค่อชีเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกย่างก้าว จนกระทั่งเขามาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีเงาร่มครึ้มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นขึ้นมาจากกลางศีรษะ ทะลวงไปถึงไขสันหลัง ถัวเค่อชีทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมหัวแน่นราวกับจะป้องกันมิให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง ร่างกายสั่นสะท้านจากความทุกข์ทรมาน ดวงตาพร่าเลือน เหมือนมีเงามืดแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ“อ๊ากกก!!”ถัวเค่อชีส่งเสี

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 42 เสริมม่านพลัง

    เจียงเยว่และหลี่เกอซินยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของหอเทียนหยาง สายลมพัดเอื่อย ผมยาวสลวยของทั้งคู่ปลิวไสวไปตามสายลมดวงตาของเจียงเยว่จับจ้องไปยังท้องฟ้า และพื้นเบื้องล่าง ที่มีกองทัพอสูรดินเหนียวเข้ามาไม่พักหลี่เกอซิน ศิษย์น้องผู้ชำนาญวิชาตรวจจับ ยืนนิ่งข้างๆ นางหลับตาลงเล็กน้อย ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ที่อารามทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีปัญหา ทำให้ม่านพลังป้องกันเกิดรอยรั่ว”“แล้วอย่างไร?”“พวกเราต้องไปซ่อมแซมจุดนั้นโดยด่วน เพียงแต่ทางด้านนั้นมีศัตรูเข้ามามากเกินไป ข้าเกรงว่าหากไปตอนนี้จะไม่ปลอดภัย”เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ นางคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “ก่อนอื่นต้องระงับศัตรูไม่ให้เข้ามาชั่วคราว แล้วค่อยเข้าไปซ่อมแซมม่านพลัง”“แล้วควรทำอย่างไรดีศิษย์พี่?”“เจ้ารอที่นี่ก่อน”เจียงเยว่เหลือบตามองลงไปด้านล่าง ราวกับกำลังมองหาบางคน ดวงตาของนางสะท้อนเงาร่างหนึ่งที่กำลังต่อสู้

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status