Home / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 11 ผู้สอบผ่านแห่งเพลงสะกดใจ

Share

บทที่ 11 ผู้สอบผ่านแห่งเพลงสะกดใจ

หวงจื่อรั่วค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อมองไปรอบๆ ทุกคนยังคงยืนนิ่ง หลับตาอยู่ในภวังค์ หวงจื่อรั่วสังเกตว่าตัวนางเป็นคนเดียวที่หลุดออกมาก่อน 

“เหตุใดข้าถึงหลุดออกมาก่อน บทเพลงยังคงบรรเลง นี่เป็นการทดสอบอะไรกัน ข้าผ่านแล้วงั้นหรือ”

หวงจื่อรั่วหันไปมองหลินหนิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และยังคงหลับตาแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน

“หลินหนิง!” หวงจื่อรั่วรีบก้าวเข้าไปใกล้ นางเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆ

หลินหนิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เสียงสะอื้นเล็กๆ ดังออกมาจากริมฝีปากของนาง ดวงตาของหลินหนิงเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอหน่วย ก่อนจะไหลรินลงมาอย่างเงียบงัน นางก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อของตัวเองแน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้น

“เจ้าเป็นอะไร?” หวงจื่อรั่วถาม

หลินหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนตอบเสียงสั่นเครือ “ในภวังค์… ข้ามองเห็นอดีตของข้า” 

หลินหนิงสูดลมหายใจเข้าไปอีกเฮือกหนึ่ง “ข้าว่าบทเพลงนี้ทำให้พวกเรามองเห็นภาพแห่งความเจ็บปวดได้ เจ้าเป็นเหมือนกันหรือไม่”

หวงจื่อรั่วนิ่งไปเมื่อได้ยินคำตอบนั้น นางคิดในใจว่าเหตุใดนางถึงไม่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนคนอื่น แต่ทันใดนั้นเอง ภาพในภวังค์ก็ย้อนกลับมาในความคิด ภาพที่นางถูกจางอี้หมิงพูดชมว่านางสวยกว่าใคร สวยมากกว่าผีเสื้ออันงดงาม

“ข้าไม่ชอบให้ใครมาชมว่าสวย”

หวงจื่อรั่วครุ่นคิดในใจ ในอดีตความทรงจำของนางไม่ได้มีอะไรที่เจ็บปวดมากนัก เพียงแต่…มันคือความทรงจำที่ทำให้นางกลายเป็นคนที่พยายามหลีกเลี่ยงตัวตนมาตลอด ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นางมักจะแต่งกายคล้ายชายเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาและคำชื่นชมจากผู้คน

นางถอนหายใจเบาๆ ก่อนยิ้มบางๆ ให้หลินหนิง “ใช่ ข้าก็คิดเช่นนั้น”

ทันใดนั้น แสงสว่างเจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นรอบตัวพวกนาง เวทเคลื่อนย้ายเริ่มทำงาน นำร่างของทั้งสองคนออกจากสนามสอบ พวกนางลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่ง

เสียงประกาศก้องดังขึ้นจากเบื้องบน “ผู้ที่มาอยู่ในห้องแห่งนี้ แสดงว่าสอบผ่าน!”

หลินหนิงยิ้มกว้าง น้ำตาแห่งความยินดีไหลออกมาอีกครั้งแล้วครุ่นคิดในใจ “หวังว่าข้าจะไม่ตกต่ำเช่นวันนั้นอีกแล้ว”

ห้องประชุมบนหอเทียนหยาง

ภายในห้องประชุมชั้นเก้าของหอเทียนหยาง เหล่าศิษย์ระดับสูงต่างจับจ้องภาพในกระจกวิญญาณขนาดใหญ่ที่ฉายภาพการแข่งขันในลานกว้างเบื้องล่าง เสียงเพลง “พฤกษาเหมันต์สะท้านจันทรา” ยังคงบรรเลงสะกดทุกคนในสนามสอบ

จางอี้หมิงนั่งพิงเก้าอี้ ดูภาพในกระจกพลางยิ้มกริ่ม เมื่อหวงจื่อรั่วหลุดออกจากภวังค์เป็นคนแรก

“ข้าชนะแล้ว! ข้าบอกแล้วว่าสตรีจะเป็นฝ่ายหลุดออกมาก่อน!”

 เขากระโดดลุกขึ้นทันที พลางหันไปมองฟ่านหวง 

ฟ่านหวงเลิกคิ้วขึ้น พลางยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าจะดีใจอะไรนักหนา? นั่นมันบุรุษ ไม่ใช่สตรี เจ้าเสียเดิมพันแล้ว!”

จางอี้หมิงหันขวับมามองเขาด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ “ท่านนี่มันตาถั่วหรืออย่างไร! นางไม่ใช่บุรุษ นางเป็นสตรี!”

ฟ่านหวงชะงักเล็กน้อย ก่อนหัวเราะออกมา “เจ้าล้อข้าเล่นหรือ? เจ้าไม่เห็นเสื้อผ้าที่ศิษย์ผู้นั้นใส่หรืออย่างไร?”

“มีตาหามีแวว! ” จางอี้หมิงขัดขึ้นทันที เสียงดังจนคนอื่นในห้องประชุมหันมามอง เขาชี้นิ้วไปที่ฟ่านหวงพลางด่าต่อ 

“ข้าจะบอกอะไรท่านให้ หวงจื่อรั่วเป็นคนในจวนพ่อข้าเอง ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร!”

ฟ่านหวงชะงัก สีหน้าสับสน “จริงหรือ? นางเป็นสตรี?”

จางอี้หมิงยักคิ้วด้วยท่าทางเย้ยหยัน “แน่นอน! ท่านจะยอมรับหรือไม่?”

ฟ่านหวงมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อเห็นสีหน้ามั่นอกมั่นใจของจางอี้หมิง เลยไม่อยากจะทักท้วงอะไรเพิ่มเติม เขาหยิบเหรียญทองแดง 20 อีแปะขึ้นมาแล้วโยนให้จางอี้หมิง “เอาไป แค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่ข้าจะยอม”

จางอี้หมิงรับเงินมา ยิ้มอย่างมีชัย “ท่านเป็นรองข้าไปอีกร้อยปี”

จางอี้หมิงยักไหล่พลางเก็บเงินเข้ากระเป๋า ก่อนจะตั้งใจดูการสอบต่อไป

ห้องโถงของผู้สอบผ่าน

ภายในห้องโถงใหญ่ของหอเทียนหยาง พื้นห้องปูด้วยศิลาเรียบสีขาวขุ่นซึ่งสะท้อนแสงจากโคมที่ลอยอยู่เหนือศีรษะทั่วทั้งห้อง ผนังทั้งสี่ด้านประดับด้วยลวดลายภาพวาดอักษรโบราณ

หลินหนิงและหวงจื่อรั่วยืนอยู่กลางห้องด้วยกัน ทั้งสองเงียบงันขณะมองไปรอบๆ หวงจื่อรั่วกอดอกด้วยท่าทางสงบนิ่ง แต่ในใจกลับรู้สึกโล่งใจที่ผ่านการสอบมาได้ ส่วนหลินหนิงยังคงปาดน้ำตาที่หลงเหลือจากตื้นตันใจที่สอบผ่าน

ไม่นานนัก ผู้เข้าสอบที่ผ่านการทดสอบก็ค่อยๆ ทยอยมาถึงทีละคน บางคนเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่อ่อนล้า บางคนถึงกับโห่ร้องออกมาเบาๆ ด้วยความยินดีเมื่อได้ก้าวเข้าสู่ห้องแห่งนี้

เมื่อเวลาสอบหมดลง เสียงระฆังดังกังวานไปทั่วทั้งสำนัก บ่งบอกว่าการสอบสิ้นสุดลงแล้ว ผู้ที่สอบไม่ผ่านถูกดีดออกจากสนามสอบทันที มีเพียงผู้ที่ได้ไปต่อเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่

ที่ห้องโถงใหญ่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความยินดีและเสียงพูดคุยเบาๆ ของผู้เข้าสอบที่ผ่านการทดสอบ แต่เมื่อประตูใหญ่ของห้องโถงเปิดออก เสียงพูดคุยก็เงียบลงทันที 

ทุกคนหันไปมองทางประตูที่เปิดออกมาเบื้องหน้า เจ้าสำนักกู่เจิ้งเดินเข้ามาด้วยกิริยาสง่างามและน่าเกรงขาม ขนาบข้างด้วยศิษย์พี่ชิงซิ่ว ผู้เชี่ยวชาญเวทแห่งเสียง และศิษย์พี่ลิ่วเฉียง ผู้มีชื่อเสียงด้านวรยุทธ์และเวทเคลื่อนย้าย ซึ่งทั้งสองคือศิษย์ระดับสูงสุดของสำนัก

เจ้าสำนักกู่เจิ้งหยุดยืนอยู่ที่แท่นกลางห้องโถง สายตาอันทรงพลังของเขากวาดมองผู้เข้าสอบที่ผ่านการทดสอบทั้งหมดด้วยแววตาอ่อนโยน

“ยินดีต้อนรับพวกเจ้าทุกคนสู่สำนักเทียนหยาง” เสียงของเจ้าสำนักดังกังวานไปทั่วห้องโถง “ตอนนี้พวกเจ้าทุกคนได้ผ่านการสอบมาได้ ถือเป็นก้าวแรกสู่วิถีแห่งการเป็นผู้ฝึกตน”

เขาหยุดเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “แต่หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล ข้าขอให้พวกเจ้ากลับไปเตรียมตัวให้พร้อม คืนนี้พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วพรุ่งนี้มารายงานตัวเพื่อเริ่มต้นการฝึกฝนในสำนักเทียนหยางอย่างแท้จริง”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 12 ยาฟื้นฟูร่างกายไม่ใช่ปรับสมดุลพลัง

    เมื่อการสอบสิ้นสุดลง จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่ในห้องประชุม จากนั้นศิษย์พี่ฟางหรงในชุดยาวปักลวดลายประณีต รูปร่างโปร่งบาง งดงามราวกับภาพวาดบนม้วนกระดาษโบราณ ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิฟางหรงหันมาทางจางอี้หมิง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่มีเสน่ห์ “จางอี้หมิง เดี๋ยวเจ้าตามข้ามา ข้ามียาฟื้นฟูที่บ่มไว้นานแล้ว คาดว่าน่าจะเสร็จพอดี เดี๋ยวเจ้าไปเอายาที่บ้านข้า”จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขามองศิษย์พี่ฟางหรงด้วยสายตาชื่นชม ก่อนพึมพำในใจว่า "ศิษย์พี่ฟางหรงของข้าผู้นี้ มองยังไงก็งดงาม น่าจะงามสุดในสำนักแล้ว"เขาลุกขึ้นยืน ยิ้มพลางตอบนาง “ขอบคุณศิษย์พี่ฟางหรง ข้าจะรีบไปตามคำสั่งของท่าน”ฟางหรง ผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์การรักษาและฟื้นฟู เป็นหนึ่งในศิษ

    Last Updated : 2025-02-16
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 13 วันเปิดการศึกษาของศิษย์หน้าใหม่

    วันที่สำนักเทียนหยางกลับมาเปิดการฝึกฝนใหม่อีกครั้ง ยามนี้ศิษย์ระดับสูงอย่างชิงซิ่วและลิ่วเฉียงที่อยู่ในระดับแปดซึ่งตอนนี้ก็ต่างแยกย้ายกันไปเก็บตัวเพื่อฝึกฝนพลังปราณให้แข็งแกร่งกว่าเดิม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครจะทะลวงเข้าสู่ระดับเก้าก่อนกัน ฟางหรงคนงามตอนนี้ก็ออกเดินทางไปรวบรวมสมุนไพรที่เหลืออยู่อีกสิบเจ็ดชนิด เมื่อมีเหตุด่วนเหตุร้ายเมื่อไหร่จึงค่อยกลับมายังสำนักเทียนหยาง ส่วนเรื่องการฟื้นฟูรักษาก็เป็นหน้าที่ของศิษย์สายตรงของนางที่รับไว้ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในระดับสองและระดับหนึ่งเป็นผู้ดูแลศิษย์ที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วย ในเวลานี้ศิษย์ระดับเจ็ดอย่างเฉินเจิ้งเป็นผู้มีระดับปราณสูงสุดในสำนักส่วนเจ้าสำนักกู่เจิ้งไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน หากเขาอยากมาก็จะมาเอง

    Last Updated : 2025-03-01
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 14 ด้ามพัดอันเร้าร้อน

    จางอี้หมิงมองตามถัวเค่อชีผู้นั้น เขารู้ดีว่าศิษย์ระดับสามผู้นั้นริษยาเขามาตลอด เหตุที่อายุเท่ากัน แต่จางอี้หมิงเข้าสำนักก่อน ได้เป็นศิษย์สายตรงของกู่เจิ้ง และทะลวงด่านขึ้นสู่ระดับสูงสำเร็จ แต่ถั่วเค่อชีผู้นั้นทำได้เพียงระดับสามเท่านั้น “หากข้าได้พลังปราณกลับคืนเพียงนิด เจ้าจะเป็นคนแรกที่บิดาจะสั่งสอน!” จางอี้หมิงลอบคิดในใจ ก่อนจะเดินนำหลินหนิงและหวงจื่อรั่วไปเพื่อรับฟังคำชี้แจงจางอี้หมิงยืนข้างหวงจื่อรั่ว ลอบมองใบหน้างดงามหมดจดของนาง ก่อนจะกระซิบกับนางเบาๆ “ที่นี่ศิษย์ระดับศูนย์จะต้องนอนร่วมกัน แต่แบ่งแยกชายหญิง เจ้าควรเลิกปลอมเป็นชายได้แล้ว”หวงจื่อรั่วมองเขาตอบด้วยสายตาเย็นชา “ข้าไม่ได้ปลอม”“เห็นชั

    Last Updated : 2025-03-02
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 15 บทเรียนแรก

    เสียงระฆังดังเป็นสัญญาณเริ่มต้นวันเรียนแรกของเหล่าผู้ฝึกตนหน้าใหม่ ศิษย์ใหม่ต่างทยอยกันเข้ามานั่งประจำโต๊ะกันอย่างเร่งรีบ เนื่องจากเป็นวันแรกที่ไม่มีใครอยากถูกเพ่งเล็งมากนักนี่เป็นสิ่งที่จางอี้หมิงเห็นเป็นประจำในทุกครั้ง แต่หลังจากศิษย์หน้าใหม่เหล่านี้ สามารถจับทิศทางของอาจารย์ผู้สอนได้แล้ว ก็มักจะนอกลู่นอกทางกันบ้างแต่ยังอยู่ในขอบเขตท่ามกลางบรรยากาศของห้องเรียนที่โปร่งโล่ง ผนังแกะสลักลวดลายวิจิตรและหน้าต่างเปิดรับแสง สองดรุณีสาวผู้งดงามเหนือใครในสายตาของจางอี้หมิงรวมถึงสายตาใครอีกหลายคน พลันปรากฏตัวขึ้นในห้องเรียนนี้หลินหนิง ดรุณีสาววัยสิบหก ผู้มีดวงตากลมโตแวววาวเหมือนหยาดน้ำค้าง ผิวขาวอมชมพูเปล่งประกายราวหิมะ นางเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใสที่ทำให้ทั้งห้องเหมือนสว่างขึ้น ข้างกายนางคือ หวงจื่อรั่ว ผู้มีโฉมงามหมดจดราวนางในภาพวาด แต่มักทำหน้านิ่งขรึมจนดูเย็นชา ทั้งสองเลือกโต๊ะคู่อยู่กลางห้อง และนั่งลงอย่างสงบ

    Last Updated : 2025-03-03
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 16 การโคจรลมปราณครั้งใหม่

    ซ่งอินเดินวนไปมาหน้าห้องเรียนด้วยท่าทางสง่างาม เขามองเหล่าผู้ฝึกตนหน้าใหม่ที่นั่งเรียงกันในท่าฝึกสมาธิอย่างเงียบงัน ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่ทรงพลัง“หน้าที่ของพวกเจ้าในวันนี้คือโคจรลมปราณและใช้พลังของเจ้า ทำให้แผ่นไม้เล็กเรียวยาวตรงหน้าลอยอยู่กลางอากาศให้ได้”ทุกคนต่างหันมามองแผ่นไม้ที่วางอยู่ตรงหน้าของตัวเอง ด้วยแววตาที่ผสมผสานระหว่างความมุ่งมั่นและกังวลซ่งอินอธิบายเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“การควบคุมลมปราณในระดับนี้เป็นพื้นฐานของการฝึกขี่อาวุธในอนาคต หากพวกเจ้าทำไม่ได้ แม้แต่เหาะเหินเดินอากาศก็คงเป็นไปไม่ได้ จงตั้งสมาธิ หายใจให้ช้า และดึงพลังปราณจากภายในตัวเจ้าออกมา!”ศิษย์แต่ละคนพยายามทำตามคำแนะนำ บางคนหลับตา บางคนจ้องแผ่นไม้ด้วยความตั้งใจสุดกำลัง เสียงลมหายใจดังสลับกับเสียงพึมพำเบาๆ ของบางคนที่พยายามรวบรวมสมาธิ

    Last Updated : 2025-03-04
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 17 เวลาล้างอาย

    หลังจากการฝึกฝนเสร็จสิ้น ศิษย์ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับไปยังเรือนพักของตน หลินหนิงและหวงจื่อรั่ว เดินกลับเรือนของพวกนางด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อถึงเรือนพัก หลินหนิง ทิ้งร่างอันบอบบางลงบนเตียงนุ่มอย่างหมดแรง นางเอนตัวพลางบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า“วันนี้ช่างเหนื่อยยิ่งนัก...”หวงจื่อรั่ว ที่นั่งลงบนเตียงอีกฟากหนึ่งอย่างสำรวมและสง่างาม แม้จะแต่งกายคล้ายชายหนุ่ม แต่รูปร่างของนางยังคงเผยความเป็นสตรีด้วยแผ่นอกที่ดูเด่นสะดุดตา นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ“เจ้าช่างเรียนรู้ได้ไวยิ่งนัก น่าชื่นชม”หลินหนิง พลิกตัวมองไปทางหวงจื่อรั่วแล้วเผยรอยยิ้มบาง“ข้าไม่ได้เก่งอะไรหรอก เพียงแต่…ตัวข้าตั้งใจมาเป็นผู้ฝึกตน เพราะอยากให้ครอบครัวของข้าอยู่สุขสบายขึ้น เลยตั้งใจมากเป็นพิเศษเท่านั้น”

    Last Updated : 2025-03-05
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 18 การป้องกันที่มิอาจลืม

    “ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย” ศิษย์พี่ฟ่านหวงกล่าว“ครั้งนี้มีศิษย์พี่ฟ่านหวงเป็นตัวตั้งตัวตี เรื่องการไปเที่ยวสำนักสังคีตรอบนี้ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้แน่”เหอะ! เจ้าซ่งอินผู้นี้ ติดนิสัยหื่นกามมาจากผู้ใด ถึงขนาดไปขอความช่วยเหลือจากศิษย์ระดับหก นับว่ามักมากในกามไม่น้อย“ครั้งนี้ข้าจะเลี้ยงพวกเจ้าเอง”ฟ่านห่วงยิ้มเปล่งประกายประกอบกับใบหน้าอันคมคายของเขาแล้ว ก็นับว่าหล่อเหล่าดูดียิ่ง เขาค่อยๆ หยิบถุงเงินจากภายในเสื้อออกมาโยนแสดงให้ดูในกำมือโอ! ศิาย์พี่ข้าผู้นี้ นับว่ามักมากในกามไม่แพ้กัน เห็นทีคำกล่าวของซ่งอินคงเป็นจริง ศิษย์พี่นี่แหละที่เป็นตัวตั้งตัวตีหลัก“นับเป็นวาสนาของพวกเจ้าแล้ว ที่ศิษย์พี่คนนี้เลี้ยงดูเป็นอย่างดี”ฟ่านหวงกล่าวอย่างภูมิใจ

    Last Updated : 2025-03-06
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 19 พิชิตยอดคณิกาสาว

    “ใช่แล้ว อิ้นเอ๋อร์”จางอี้หมิงกล่าวพร้อมซดสุราหมดจอกในคราเดียวฟ่านหวงตบโต๊ะเสียงดังจนแก้วสุราสั่นสะเทือน เสียงดังนั้นทำให้บรรยากาศในสำนักสังคีตหยุดชะงัก ดนตรีที่บรรเลงอย่างไพเราะก็พลันเงียบลง เหล่าคณิกาและบัณฑิตในห้องโถงต่างหันมามองฟ่านหวงด้วยความสงสัยฟ่านหวงรู้สึกตัวว่าตนเป็นต้นเหตุ จึงรีบหันกลับไปยังทุกคนพร้อมโบกมือพลางพูดเสียงดัง “ไม่มีอะไร! พวกท่านบรรเลงต่อไปเถิด!”ฟ่านหวงยกสุ

    Last Updated : 2025-03-07

Latest chapter

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 43 ซ่อมม่านพลังป้องกัน

    ศิษย์ระดับสามและศิษย์ระดับต่ำกว่านั้นบางกลุ่มก็ออกไปจัดการกับอสูรดินเหนียวในจุดต่างๆ ถัวเค่อชีเองก็เช่นกัน ที่มีหน้าที่จัดการกับเหล่าอสูรดินเหนียวที่บุกโจมตีสำนักจากนั้นถัวเค่อชีก็แยกตัวออกจากกลุ่มศิษย์ที่กำลังต่อสู้กับอสูรดินเหนียว โดยอ้างว่าจะจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียว ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเรียกหาอยู่กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาท ขณะที่ถัวเค่อชีเดินเข้าไปในเงามืดของป่า เสียงนั้นไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวของเขาเอง และไม่อาจสลัดเสียงเหล่านั้นออกไปจากร่างกายได้แม้แต่น้อยร่างกายของถัวเค่อชีเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกย่างก้าว จนกระทั่งเขามาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีเงาร่มครึ้มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นขึ้นมาจากกลางศีรษะ ทะลวงไปถึงไขสันหลัง ถัวเค่อชีทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมหัวแน่นราวกับจะป้องกันมิให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง ร่างกายสั่นสะท้านจากความทุกข์ทรมาน ดวงตาพร่าเลือน เหมือนมีเงามืดแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ“อ๊ากกก!!”ถัวเค่อชีส่งเสี

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 42 เสริมม่านพลัง

    เจียงเยว่และหลี่เกอซินยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของหอเทียนหยาง สายลมพัดเอื่อย ผมยาวสลวยของทั้งคู่ปลิวไสวไปตามสายลมดวงตาของเจียงเยว่จับจ้องไปยังท้องฟ้า และพื้นเบื้องล่าง ที่มีกองทัพอสูรดินเหนียวเข้ามาไม่พักหลี่เกอซิน ศิษย์น้องผู้ชำนาญวิชาตรวจจับ ยืนนิ่งข้างๆ นางหลับตาลงเล็กน้อย ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ที่อารามทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีปัญหา ทำให้ม่านพลังป้องกันเกิดรอยรั่ว”“แล้วอย่างไร?”“พวกเราต้องไปซ่อมแซมจุดนั้นโดยด่วน เพียงแต่ทางด้านนั้นมีศัตรูเข้ามามากเกินไป ข้าเกรงว่าหากไปตอนนี้จะไม่ปลอดภัย”เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ นางคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “ก่อนอื่นต้องระงับศัตรูไม่ให้เข้ามาชั่วคราว แล้วค่อยเข้าไปซ่อมแซมม่านพลัง”“แล้วควรทำอย่างไรดีศิษย์พี่?”“เจ้ารอที่นี่ก่อน”เจียงเยว่เหลือบตามองลงไปด้านล่าง ราวกับกำลังมองหาบางคน ดวงตาของนางสะท้อนเงาร่างหนึ่งที่กำลังต่อสู้

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 41 จากสายฟ้าลงสู่ผืนดิน

    เหนือฟากฟ้ากลางเวหาทางด้านฟ่านหวงยืนหยัดอยู่กลางเวหา มือถือกระบี่สายฟ้าที่เปล่งประกายแสงสีฟ้าสว่างไสว สายฟ้าสีครามแผ่พุ่งออกมาจากกระบี่ แปรเปลี่ยนเป็นประกายสายฟ้าฟาดลงมาอย่างดุดันเบื้องหน้าของเขา มีอสูรดินเหนียวจำนวนมากที่รวมตัวกันเป็นกองทัพ มันสูงใหญ่และแข็งแกร่ง ร่างกายของมันถูกปั้นขึ้นมาจากดินเหนียวสีเทาเข้ม สายตาของมันแดงก่ำ ราวกับเปลวไฟที่ลุกโชนด้วยความเกรี้ยวกราด“กระบี่สายฟ้าพิฆาต!” ฟ่านหวงตวาดเสียงดังกึกก้อง พร้อมกับยกกระบี่ขึ้นเหนือศีรษะ ลมปราณมหาศาลไหลเวียนไปทั่วร่างของเขาเปรี้ยง!สายฟ้าสีครามฟาดเปรี้ยงลงมา ฟาดผ่าร่างของอสูรดินเหนียวจนกระเด็นกระดอน เศษดินกระจายออกไปทั่วอากาศประกายสายฟ้าสีครามสว่างจ้า แสงสีฟ้าพลุ่งพล่านราวกับคลื่นพายุ ฟ่านหวงเหวี่ยงกระบี่ออกไปอย่างรุนแรง ฟาดใส่ศัตรูตัวแล้วตัวเล่าสายฟ้าขนาดมหึมาพุ่งออกจากกระบี่ ฟาดผ่าลงมากลางกองทัพอสูรดินเหนียว เสียงระเบิดดังกึกก้อง แผ่นดินสั่นสะเทือน เศษดินกระจายกระเด็นไปทั่วทุกสารทิศคลื่นพลังระเบิดออกเป็นวงกว้าง เผาไหม้อสูรดินเหนียวให้แตกกระจายกลายเป็นผุยผง เศษด

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 40 เตรียมตัวสำหรับการรบ

    สายลมเย็นพัดผ่านยอดไม้ใหญ่ กิ่งไม้เสียดสีกันดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดบนก้านต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน ร่างสตรีปริศนาผู้หนึ่งยืนอยู่ นางสวมชุดคลุมสีเทาหม่น สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าสายตาของนางจ้องมองไปยังที่ตั้งของสำนักเทียนหยาง ราวกับกำลังเฝ้ารอเวลาอะไรบางอย่าง“เป็นอย่างไรบ้าง?”เสียงแหบห้าวดังขึ้นจากด้านหลังร่างชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทา สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเช่นกัน เขาก้าวเข้ามาใกล้อย่างเงียบงันสตรีในชุดคลุมไม่หันกลับมา นางเอ่ยเสียงเย็นชา“ข้าใส่จิตวิญญาณมารให้แก่ศิษย์คนนึงในสำนักเทียนหยางแล้ว ตอนนี้... ม่านพลังป้องกันมีรอยรั่วเล็กน้อย หน้าที่ของข้ามีเพียงเท่านี้”นางเหลือบตามองชายผู้นั้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว เชียนหวง”“อย่าทำให้เจ้าตำหนักพิโรธอีกรอบล่ะ”ดวงตาภายใต้หน้ากากของเชียนหวงเป็นประกายวาวโรจน์ เขายกคางขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งผยองทะนงตน “เรื่องนั้นไม่ต้องให้เจ้ามาสอน”“แน่ใจใช่ไหมว่าศิลาเฝิ่นเหิงอยู่ในสำนักเทียนหยาง?” เชียนหวงเอ่ยถาม น

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 39 สอนการบินให้สาวงาม

    แสงอรุณแรกสาดส่องผ่านบานหน้าต่าง ลำแสงสีทองกระทบใบหน้าของจางอี้หมิง เขาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย แต่เมื่อขยับตัวจึงพบว่า…“พื้นหน้าประตูบ้าน... ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้?”เขากวาดสายตามองรอบๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้ ศิษย์พี่เจียงเยว่ บุกมายึดเตียงของเขาและบังคับให้เขานอนเฝ้าประตูแทน“ช่างไร้น้ำใจเสียจริง! แย่งที่นอนข้าแล้วยังไม่คิดจะปลุกกันบ้างเลย”จางอี้หมิงบ่นอุบอิบพร้อมทั้งลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เส้นผมยุ่งเหยิง เขาขยี้ตาเบาๆ แล้วหันไปมองเตียงนอน…เตียงว่างเปล่า ไม่มีเงาของศิษย์พี่เจียงเยว่“ไว้วันหนึ่งท่านร่วมเตียงกับข้าเมื่อไหร่ ข้าจะปลุกขึ้นมาเสพสุขแต่เช้า”แม้จะบ่น แต่ใบหน้าของจางอี้หมิงกลับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อยจากนั้น จางอี้หมิงก็จัดการตัวเอง ล้างหน้า แปรงฟัน และเปลี่ยนชุดเรียบร้อย จางอี้หมิงเดินทอดน่องไปยังลานฝึกเบื้องล่างของสำนักวันนี้ก็เหมือนทุกวัน ไม่มีอันใดพิเศษเขาเข้าร่วมชั้นเรียนอย่างขอไปที ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ยังคงแสร้งทำเป็นตั้งใจต่อหน้าผู้สอนระหว่างพักการฝึก…

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 38 ปลดม่านพลังป้องกัน

    กริ๊ง!กริ๊ง!กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังขึ้น ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัด ถัวเค่อชีสะดุ้งตื่น ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เป็นเพราะแรงบางอย่างที่กำลังเรียกหาเขาวาบ!แสงสีม่วงสว่างวาบขึ้นตรงกลางหน้าผากของถัวเค่อชีลูกตาดำของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นราวกับวิญญาณไร้ชีวิต ก่อนจะค่อยๆ กลับคืนสู่สีดำ เสียงกระดิ่งยังคงดังต่อเนื่อง ดังก้องเข้าไปในห้วงจิตใจของเขากริ๊ง!อึก...!ถัวเค่อชีขบกรามแน่น พยายามดึงสติกลับคืนมา เขากุมศีรษะ ใช้กำปั้นทุบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ออกไป! ข้าไม่ต้องการเจ้า!”ถัวเค่อชียังคงทุกข์ทรมาน แต่แล้ว…เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเขา“จงลืมตาขึ้น... ความแข็งแกร่งที่แท้จริงกำลังรอเจ้าอยู่…”ดวงตาของถัวเค่อชีสั่นไหว มือของเขาสั่นระริก เสียงกระดิ่งยังคงดังไม่หยุด“เจ้าจำไม่ได้เหรอ... ว่าจางอี้หมิงน่าแค้นใจเพียงไร?”ทันใดนั้น ภาพแห่งความทรงจำในอดีตก็ไหลทะลักเข้ามาในหัวของเขาสิบปีก่อน…เด็กชายวัยสิบขวบเดินทางมาย

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 37 ความฝันและความสุขของจางอี้หมิง

    จางอี้หมิงเดินทางมาถึงบ้านของศิษย์พี่เฉินเจิ้ง บ้านของเฉินเจิ้งเต็มไปด้วยเศษโลหะกระจัดกระจายทั่วบริเวณ บางชิ้นเป็นแผ่นเหล็ก บางชิ้นเป็นเศษดาบที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และบางชิ้นก็เป็นเพียงเศษเหล็กที่ขึ้นสนิมไปแล้ว ที่หน้าบ้านมีเตาหลอมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ เปลวไฟที่มอดลงไปแล้วทำให้รู้ว่าเฉินเจิ้งคงเพิ่งทำงานเสร็จไม่นานจางอี้หมิงมองสภาพบ้านแล้วอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “เพ่ย! ศิษย์พี่เฉินเจิ้ง ช่างโสโครกยิ่งนัก!”ทันใดนั้น เสียงจากในบ้านก็ดังขึ้นมาทันที “เจ้าพูดอะไรข้าได้ยินนะ!”จางอี้หมิงยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าตั้งใจให้ท่านได้ยิน” แล้วเดินเข้าไปในบ้านภายในบ้านรกไม่แพ้ด้านนอก หากแต่สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในนี้ไม่ใช่เศษโลหะ แต่เป็นกองหนังสือที่กองระเกะระกะจนแทบไม่มีทางเดิน พื้นบางส่วนมีรอยหมึกเปรอะเปื้อน บางจุดมีม้วนตำราวางซ้อนกันจนสูงท่วมหัวเฉินเจิ้งคือผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ค้อนและหลอมโลหะ แถมยังเป็นผู้ชำนาญการอ่านตำราตอนกลางวันเขามักหมกมุ่นอยู่กับเตาหลอมโลหะ ส่วนกลางคืนจะหมกมุ่นอยู่กับตำราในบ้านจางอี้หมิงลัดเ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 36 กลับเข้าสู่การฝึกตน

    วันนี้เหล่าศิษย์ระดับศูนย์ ซึ่งเป็นระดับฐานของสำนักเทียนหยาง ต้องกลับสู่การฝึกฝนอีกครั้งจางอี้หมิงเดินผ่านประตูห้องเรียนเข้ามาด้วยท่าทางผ่อนคลาย สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับสองดรุณีงามหลินหนิงและหวงจื่อรั่ว สองสาวที่งามหยดย้อยในอาภรณ์ที่สะอาดตาแต่แนบเน้นรูปร่างพองาม สัดส่วนอ่อนช้อยของพวกนางช่างเย้ายวนจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง พลางโบกพัดในมือราวกับเป็นบัณฑิตเจ้าสำราญ แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาพวกนางอย่างไม่เร่งรีบทว่า ก่อนที่เขาจะไปถึงเป้าหมาย ชายหนุ่มสองคนก็ขวางทางไว้ คนหนึ่งแซ่หม่า อีกคนแซ่เจียง ทั้งสองเป็นสมุนของซุนสีห่าว บุตรชายของขุนนางใหญ่ แต่กลับเป็นคุณชายไม่เอาไหน ที่ฟ้าดินกลั่นแกล้งให้มาเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของน้องสาวจางอี้หมิงสมุนทั้งสองของซุนสีห่าวกอดอก ยืดอกทำท่าโอหัง ก่อนที่ผู้แซ่หม่าจะชี้นิ้วมาที่จางอี้หมิง“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” ผู้แซ่หม่ากล่าวเสียงดัง “วันนี้พวกข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าจากเหตุการณ์วันนั้น ที่เจ้าทำให้พวกข้าอับอายที่หน้าสำนักบ่อนเบี้ย!”จางอี้หมิงเหลือบตามองพวกเขาเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความเฉยเมย ก่อนจ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 35 เรื่องเล่าจากศิลาเฝิ่นเหิง

    เช้าของวันใหม่ วันนี้เป็นวันที่ต้องเดินทางกลับสำนักเทียนหยางเพื่อไปฝึกฝนวิชาต่อ เหล่าศิษย์ระดับล่างที่หยุดผักผ่อนด้านนอก จะต้องกลับไปยังสำนักความจริงแล้วแม้ว่าจางอี้หมิงจะเป็นศิษย์ระดับสูง แต่ก็ต้องปฏิบัติถามกฎนี้ด้วยเช่นกัน เว้นแต่ว่าจะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจด้านนอก ก็สามารถแวะพักผ่อนตามทางได้เช่นกัน ขอแค่ภารกิจไม่เสียหายอาจจะมีบางครั้งที่เขาหรือศิษย์แอบหนีเที่ยวออกมา ซึ่งทางสำนักก็หลับตาข้างเดียวอนุโลมให้ หากหลบมาเพียงแค่คืนเดียว เพราะเป็นที่รู้กันว่าเป็นการออกไปหาความสุขชั่วคราวเท่านั้นจางอี้หมิง และ หวงจื่อรั่ว ควบม้าคู่กันออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน สายลมยามเช้าพัดจางๆ เย็นสบายยิ่งนัก ท้องฟ้าสีครามสดใส อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การเดินทางทั้งสองคนควบม้าเคียงกัน จางอี้หมิงมีธัญพืชขบเคียวตลอดทาง ส่วนหวงจื่อรั่วรักษาท่าทีได้ดี จนกระทั่งออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน เมื่อถึงบริเวณเขตชั้นนอก พวกเขาพบ แม่นางหลินหนิง กำลังยืนรออยู่ข้างทาง หลินหนิงทักทายทั้งสองก่อนจะขี่ม้าเดินต

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status