จางอี้หมิงเดินวนไปมาภายในบ้านพักขนาดกะทัดรัดของเขา ใช้ความคิดอย่างจริงจัง
“การสอบเข้าสำนักนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้เข้าสอบต้องแสดงให้เห็นถึงความรู้ในศาสตร์ต่างๆ และความสามารถในการต่อสู้ด้วย แต่ว่าซงเอ๋อร์นั้นอ่านออกเขียนได้เพียงเล็กน้อย และความสามารถทางการต่อสู้นั้น…นางคุ้นเคยกับการใช้มีดทำครัวเสียมากกว่า”
จางอี้หมิงถอนหายใจยาวขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง พลันสมองเขาก็แล่นวาบขึ้นมา
“ใช่แล้ว!”
เขาอุทานเสียงดัง พร้อมเดินตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องที่มีกระจกคันฉ่องวิเศษตั้งอยู่
เขาเอื้อมมือไปลูบกรอบคันฉ่อง กระจกวิเศษบานนี้เป็นสมบัติของสำนัก มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถติดต่อกับผู้คนได้โดยไม่ต้องใช้พลังปราณเวท จางอี้หมิงสูดลมหายใจลึกก่อนจะยกมือโบกเบาๆ เหนือพื้นผิวกระจก คันฉ่องเปล่งแสงเล็กน้อยก่อนภาพของบุคคลหนึ่งปรากฏขึ้น
“ซ่งอิน!”
จางอี้หมิงเอ่ยชื่อคนในกระจกด้วยรอยยิ้ม ซ่งอินเป็นศิษย์ระดับสามของสำนักเทียนหยางและยังเป็นน้องชายคนสนิทที่เขาพึ่งพาได้ในเรื่องบางอย่าง
“ศิษย์พี่!”
ซ่งอินกล่าวพร้อมหัวเราะ “ข้าคิดว่าท่านสิ้นชื่อไปแล้วเสียอีก!” น้ำเสียงของเขาฟังดูขี้เล่นปนล้อเลียนเล็กน้อย“เจ้าลูกเต่านี่คิดสาปแช่งข้า”จางอร้หมิงลอบคิดในใจ
“หายดีแล้ว ขอบใจที่เป็นห่วง” จางอี้หมิงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้ามีเรื่องอยากรบกวนเจ้า”
“เรื่องอะไรล่ะ?” ซ่งอินตอบกลับอย่างรวดเร็ว
จางอี้หมิงเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดตรงประเด็น “ข้าอยากให้เจ้าหาข้อสอบเข้าสำนักเทียนหยางมาให้ข้าสักชุดหนึ่ง”
ซ่งอินฟังแล้วถอนหายใจหนักๆ “ศิษย์พี่ นี่เป็นความลับของสำนัก ข้าจะเอามาให้ท่านได้อย่างไร?”
จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้ามีห้าตำลึงเงิน เจ้าคิดว่าเป็นไง?”
เมื่อได้ยินคำว่า "ห้าตำลึงเงิน" ดวงตาของซ่งอินในคันฉ่องก็เป็นประกายทันที เขาเกาหัวพลางพูดอย่างลังเล “จะว่าไป ข้าก็มีสำเนาข้อสอบอยู่ชุดหนึ่งพอดี เหมือนของจริงทุกประการ เพียงแต่…
“หนึ่งตำลึงทอง!” จางอี้หมิงตอบกลับ
“ตกลง! ข้าจะไปทันที”
ภาพในคันฉ่องค่อยๆ เลือนหายไป จางอี้หมิงยืนอยู่หน้ากระจกด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ “เพียงแค่ข้าทำเฉลยส่งไปให้ท่านพ่อ แค่นั้นทุกอย่างก็เรียบร้อย”
จากนั้นจางอี้หมิงก็ดำเนินการตามแผนงาน ก่อนเป่านกหวีดเรียกเหยี่ยวมาตัวกนึ่ง นำเอกสารเฉลยใส่กล่องผูกขานกไป จากนั้นเหยี่ยวก็บินทะยานกลับบ้านสกุลจางทันที
หลังจากที่จางอี้หมิงส่งเฉลยข้อสอบผ่านเหยี่ยวกลับบ้านไปเพื่อช่วยซงเอ๋อร์ เขายังรู้สึกไม่พอใจอยู่เล็กน้อยเมื่อคิดว่าเขาเสียเงินถึงหนึ่งตำลึงทองเพื่อแลกข้อสอบ หากซงเอ๋อร์คนงามไม่มาสอบก็เท่ากับเสียเงินเปล่า
“ไม่! ข้าเสียแค่พลังปราณ แต่ไม่ได้เสียสติปัญญาเสียหน่อย” เขาพึมพำกับตัวเองก่อนจะมีความคิดใหม่ผุดขึ้นในหัว
“ถ้าข้าทำโจทย์เลียนแบบข้อสอบจริง แล้วขายตำราพร้อมเฉลยล่ะ? ใช่! ข้าจะได้เงินกลับมาด้วย!”
ความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที จางอี้หมิงไม่รอช้า เขานั่งเขียนต้นฉบับตำราขึ้นมาอย่างละเอียดโดยอิงจากข้อสอบจริงที่ได้มา พร้อมเฉลย ใช้เวลาทั้งคืนในการจัดทำตำราเล่มแรกจนเสร็จสมบูรณ์
ในตอนเช้า จางอี้หมิงเรียกซ่งอิน ศิษย์น้องที่เคยช่วยเขาหาข้อสอบมาพบอีกครั้ง ซ่งอินปรากฏตัวด้วยท่าทางสบายๆ พร้อมรอยยิ้มกวนๆ ตามปกติ
“ศิษย์พี่ มีเรื่องอะไรอีกรึ?” ซ่งอินถาม
“ข้ามีงานให้เจ้าทำ” จางอี้หมิงตอบ “เจ้าช่วยทำสำเนาตำราเล่มนี้ให้ข้าสัก 30 ฉบับ”
ซ่งอินหยิบตำราไปพลิกดูคร่าวๆ ก่อนเลิกคิ้วสูง “ตำราติวสอบเข้าสำนักเทียนหยาง? ท่านคิดจะทำอะไรอีกแล้วล่ะ?”
“ขายสิ! แต่ก่อนอื่น เจ้าต้องช่วยข้าก่อน” จางอี้หมิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ซ่งอินทำหน้าท่าจะปฏิเสธ “ศิษย์พี่ ข้ากลัวมีปัญหากับสำนัก”
จางอี้หมิงยิ้มบางๆ ก่อนจะทวงบุญคุณทันที “อย่าลืมสิว่า ใครกันที่สอนเจ้าใช้เวทอักษรจนชำนาญ? ถ้าไม่ใช่ข้า เอางี้ ข้ามีส่วนแบ่งให้เจ้าเป็นไง”
คำพูดนี้ทำให้ซ่งอินจำต้องยอมช่วยอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะหยิบกระดาษ 30 แผ่นมาวางซ้อนกัน ใช้พู่กันและพลังเวทอักษรของเขาคัดลอกตำราทั้งเล่มในครั้งเดียว พริบตาเดียว ตำราฉบับเหมือนจริง 30 เล่มก็ปรากฏตรงหน้า
“เสร็จแล้ว! แต่อย่าลืมส่วนแบ่งข้าล่ะ” ซ่งอินกล่าว
จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ “อย่าห่วงน่า”
หลังจากจัดเตรียมตำราเสร็จ ทั้งสองก็ขึ้นดาบบินพากันมายังเมืองหลวง พวกเขาเปลี่ยนชุดเป็นพ่อค้า สวมหมวกกว้างปิดบังใบหน้า และตั้งแผงขายตำราติวสอบที่ตลาดกลางเมืองหลวง
แผงขายของพวกเขาดูเรียบง่าย พร้อมป้ายที่เขียนว่า “ตำราติวสอบเข้าสำนักเทียนหยาง เล่มเดียวจบ!”
ไม่กี่อึดใจ ก็มีคนเข้ามาสอบถามและซื้อตำราของพวกเขาทันที…
ชั้น 9 หอเทียนหยาง
ที่ชั้น 9 ของหอเทียนหยาง นักพรตกู่เจิ้ง เจ้าสำนักเทียนหยาง ผู้มีใบหน้าสง่างามลูบเคราขาวบางๆ พลางนั่งดื่มน้ำชาที่โต๊ะไม้ประณีต ภายในห้องประดับด้วยภาพวาดภูเขาและแม่น้ำซึ่งสื่อถึงความสงบสุข บนชั้นวางหนังสือมีตำราล้ำค่าหลายเล่มวางเรียงราย ส่วนโต๊ะที่กู่เจิ้งนั่งอยู่นั้นเป็นโต๊ะกลมขนาดใหญ่ทำจากไม้หายากที่แกะสลักด้วยลวดลายเมฆหมอก
รอบๆ โต๊ะ มีลูกศิษย์โดยตรงของกู่เจิ้งนั่งอยู่ 5 คน แต่ละคนล้วนเป็นศิษย์ที่ได้รับการยอมรับในความสามารถของตนเองในสำนัก ทั้งหมดนั่งเงียบกริบราวกับไม่กล้าขยับตัวให้เกินควร
นักพรตกู่เจิ้งมีลูกศิษย์โดยตรงทั้งหมด 7 คน และหนึ่งในนั้นคือจางอี้หมิง ซึ่งไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ในห้องตอนนี้
ระหว่างที่บรรยากาศสงบและเคร่งขรึม เสียงกระบี่แหวกอากาศดังขึ้นจากด้านนอก ประตูห้องเปิดออก ชายหนุ่มในชุดยาวสีครามขี่กระบี่บินเข้ามาอย่างสง่างาม เขาคือ ชิงซิ่ว ศิษย์ชายผู้มีท่าทางนิ่งสงบและสุขุม ชิงซิ่วเป็นศิษย์ระดับ 8 ระดับเดียวกับลิ่วเฉียง ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่สูงในสำนัก
เมื่อก้าวเข้ามาในห้อง ชิงซิ่วคารวะกู่เจิ้งด้วยความเคารพ “คารวะท่านอาจารย์”
กู่เจิ้งพยักหน้าเบาๆ “เจ้ามีเรื่องใดหรือ ชิงซิ่ว?”
ชิงซิ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่หนักแน่น “ข้ามีเรื่องจะรายงาน ศิษย์น้องจางอี้หมิง เขียนตำราติวสอบเข้าสำนักเทียนหยางออกขายในตลาดกลางเมืองหลวง เรื่องนี้ถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม”
สิ้นคำรายงานของชิงซิ่ว ศิษย์คนอื่นๆ ในห้องเริ่มมองหน้ากันเล็กน้อย บางคนถึงกับขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
กู่เจิ้งไม่ได้แสดงความไม่พอใจใดๆ เขาเพียงหัวเราะออกมาเบาๆ “หึๆ น่าสนใจนัก ดูเหมือนจางอี้หมิงจะหายดีแล้ว”
ชิงซิ่วมองหน้ากู่เจิ้งอย่างสงสัย “ท่านอาจารย์ จะให้ข้าจัดการเรื่องนี้อย่างไร?”
กู่เจิ้งโบกพัดในมือเบาๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “ไม่ต้องจัดการอะไร ปล่อยเขาไปก่อน”
ชิงซิ่วเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีก เขาคำนับแล้วนั่งลงข้างลูกศิษย์คนอื่นๆ
กู่เจิ้งยิ้มบางๆ พลางลูบเคราขาวของตนด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะหันไปมองเจียงเยว่ ศิษย์สาวในชุดสีแดงสดซึ่งนั่งอยู่ใกล้เขา เธอเป็นศิษย์ระดับ 6 ผู้มีอายุห่างจากจางอี้หมิงไม่มาก ใบหน้าของเธอมีความงดงามแบบเย้ายวน แต่แฝงด้วยความฉลาดเฉลียวในดวงตา
“เจียงเยว่” กู่เจิ้งเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เรื่องของจางอี้หมิง ข้าฝากให้เจ้าไปดำเนินการตามสมควร เจ้าน่าจะรู้จักเขาดีที่สุด”
เจียงเยว่พยักหน้ารับคำสั่งพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ข้าจะจัดการให้ ท่านอาจารย์”
ระหว่างที่เจียงเยว่รับคำ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของเธอคือ ฟ่านหวง ศิษย์ระดับ 6 เช่นกัน เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมคายและท่าทางดุดัน แต่ในยามนี้เขายิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวขึ้น
“ท่านอาจารย์ตัดสินใจได้เหมาะสม ให้เจียงเยว่จัดการเรื่องนี้นับว่าเหมาะที่สุด” ฟ่านหวงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความชื่นชม “เจียงเยว่มักจะใจดีกับเจ้าอี้หมิง แต่ถ้าต้องลงโทษขึ้นมา ก็นับว่าน่าสยองไม่ใช่น้อย”
คำพูดของฟ่านหวงทำให้ศิษย์คนอื่นๆ ในห้องหัวเราะเบาๆ
เจียงเยว่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะปรายตามองฟ่านหวงด้วยสายตาขี้เล่น “ฟ่านหวง ข้าน่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
ฟ่านหวงยักไหล่พลางหัวเราะ “นับว่าใช่”
หลินหนิง สตรีสาววัยสิบหก ใบหน้างดงามดวงตาโตสดใส ร่างเล็กบางแต่ทรวดทรงได้สัดส่วน มีหน้าอกที่นูนขึ้นพอเหมาะ นางสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา แต่ความงามของนางกลับสะดุดตาผู้คนได้อย่างง่ายดาย หลินหนิงเป็นบุตรสาวขุนนางตำแหน่งเล็กในเมืองหลวง ตำแหน่งที่ไม่ได้โดดเด่นหรือทรงอำนาจ แต่นางมีความใฝ่ฝันแรงกล้าที่จะเป็นผู้ฝึกตนในสำนักเทียนหยางเมื่อได้ยินข่าวลือว่าในตลาดมีร้านขายตำราติวสอบของสำนักเทียนหยาง หลินหนิงไม่รอช้า รีบรุดไปยังตลาดทันทีแต่เมื่อไปถึงร้านที่ถูกกล่าวถึง กลับพบเพียงแผงเปล่าๆ และป้ายไม้ที่ถูกปลดลงแล้ว หลินหนิงยืนมองด้วยความผิดหวัง นางกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะบ่นออกมาเบาๆ “พลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไรกัน!” ดวงตากลมโตฉายแววเศร้าระหว่างที่หลินหนิงยังครุ่นคิดอยู่นั้น ทางด้าน จางอี้หมิง และ ซ่งอิน ซึ่งเป็นต้นตอของตำราติวสอบ กำลังนั่งพักอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จางอี้หมิงจิบน้ำชา พลางโบกตั๋วเงินในมือเหมือนพัดอย่างอารมณ์ดี
จางอี้หมิง ค่อยๆ ก้าวลงสู่อ่างอาบน้ำร้อนภายในห้องส่วนตัวของสำนักสังคีต ไอน้ำลอยขึ้นคลอเคล้ากับแสงตะเกียงที่ส่องสว่างเบาๆ เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง และรอยแผลเป็นเด่นชัดกลางหน้าอกหญิงสา วสองนางในชุดบางเบาท่อนบนกำลังขัดถูร่างกายของเขาด้วยมือที่นุ่มนวลและระมัดระวัง ในขณะที่อีกคนบีบนวดไหล่และต้นแขนให้เขาอย่างอ่อนโยนเสียงประตูเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็น แม่นางฉีเหอ ในอาภรณ์สีแดงสดที่บางเบา เปิดเผยสัดส่วนอันงดงามและเย้ายวน เธอเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ดวงตาคมจับจ้องมาที่จางอี้หมิง“พวกเจ้าออกไปก่อน” แม่นางฉีเหอเอ่ยเสียงนุ่ม หญิงสาวสองคนก้มหัวรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปเงียบๆแม่นางฉีเหอนั่งลงข้างอ่าง รินสุราในถ้วยหยกส่งให้เขาด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเสี่ยวจาง สุรานี้เป็นของพิเศษที่ข้าเก็บไว้
ในยามค่ำคืนก่อนวันสอบ จางอี้หมิงนอนหลับอยู่ในห้องพักเรียบง่าย แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างลงบนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของเขา ท่ามกลางความเงียบสงัด ความฝันได้พาเขาย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่เขาแทบจะลืมเลือนไปแล้วในความฝันนั้น เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กกำลังวิ่งเล่นในสวนดอกไม้กับมารดาผู้ให้กำเนิด ใบหน้าของนางอ่อนโยนและงดงามยิ่งนัก เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังขึ้นท่ามกลางสายลมเบาๆ ขณะนั้นบิดาของเขานั่งมองอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของบิดาเต็มไปด้วยความภูมิใจและอบอุ่นแต่แล้วภาพแห่งความสุขก็เลือนหายไป กลายเป็นภาพงานศพของมารดา เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กนั่งร้องไห้เสียงดัง สองแขนโอบร่างไร้วิญญาณของนางไว้แน่น ภาพนี้แทงลึกลงในจิตใจของเขาเหมือนหอกที่ทิ่มแทงไม่จบสิ้นจากนั้นความฝันเปลี่ยนไปเป็นภาพช่วงเวลาที่เขาเติบโต ฝึกฝนวิชาอย่างหนัก ภาพหอกเล่มหนึ่งพุ่งใส่เขาในสนามประลองและเขาต่อสู้กลับอย่างดุดัน ภาพเหล่านี้วนเวียนไปมาราวกับต้องการตอกย้ำอดีตของเขา
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง จางอี้หมิงเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เขาเดินตรงไปที่โต๊ะตัวสุดท้ายตามธรรมเนียม เนื่องจากเขาเป็นศิษย์คนเล็กของเจ้าสำนักเมื่อเขานั่งลงได้ไม่นาน ศิษย์พี่ฟางหรง ก็เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำชากาหนึ่ง วางลงตรงหน้าเขา พลางกล่าวสั้นๆ ว่า “ใกล้ได้เวลาแล้ว” ก่อนจะเดินจากไปจางอี้หมิงมองตามศิษย์พี่ฟางหรง พลางชื่นชมรูปร่างเพรียวบางของนางที่ดูงดงามอย่างไร้ที่ติ เมื่อฟางหรงนั่งลงตรงมุมหนึ่งของห้อง เขาเห็นใบหน้างดงามราวเทพธิดาของนางชัดเจนยิ่งขึ้น“งดงามยิ่งนัก” จางอี้หมิงนึกในใจจู่ๆ ฟางหรงหันมาสบตาเขาด้วยสายตาแฝงความสงสัย จางอี้หมิงรีบส่ายหน้าพลางสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป“ศิษย์พี่ฟางหรงสูงส่งและห่างไกลเกินไป นางไม่มีทางสละพรหมจรรย์ให้ข้าแน่”จางอี้หมิงยอมรับในใจว่าไม่คู
ภายในห้องประชุมของชั้นเก้า บรรยากาศเงียบสงบ ศิษย์ระดับสูงและเจ้าสำนักต่างจับจ้องภาพจากคันฉ่องวิเศษที่ฉายให้เห็นการทดสอบด้านล่าง จางอี้หมิง ที่กำลังครึ้มอกครึ้มใจได้เอ่ยขึ้นมาว่า "ท่านศิษย์พี่ฟ่านหวง ข้าขอเดิมพันว่า ผู้ที่หลุดจากภวังค์คนแรกจะเป็นสตรี ท่านว่าอย่างไร?"ฟ่านหวง หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าว่าจะต้องเป็นบุรุษ หากข้าผิด ข้ายินดีวาง 20 อีแปะเป็นเดิมพัน”จางอี้หมิงหัวเราะพลางโยนเหรียญ 20 อีแปะลงบนโต๊ะ “เช่นนั้นข้าขอพนันว่าเป็นสตรี!”เจียงเยว่ ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ทำหน้าหงุดหงิดพลางกล่าวลอยๆ “ไร้สาระนัก!”เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ยิ้มขำพลางโบกมือให้สงบ “ตั้งใจดูกันหน่อย!”เบื้องล่าง ผู้เข้าสอบทั้งหลายต่างตกอยู่ในภวังค์แห่ง เพลงพฤกษาเหมันต์สะท้านจันทรา ของศิษย์พี่ชิงซิ่ว ภาพต่างๆ ในใจของพวกเขาค่อยๆ ฉายออกมา รวมถึงหล
หวงจื่อรั่วค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อมองไปรอบๆ ทุกคนยังคงยืนนิ่ง หลับตาอยู่ในภวังค์ หวงจื่อรั่วสังเกตว่าตัวนางเป็นคนเดียวที่หลุดออกมาก่อน“เหตุใดข้าถึงหลุดออกมาก่อน บทเพลงยังคงบรรเลง นี่เป็นการทดสอบอะไรกัน ข้าผ่านแล้วงั้นหรือ”หวงจื่อรั่วหันไปมองหลินหนิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และยังคงหลับตาแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน“หลินหนิง!” หวงจื่อรั่วรีบก้าวเข้าไปใกล้ นางเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆหลินหนิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เสียงสะอื้นเล็กๆ ดังออกมาจากริมฝีปากของนาง ดวงตาของหลินหนิงเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอหน่วย ก่อนจะไหลรินลงมาอย่างเงียบงัน นางก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อของตัวเองแน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้น“เจ้าเป็นอะไร?” หวงจื่อรั่วถามหลินหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนตอบเสียงสั่นเครือ “ในภวังค์… ข
เมื่อการสอบสิ้นสุดลง จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่ในห้องประชุม จากนั้นศิษย์พี่ฟางหรงในชุดยาวปักลวดลายประณีต รูปร่างโปร่งบาง งดงามราวกับภาพวาดบนม้วนกระดาษโบราณ ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิฟางหรงหันมาทางจางอี้หมิง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่มีเสน่ห์ “จางอี้หมิง เดี๋ยวเจ้าตามข้ามา ข้ามียาฟื้นฟูที่บ่มไว้นานแล้ว คาดว่าน่าจะเสร็จพอดี เดี๋ยวเจ้าไปเอายาที่บ้านข้า”จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขามองศิษย์พี่ฟางหรงด้วยสายตาชื่นชม ก่อนพึมพำในใจว่า "ศิษย์พี่ฟางหรงของข้าผู้นี้ มองยังไงก็งดงาม น่าจะงามสุดในสำนักแล้ว"เขาลุกขึ้นยืน ยิ้มพลางตอบนาง “ขอบคุณศิษย์พี่ฟางหรง ข้าจะรีบไปตามคำสั่งของท่าน”ฟางหรง ผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์การรักษาและฟื้นฟู เป็นหนึ่งในศิษ
เสียงนกร้องแว่วมาเข้าหูเป็นสัญญาณแห่งยามเช้า จางอี้หมิงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อสายตาปรับให้เข้ากับแสงสว่างรอบตัว เขาพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้หลังหนึ่ง ภายในห้องนอนที่แปลกตาแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยผนังห้องถูกประดับด้วยภาพวาดภูเขาและสายน้ำ ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นผลงานวาดภาพของบิดา มุมหนึ่งของห้องมีตู้หนังสือเก่าที่เขาเคยอ่านในวัยเด็ก และบนโต๊ะไม้ใกล้เตียง มีโถยาที่ส่งกลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ ลอยมากระทบจมูกนี่คือห้องของเขาในจวนสกุลจาง บ้านเดิมของเขา แต่เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่?จางอี้หมิงพยายามลุกขึ้น แต่ความปวดร้าวที่หน้าอกทำให้เขาต้องนิ่งอยู่กับที่ เขาก้มลงมองร่างกายตนเองและพบว่ามีผ้าพันแผลขนาดใหญ่พันรอบหน้าอก บ่งบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส“เหตุใดข้าถึงเป็นเช่นนี้?” เขาพึมพำทันใดนั้น สายตาของเขาหันไปเห็นสตรีร่างเล็กนางหนึ่ง นาง
เมื่อการสอบสิ้นสุดลง จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่ในห้องประชุม จากนั้นศิษย์พี่ฟางหรงในชุดยาวปักลวดลายประณีต รูปร่างโปร่งบาง งดงามราวกับภาพวาดบนม้วนกระดาษโบราณ ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิฟางหรงหันมาทางจางอี้หมิง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่มีเสน่ห์ “จางอี้หมิง เดี๋ยวเจ้าตามข้ามา ข้ามียาฟื้นฟูที่บ่มไว้นานแล้ว คาดว่าน่าจะเสร็จพอดี เดี๋ยวเจ้าไปเอายาที่บ้านข้า”จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขามองศิษย์พี่ฟางหรงด้วยสายตาชื่นชม ก่อนพึมพำในใจว่า "ศิษย์พี่ฟางหรงของข้าผู้นี้ มองยังไงก็งดงาม น่าจะงามสุดในสำนักแล้ว"เขาลุกขึ้นยืน ยิ้มพลางตอบนาง “ขอบคุณศิษย์พี่ฟางหรง ข้าจะรีบไปตามคำสั่งของท่าน”ฟางหรง ผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์การรักษาและฟื้นฟู เป็นหนึ่งในศิษ
หวงจื่อรั่วค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อมองไปรอบๆ ทุกคนยังคงยืนนิ่ง หลับตาอยู่ในภวังค์ หวงจื่อรั่วสังเกตว่าตัวนางเป็นคนเดียวที่หลุดออกมาก่อน“เหตุใดข้าถึงหลุดออกมาก่อน บทเพลงยังคงบรรเลง นี่เป็นการทดสอบอะไรกัน ข้าผ่านแล้วงั้นหรือ”หวงจื่อรั่วหันไปมองหลินหนิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และยังคงหลับตาแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน“หลินหนิง!” หวงจื่อรั่วรีบก้าวเข้าไปใกล้ นางเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆหลินหนิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เสียงสะอื้นเล็กๆ ดังออกมาจากริมฝีปากของนาง ดวงตาของหลินหนิงเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอหน่วย ก่อนจะไหลรินลงมาอย่างเงียบงัน นางก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อของตัวเองแน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้น“เจ้าเป็นอะไร?” หวงจื่อรั่วถามหลินหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนตอบเสียงสั่นเครือ “ในภวังค์… ข
ภายในห้องประชุมของชั้นเก้า บรรยากาศเงียบสงบ ศิษย์ระดับสูงและเจ้าสำนักต่างจับจ้องภาพจากคันฉ่องวิเศษที่ฉายให้เห็นการทดสอบด้านล่าง จางอี้หมิง ที่กำลังครึ้มอกครึ้มใจได้เอ่ยขึ้นมาว่า "ท่านศิษย์พี่ฟ่านหวง ข้าขอเดิมพันว่า ผู้ที่หลุดจากภวังค์คนแรกจะเป็นสตรี ท่านว่าอย่างไร?"ฟ่านหวง หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าว่าจะต้องเป็นบุรุษ หากข้าผิด ข้ายินดีวาง 20 อีแปะเป็นเดิมพัน”จางอี้หมิงหัวเราะพลางโยนเหรียญ 20 อีแปะลงบนโต๊ะ “เช่นนั้นข้าขอพนันว่าเป็นสตรี!”เจียงเยว่ ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ทำหน้าหงุดหงิดพลางกล่าวลอยๆ “ไร้สาระนัก!”เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ยิ้มขำพลางโบกมือให้สงบ “ตั้งใจดูกันหน่อย!”เบื้องล่าง ผู้เข้าสอบทั้งหลายต่างตกอยู่ในภวังค์แห่ง เพลงพฤกษาเหมันต์สะท้านจันทรา ของศิษย์พี่ชิงซิ่ว ภาพต่างๆ ในใจของพวกเขาค่อยๆ ฉายออกมา รวมถึงหล
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง จางอี้หมิงเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เขาเดินตรงไปที่โต๊ะตัวสุดท้ายตามธรรมเนียม เนื่องจากเขาเป็นศิษย์คนเล็กของเจ้าสำนักเมื่อเขานั่งลงได้ไม่นาน ศิษย์พี่ฟางหรง ก็เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำชากาหนึ่ง วางลงตรงหน้าเขา พลางกล่าวสั้นๆ ว่า “ใกล้ได้เวลาแล้ว” ก่อนจะเดินจากไปจางอี้หมิงมองตามศิษย์พี่ฟางหรง พลางชื่นชมรูปร่างเพรียวบางของนางที่ดูงดงามอย่างไร้ที่ติ เมื่อฟางหรงนั่งลงตรงมุมหนึ่งของห้อง เขาเห็นใบหน้างดงามราวเทพธิดาของนางชัดเจนยิ่งขึ้น“งดงามยิ่งนัก” จางอี้หมิงนึกในใจจู่ๆ ฟางหรงหันมาสบตาเขาด้วยสายตาแฝงความสงสัย จางอี้หมิงรีบส่ายหน้าพลางสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป“ศิษย์พี่ฟางหรงสูงส่งและห่างไกลเกินไป นางไม่มีทางสละพรหมจรรย์ให้ข้าแน่”จางอี้หมิงยอมรับในใจว่าไม่คู
ในยามค่ำคืนก่อนวันสอบ จางอี้หมิงนอนหลับอยู่ในห้องพักเรียบง่าย แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างลงบนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของเขา ท่ามกลางความเงียบสงัด ความฝันได้พาเขาย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่เขาแทบจะลืมเลือนไปแล้วในความฝันนั้น เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กกำลังวิ่งเล่นในสวนดอกไม้กับมารดาผู้ให้กำเนิด ใบหน้าของนางอ่อนโยนและงดงามยิ่งนัก เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังขึ้นท่ามกลางสายลมเบาๆ ขณะนั้นบิดาของเขานั่งมองอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของบิดาเต็มไปด้วยความภูมิใจและอบอุ่นแต่แล้วภาพแห่งความสุขก็เลือนหายไป กลายเป็นภาพงานศพของมารดา เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กนั่งร้องไห้เสียงดัง สองแขนโอบร่างไร้วิญญาณของนางไว้แน่น ภาพนี้แทงลึกลงในจิตใจของเขาเหมือนหอกที่ทิ่มแทงไม่จบสิ้นจากนั้นความฝันเปลี่ยนไปเป็นภาพช่วงเวลาที่เขาเติบโต ฝึกฝนวิชาอย่างหนัก ภาพหอกเล่มหนึ่งพุ่งใส่เขาในสนามประลองและเขาต่อสู้กลับอย่างดุดัน ภาพเหล่านี้วนเวียนไปมาราวกับต้องการตอกย้ำอดีตของเขา
จางอี้หมิง ค่อยๆ ก้าวลงสู่อ่างอาบน้ำร้อนภายในห้องส่วนตัวของสำนักสังคีต ไอน้ำลอยขึ้นคลอเคล้ากับแสงตะเกียงที่ส่องสว่างเบาๆ เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง และรอยแผลเป็นเด่นชัดกลางหน้าอกหญิงสา วสองนางในชุดบางเบาท่อนบนกำลังขัดถูร่างกายของเขาด้วยมือที่นุ่มนวลและระมัดระวัง ในขณะที่อีกคนบีบนวดไหล่และต้นแขนให้เขาอย่างอ่อนโยนเสียงประตูเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็น แม่นางฉีเหอ ในอาภรณ์สีแดงสดที่บางเบา เปิดเผยสัดส่วนอันงดงามและเย้ายวน เธอเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ดวงตาคมจับจ้องมาที่จางอี้หมิง“พวกเจ้าออกไปก่อน” แม่นางฉีเหอเอ่ยเสียงนุ่ม หญิงสาวสองคนก้มหัวรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปเงียบๆแม่นางฉีเหอนั่งลงข้างอ่าง รินสุราในถ้วยหยกส่งให้เขาด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเสี่ยวจาง สุรานี้เป็นของพิเศษที่ข้าเก็บไว้
หลินหนิง สตรีสาววัยสิบหก ใบหน้างดงามดวงตาโตสดใส ร่างเล็กบางแต่ทรวดทรงได้สัดส่วน มีหน้าอกที่นูนขึ้นพอเหมาะ นางสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา แต่ความงามของนางกลับสะดุดตาผู้คนได้อย่างง่ายดาย หลินหนิงเป็นบุตรสาวขุนนางตำแหน่งเล็กในเมืองหลวง ตำแหน่งที่ไม่ได้โดดเด่นหรือทรงอำนาจ แต่นางมีความใฝ่ฝันแรงกล้าที่จะเป็นผู้ฝึกตนในสำนักเทียนหยางเมื่อได้ยินข่าวลือว่าในตลาดมีร้านขายตำราติวสอบของสำนักเทียนหยาง หลินหนิงไม่รอช้า รีบรุดไปยังตลาดทันทีแต่เมื่อไปถึงร้านที่ถูกกล่าวถึง กลับพบเพียงแผงเปล่าๆ และป้ายไม้ที่ถูกปลดลงแล้ว หลินหนิงยืนมองด้วยความผิดหวัง นางกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะบ่นออกมาเบาๆ “พลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไรกัน!” ดวงตากลมโตฉายแววเศร้าระหว่างที่หลินหนิงยังครุ่นคิดอยู่นั้น ทางด้าน จางอี้หมิง และ ซ่งอิน ซึ่งเป็นต้นตอของตำราติวสอบ กำลังนั่งพักอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จางอี้หมิงจิบน้ำชา พลางโบกตั๋วเงินในมือเหมือนพัดอย่างอารมณ์ดี
จางอี้หมิงเดินวนไปมาภายในบ้านพักขนาดกะทัดรัดของเขา ใช้ความคิดอย่างจริงจัง“การสอบเข้าสำนักนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้เข้าสอบต้องแสดงให้เห็นถึงความรู้ในศาสตร์ต่างๆ และความสามารถในการต่อสู้ด้วย แต่ว่าซงเอ๋อร์นั้นอ่านออกเขียนได้เพียงเล็กน้อย และความสามารถทางการต่อสู้นั้น…นางคุ้นเคยกับการใช้มีดทำครัวเสียมากกว่า”จางอี้หมิงถอนหายใจยาวขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง พลันสมองเขาก็แล่นวาบขึ้นมา“ใช่แล้ว!”เขาอุทานเสียงดัง พร้อมเดินตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องที่มีกระจกคันฉ่องวิเศษตั้งอยู่เขาเอื้อมมือไปลูบกรอบคันฉ่อง กระจกวิเศษบานนี้เป็นสมบัติของสำนัก มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถติดต่อกับผู้คนได้โดยไม่ต้องใช้พลังปราณเวท จางอี้หมิงสูดลมหายใจลึกก่อนจะยกมือโบกเบาๆ เหนือพื้นผิวกระจก คันฉ่องเปล่งแสงเล็กน้อยก่อนภาพของบุคคลหนึ่งปรากฏขึ้น
จางอี้หมิงยืนอยู่ในท่าจับกระบี่ไว้ในมือ มองหวงจื่อรั่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทางเย็นชา ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของนางในระยะประชิด ใจหนึ่งเขารู้สึกคุ้นเคยกับนางแต่ยังคงนึกไม่ออกเสียทีจากนั้นเขาดึงตัวนางเข้ามาใกล้เพื่อชิงกระบี่ ทันใดนั้น หน้าอกนิ่มๆ ของหวงจื่อรั่วสัมผัสกับแผ่นอกของเขาเล็กน้อย เขารู้สึกถึงกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ของร่างกายนางที่ลอยมาท่ามกลางลมเย็นๆ ในยามค่ำคืน ความรู้สึกนี้ทำให้เขาเผลอสูดกลิ่นเข้าไปในปอดเล็กน้อย“ชัดเจนแล้ว นางเป็นสตรี”จางอี้หมิงซ่อนความคิดนี้ไว้ในใจไม่อาจเปิดโปงออกไปให้นางอับอายเมื่อได้จังหวะที่เหมาะสม เขาผลักนางออกไปเบาๆ โดยไม่แรงนัก หวงจื่อรั่วสะบัดตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่เคยสัมผัสกันก่อนหน้านี้ห่างออกไปด้วยความเงียบ เขามองนางจากด้านหลังขณะที่นางถามเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มาทำอะไรบนนี้?” จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อยและยักไหล่ “มาดื่มสุราชมพระจันทร์... อยากมานั่งดื่มด้วยหรือไม่?” หวงจื่อรั่วไม่ตอบ แต่เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างเย็นชาแล้วพูดออกไป “ไม่ต้อง…” เสียงของนางเย็นชาดู