Home / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 15 บทเรียนแรก

Share

บทที่ 15 บทเรียนแรก

เสียงระฆังดังเป็นสัญญาณเริ่มต้นวันเรียนแรกของเหล่าผู้ฝึกตนหน้าใหม่ ศิษย์ใหม่ต่างทยอยกันเข้ามานั่งประจำโต๊ะกันอย่างเร่งรีบ เนื่องจากเป็นวันแรกที่ไม่มีใครอยากถูกเพ่งเล็งมากนัก

นี่เป็นสิ่งที่จางอี้หมิงเห็นเป็นประจำในทุกครั้ง แต่หลังจากศิษย์หน้าใหม่เหล่านี้ สามารถจับทิศทางของอาจารย์ผู้สอนได้แล้ว ก็มักจะนอกลู่นอกทางกันบ้างแต่ยังอยู่ในขอบเขต

ท่ามกลางบรรยากาศของห้องเรียนที่โปร่งโล่ง ผนังแกะสลักลวดลายวิจิตรและหน้าต่างเปิดรับแสง สองดรุณีสาวผู้งดงามเหนือใครในสายตาของจางอี้หมิงรวมถึงสายตาใครอีกหลายคน พลันปรากฏตัวขึ้นในห้องเรียนนี้

หลินหนิง ดรุณีสาววัยสิบหก ผู้มีดวงตากลมโตแวววาวเหมือนหยาดน้ำค้าง ผิวขาวอมชมพูเปล่งประกายราวหิมะ นางเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใสที่ทำให้ทั้งห้องเหมือนสว่างขึ้น ข้างกายนางคือ หวงจื่อรั่ว ผู้มีโฉมงามหมดจดราวนางในภาพวาด แต่มักทำหน้านิ่งขรึมจนดูเย็นชา ทั้งสองเลือกโต๊ะคู่อยู่กลางห้อง และนั่งลงอย่างสงบ

ไม่นาน เหล่าศิษย์คนอื่นๆ ก็ทยอยเข้ามาจับจองที่นั่งกันตามลำดับ จนกระทั่งชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดเรียบง่ายเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน จางอี้หมิง ในฐานะผู้ร่วมฝึกทบทวน พยายามไม่ทำตัวเด่น เขาเลือกนั่งโต๊ะหลังสุดเพื่อตั้งใจฝึกฝนและเฝ้าสังเกตอย่างเงียบๆ

จากนั้นไม่นานนัก ซุนสีห่าว คุณชายจากตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ ปรากฏตัวในช่วงท้าย เขาเดินเข้ามาด้วยท่าทางเย่อหยิ่งและโอ้อวด เป้าหมายในการนั่งของเขาคือโต๊ะที่อยู่ด้านหลังสุด

แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าที่นั่งหลังสุดถูกจางอี้หมิงจับจองอยู่ ซุนสีห่าวเดินตรงเข้าไปยืนเหนือจางอี้หมิง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง

“เจ้า ไปนั่งที่อื่นซะ ข้าจะนั่งตรงนี้”

จางอี้หมิงเพียงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตากลับไปยังตำราในมือ ทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดนั้น

ท่าทีเฉยเมยของจางอี้หมิงทำให้ซุนสีห่าวโกรธ เขาประกาศเสียงดัง

“เจ้ารู้ไหมว่าข้าคือใคร! ข้าเป็นบุตรชายของรองเจ้ากรมคลังแห่งอาณาจักรต้าเฉิง!”

จางอี้หมิงหันมองเขาอีกครั้งด้วยสายตาเย้ยหยัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายแต่แฝงความดูถูก

“ก็แค่ลูกขุนนาง ต่อให้พ่อของเจ้ามายืนอยู่ตรงนี้ ข้าก็ไม่กลัว”

“รองเจ้ากรมคลังผู้นั้นเมื่อเห็นหน้าข้าก็คงเรียกข้าว่าท่านพ่อ เจ้าเองก็ควรเรียกข้าว่าท่านปู่นะ”

คำพูดนั้นทำให้ซุนสีห่าวเดือดดาล เขาสั่งให้ลูกน้องสองคนของตนที่ยืนอยู่ด้านหลังเข้ามาล้อมจางอี้หมิงทันที บรรยากาศในห้องเริ่มตึงเครียด ทุกคนหันมาจับจ้องสถานการณ์ด้วยความลุ้นระทึก

ก่อนที่ความวุ่นวายจะเกิดขึ้นไปมากกว่านี้ ถัวเค่อชี อาจารย์ผู้ดูแลเดินเข้ามาพร้อมสายตาเรียบนิ่ง ซุนสีห่าวและพวก รีบกระจัดกระจายหาที่นั่งอย่างรวดเร็วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ถัวเค่อชีเดินมาหยุดตรงจางอี้หมิง เขามองชายหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน ก่อนจะเอ่ยเหน็บแนมเบาๆ ด้วยรอยยิ้มเยาะ

“ทำตัวโดดเด่นทั้งที่ไร้ความสามารถ”

คำพูดนั้นไม่ต่างจากคมมีดที่กรีดลงกลางใจ แต่จางอี้หมิงหาได้ใส่ใจอันใดไม่

เพ่ย! (ถุย!)

“ตอนนี้เป็นเวลาของเจ้า รีบตักตวงความสุขไว้เถิด” จางอี้หมิงคิดในใจมองตามแผ่นหลังของถัวเค่อชีผู้นั้นไป

วิชาของถัวเค่อชีเป็นวิชาบรรยายเรื่องพื้นฐานทั่วไป เสียงของถัวเค่อชีก้องกังวานตลอดการบรรยาย เขาเดินวนทั่วห้อง พลางอธิบายเรื่องพื้นฐานที่เหล่าศิษย์ใหม่จำเป็นต้องรู้

จางอี้หมิงนั่งเอนตัวพิงเก้าอี้ด้านหลังสุดของห้องอย่างเบื่อหน่าย เขารู้เรื่องเหล่านี้ดีจนไม่ต่างจากการอ่านตำราเก่าซ้ำไปซ้ำมา

“โลกนี้แบ่งเป็นสามแดนหลัก ได้แก่ แดนสวรรค์ แดนมนุษย์ และแดนปีศาจ เรื่องเหล่านี่นับเป็นเรื่องทั่วไป ข้าฟังซ้ำมาไม่รู้กี่รอบ เอาเถอะ ถือว่าทบทวน จะได้ไม่เบื่อมาก”

จากนั้นถัวเค่อชีก็อธิบายเพิ่มเติมไปว่า “บัดนี้แดนสวรรค์ล่มสลายไปแล้ว”

เมื่อถัวเค่อชีพูดถึงการล่มสลายของแดนสวรรค์ จางอี้หมิงรู้สึกตะหงิดใจขึ้นเล็กน้อย เพราะเขารู้ความจริงว่าแดนสวรรค์ไม่ได้ล่มสลายทั้งหมด แค่แตกแยกขาดผู้นำที่แท้จริงเท่านั้น

เอาเถอะ ถือว่ายังไม่ได้ลงรายละเอียดเชิงลึก ข้ายังไม่ขอโต้แย้งอะไรเจ้าในเวลานี้

ทว่าทันใดนั้น...หลินหนิงยกมือขึ้น ด้วยดวงตากลมโตและแววตาที่ฉายแววตั้งใจ เธอกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงใส

“ท่านอาจารย์ ข้ามีข้อสงสัย ตามตำราที่ข้าเคยอ่าน แดนสวรรค์ยังไม่ได้ล่มสลายเสียทีเดียว เพียงแค่แตกแยกและขาดผู้นำเท่านั้น ไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”

คำพูดของหลินหนิงทำให้ทั้งห้องเงียบลงทันที จางอี้หมิงหันไปมองหลินหนิงด้วยความสนใจ ก่อนจะยิ้มบางๆ ในใจเขาคิดว่า

“แม่นางผู้นี้พูดได้ตรงใจข้ายิ่งนัก”

ถัวเค่อชีชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าและกล่าวตอบด้วยท่าทีราบเรียบ

“สิ่งที่เจ้าพูดนั้นไม่ผิด แดนสวรรค์แค่แตกแยกและไร้ผู้นำ แต่สำหรับผู้ฝึกตนระดับต้นเช่นพวกเจ้า ยังไม่จำเป็นต้องรู้รายละเอียดมากนัก”

หลินหนิงพยักหน้าเบาๆ และก้มหน้าลงเรียนต่อไปโดยไม่โต้แย้งอะไรอีก ส่วนจางอี้หมิงยังคงยิ้มเล็กๆ กับตัวเอง พลางครุ่นคิดในใจ

“น่าสนใจยิ่งนัก หากแม่นางหลินหนิงอยากศึกษาเวทอักษร ข้าจะตั้งใจถ่ายทอดให้ดีกว่าที่ถ่ายทอดให้เจ้าซ่งอินนั่น”

การบรรยายของถัวเค่อชีผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งสิ้นสุดเวลาเรียน เขาเดินออกจากห้องไปเมื่อเสียงสัญญาณดังขึ้น

ทันใดนั้นเอง...ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องเรียน

ผู้มาใหม่คือ ซ่งอิน ศิษย์ระดับสามของสำนัก ชายหนุ่มร่างสูงสง่าในชุดสีขาวประดับลวดลายเงิน เขาก้าวขึ้นมายืนที่หน้าห้องเรียนด้วยท่าทางสุขุม ก่อนจะประกาศด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“วิชาถัดไป...คือการฝึกควบคุมลมปราณ”

คำพูดนั้นทำให้ทั้งห้องพากันตื่นเต้น แต่ไม่มีใครดูตื่นตัวเท่าจางอี้หมิง

เขาเบิกตากว้าง ดวงตาเป็นประกาย เพราะนี่คือสิ่งที่เขาเฝ้าคอยมาโดยตลอด เพราะสิ่งที่เขาต้องการในเวลานี้คือฝึกปรับสมดุลลมปราณ หากทำสำเร็จเมื่อใด เขาก็จะก้าวเข้าสู่จุดยิ่งใหญ่อีกครั้ง

“ในบรรดาศิษย์ระดับสาม เจ้าซ่งอินนับว่าเป็นยอดฝีมือระดับต้นในการควบคุมลมปราณ การได้เขามาเป็นครูฝึกนั้นนับว่าถูกต้อง”

จางอี้หมิงคิดในใจพลางหยักหน้าอย่างยินดี

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 16 การโคจรลมปราณครั้งใหม่

    ซ่งอินเดินวนไปมาหน้าห้องเรียนด้วยท่าทางสง่างาม เขามองเหล่าผู้ฝึกตนหน้าใหม่ที่นั่งเรียงกันในท่าฝึกสมาธิอย่างเงียบงัน ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่ทรงพลัง“หน้าที่ของพวกเจ้าในวันนี้คือโคจรลมปราณและใช้พลังของเจ้า ทำให้แผ่นไม้เล็กเรียวยาวตรงหน้าลอยอยู่กลางอากาศให้ได้”ทุกคนต่างหันมามองแผ่นไม้ที่วางอยู่ตรงหน้าของตัวเอง ด้วยแววตาที่ผสมผสานระหว่างความมุ่งมั่นและกังวลซ่งอินอธิบายเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“การควบคุมลมปราณในระดับนี้เป็นพื้นฐานของการฝึกขี่อาวุธในอนาคต หากพวกเจ้าทำไม่ได้ แม้แต่เหาะเหินเดินอากาศก็คงเป็นไปไม่ได้ จงตั้งสมาธิ หายใจให้ช้า และดึงพลังปราณจากภายในตัวเจ้าออกมา!”ศิษย์แต่ละคนพยายามทำตามคำแนะนำ บางคนหลับตา บางคนจ้องแผ่นไม้ด้วยความตั้งใจสุดกำลัง เสียงลมหายใจดังสลับกับเสียงพึมพำเบาๆ ของบางคนที่พยายามรวบรวมสมาธิ

    Last Updated : 2025-03-04
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 17 เวลาล้างอาย

    หลังจากการฝึกฝนเสร็จสิ้น ศิษย์ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับไปยังเรือนพักของตน หลินหนิงและหวงจื่อรั่ว เดินกลับเรือนของพวกนางด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อถึงเรือนพัก หลินหนิง ทิ้งร่างอันบอบบางลงบนเตียงนุ่มอย่างหมดแรง นางเอนตัวพลางบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า“วันนี้ช่างเหนื่อยยิ่งนัก...”หวงจื่อรั่ว ที่นั่งลงบนเตียงอีกฟากหนึ่งอย่างสำรวมและสง่างาม แม้จะแต่งกายคล้ายชายหนุ่ม แต่รูปร่างของนางยังคงเผยความเป็นสตรีด้วยแผ่นอกที่ดูเด่นสะดุดตา นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ“เจ้าช่างเรียนรู้ได้ไวยิ่งนัก น่าชื่นชม”หลินหนิง พลิกตัวมองไปทางหวงจื่อรั่วแล้วเผยรอยยิ้มบาง“ข้าไม่ได้เก่งอะไรหรอก เพียงแต่…ตัวข้าตั้งใจมาเป็นผู้ฝึกตน เพราะอยากให้ครอบครัวของข้าอยู่สุขสบายขึ้น เลยตั้งใจมากเป็นพิเศษเท่านั้น”

    Last Updated : 2025-03-05
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 18 การป้องกันที่มิอาจลืม

    “ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย” ศิษย์พี่ฟ่านหวงกล่าว“ครั้งนี้มีศิษย์พี่ฟ่านหวงเป็นตัวตั้งตัวตี เรื่องการไปเที่ยวสำนักสังคีตรอบนี้ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้แน่”เหอะ! เจ้าซ่งอินผู้นี้ ติดนิสัยหื่นกามมาจากผู้ใด ถึงขนาดไปขอความช่วยเหลือจากศิษย์ระดับหก นับว่ามักมากในกามไม่น้อย“ครั้งนี้ข้าจะเลี้ยงพวกเจ้าเอง”ฟ่านห่วงยิ้มเปล่งประกายประกอบกับใบหน้าอันคมคายของเขาแล้ว ก็นับว่าหล่อเหล่าดูดียิ่ง เขาค่อยๆ หยิบถุงเงินจากภายในเสื้อออกมาโยนแสดงให้ดูในกำมือโอ! ศิาย์พี่ข้าผู้นี้ นับว่ามักมากในกามไม่แพ้กัน เห็นทีคำกล่าวของซ่งอินคงเป็นจริง ศิษย์พี่นี่แหละที่เป็นตัวตั้งตัวตีหลัก“นับเป็นวาสนาของพวกเจ้าแล้ว ที่ศิษย์พี่คนนี้เลี้ยงดูเป็นอย่างดี”ฟ่านหวงกล่าวอย่างภูมิใจ

    Last Updated : 2025-03-06
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 19 พิชิตยอดคณิกาสาว

    “ใช่แล้ว อิ้นเอ๋อร์”จางอี้หมิงกล่าวพร้อมซดสุราหมดจอกในคราเดียวฟ่านหวงตบโต๊ะเสียงดังจนแก้วสุราสั่นสะเทือน เสียงดังนั้นทำให้บรรยากาศในสำนักสังคีตหยุดชะงัก ดนตรีที่บรรเลงอย่างไพเราะก็พลันเงียบลง เหล่าคณิกาและบัณฑิตในห้องโถงต่างหันมามองฟ่านหวงด้วยความสงสัยฟ่านหวงรู้สึกตัวว่าตนเป็นต้นเหตุ จึงรีบหันกลับไปยังทุกคนพร้อมโบกมือพลางพูดเสียงดัง “ไม่มีอะไร! พวกท่านบรรเลงต่อไปเถิด!”ฟ่านหวงยกสุ

    Last Updated : 2025-03-07
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 20 เสียงบางอย่างจากแดนสวรรค์

    บ้าเอ้ย! โดนจับได้แล้ว หึ! แต่…“ศิษย์พี่หญิง ท่านอย่าได้กล่าวหาเลื่อนลอยไร้หลักฐาน”เจียงเยว่ ไม่ตอบโต้ทันที นางก้าวเข้ามาพร้อมด้วยใบหน้าที่ดูไร้เรี่ยวแรงกับหน้าอกอันอวบอิ่มคู่นั้น นางขยับตัวเข้ามาใกล้ แล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น“นี่ไม่ใช่กลิ่นเครื่องหอมที่มีในสำนักเทียนหยาง แต่เป็นกลิ่นเฉพาะของสำนักส

    Last Updated : 2025-03-08
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 21 คลังอาวุธเปิดออก

    วิชาบรรยายของถัวเค่อชีดำเนินไปอย่างน่าเบื่อ จางอี้หมิงนั่งมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย ครุ่นคิดในใจว่า “ปฏิกิริยาของลมปราณขณะที่ข้าบรรเลงเพลงราคะกับแม่นางฉีเหอคืออะไร”นี่เป็นการปรับสมดุลงั้นหรือ ไม่สิ! ไม่ถูกต้อง! ตอนนี้ลมปราณภายในของข้ายังไม่สมดุลแต่แม่นางฉีเหอเป็นนางคณิกาในสำนักสังคีต จะเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ได้อย่างไร

    Last Updated : 2025-03-09
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 22 ทวนเหยียนหลง

    เสียงของ ซุนสีห่าว ดังก้องไปทั่วบริเวณ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งผยองเหล่าศิษย์หน้าใหม่ที่ยืนอยู่ต่างหันมามองอย่างสนใจ บางคนแอบกระซิบกระซาบถึงความกล้าของเขา ขณะที่บางคนลอบหัวเราะเบาๆ กับท่าทางที่โอ้อวดโฮ่วเมี่ยน ศิษย์พี่ใหญ่ผู้ดูแลคลังอาวุธ หัวเราะดังออกมา เสียงหัวเราะของเขาดังก้องจนทุกคนหยุดพูดคุยและหันไปมอง โฮ่วเมี่ยนก้าวเข้ามาใกล้ซุนสีห่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูมีเลศนัย

    Last Updated : 2025-03-10
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 23 ข้านี่แหละท่านต้าหมิง

    เมื่อ จางอี้หมิง อุ้มหวงจื่อรั่ว มาถึงหน่วยแพทย์ ศิษย์ของหน่วยแพทย์ ต่างรีบพานางเข้าไปยังด้านในเพื่อทำการดูแลอย่างเร่งด่วนเมื่อถึงเตียง จางอี้หมิงค่อยๆ วางหวงจื่อรั่วลงด้วยความระมัดระวัง แต่ขณะที่เขากำลังจะปล่อยตัวนางลง แขนของหวงจื่อรั่วกลับกอดคอเขาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยจางอี้หมิงเหลือบมองใบหน้าของนางที่ซีดเซียว แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความงามที่เปล่งประกายแม้ในยามหมดสติ ในใจเขาคิดอย่างขบขัน “หากเจ้าไม่ได้บาดเจ็บ ข้าก็ยินดีให้เจ้ากอดไว้ไม่ปล่อย”ในตอนนั้นเอง หลินหนิง ที่เดินตามมาด้วยความเป็นห่วง รีบเข้ามาช่วยดึงแขนของหวงจื่อรั่วออกจากคอของจางอี้หมิง นางจัดท่าทางให้หวงจื่อรั่วนอนราบลงบนเตียงอย่างเรียบร้อยแม้ตอนนี้สีหน้าของนางจะซีดเผือก แต่ทว่าก็มิอาจกลบกั้นความงามของนางได้แม้แต่น้อย ยากนักที่จางอี้หมิงจะละสายตา ออกจากนางได้แม่นางผิงกั๋ว ศิษย์หญิงผู้มีตำแหน่งประจำหน่วยแพทย์ เดินเข้ามาตรวจดูอาการ ก่อนจะเงยหน้ามองจางอี้หมิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ

    Last Updated : 2025-03-11

Latest chapter

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 43 ซ่อมม่านพลังป้องกัน

    ศิษย์ระดับสามและศิษย์ระดับต่ำกว่านั้นบางกลุ่มก็ออกไปจัดการกับอสูรดินเหนียวในจุดต่างๆ ถัวเค่อชีเองก็เช่นกัน ที่มีหน้าที่จัดการกับเหล่าอสูรดินเหนียวที่บุกโจมตีสำนักจากนั้นถัวเค่อชีก็แยกตัวออกจากกลุ่มศิษย์ที่กำลังต่อสู้กับอสูรดินเหนียว โดยอ้างว่าจะจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียว ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเรียกหาอยู่กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาท ขณะที่ถัวเค่อชีเดินเข้าไปในเงามืดของป่า เสียงนั้นไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวของเขาเอง และไม่อาจสลัดเสียงเหล่านั้นออกไปจากร่างกายได้แม้แต่น้อยร่างกายของถัวเค่อชีเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกย่างก้าว จนกระทั่งเขามาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีเงาร่มครึ้มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นขึ้นมาจากกลางศีรษะ ทะลวงไปถึงไขสันหลัง ถัวเค่อชีทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมหัวแน่นราวกับจะป้องกันมิให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง ร่างกายสั่นสะท้านจากความทุกข์ทรมาน ดวงตาพร่าเลือน เหมือนมีเงามืดแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ“อ๊ากกก!!”ถัวเค่อชีส่งเสี

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 42 เสริมม่านพลัง

    เจียงเยว่และหลี่เกอซินยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของหอเทียนหยาง สายลมพัดเอื่อย ผมยาวสลวยของทั้งคู่ปลิวไสวไปตามสายลมดวงตาของเจียงเยว่จับจ้องไปยังท้องฟ้า และพื้นเบื้องล่าง ที่มีกองทัพอสูรดินเหนียวเข้ามาไม่พักหลี่เกอซิน ศิษย์น้องผู้ชำนาญวิชาตรวจจับ ยืนนิ่งข้างๆ นางหลับตาลงเล็กน้อย ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ที่อารามทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีปัญหา ทำให้ม่านพลังป้องกันเกิดรอยรั่ว”“แล้วอย่างไร?”“พวกเราต้องไปซ่อมแซมจุดนั้นโดยด่วน เพียงแต่ทางด้านนั้นมีศัตรูเข้ามามากเกินไป ข้าเกรงว่าหากไปตอนนี้จะไม่ปลอดภัย”เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ นางคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “ก่อนอื่นต้องระงับศัตรูไม่ให้เข้ามาชั่วคราว แล้วค่อยเข้าไปซ่อมแซมม่านพลัง”“แล้วควรทำอย่างไรดีศิษย์พี่?”“เจ้ารอที่นี่ก่อน”เจียงเยว่เหลือบตามองลงไปด้านล่าง ราวกับกำลังมองหาบางคน ดวงตาของนางสะท้อนเงาร่างหนึ่งที่กำลังต่อสู้

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 41 จากสายฟ้าลงสู่ผืนดิน

    เหนือฟากฟ้ากลางเวหาทางด้านฟ่านหวงยืนหยัดอยู่กลางเวหา มือถือกระบี่สายฟ้าที่เปล่งประกายแสงสีฟ้าสว่างไสว สายฟ้าสีครามแผ่พุ่งออกมาจากกระบี่ แปรเปลี่ยนเป็นประกายสายฟ้าฟาดลงมาอย่างดุดันเบื้องหน้าของเขา มีอสูรดินเหนียวจำนวนมากที่รวมตัวกันเป็นกองทัพ มันสูงใหญ่และแข็งแกร่ง ร่างกายของมันถูกปั้นขึ้นมาจากดินเหนียวสีเทาเข้ม สายตาของมันแดงก่ำ ราวกับเปลวไฟที่ลุกโชนด้วยความเกรี้ยวกราด“กระบี่สายฟ้าพิฆาต!” ฟ่านหวงตวาดเสียงดังกึกก้อง พร้อมกับยกกระบี่ขึ้นเหนือศีรษะ ลมปราณมหาศาลไหลเวียนไปทั่วร่างของเขาเปรี้ยง!สายฟ้าสีครามฟาดเปรี้ยงลงมา ฟาดผ่าร่างของอสูรดินเหนียวจนกระเด็นกระดอน เศษดินกระจายออกไปทั่วอากาศประกายสายฟ้าสีครามสว่างจ้า แสงสีฟ้าพลุ่งพล่านราวกับคลื่นพายุ ฟ่านหวงเหวี่ยงกระบี่ออกไปอย่างรุนแรง ฟาดใส่ศัตรูตัวแล้วตัวเล่าสายฟ้าขนาดมหึมาพุ่งออกจากกระบี่ ฟาดผ่าลงมากลางกองทัพอสูรดินเหนียว เสียงระเบิดดังกึกก้อง แผ่นดินสั่นสะเทือน เศษดินกระจายกระเด็นไปทั่วทุกสารทิศคลื่นพลังระเบิดออกเป็นวงกว้าง เผาไหม้อสูรดินเหนียวให้แตกกระจายกลายเป็นผุยผง เศษด

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 40 เตรียมตัวสำหรับการรบ

    สายลมเย็นพัดผ่านยอดไม้ใหญ่ กิ่งไม้เสียดสีกันดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดบนก้านต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน ร่างสตรีปริศนาผู้หนึ่งยืนอยู่ นางสวมชุดคลุมสีเทาหม่น สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าสายตาของนางจ้องมองไปยังที่ตั้งของสำนักเทียนหยาง ราวกับกำลังเฝ้ารอเวลาอะไรบางอย่าง“เป็นอย่างไรบ้าง?”เสียงแหบห้าวดังขึ้นจากด้านหลังร่างชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทา สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเช่นกัน เขาก้าวเข้ามาใกล้อย่างเงียบงันสตรีในชุดคลุมไม่หันกลับมา นางเอ่ยเสียงเย็นชา“ข้าใส่จิตวิญญาณมารให้แก่ศิษย์คนนึงในสำนักเทียนหยางแล้ว ตอนนี้... ม่านพลังป้องกันมีรอยรั่วเล็กน้อย หน้าที่ของข้ามีเพียงเท่านี้”นางเหลือบตามองชายผู้นั้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว เชียนหวง”“อย่าทำให้เจ้าตำหนักพิโรธอีกรอบล่ะ”ดวงตาภายใต้หน้ากากของเชียนหวงเป็นประกายวาวโรจน์ เขายกคางขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งผยองทะนงตน “เรื่องนั้นไม่ต้องให้เจ้ามาสอน”“แน่ใจใช่ไหมว่าศิลาเฝิ่นเหิงอยู่ในสำนักเทียนหยาง?” เชียนหวงเอ่ยถาม น

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 39 สอนการบินให้สาวงาม

    แสงอรุณแรกสาดส่องผ่านบานหน้าต่าง ลำแสงสีทองกระทบใบหน้าของจางอี้หมิง เขาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย แต่เมื่อขยับตัวจึงพบว่า…“พื้นหน้าประตูบ้าน... ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้?”เขากวาดสายตามองรอบๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้ ศิษย์พี่เจียงเยว่ บุกมายึดเตียงของเขาและบังคับให้เขานอนเฝ้าประตูแทน“ช่างไร้น้ำใจเสียจริง! แย่งที่นอนข้าแล้วยังไม่คิดจะปลุกกันบ้างเลย”จางอี้หมิงบ่นอุบอิบพร้อมทั้งลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เส้นผมยุ่งเหยิง เขาขยี้ตาเบาๆ แล้วหันไปมองเตียงนอน…เตียงว่างเปล่า ไม่มีเงาของศิษย์พี่เจียงเยว่“ไว้วันหนึ่งท่านร่วมเตียงกับข้าเมื่อไหร่ ข้าจะปลุกขึ้นมาเสพสุขแต่เช้า”แม้จะบ่น แต่ใบหน้าของจางอี้หมิงกลับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อยจากนั้น จางอี้หมิงก็จัดการตัวเอง ล้างหน้า แปรงฟัน และเปลี่ยนชุดเรียบร้อย จางอี้หมิงเดินทอดน่องไปยังลานฝึกเบื้องล่างของสำนักวันนี้ก็เหมือนทุกวัน ไม่มีอันใดพิเศษเขาเข้าร่วมชั้นเรียนอย่างขอไปที ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ยังคงแสร้งทำเป็นตั้งใจต่อหน้าผู้สอนระหว่างพักการฝึก…

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 38 ปลดม่านพลังป้องกัน

    กริ๊ง!กริ๊ง!กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังขึ้น ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัด ถัวเค่อชีสะดุ้งตื่น ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เป็นเพราะแรงบางอย่างที่กำลังเรียกหาเขาวาบ!แสงสีม่วงสว่างวาบขึ้นตรงกลางหน้าผากของถัวเค่อชีลูกตาดำของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นราวกับวิญญาณไร้ชีวิต ก่อนจะค่อยๆ กลับคืนสู่สีดำ เสียงกระดิ่งยังคงดังต่อเนื่อง ดังก้องเข้าไปในห้วงจิตใจของเขากริ๊ง!อึก...!ถัวเค่อชีขบกรามแน่น พยายามดึงสติกลับคืนมา เขากุมศีรษะ ใช้กำปั้นทุบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ออกไป! ข้าไม่ต้องการเจ้า!”ถัวเค่อชียังคงทุกข์ทรมาน แต่แล้ว…เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเขา“จงลืมตาขึ้น... ความแข็งแกร่งที่แท้จริงกำลังรอเจ้าอยู่…”ดวงตาของถัวเค่อชีสั่นไหว มือของเขาสั่นระริก เสียงกระดิ่งยังคงดังไม่หยุด“เจ้าจำไม่ได้เหรอ... ว่าจางอี้หมิงน่าแค้นใจเพียงไร?”ทันใดนั้น ภาพแห่งความทรงจำในอดีตก็ไหลทะลักเข้ามาในหัวของเขาสิบปีก่อน…เด็กชายวัยสิบขวบเดินทางมาย

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 37 ความฝันและความสุขของจางอี้หมิง

    จางอี้หมิงเดินทางมาถึงบ้านของศิษย์พี่เฉินเจิ้ง บ้านของเฉินเจิ้งเต็มไปด้วยเศษโลหะกระจัดกระจายทั่วบริเวณ บางชิ้นเป็นแผ่นเหล็ก บางชิ้นเป็นเศษดาบที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และบางชิ้นก็เป็นเพียงเศษเหล็กที่ขึ้นสนิมไปแล้ว ที่หน้าบ้านมีเตาหลอมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ เปลวไฟที่มอดลงไปแล้วทำให้รู้ว่าเฉินเจิ้งคงเพิ่งทำงานเสร็จไม่นานจางอี้หมิงมองสภาพบ้านแล้วอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “เพ่ย! ศิษย์พี่เฉินเจิ้ง ช่างโสโครกยิ่งนัก!”ทันใดนั้น เสียงจากในบ้านก็ดังขึ้นมาทันที “เจ้าพูดอะไรข้าได้ยินนะ!”จางอี้หมิงยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าตั้งใจให้ท่านได้ยิน” แล้วเดินเข้าไปในบ้านภายในบ้านรกไม่แพ้ด้านนอก หากแต่สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในนี้ไม่ใช่เศษโลหะ แต่เป็นกองหนังสือที่กองระเกะระกะจนแทบไม่มีทางเดิน พื้นบางส่วนมีรอยหมึกเปรอะเปื้อน บางจุดมีม้วนตำราวางซ้อนกันจนสูงท่วมหัวเฉินเจิ้งคือผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ค้อนและหลอมโลหะ แถมยังเป็นผู้ชำนาญการอ่านตำราตอนกลางวันเขามักหมกมุ่นอยู่กับเตาหลอมโลหะ ส่วนกลางคืนจะหมกมุ่นอยู่กับตำราในบ้านจางอี้หมิงลัดเ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 36 กลับเข้าสู่การฝึกตน

    วันนี้เหล่าศิษย์ระดับศูนย์ ซึ่งเป็นระดับฐานของสำนักเทียนหยาง ต้องกลับสู่การฝึกฝนอีกครั้งจางอี้หมิงเดินผ่านประตูห้องเรียนเข้ามาด้วยท่าทางผ่อนคลาย สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับสองดรุณีงามหลินหนิงและหวงจื่อรั่ว สองสาวที่งามหยดย้อยในอาภรณ์ที่สะอาดตาแต่แนบเน้นรูปร่างพองาม สัดส่วนอ่อนช้อยของพวกนางช่างเย้ายวนจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง พลางโบกพัดในมือราวกับเป็นบัณฑิตเจ้าสำราญ แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาพวกนางอย่างไม่เร่งรีบทว่า ก่อนที่เขาจะไปถึงเป้าหมาย ชายหนุ่มสองคนก็ขวางทางไว้ คนหนึ่งแซ่หม่า อีกคนแซ่เจียง ทั้งสองเป็นสมุนของซุนสีห่าว บุตรชายของขุนนางใหญ่ แต่กลับเป็นคุณชายไม่เอาไหน ที่ฟ้าดินกลั่นแกล้งให้มาเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของน้องสาวจางอี้หมิงสมุนทั้งสองของซุนสีห่าวกอดอก ยืดอกทำท่าโอหัง ก่อนที่ผู้แซ่หม่าจะชี้นิ้วมาที่จางอี้หมิง“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” ผู้แซ่หม่ากล่าวเสียงดัง “วันนี้พวกข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าจากเหตุการณ์วันนั้น ที่เจ้าทำให้พวกข้าอับอายที่หน้าสำนักบ่อนเบี้ย!”จางอี้หมิงเหลือบตามองพวกเขาเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความเฉยเมย ก่อนจ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 35 เรื่องเล่าจากศิลาเฝิ่นเหิง

    เช้าของวันใหม่ วันนี้เป็นวันที่ต้องเดินทางกลับสำนักเทียนหยางเพื่อไปฝึกฝนวิชาต่อ เหล่าศิษย์ระดับล่างที่หยุดผักผ่อนด้านนอก จะต้องกลับไปยังสำนักความจริงแล้วแม้ว่าจางอี้หมิงจะเป็นศิษย์ระดับสูง แต่ก็ต้องปฏิบัติถามกฎนี้ด้วยเช่นกัน เว้นแต่ว่าจะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจด้านนอก ก็สามารถแวะพักผ่อนตามทางได้เช่นกัน ขอแค่ภารกิจไม่เสียหายอาจจะมีบางครั้งที่เขาหรือศิษย์แอบหนีเที่ยวออกมา ซึ่งทางสำนักก็หลับตาข้างเดียวอนุโลมให้ หากหลบมาเพียงแค่คืนเดียว เพราะเป็นที่รู้กันว่าเป็นการออกไปหาความสุขชั่วคราวเท่านั้นจางอี้หมิง และ หวงจื่อรั่ว ควบม้าคู่กันออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน สายลมยามเช้าพัดจางๆ เย็นสบายยิ่งนัก ท้องฟ้าสีครามสดใส อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การเดินทางทั้งสองคนควบม้าเคียงกัน จางอี้หมิงมีธัญพืชขบเคียวตลอดทาง ส่วนหวงจื่อรั่วรักษาท่าทีได้ดี จนกระทั่งออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน เมื่อถึงบริเวณเขตชั้นนอก พวกเขาพบ แม่นางหลินหนิง กำลังยืนรออยู่ข้างทาง หลินหนิงทักทายทั้งสองก่อนจะขี่ม้าเดินต

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status