หวงจื่อรั่วค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อมองไปรอบๆ ทุกคนยังคงยืนนิ่ง หลับตาอยู่ในภวังค์ หวงจื่อรั่วสังเกตว่าตัวนางเป็นคนเดียวที่หลุดออกมาก่อน
“เหตุใดข้าถึงหลุดออกมาก่อน บทเพลงยังคงบรรเลง นี่เป็นการทดสอบอะไรกัน ข้าผ่านแล้วงั้นหรือ”
หวงจื่อรั่วหันไปมองหลินหนิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และยังคงหลับตาแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน
“หลินหนิง!” หวงจื่อรั่วรีบก้าวเข้าไปใกล้ นางเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆ
หลินหนิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เสียงสะอื้นเล็กๆ ดังออกมาจากริมฝีปากของนาง ดวงตาของหลินหนิงเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอหน่วย ก่อนจะไหลรินลงมาอย่างเงียบงัน นางก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อของตัวเองแน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้น
“เจ้าเป็นอะไร?” หวงจื่อรั่วถาม
หลินหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนตอบเสียงสั่นเครือ “ในภวังค์… ข้ามองเห็นอดีตของข้า”
หลินหนิงสูดลมหายใจเข้าไปอีกเฮือกหนึ่ง “ข้าว่าบทเพลงนี้ทำให้พวกเรามองเห็นภาพแห่งความเจ็บปวดได้ เจ้าเป็นเหมือนกันหรือไม่”
หวงจื่อรั่วนิ่งไปเมื่อได้ยินคำตอบนั้น นางคิดในใจว่าเหตุใดนางถึงไม่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนคนอื่น แต่ทันใดนั้นเอง ภาพในภวังค์ก็ย้อนกลับมาในความคิด ภาพที่นางถูกจางอี้หมิงพูดชมว่านางสวยกว่าใคร สวยมากกว่าผีเสื้ออันงดงาม
“ข้าไม่ชอบให้ใครมาชมว่าสวย”
หวงจื่อรั่วครุ่นคิดในใจ ในอดีตความทรงจำของนางไม่ได้มีอะไรที่เจ็บปวดมากนัก เพียงแต่…มันคือความทรงจำที่ทำให้นางกลายเป็นคนที่พยายามหลีกเลี่ยงตัวตนมาตลอด ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นางมักจะแต่งกายคล้ายชายเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาและคำชื่นชมจากผู้คน
นางถอนหายใจเบาๆ ก่อนยิ้มบางๆ ให้หลินหนิง “ใช่ ข้าก็คิดเช่นนั้น”
ทันใดนั้น แสงสว่างเจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นรอบตัวพวกนาง เวทเคลื่อนย้ายเริ่มทำงาน นำร่างของทั้งสองคนออกจากสนามสอบ พวกนางลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่ง
เสียงประกาศก้องดังขึ้นจากเบื้องบน “ผู้ที่มาอยู่ในห้องแห่งนี้ แสดงว่าสอบผ่าน!”
หลินหนิงยิ้มกว้าง น้ำตาแห่งความยินดีไหลออกมาอีกครั้งแล้วครุ่นคิดในใจ “หวังว่าข้าจะไม่ตกต่ำเช่นวันนั้นอีกแล้ว”
ห้องประชุมบนหอเทียนหยาง
ภายในห้องประชุมชั้นเก้าของหอเทียนหยาง เหล่าศิษย์ระดับสูงต่างจับจ้องภาพในกระจกวิญญาณขนาดใหญ่ที่ฉายภาพการแข่งขันในลานกว้างเบื้องล่าง เสียงเพลง “พฤกษาเหมันต์สะท้านจันทรา” ยังคงบรรเลงสะกดทุกคนในสนามสอบ
จางอี้หมิงนั่งพิงเก้าอี้ ดูภาพในกระจกพลางยิ้มกริ่ม เมื่อหวงจื่อรั่วหลุดออกจากภวังค์เป็นคนแรก
“ข้าชนะแล้ว! ข้าบอกแล้วว่าสตรีจะเป็นฝ่ายหลุดออกมาก่อน!”
เขากระโดดลุกขึ้นทันที พลางหันไปมองฟ่านหวง
ฟ่านหวงเลิกคิ้วขึ้น พลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าจะดีใจอะไรนักหนา? นั่นมันบุรุษ ไม่ใช่สตรี เจ้าเสียเดิมพันแล้ว!”
จางอี้หมิงหันขวับมามองเขาด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ “ท่านนี่มันตาถั่วหรืออย่างไร! นางไม่ใช่บุรุษ นางเป็นสตรี!”
ฟ่านหวงชะงักเล็กน้อย ก่อนหัวเราะออกมา “เจ้าล้อข้าเล่นหรือ? เจ้าไม่เห็นเสื้อผ้าที่ศิษย์ผู้นั้นใส่หรืออย่างไร?”
“มีตาหามีแวว! ” จางอี้หมิงขัดขึ้นทันที เสียงดังจนคนอื่นในห้องประชุมหันมามอง เขาชี้นิ้วไปที่ฟ่านหวงพลางด่าต่อ
“ข้าจะบอกอะไรท่านให้ หวงจื่อรั่วเป็นคนในจวนพ่อข้าเอง ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร!”
ฟ่านหวงชะงัก สีหน้าสับสน “จริงหรือ? นางเป็นสตรี?”
จางอี้หมิงยักคิ้วด้วยท่าทางเย้ยหยัน “แน่นอน! ท่านจะยอมรับหรือไม่?”
ฟ่านหวงมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อเห็นสีหน้ามั่นอกมั่นใจของจางอี้หมิง เลยไม่อยากจะทักท้วงอะไรเพิ่มเติม เขาหยิบเหรียญทองแดง 20 อีแปะขึ้นมาแล้วโยนให้จางอี้หมิง “เอาไป แค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่ข้าจะยอม”
จางอี้หมิงรับเงินมา ยิ้มอย่างมีชัย “ท่านเป็นรองข้าไปอีกร้อยปี”
จางอี้หมิงยักไหล่พลางเก็บเงินเข้ากระเป๋า ก่อนจะตั้งใจดูการสอบต่อไป
ห้องโถงของผู้สอบผ่าน
ภายในห้องโถงใหญ่ของหอเทียนหยาง พื้นห้องปูด้วยศิลาเรียบสีขาวขุ่นซึ่งสะท้อนแสงจากโคมที่ลอยอยู่เหนือศีรษะทั่วทั้งห้อง ผนังทั้งสี่ด้านประดับด้วยลวดลายภาพวาดอักษรโบราณ
หลินหนิงและหวงจื่อรั่วยืนอยู่กลางห้องด้วยกัน ทั้งสองเงียบงันขณะมองไปรอบๆ หวงจื่อรั่วกอดอกด้วยท่าทางสงบนิ่ง แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งใจที่ผ่านการสอบมาได้ ส่วนหลินหนิงยังคงปาดน้ำตาที่หลงเหลือจากตื้นตันใจที่สอบผ่าน
ไม่นานนัก ผู้เข้าสอบที่ผ่านการทดสอบก็ค่อยๆ ทยอยมาถึงทีละคน บางคนเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่อ่อนล้า บางคนถึงกับโห่ร้องออกมาเบาๆ ด้วยความยินดีเมื่อได้ก้าวเข้าสู่ห้องแห่งนี้
เมื่อเวลาสอบหมดลง เสียงระฆังดังกังวานไปทั่วทั้งสำนัก บ่งบอกว่าการสอบสิ้นสุดลงแล้ว ผู้ที่สอบไม่ผ่านถูกดีดออกจากสนามสอบทันที มีเพียงผู้ที่ได้ไปต่อเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่
ที่ห้องโถงใหญ่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความยินดีและเสียงพูดคุยเบาๆ ของผู้เข้าสอบที่ผ่านการทดสอบ แต่เมื่อประตูใหญ่ของห้องโถงเปิดออก เสียงพูดคุยก็เงียบลงทันที
ทุกคนหันไปมองทางประตูที่เปิดออกมาเบื้องหน้า เจ้าสำนักกู่เจิ้งเดินเข้ามาด้วยกิริยาสง่างามและน่าเกรงขาม ขนาบข้างด้วยศิษย์พี่ชิงซิ่ว ผู้เชี่ยวชาญเวทแห่งเสียง และศิษย์พี่ลิ่วเฉียง ผู้มีชื่อเสียงด้านวรยุทธ์และเวทเคลื่อนย้าย ซึ่งทั้งสองคือศิษย์ระดับสูงสุดของสำนัก
เจ้าสำนักกู่เจิ้งหยุดยืนอยู่ที่แท่นกลางห้องโถง สายตาอันทรงพลังของเขากวาดมองผู้เข้าสอบที่ผ่านการทดสอบทั้งหมดด้วยแววตาอ่อนโยน
“ยินดีต้อนรับพวกเจ้าทุกคนสู่สำนักเทียนหยาง” เสียงของเจ้าสำนักดังกังวานไปทั่วห้องโถง “ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนได้ผ่านการสอบมาได้ ถือเป็นก้าวแรกสู่วิถีแห่งการเป็นผู้ฝึกตน”
เขาหยุดเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “แต่หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ข้าขอให้พวกเจ้ากลับไปเตรียมตัวให้พร้อม คืนนี้พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วพรุ่งนี้มารายงานตัวเพื่อเริ่มต้นการฝึกฝนในสำนักเทียนหยางอย่างแท้จริง”
เมื่อการสอบสิ้นสุดลง จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่ในห้องประชุม จากนั้นศิษย์พี่ฟางหรงในชุดยาวปักลวดลายประณีต รูปร่างโปร่งบาง งดงามราวกับภาพวาดบนม้วนกระดาษโบราณ ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิฟางหรงหันมาทางจางอี้หมิง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่มีเสน่ห์ “จางอี้หมิง เดี๋ยวเจ้าตามข้ามา ข้ามียาฟื้นฟูที่บ่มไว้นานแล้ว คาดว่าน่าจะเสร็จพอดี เดี๋ยวเจ้าไปเอายาที่บ้านข้า”จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขามองศิษย์พี่ฟางหรงด้วยสายตาชื่นชม ก่อนพึมพำในใจว่า "ศิษย์พี่ฟางหรงของข้าผู้นี้ มองยังไงก็งดงาม น่าจะงามสุดในสำนักแล้ว"เขาลุกขึ้นยืน ยิ้มพลางตอบนาง “ขอบคุณศิษย์พี่ฟางหรง ข้าจะรีบไปตามคำสั่งของท่าน”ฟางหรง ผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์การรักษาและฟื้นฟู เป็นหนึ่งในศิษ
เสียงนกร้องแว่วมาเข้าหูเป็นสัญญาณแห่งยามเช้า จางอี้หมิงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อสายตาปรับให้เข้ากับแสงสว่างรอบตัว เขาพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้หลังหนึ่ง ภายในห้องนอนที่แปลกตาแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยผนังห้องถูกประดับด้วยภาพวาดภูเขาและสายน้ำ ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นผลงานวาดภาพของบิดา มุมหนึ่งของห้องมีตู้หนังสือเก่าที่เขาเคยอ่านในวัยเด็ก และบนโต๊ะไม้ใกล้เตียง มีโถยาที่ส่งกลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ ลอยมากระทบจมูกนี่คือห้องของเขาในจวนสกุลจาง บ้านเดิมของเขา แต่เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่?จางอี้หมิงพยายามลุกขึ้น แต่ความปวดร้าวที่หน้าอกทำให้เขาต้องนิ่งอยู่กับที่ เขาก้มลงมองร่างกายตนเองและพบว่ามีผ้าพันแผลขนาดใหญ่พันรอบหน้าอก บ่งบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส“เหตุใดข้าถึงเป็นเช่นนี้?” เขาพึมพำทันใดนั้น สายตาของเขาหันไปเห็นสตรีร่างเล็กนางหนึ่ง นาง
ซงเอ๋อร์ขยับตัวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง นางลืมตาขึ้นช้าๆ ท่าทางงัวเงียเล็กน้อย แต่ยังคงความงดงามอ่อนโยนอย่างเรียบง่าย เมื่อเห็นจางอี้หมิงนั่งพิงหัวเตียงอยู่ นางตื่นเต็มตาในทันที รอยยิ้มอ่อนปรากฏบนใบหน้า“คุณชายใหญ่! ท่านตื่นแล้ว!” เสียงของซงเอ๋อร์เต็มไปด้วยความดีใจจางอี้หมิงหันมองตามเสียง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยให้ “ใช่ ข้าตื่นแล้ว”ซงเอ๋อร์ยิ้มกว้างขึ้นด้วยความปิติ ก่อนจะโผเข้ากอดเขาแน่น น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่“อ๊ะ! เจ็บ…”ซงเอ๋อร์สะดุ้งรีบผละตัวออก ท่าทางของนางช่างน่าเอ็นดู “ข้าขอโทษคุณชาย! ข้าไม่ได้ตั้งใจ!”จางอี้หมิงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “ไม่เป็นไร เจ้าดีใจจนลืมตัว ข้าเข้าใจ”นางเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณชายต้องการดื่มน้ำหรือไม่?”“อืม…” เขาพยักหน้าเมื่อซงเอ๋อร์รินน้ำใส่ถ้วยและส่งให้ จางอี้หมิงรับมาดื่มพลางมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน เขาพลันนึกถึงชีวิตที่เรียบง่าย หากเขาสูญเสียพลังปราณไปอย่างถาวร การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในฐานะบุตรชายของอ๋องสกุลจาง มีซงเอ๋อร์เป็นภรรยา
ประตูห้องของจางอี้หมิงเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงผอมของชายวัยกลางคนที่สวมอาภรณ์งดงามดูสูงศักดิ์ ใบหน้าเรียวมีเคราบางๆ ดูสง่างาม ทว่าดวงตาแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า ท่านอ๋องจางส่วง ผู้เป็นบิดาของจางอี้หมิง เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายินดี“หมิงเอ๋อร์! ลูกพ่อฟื้นแล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโล่งใจจางอี้หมิงค้อมศีรษะให้บิดา “ขออภัยที่ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วง ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว”ท่านอ๋องจางส่วงนั่งลงข้างเตียง สังเกตบุตรชายของตนอย่างใกล้ชิด แม้จะเห็นสีหน้าซีดเซียว แต่ก็โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่จางส่วง ในฐานะบุตรชายคนที่ยี่สิบสี่ของอดีตฮ่องเต้เจ้าสำราญราชวงศ์ก่อน แต่ด้วยความที่เขาเป็นลูกคนเล็กที่เด็กมากเกินไป ปฐมฮ่องเต้ของราชวงศ์ปัจจุบันจึงเมตตาไว้ชีวิต และให้เป็นอ๋องเพื่อประดับไว้เฉยๆ ไม่มีอำนาจอื่นใดพิเศษ จางส่วงจึงเลือกใช้ชีวิตเงียบสงบ เขียนภาพวาดขายเลี้ยงชีพไปวันๆ พร้อมด้วยสมบัติอีกมากมาย ท่านอ๋องหันไปเรียกซงเอ๋อร์ที่ยืนรออยู่ด้านนอก “ซงเอ๋อร์ นำยาบำรุงเข้ามา”ซงเอ๋อร์รีบเดินเข้ามาพร้อมถ้วยยาสมุนไพรสีเข้ม กลิ่นฉุนแ
จางอี้หมิงยืนอยู่ในท่าจับกระบี่ไว้ในมือ มองหวงจื่อรั่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทางเย็นชา ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของนางในระยะประชิด ใจหนึ่งเขารู้สึกคุ้นเคยกับนางแต่ยังคงนึกไม่ออกเสียทีจากนั้นเขาดึงตัวนางเข้ามาใกล้เพื่อชิงกระบี่ ทันใดนั้น หน้าอกนิ่มๆ ของหวงจื่อรั่วสัมผัสกับแผ่นอกของเขาเล็กน้อย เขารู้สึกถึงกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ของร่างกายนางที่ลอยมาท่ามกลางลมเย็นๆ ในยามค่ำคืน ความรู้สึกนี้ทำให้เขาเผลอสูดกลิ่นเข้าไปในปอดเล็กน้อย“ชัดเจนแล้ว นางเป็นสตรี”จางอี้หมิงซ่อนความคิดนี้ไว้ในใจไม่อาจเปิดโปงออกไปให้นางอับอายเมื่อได้จังหวะที่เหมาะสม เขาผลักนางออกไปเบาๆ โดยไม่แรงนัก หวงจื่อรั่วสะบัดตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่เคยสัมผัสกันก่อนหน้านี้ห่างออกไปด้วยความเงียบ เขามองนางจากด้านหลังขณะที่นางถามเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มาทำอะไรบนนี้?” จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อยและยักไหล่ “มาดื่มสุราชมพระจันทร์... อยากมานั่งดื่มด้วยหรือไม่?” หวงจื่อรั่วไม่ตอบ แต่เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างเย็นชาแล้วพูดออกไป “ไม่ต้อง…” เสียงของนางเย็นชาดู
จางอี้หมิงเดินวนไปมาภายในบ้านพักขนาดกะทัดรัดของเขา ใช้ความคิดอย่างจริงจัง“การสอบเข้าสำนักนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้เข้าสอบต้องแสดงให้เห็นถึงความรู้ในศาสตร์ต่างๆ และความสามารถในการต่อสู้ด้วย แต่ว่าซงเอ๋อร์นั้นอ่านออกเขียนได้เพียงเล็กน้อย และความสามารถทางการต่อสู้นั้น…นางคุ้นเคยกับการใช้มีดทำครัวเสียมากกว่า”จางอี้หมิงถอนหายใจยาวขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง พลันสมองเขาก็แล่นวาบขึ้นมา“ใช่แล้ว!”เขาอุทานเสียงดัง พร้อมเดินตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องที่มีกระจกคันฉ่องวิเศษตั้งอยู่เขาเอื้อมมือไปลูบกรอบคันฉ่อง กระจกวิเศษบานนี้เป็นสมบัติของสำนัก มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถติดต่อกับผู้คนได้โดยไม่ต้องใช้พลังปราณเวท จางอี้หมิงสูดลมหายใจลึกก่อนจะยกมือโบกเบาๆ เหนือพื้นผิวกระจก คันฉ่องเปล่งแสงเล็กน้อยก่อนภาพของบุคคลหนึ่งปรากฏขึ้น
หลินหนิง สตรีสาววัยสิบหก ใบหน้างดงามดวงตาโตสดใส ร่างเล็กบางแต่ทรวดทรงได้สัดส่วน มีหน้าอกที่นูนขึ้นพอเหมาะ นางสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา แต่ความงามของนางกลับสะดุดตาผู้คนได้อย่างง่ายดาย หลินหนิงเป็นบุตรสาวขุนนางตำแหน่งเล็กในเมืองหลวง ตำแหน่งที่ไม่ได้โดดเด่นหรือทรงอำนาจ แต่นางมีความใฝ่ฝันแรงกล้าที่จะเป็นผู้ฝึกตนในสำนักเทียนหยางเมื่อได้ยินข่าวลือว่าในตลาดมีร้านขายตำราติวสอบของสำนักเทียนหยาง หลินหนิงไม่รอช้า รีบรุดไปยังตลาดทันทีแต่เมื่อไปถึงร้านที่ถูกกล่าวถึง กลับพบเพียงแผงเปล่าๆ และป้ายไม้ที่ถูกปลดลงแล้ว หลินหนิงยืนมองด้วยความผิดหวัง นางกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะบ่นออกมาเบาๆ “พลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไรกัน!” ดวงตากลมโตฉายแววเศร้าระหว่างที่หลินหนิงยังครุ่นคิดอยู่นั้น ทางด้าน จางอี้หมิง และ ซ่งอิน ซึ่งเป็นต้นตอของตำราติวสอบ กำลังนั่งพักอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จางอี้หมิงจิบน้ำชา พลางโบกตั๋วเงินในมือเหมือนพัดอย่างอารมณ์ดี
จางอี้หมิง ค่อยๆ ก้าวลงสู่อ่างอาบน้ำร้อนภายในห้องส่วนตัวของสำนักสังคีต ไอน้ำลอยขึ้นคลอเคล้ากับแสงตะเกียงที่ส่องสว่างเบาๆ เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง และรอยแผลเป็นเด่นชัดกลางหน้าอกหญิงสา วสองนางในชุดบางเบาท่อนบนกำลังขัดถูร่างกายของเขาด้วยมือที่นุ่มนวลและระมัดระวัง ในขณะที่อีกคนบีบนวดไหล่และต้นแขนให้เขาอย่างอ่อนโยนเสียงประตูเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็น แม่นางฉีเหอ ในอาภรณ์สีแดงสดที่บางเบา เปิดเผยสัดส่วนอันงดงามและเย้ายวน เธอเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ดวงตาคมจับจ้องมาที่จางอี้หมิง“พวกเจ้าออกไปก่อน” แม่นางฉีเหอเอ่ยเสียงนุ่ม หญิงสาวสองคนก้มหัวรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปเงียบๆแม่นางฉีเหอนั่งลงข้างอ่าง รินสุราในถ้วยหยกส่งให้เขาด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเสี่ยวจาง สุรานี้เป็นของพิเศษที่ข้าเก็บไว้
เมื่อการสอบสิ้นสุดลง จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่ในห้องประชุม จากนั้นศิษย์พี่ฟางหรงในชุดยาวปักลวดลายประณีต รูปร่างโปร่งบาง งดงามราวกับภาพวาดบนม้วนกระดาษโบราณ ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิฟางหรงหันมาทางจางอี้หมิง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่มีเสน่ห์ “จางอี้หมิง เดี๋ยวเจ้าตามข้ามา ข้ามียาฟื้นฟูที่บ่มไว้นานแล้ว คาดว่าน่าจะเสร็จพอดี เดี๋ยวเจ้าไปเอายาที่บ้านข้า”จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขามองศิษย์พี่ฟางหรงด้วยสายตาชื่นชม ก่อนพึมพำในใจว่า "ศิษย์พี่ฟางหรงของข้าผู้นี้ มองยังไงก็งดงาม น่าจะงามสุดในสำนักแล้ว"เขาลุกขึ้นยืน ยิ้มพลางตอบนาง “ขอบคุณศิษย์พี่ฟางหรง ข้าจะรีบไปตามคำสั่งของท่าน”ฟางหรง ผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์การรักษาและฟื้นฟู เป็นหนึ่งในศิษ
หวงจื่อรั่วค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อมองไปรอบๆ ทุกคนยังคงยืนนิ่ง หลับตาอยู่ในภวังค์ หวงจื่อรั่วสังเกตว่าตัวนางเป็นคนเดียวที่หลุดออกมาก่อน“เหตุใดข้าถึงหลุดออกมาก่อน บทเพลงยังคงบรรเลง นี่เป็นการทดสอบอะไรกัน ข้าผ่านแล้วงั้นหรือ”หวงจื่อรั่วหันไปมองหลินหนิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และยังคงหลับตาแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน“หลินหนิง!” หวงจื่อรั่วรีบก้าวเข้าไปใกล้ นางเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆหลินหนิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เสียงสะอื้นเล็กๆ ดังออกมาจากริมฝีปากของนาง ดวงตาของหลินหนิงเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอหน่วย ก่อนจะไหลรินลงมาอย่างเงียบงัน นางก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อของตัวเองแน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้น“เจ้าเป็นอะไร?” หวงจื่อรั่วถามหลินหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนตอบเสียงสั่นเครือ “ในภวังค์… ข
ภายในห้องประชุมของชั้นเก้า บรรยากาศเงียบสงบ ศิษย์ระดับสูงและเจ้าสำนักต่างจับจ้องภาพจากคันฉ่องวิเศษที่ฉายให้เห็นการทดสอบด้านล่าง จางอี้หมิง ที่กำลังครึ้มอกครึ้มใจได้เอ่ยขึ้นมาว่า "ท่านศิษย์พี่ฟ่านหวง ข้าขอเดิมพันว่า ผู้ที่หลุดจากภวังค์คนแรกจะเป็นสตรี ท่านว่าอย่างไร?"ฟ่านหวง หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าว่าจะต้องเป็นบุรุษ หากข้าผิด ข้ายินดีวาง 20 อีแปะเป็นเดิมพัน”จางอี้หมิงหัวเราะพลางโยนเหรียญ 20 อีแปะลงบนโต๊ะ “เช่นนั้นข้าขอพนันว่าเป็นสตรี!”เจียงเยว่ ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ทำหน้าหงุดหงิดพลางกล่าวลอยๆ “ไร้สาระนัก!”เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ยิ้มขำพลางโบกมือให้สงบ “ตั้งใจดูกันหน่อย!”เบื้องล่าง ผู้เข้าสอบทั้งหลายต่างตกอยู่ในภวังค์แห่ง เพลงพฤกษาเหมันต์สะท้านจันทรา ของศิษย์พี่ชิงซิ่ว ภาพต่างๆ ในใจของพวกเขาค่อยๆ ฉายออกมา รวมถึงหล
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง จางอี้หมิงเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เขาเดินตรงไปที่โต๊ะตัวสุดท้ายตามธรรมเนียม เนื่องจากเขาเป็นศิษย์คนเล็กของเจ้าสำนักเมื่อเขานั่งลงได้ไม่นาน ศิษย์พี่ฟางหรง ก็เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำชากาหนึ่ง วางลงตรงหน้าเขา พลางกล่าวสั้นๆ ว่า “ใกล้ได้เวลาแล้ว” ก่อนจะเดินจากไปจางอี้หมิงมองตามศิษย์พี่ฟางหรง พลางชื่นชมรูปร่างเพรียวบางของนางที่ดูงดงามอย่างไร้ที่ติ เมื่อฟางหรงนั่งลงตรงมุมหนึ่งของห้อง เขาเห็นใบหน้างดงามราวเทพธิดาของนางชัดเจนยิ่งขึ้น“งดงามยิ่งนัก” จางอี้หมิงนึกในใจจู่ๆ ฟางหรงหันมาสบตาเขาด้วยสายตาแฝงความสงสัย จางอี้หมิงรีบส่ายหน้าพลางสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป“ศิษย์พี่ฟางหรงสูงส่งและห่างไกลเกินไป นางไม่มีทางสละพรหมจรรย์ให้ข้าแน่”จางอี้หมิงยอมรับในใจว่าไม่คู
ในยามค่ำคืนก่อนวันสอบ จางอี้หมิงนอนหลับอยู่ในห้องพักเรียบง่าย แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างลงบนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของเขา ท่ามกลางความเงียบสงัด ความฝันได้พาเขาย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่เขาแทบจะลืมเลือนไปแล้วในความฝันนั้น เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กกำลังวิ่งเล่นในสวนดอกไม้กับมารดาผู้ให้กำเนิด ใบหน้าของนางอ่อนโยนและงดงามยิ่งนัก เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังขึ้นท่ามกลางสายลมเบาๆ ขณะนั้นบิดาของเขานั่งมองอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของบิดาเต็มไปด้วยความภูมิใจและอบอุ่นแต่แล้วภาพแห่งความสุขก็เลือนหายไป กลายเป็นภาพงานศพของมารดา เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กนั่งร้องไห้เสียงดัง สองแขนโอบร่างไร้วิญญาณของนางไว้แน่น ภาพนี้แทงลึกลงในจิตใจของเขาเหมือนหอกที่ทิ่มแทงไม่จบสิ้นจากนั้นความฝันเปลี่ยนไปเป็นภาพช่วงเวลาที่เขาเติบโต ฝึกฝนวิชาอย่างหนัก ภาพหอกเล่มหนึ่งพุ่งใส่เขาในสนามประลองและเขาต่อสู้กลับอย่างดุดัน ภาพเหล่านี้วนเวียนไปมาราวกับต้องการตอกย้ำอดีตของเขา
จางอี้หมิง ค่อยๆ ก้าวลงสู่อ่างอาบน้ำร้อนภายในห้องส่วนตัวของสำนักสังคีต ไอน้ำลอยขึ้นคลอเคล้ากับแสงตะเกียงที่ส่องสว่างเบาๆ เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง และรอยแผลเป็นเด่นชัดกลางหน้าอกหญิงสา วสองนางในชุดบางเบาท่อนบนกำลังขัดถูร่างกายของเขาด้วยมือที่นุ่มนวลและระมัดระวัง ในขณะที่อีกคนบีบนวดไหล่และต้นแขนให้เขาอย่างอ่อนโยนเสียงประตูเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็น แม่นางฉีเหอ ในอาภรณ์สีแดงสดที่บางเบา เปิดเผยสัดส่วนอันงดงามและเย้ายวน เธอเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ดวงตาคมจับจ้องมาที่จางอี้หมิง“พวกเจ้าออกไปก่อน” แม่นางฉีเหอเอ่ยเสียงนุ่ม หญิงสาวสองคนก้มหัวรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปเงียบๆแม่นางฉีเหอนั่งลงข้างอ่าง รินสุราในถ้วยหยกส่งให้เขาด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเสี่ยวจาง สุรานี้เป็นของพิเศษที่ข้าเก็บไว้
หลินหนิง สตรีสาววัยสิบหก ใบหน้างดงามดวงตาโตสดใส ร่างเล็กบางแต่ทรวดทรงได้สัดส่วน มีหน้าอกที่นูนขึ้นพอเหมาะ นางสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา แต่ความงามของนางกลับสะดุดตาผู้คนได้อย่างง่ายดาย หลินหนิงเป็นบุตรสาวขุนนางตำแหน่งเล็กในเมืองหลวง ตำแหน่งที่ไม่ได้โดดเด่นหรือทรงอำนาจ แต่นางมีความใฝ่ฝันแรงกล้าที่จะเป็นผู้ฝึกตนในสำนักเทียนหยางเมื่อได้ยินข่าวลือว่าในตลาดมีร้านขายตำราติวสอบของสำนักเทียนหยาง หลินหนิงไม่รอช้า รีบรุดไปยังตลาดทันทีแต่เมื่อไปถึงร้านที่ถูกกล่าวถึง กลับพบเพียงแผงเปล่าๆ และป้ายไม้ที่ถูกปลดลงแล้ว หลินหนิงยืนมองด้วยความผิดหวัง นางกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะบ่นออกมาเบาๆ “พลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไรกัน!” ดวงตากลมโตฉายแววเศร้าระหว่างที่หลินหนิงยังครุ่นคิดอยู่นั้น ทางด้าน จางอี้หมิง และ ซ่งอิน ซึ่งเป็นต้นตอของตำราติวสอบ กำลังนั่งพักอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จางอี้หมิงจิบน้ำชา พลางโบกตั๋วเงินในมือเหมือนพัดอย่างอารมณ์ดี
จางอี้หมิงเดินวนไปมาภายในบ้านพักขนาดกะทัดรัดของเขา ใช้ความคิดอย่างจริงจัง“การสอบเข้าสำนักนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้เข้าสอบต้องแสดงให้เห็นถึงความรู้ในศาสตร์ต่างๆ และความสามารถในการต่อสู้ด้วย แต่ว่าซงเอ๋อร์นั้นอ่านออกเขียนได้เพียงเล็กน้อย และความสามารถทางการต่อสู้นั้น…นางคุ้นเคยกับการใช้มีดทำครัวเสียมากกว่า”จางอี้หมิงถอนหายใจยาวขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง พลันสมองเขาก็แล่นวาบขึ้นมา“ใช่แล้ว!”เขาอุทานเสียงดัง พร้อมเดินตรงไปยังมุมหนึ่งของห้องที่มีกระจกคันฉ่องวิเศษตั้งอยู่เขาเอื้อมมือไปลูบกรอบคันฉ่อง กระจกวิเศษบานนี้เป็นสมบัติของสำนัก มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถติดต่อกับผู้คนได้โดยไม่ต้องใช้พลังปราณเวท จางอี้หมิงสูดลมหายใจลึกก่อนจะยกมือโบกเบาๆ เหนือพื้นผิวกระจก คันฉ่องเปล่งแสงเล็กน้อยก่อนภาพของบุคคลหนึ่งปรากฏขึ้น
จางอี้หมิงยืนอยู่ในท่าจับกระบี่ไว้ในมือ มองหวงจื่อรั่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทางเย็นชา ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของนางในระยะประชิด ใจหนึ่งเขารู้สึกคุ้นเคยกับนางแต่ยังคงนึกไม่ออกเสียทีจากนั้นเขาดึงตัวนางเข้ามาใกล้เพื่อชิงกระบี่ ทันใดนั้น หน้าอกนิ่มๆ ของหวงจื่อรั่วสัมผัสกับแผ่นอกของเขาเล็กน้อย เขารู้สึกถึงกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ของร่างกายนางที่ลอยมาท่ามกลางลมเย็นๆ ในยามค่ำคืน ความรู้สึกนี้ทำให้เขาเผลอสูดกลิ่นเข้าไปในปอดเล็กน้อย“ชัดเจนแล้ว นางเป็นสตรี”จางอี้หมิงซ่อนความคิดนี้ไว้ในใจไม่อาจเปิดโปงออกไปให้นางอับอายเมื่อได้จังหวะที่เหมาะสม เขาผลักนางออกไปเบาๆ โดยไม่แรงนัก หวงจื่อรั่วสะบัดตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่เคยสัมผัสกันก่อนหน้านี้ห่างออกไปด้วยความเงียบ เขามองนางจากด้านหลังขณะที่นางถามเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มาทำอะไรบนนี้?” จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อยและยักไหล่ “มาดื่มสุราชมพระจันทร์... อยากมานั่งดื่มด้วยหรือไม่?” หวงจื่อรั่วไม่ตอบ แต่เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างเย็นชาแล้วพูดออกไป “ไม่ต้อง…” เสียงของนางเย็นชาดู