บ้าเอ้ย! โดนจับได้แล้ว หึ! แต่…
“ศิษย์พี่หญิง ท่านอย่าได้กล่าวหาเลื่อนลอยไร้หลักฐาน”
เจียงเยว่ ไม่ตอบโต้ทันที นางก้าวเข้ามาพร้อมด้วยใบหน้าที่ดูไร้เรี่ยวแรงกับหน้าอกอันอวบอิ่มคู่นั้น นางขยับตัวเข้ามาใกล้ แล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น
“นี่ไม่ใช่กลิ่นเครื่องหอมที่มีในสำนักเทียนหยาง แต่เป็นกลิ่นเฉพาะของสำนักสังคีต เจ้าจะปฏิเสธอีกหรือ?”
จางอี้หมิงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะก้าวถอยหลังสองก้าว สีหน้าเปลี่ยนเป็นประหม่าน้อยๆ แต่ยังคงรักษาท่าทีไว้ “ท่านไม่เคยดมกลิ่นเครื่องหอมในห้องอาบน้ำข้า แล้วเหตุใดจึงกล่าวอ้างเช่นนี้ ท่านอย่าได้กล่าวหาเลื่อนลอย”
เจียงเยว่ ไม่ตอบคำพูดของเขา ดวงตาคมของนางจับจ้องเขา ก่อนที่ร่างของนางจะเซเล็กน้อย ดูไร้เรี่ยวแรงอย่างเห็นได้ชัด
จางอี้หมิง สังเกตเห็นสีหน้าซีดเผือกของนาง เขาเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “ร่างกายท่านเป็นอะไรหรือไม่?”
“เรื่องปกติ... หลังจากคืนเดือนดับ ร่างกายของข้าจะอ่อนแรงเช่นนี้ นอนพักสักครู่เดี๋ยวก็หาย” นางตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ
จางอี้หมิง ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเสนอ “ถ้าเช่นนั้น ท่านพักผ่อนที่บ้านข้าก่อนเถิด อย่าฝืนกลับไปไกลเลย”
เจียงเยว่ ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้อ่อนแอเช่นนั้น” ทันทีที่นางหมุนตัวกลับเพื่อเดินออกไป ร่างของนางก็เซอย่างแรง
จางอี้หมิง รีบเข้าไปประคองอย่างรวดเร็ว
ดื้อด้านนัก!
จากนั้นจางอี้หมิงก็ประคองนางกลับเข้าไปในบ้านพักของเขาเมื่อพานางมาถึงเตียง เขาค่อยๆ วางร่างของนางลงอย่างเบามือ จากนั้นเขาเดินไปหยิบยันต์แผ่นหนึ่งในกล่องหยก แล้วนำมาให้นาง
“นี่คือยันต์ป้องกัน ข้าให้ท่านไว้ เพื่อไม่ให้คนนอกเข้ามายุ่งวุ่นวายเวลาท่านพักผ่อน”
เจียงเยว่ มองยันต์ในมือของเขาด้วยความสงสัยก่อนจะถาม “แล้วมันป้องกันเจ้าได้หรือไม่?”
“ยันต์นี้ข้าเป็นเจ้าของ!”
จางอี้หมิงตอบพลางหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป “ข้าต้องไปเข้าเรียนแล้ว ท่านพักผ่อนเถิด”
เจียงเยว่ มองตามแผ่นหลังของเขาที่เดินออกไป ดวงตาของนางมีรอยยิ้มเล็กๆ โดยไม่รู้ตัว เมื่อเขาลับสายตาไป นางก็หยิบยันต์ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ใช้ปราณกระตุ้นเล็กน้อยแล้วปาแผ่นยันต์นั้นขึ้นไปแปะบนประตู
ทันใดนั้นเอง ม่านป้องกันโปร่งใส ก็ปรากฏขึ้น ล้อมรอบตัวบ้านเอาไว้ นางมองดูม่านป้องกันนั้นพร้อมพึมพำกับตัวเอง
“นับว่าพึ่งพาได้”
ห้องเรียน
ในห้องเรียนของสำนักเทียนหยาง แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านบานหน้าต่าง เข้าตกกระทบโต๊ะไม้ที่เรียงรายอยู่ในห้องเรียน บรรยากาศดูเคร่งขรึมและเงียบงัน มีเพียงเสียงของ ถัวเค่อชี ที่กำลังบรรยายวิชาที่เขารับผิดชอบ
จางอี้หมิง ก้าวเข้ามาภายในห้องพร้อมกับใบหน้าเฉยเมย ก่อนจะเดินไปนั่งที่ด้านหลังสุด ซึ่งเป็นที่ประจำ อย่างไม่รีบร้อน
ถัวเค่อชียังคงไม่หยุดบรรยาย แต่หันมองไปทางจางอี้หมิงด้วยหางตา ก่อนจะเอ่ยเชิงเหน็บพลางสั่งสอนเหล่าศิษย์
“เวลานั้นเปรียบดั่งธารน้ำ ไม่ไหลย้อนกลับ เช่นนี้แล้ว ไยเจ้าจึงปล่อยให้มันสูญเปล่า?”
วาทะสวยหรูยิ่งนัก เอาเถอะ ข้าจะปล่อยเจ้าไปคราหนึ่ง ถึงเวลาข้าจะจัดคืนทั้งต้นทั้งดอก เอาให้สายธาราไหลบ่าดุจอุทกภัยที่ถาโถม
แดนสวรรค์
อีกฟากหนึ่งของดินแดนในโลก ดินแดนที่เคยงดงามและรุ่งโรจน์ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง เสน่ห์ของสีขาวและสีทองที่เคยสะท้อนแสงตะวันถูกปกคลุมด้วยความเสื่อมโทรม ความเงียบงันของสถานที่ถูกแทรกซึมด้วยกลิ่นอายของเวทบางอย่างที่ยังคงหลงเหลืออยู่
แดนสวรรค์ในเวลานี้ขาดผู้นำที่ชัดเจน สถานะในเวลานี้อยู่ในสภาวะกึ่งล่มสลาย ผสมกับกลุ่มอำนาจต่างๆ ที่พร้อมจะช่วงชิงความยิ่งใหญ่
ที่มุมหนึ่งของแดนสวรรค์ มีอารามเก่าแก่แห่งหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ แม้ภายนอกจะดูเสื่อมโทรมและเงียบเหงา แต่กลับมี พลังเวทอันแข็งแกร่ง เคลือบอยู่ทั่วทุกอณูของตัวอาคาร
เมื่อก้าวผ่านประตู เข้าสู่ห้องโถงใหญ่ภายในอาราม จะพบเสาหินต้นใหญ่เรียงรายสองฟากฝั่ง โครงสร้างของเสาเหล่านั้นถูกสลักด้วยอักษรโบราณคล้ายภาพวาด
ที่เบื้องหน้าโถง เป็นจุดตั้งของ เสาหลักทรงพีระมิด ซึ่งทำจากวัสดุสีเงินมันวาว บนยอดของพีระมิดนั้นมี แสงสีแดง ส่องประกายราวกับเปลวไฟที่ไม่เคยดับ กลุ่มควันสีแดงเข้มหมุนวนรอบยอดเสา ดูราวกับมีพลังงานบางอย่างอยู่ภายในนั้น
ในห้องโถงนั้น มีกลุ่มคนในชุดคลุมสีเทา ปกปิดใบหน้า ยืนเรียงรายอยู่เป็นวงล้อมรอบพีระมิด พวกเขาต่างหันหน้าไปทางยอดเสา
พลังงานจากยอดพีระมิดค่อยๆ เพิ่มขึ้น แสงสีแดงยิ่งเจิดจ้า กลุ่มควันสีแดงเข้มเริ่มขยายตัว ก่อรูปร่างเป็นเงามืดที่มีดวงตาสีดำเปล่งประกายออกมา
ในห้องโถงที่เงียบงัน เสียงรายงานจากชายในชุดคลุมสีเทา พร้อมสวมหน้ากากปกปิดใบหน้า ดังก้องกังวานทั่วบริเวณ
“บัดนี้ สำนักเทียนหยางได้เสริมพลังป้องกันจนแน่นหนากว่าปกติ ยากต่อการเข้าไปดำเนินการใดๆ ในเวลานี้”
ดวงตาสีดำสนิทที่ก่อตัวอยู่กลางกลุ่มควันสีแดงบนยอดพีระมิดหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนเปล่งเสียงเย็นยะเยือก
“พลังป้องกันนั้น... เกิดขึ้นได้อย่างไร?”
ชายในชุดคลุมสีเทาสะดุ้งเล็กน้อย เขาอ้ำอึ้ง ไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่ก่อนที่ความเงียบจะยืดเยื้อ หญิงคนหนึ่งในชุดสีเทาและสวมหน้ากากเช่นกัน ก็ก้าวออกมาด้านหน้า
“คาดว่ากู่เจิ้งคงจะไม่อยู่ จึงเสริมเวทป้องกันนี้เพิ่มขึ้นมา” เสียงใสกังวานของนางเอ่ยขึ้น
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากกลุ่มควันสีแดงบนยอดพีระมิด แฝงด้วยความพึงพอใจ
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ทันใดนั้น กลุ่มควันสีแดงเลื่อนสายตาไปยังชายผู้รายงานคนแรก
“แล้วเจ้าล่ะ... ทำไมถึงตอบข้าไม่ได้?”
ไม่ทันที่ชายในชุดคลุมจะเอ่ยคำใด ดวงตาสีดำกลางกลุ่มควันแดงก็กระพริบเพียงครั้งเดียว ความเจ็บปวดอันแสนสาหัสแล่นพล่านไปทั่วร่างของเขา ชายผู้นั้นทรุดลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมศีรษะ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงขาดห้วง
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว! โปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย!”
กลุ่มควันสีแดงไม่ได้ตอบรับ แต่เพียงครู่หนึ่ง ความเจ็บปวดก็สลายไป ร่างของชายคนนั้นกลับคืนสู่สภาพปกติ เขาค้อมตัวต่ำด้วยความหวาดกลัว
กลุ่มควันสีแดงหันไปทางสตรีคนเดิมที่ยืนเงียบอยู่
“แล้วเจ้าล่ะ มีอะไรจะรายงานอีกไหม?"”
นางยิ้มบางๆ ภายใต้หน้ากาก ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“มีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ... ข้าน้อยพบเห็นพลังงานบางอย่างในตัวบุคคลหนึ่ง มันกำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วิถีมาร ข้าน้อยเชื่อว่าหากดึงเขามาเป็นพวกได้ คงดีมิน้อย”
กลุ่มควันสีแดงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ดวงตาสีดำสนิทจ้องลึกลงมาที่นาง ก่อนเปล่งเสียง
“ดี... รอให้เขาออกจากเขตป้องกันของสำนักเทียนหยางก่อน จากนั้นเจ้าจงดำเนินการตามที่เห็นสมควร”
“น้อมรับคำสั่ง”
หญิงผู้นั้นกล่าว พลางค้อมตัวเล็กน้อย ก่อนหมุนกายเดินออกจากห้องประชุมไป เงาของนางค่อยๆ จางหายไปในความมืด ทิ้งให้บรรยากาศในโถงใหญ่กลับสู่ความเงียบงัน
วิชาบรรยายของถัวเค่อชีดำเนินไปอย่างน่าเบื่อ จางอี้หมิงนั่งมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย ครุ่นคิดในใจว่า “ปฏิกิริยาของลมปราณขณะที่ข้าบรรเลงเพลงราคะกับแม่นางฉีเหอคืออะไร”นี่เป็นการปรับสมดุลงั้นหรือ ไม่สิ! ไม่ถูกต้อง! ตอนนี้ลมปราณภายในของข้ายังไม่สมดุลแต่แม่นางฉีเหอเป็นนางคณิกาในสำนักสังคีต จะเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ได้อย่างไร
เสียงของ ซุนสีห่าว ดังก้องไปทั่วบริเวณ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งผยองเหล่าศิษย์หน้าใหม่ที่ยืนอยู่ต่างหันมามองอย่างสนใจ บางคนแอบกระซิบกระซาบถึงความกล้าของเขา ขณะที่บางคนลอบหัวเราะเบาๆ กับท่าทางที่โอ้อวดโฮ่วเมี่ยน ศิษย์พี่ใหญ่ผู้ดูแลคลังอาวุธ หัวเราะดังออกมา เสียงหัวเราะของเขาดังก้องจนทุกคนหยุดพูดคุยและหันไปมอง โฮ่วเมี่ยนก้าวเข้ามาใกล้ซุนสีห่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูมีเลศนัย
เมื่อ จางอี้หมิง อุ้มหวงจื่อรั่ว มาถึงหน่วยแพทย์ ศิษย์ของหน่วยแพทย์ ต่างรีบพานางเข้าไปยังด้านในเพื่อทำการดูแลอย่างเร่งด่วนเมื่อถึงเตียง จางอี้หมิงค่อยๆ วางหวงจื่อรั่วลงด้วยความระมัดระวัง แต่ขณะที่เขากำลังจะปล่อยตัวนางลง แขนของหวงจื่อรั่วกลับกอดคอเขาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยจางอี้หมิงเหลือบมองใบหน้าของนางที่ซีดเซียว แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความงามที่เปล่งประกายแม้ในยามหมดสติ ในใจเขาคิดอย่างขบขัน “หากเจ้าไม่ได้บาดเจ็บ ข้าก็ยินดีให้เจ้ากอดไว้ไม่ปล่อย”ในตอนนั้นเอง หลินหนิง ที่เดินตามมาด้วยความเป็นห่วง รีบเข้ามาช่วยดึงแขนของหวงจื่อรั่วออกจากคอของจางอี้หมิง นางจัดท่าทางให้หวงจื่อรั่วนอนราบลงบนเตียงอย่างเรียบร้อยแม้ตอนนี้สีหน้าของนางจะซีดเผือก แต่ทว่าก็มิอาจกลบกั้นความงามของนางได้แม้แต่น้อย ยากนักที่จางอี้หมิงจะละสายตา ออกจากนางได้แม่นางผิงกั๋ว ศิษย์หญิงผู้มีตำแหน่งประจำหน่วยแพทย์ เดินเข้ามาตรวจดูอาการ ก่อนจะเงยหน้ามองจางอี้หมิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
จางอี้หมิงก้าวออกจากประตูห้องพักฟื้นของหวงจื่อรั่ว ที่ด้านนอก มีแม่นางผิงกั๋ว ศิษย์แห่งหน่วยแพทย์กำลังรออยู่ นางประสานมือคารวะพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ศิษย์พี่ฟางหรงกำชับไว้ว่า ท่านต้องแช่ตัวในอ่างยาทุกเจ็ดวันเพื่อฟื้นฟูร่างกาย และนี่ก็ถึงเวลาแล้ว”ที่หน่วยแพทย์แห่งนี้ ผู้ที่เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ที่สุดก็คือศิษย์พี่ฟางหรง และนางก็เป็นหัวหน้ากับผู้ฝึกสอน ให้แก่ศิษย์ในหน่วยแพทย์เหล่านี้ด้วยจางอี้หมิง เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนถามกลับด้วยท่าทีสบายๆ“ข้าต้องแช่ที่นี่หรือกลับไปแช่ที่บ้าน?”“ตามที่ศิษย์พี่สะดวก”จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดอย่างขบขัน “หากข้าแช่ที่นี่ จะมีศิษย์สาวๆ มาคอยบีบนวดให้ข้าหรือไม่?”ผิงกั๋ว มองหน้าเขานิ่งๆ ก่อนตอบอย่างจริงจัง“ไม่มีเจ้าค่ะ”น่าเสียดายยิ่งนัก!แม่นางผิงกํ่วนั้นเป็นดรุณีสาวที่มีใบหน้างดงาม แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับแม่นางหลินหนิงก็นับว่าด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับแม่นางหวงจื่อรั่ว ก็นับว่าด้อยกว่าแบบพลิกฝ่ามือแต่หากเปรียบความงามระหว่างแม่นางหวงจื่อรั่วกับศิษย์พี่ฟางหรง ในสายตาข
ในยามเย็น ลมเย็นพัดโชยไปทั่วลานฝึกด้านหลังบ้านพัก จางอี้หมิง ยืนถือดาบเล่มหนึ่งไว้ในมือ เขาหลับตาลง สูดลมหายใจลึก แล้วเริ่มโคจรลมปราณในร่างกายแบบย้อนกลับ การไหลเวียนพลังปราณครั้งนี้ราบรื่นและง่ายดายกว่าครั้งก่อนๆ “ปฏิกิริยาจากการหลับนอนกับแม่นางฉีเหอหรือนี่ รู้แบบนี้ข้าควรทำให้นางมีจิตคิดลึกซึ้งต่อข้ามากกว่านี้ การคืนสู่สมดุลลมปราณก็คงไม่ยากนัก” เขาพึมพำเมื่อโคจรลมปราณได้ระดับนึง จางอี้หมิงจึงค่อยๆ วางดาบลงกับพื้น เขาปลดปล่อยพลังปราณลงในดาบ ดาบเล่มนั้นเริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือพื้นดินดาบเล่มนี้สะท้อนแสงรางๆ จางอี้หมิงก้าวขึ้นไปยืนบนดาบอย่างมั่นคง ท่าทางของเขาแสดงถึงความชำนาญ แม้จะไม่ได้ขี่ดาบมานาน แต่ร่างกายยังจดจำวิธีทรงตัวบนดาบได้ดี “น่าจะไปได้สวย”
ยันต์กลายเป็นตาข่ายพลังสีทองผืนใหญ่ที่รับร่างของหลินหนิงไว้ก่อนที่นางจะตกถึงพื้น ตาข่ายช่วยลดแรงกระแทกจนหลินหนิงไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงทันทีที่หวงจื่อรั่วรีบวิ่งเข้าไปช่วยประคองหลินหนิงอย่างปลอดภัยหลินหนิงที่ยังตกใจอยู่เงยหน้ามองจางอี้หมิงด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง แต่ก่อนที่นางจะเอ่ยคำใดออกมา ร่างของจางอี้หมิงก็เซไปเล็กน้อย ก่อนจะกระอักโลหิตออกมาการโคจรพลังของข้าเกินขีดจำกัด น่าขายหน้ายิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะยันต์พวกนี้ข้าเขียนไว้ก่อนสิ้นพลัง คงไม่เป็นเช่นนี้ พลังดั้งเดิมข้าแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ "ศิษย์พี่!" หลินหนิงร้องออกมาด้วยความตกใจหวงจื่อรั่วและหลินหนิงรีบวิ่งเข้าไปหาจางอี้หมิง นางทั้งสองช่วยประคองเขาที่กำลังจะล้มลงพื้นไว้ทันพอดีถัวเค่อชีโบกมือให้ทั้งสองประคองจางอี้หมิงไปหน่วยแพทย์ตามหน้าที่ แม้ในใจจะคิดขึ้นว่า “ถึงอย่างไรก็มีข้อจำกัดสินะ”หน่วยแพทย์จางอี้หมิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สัมผัสแรกที่เขารู้สึกคือความหนักอึ้งของร่า
เช้าวันใหม่ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบไปทั่วลานหน้าบ้านพักจางอี้หมิงลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา แต่งตัวใหม่ดูดี จากนั้น จางอี้หมิงเดินออกมาด้วยท่าทีผ่อนคลาย ดวงตาของเขาสะท้อนภาพของสตรีสองนางที่ยืนรออยู่หลินหนิง สตรีร่างเล็ก หน้าตาน่ารัก เอวคอดกิ่ว มีส่วนเว้าโค้งที่พอดี ชวนให้ดูอ่อนหวานและสดใสส่วนหวงจื่อรั่วแม้จะแต่งกายคล้ายบุรุษ มีทวนยาวสะพายอยู่บนหลัง แต่ความงดงามของนางก็โดดเด่นราวกับเทพธิดา ยากนักที่จะหยุดมองได้จางอี้หมิงเผยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวว่า “เดินทางกันเถอะ”ทั้งสามต่างขึ้นม้าของตน แล้วควบออกจากสำนักเทียนหยาง ระหว่างทางที่สายลมพัดผ่านไล้ผิวเบาๆ จางอี้หมิงหันไปทางหลินหนิง พลางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “เจ้าเรียกข้าว่า ‘เสี่ยวอี้’ เหมือนเดิมเถอะ ศิษย์น้องของข้ามีมากพอแล้ว”หลินหนิงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ดวงตาเป็นประกาย แล้วกล่าวตอบ
เมื่อจางส่วงเอ่ยชื่อ "ซุนสีห่าว" ออกมา จางอี้หมิง ถึงกับพ่นสุราออกมาเต็มโต๊ะ!แต่ไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวอะไร จางหลันซือ น้องสาวของเขา ก็ลุกขึ้นมาทันที ใบหน้างามของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางจ้องบิดาตนเองด้วยดวงตาแดงก่ำก่อนจะกล่าวเสียงดัง “ข้าไม่ยอม!”น้ำเสียงของนางเด็ดขาดและหนักแน่น บรรยากาศรอบโต๊ะเงียบลงทันทีจางอี้หมิงรีบเช็ดปาก เช็ดน้ำสุราที่พ่นออกมา ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นแล้วกล่าวสนับสนุนน้องสาว “ข้าเองก็ไม่เห็นด้วย!”เขาวางจอกสุราลงกับโต๊ะดัง ตึง! แล้วกล่าวต่ออย่างหนักแน่น “ซุนสีห่าวผู้นี้เป็นคนชั่วช้า ไม่เหมาะกับน้องหญิงแม้แต่น้อย! ข้าเกือบซัดหน้ามันที่สำนักเทียนหยาง”เขาพูดจบก็กวาดตามองบิดาของตนอย่างจริงจังแต่ก่อนที่บรรยากาศจะตึงเครียดไปมากกว่านี้ หลี่เอ้อเหมียว ผู้เ
ทางด้านลานกว้างหน้าหอเทียนหยางจางอี้หมิยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลานกว้างหน้าหอเทียนหยาง ท่ามกลางหมอกฝุ่นและเสียงคำรามของเหล่าอสูรดินเหนียว ดาบในมือของเขาเปื้อนเศษดินและคราบอสูร แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับกระชับแน่น แม้ไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ด้วยร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงและกระบวนท่าอันเฉียบคม เขาก็ยังคงยืนหยัดต้านศัตรูได้อย่างไม่ลดละเมื่ออสูรตนหนึ่งพุ่งเข้ามาทางด้านซ้าย จางอี้หมิงใช้แรงบิดเอว เหวี่ยงดาบออกไปเป็นแนวโค้งคมกริบ ปลายดาบฟันทะลุไหล่อสูรดินเหนียวเสียงดังฉึบ! เศษดินกระจายตัวออกเป็นฝุ่นสีดำ อสูรตัวนั้นเซถลาไปด้านหลังก่อนที่ร่างจะถูกแรงฟันฉีกออกเป็นสองซีก ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ! โฮกกก!!!!เสียงคำรามจากอสูรตัวอื่นดังก้อง มันพุ่งเข้ามารุมล้อมจากทุกทิศทาง จางอี้หมิงย่อกายลงเล็กน้อยก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้า ใช้ดาบแทงทะลุอกของตัวหนึ่ง จากนั้นดึงกลับแล้วฟาดดาบฟันเข้าที่คอของอีกตัว เศษดินและโคล
ศิษย์ระดับสามและศิษย์ระดับต่ำกว่านั้นบางกลุ่มก็ออกไปจัดการกับอสูรดินเหนียวในจุดต่างๆ ถัวเค่อชีเองก็เช่นกัน ที่มีหน้าที่จัดการกับเหล่าอสูรดินเหนียวที่บุกโจมตีสำนักจากนั้นถัวเค่อชีก็แยกตัวออกจากกลุ่มศิษย์ที่กำลังต่อสู้กับอสูรดินเหนียว โดยอ้างว่าจะจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียว ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเรียกหาอยู่กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาท ขณะที่ถัวเค่อชีเดินเข้าไปในเงามืดของป่า เสียงนั้นไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวของเขาเอง และไม่อาจสลัดเสียงเหล่านั้นออกไปจากร่างกายได้แม้แต่น้อยร่างกายของถัวเค่อชีเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกย่างก้าว จนกระทั่งเขามาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีเงาร่มครึ้มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นขึ้นมาจากกลางศีรษะ ทะลวงไปถึงไขสันหลัง ถัวเค่อชีทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมหัวแน่นราวกับจะป้องกันมิให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง ร่างกายสั่นสะท้านจากความทุกข์ทรมาน ดวงตาพร่าเลือน เหมือนมีเงามืดแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ“อ๊ากกก!!”ถัวเค่อชีส่งเสี
เจียงเยว่และหลี่เกอซินยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของหอเทียนหยาง สายลมพัดเอื่อย ผมยาวสลวยของทั้งคู่ปลิวไสวไปตามสายลมดวงตาของเจียงเยว่จับจ้องไปยังท้องฟ้า และพื้นเบื้องล่าง ที่มีกองทัพอสูรดินเหนียวเข้ามาไม่พักหลี่เกอซิน ศิษย์น้องผู้ชำนาญวิชาตรวจจับ ยืนนิ่งข้างๆ นางหลับตาลงเล็กน้อย ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ที่อารามทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีปัญหา ทำให้ม่านพลังป้องกันเกิดรอยรั่ว”“แล้วอย่างไร?”“พวกเราต้องไปซ่อมแซมจุดนั้นโดยด่วน เพียงแต่ทางด้านนั้นมีศัตรูเข้ามามากเกินไป ข้าเกรงว่าหากไปตอนนี้จะไม่ปลอดภัย”เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ นางคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “ก่อนอื่นต้องระงับศัตรูไม่ให้เข้ามาชั่วคราว แล้วค่อยเข้าไปซ่อมแซมม่านพลัง”“แล้วควรทำอย่างไรดีศิษย์พี่?”“เจ้ารอที่นี่ก่อน”เจียงเยว่เหลือบตามองลงไปด้านล่าง ราวกับกำลังมองหาบางคน ดวงตาของนางสะท้อนเงาร่างหนึ่งที่กำลังต่อสู้
เหนือฟากฟ้ากลางเวหาทางด้านฟ่านหวงยืนหยัดอยู่กลางเวหา มือถือกระบี่สายฟ้าที่เปล่งประกายแสงสีฟ้าสว่างไสว สายฟ้าสีครามแผ่พุ่งออกมาจากกระบี่ แปรเปลี่ยนเป็นประกายสายฟ้าฟาดลงมาอย่างดุดันเบื้องหน้าของเขา มีอสูรดินเหนียวจำนวนมากที่รวมตัวกันเป็นกองทัพ มันสูงใหญ่และแข็งแกร่ง ร่างกายของมันถูกปั้นขึ้นมาจากดินเหนียวสีเทาเข้ม สายตาของมันแดงก่ำ ราวกับเปลวไฟที่ลุกโชนด้วยความเกรี้ยวกราด“กระบี่สายฟ้าพิฆาต!” ฟ่านหวงตวาดเสียงดังกึกก้อง พร้อมกับยกกระบี่ขึ้นเหนือศีรษะ ลมปราณมหาศาลไหลเวียนไปทั่วร่างของเขาเปรี้ยง!สายฟ้าสีครามฟาดเปรี้ยงลงมา ฟาดผ่าร่างของอสูรดินเหนียวจนกระเด็นกระดอน เศษดินกระจายออกไปทั่วอากาศประกายสายฟ้าสีครามสว่างจ้า แสงสีฟ้าพลุ่งพล่านราวกับคลื่นพายุ ฟ่านหวงเหวี่ยงกระบี่ออกไปอย่างรุนแรง ฟาดใส่ศัตรูตัวแล้วตัวเล่าสายฟ้าขนาดมหึมาพุ่งออกจากกระบี่ ฟาดผ่าลงมากลางกองทัพอสูรดินเหนียว เสียงระเบิดดังกึกก้อง แผ่นดินสั่นสะเทือน เศษดินกระจายกระเด็นไปทั่วทุกสารทิศคลื่นพลังระเบิดออกเป็นวงกว้าง เผาไหม้อสูรดินเหนียวให้แตกกระจายกลายเป็นผุยผง เศษด
สายลมเย็นพัดผ่านยอดไม้ใหญ่ กิ่งไม้เสียดสีกันดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดบนก้านต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน ร่างสตรีปริศนาผู้หนึ่งยืนอยู่ นางสวมชุดคลุมสีเทาหม่น สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าสายตาของนางจ้องมองไปยังที่ตั้งของสำนักเทียนหยาง ราวกับกำลังเฝ้ารอเวลาอะไรบางอย่าง“เป็นอย่างไรบ้าง?”เสียงแหบห้าวดังขึ้นจากด้านหลังร่างชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทา สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเช่นกัน เขาก้าวเข้ามาใกล้อย่างเงียบงันสตรีในชุดคลุมไม่หันกลับมา นางเอ่ยเสียงเย็นชา“ข้าใส่จิตวิญญาณมารให้แก่ศิษย์คนนึงในสำนักเทียนหยางแล้ว ตอนนี้... ม่านพลังป้องกันมีรอยรั่วเล็กน้อย หน้าที่ของข้ามีเพียงเท่านี้”นางเหลือบตามองชายผู้นั้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว เชียนหวง”“อย่าทำให้เจ้าตำหนักพิโรธอีกรอบล่ะ”ดวงตาภายใต้หน้ากากของเชียนหวงเป็นประกายวาวโรจน์ เขายกคางขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งผยองทะนงตน “เรื่องนั้นไม่ต้องให้เจ้ามาสอน”“แน่ใจใช่ไหมว่าศิลาเฝิ่นเหิงอยู่ในสำนักเทียนหยาง?” เชียนหวงเอ่ยถาม น
แสงอรุณแรกสาดส่องผ่านบานหน้าต่าง ลำแสงสีทองกระทบใบหน้าของจางอี้หมิง เขาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย แต่เมื่อขยับตัวจึงพบว่า…“พื้นหน้าประตูบ้าน... ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้?”เขากวาดสายตามองรอบๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้ ศิษย์พี่เจียงเยว่ บุกมายึดเตียงของเขาและบังคับให้เขานอนเฝ้าประตูแทน“ช่างไร้น้ำใจเสียจริง! แย่งที่นอนข้าแล้วยังไม่คิดจะปลุกกันบ้างเลย”จางอี้หมิงบ่นอุบอิบพร้อมทั้งลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เส้นผมยุ่งเหยิง เขาขยี้ตาเบาๆ แล้วหันไปมองเตียงนอน…เตียงว่างเปล่า ไม่มีเงาของศิษย์พี่เจียงเยว่“ไว้วันหนึ่งท่านร่วมเตียงกับข้าเมื่อไหร่ ข้าจะปลุกขึ้นมาเสพสุขแต่เช้า”แม้จะบ่น แต่ใบหน้าของจางอี้หมิงกลับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อยจากนั้น จางอี้หมิงก็จัดการตัวเอง ล้างหน้า แปรงฟัน และเปลี่ยนชุดเรียบร้อย จางอี้หมิงเดินทอดน่องไปยังลานฝึกเบื้องล่างของสำนักวันนี้ก็เหมือนทุกวัน ไม่มีอันใดพิเศษเขาเข้าร่วมชั้นเรียนอย่างขอไปที ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ยังคงแสร้งทำเป็นตั้งใจต่อหน้าผู้สอนระหว่างพักการฝึก…
กริ๊ง!กริ๊ง!กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังขึ้น ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัด ถัวเค่อชีสะดุ้งตื่น ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เป็นเพราะแรงบางอย่างที่กำลังเรียกหาเขาวาบ!แสงสีม่วงสว่างวาบขึ้นตรงกลางหน้าผากของถัวเค่อชีลูกตาดำของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นราวกับวิญญาณไร้ชีวิต ก่อนจะค่อยๆ กลับคืนสู่สีดำ เสียงกระดิ่งยังคงดังต่อเนื่อง ดังก้องเข้าไปในห้วงจิตใจของเขากริ๊ง!อึก...!ถัวเค่อชีขบกรามแน่น พยายามดึงสติกลับคืนมา เขากุมศีรษะ ใช้กำปั้นทุบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ออกไป! ข้าไม่ต้องการเจ้า!”ถัวเค่อชียังคงทุกข์ทรมาน แต่แล้ว…เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเขา“จงลืมตาขึ้น... ความแข็งแกร่งที่แท้จริงกำลังรอเจ้าอยู่…”ดวงตาของถัวเค่อชีสั่นไหว มือของเขาสั่นระริก เสียงกระดิ่งยังคงดังไม่หยุด“เจ้าจำไม่ได้เหรอ... ว่าจางอี้หมิงน่าแค้นใจเพียงไร?”ทันใดนั้น ภาพแห่งความทรงจำในอดีตก็ไหลทะลักเข้ามาในหัวของเขาสิบปีก่อน…เด็กชายวัยสิบขวบเดินทางมาย
จางอี้หมิงเดินทางมาถึงบ้านของศิษย์พี่เฉินเจิ้ง บ้านของเฉินเจิ้งเต็มไปด้วยเศษโลหะกระจัดกระจายทั่วบริเวณ บางชิ้นเป็นแผ่นเหล็ก บางชิ้นเป็นเศษดาบที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และบางชิ้นก็เป็นเพียงเศษเหล็กที่ขึ้นสนิมไปแล้ว ที่หน้าบ้านมีเตาหลอมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ เปลวไฟที่มอดลงไปแล้วทำให้รู้ว่าเฉินเจิ้งคงเพิ่งทำงานเสร็จไม่นานจางอี้หมิงมองสภาพบ้านแล้วอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “เพ่ย! ศิษย์พี่เฉินเจิ้ง ช่างโสโครกยิ่งนัก!”ทันใดนั้น เสียงจากในบ้านก็ดังขึ้นมาทันที “เจ้าพูดอะไรข้าได้ยินนะ!”จางอี้หมิงยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าตั้งใจให้ท่านได้ยิน” แล้วเดินเข้าไปในบ้านภายในบ้านรกไม่แพ้ด้านนอก หากแต่สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในนี้ไม่ใช่เศษโลหะ แต่เป็นกองหนังสือที่กองระเกะระกะจนแทบไม่มีทางเดิน พื้นบางส่วนมีรอยหมึกเปรอะเปื้อน บางจุดมีม้วนตำราวางซ้อนกันจนสูงท่วมหัวเฉินเจิ้งคือผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ค้อนและหลอมโลหะ แถมยังเป็นผู้ชำนาญการอ่านตำราตอนกลางวันเขามักหมกมุ่นอยู่กับเตาหลอมโลหะ ส่วนกลางคืนจะหมกมุ่นอยู่กับตำราในบ้านจางอี้หมิงลัดเ
วันนี้เหล่าศิษย์ระดับศูนย์ ซึ่งเป็นระดับฐานของสำนักเทียนหยาง ต้องกลับสู่การฝึกฝนอีกครั้งจางอี้หมิงเดินผ่านประตูห้องเรียนเข้ามาด้วยท่าทางผ่อนคลาย สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับสองดรุณีงามหลินหนิงและหวงจื่อรั่ว สองสาวที่งามหยดย้อยในอาภรณ์ที่สะอาดตาแต่แนบเน้นรูปร่างพองาม สัดส่วนอ่อนช้อยของพวกนางช่างเย้ายวนจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง พลางโบกพัดในมือราวกับเป็นบัณฑิตเจ้าสำราญ แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาพวกนางอย่างไม่เร่งรีบทว่า ก่อนที่เขาจะไปถึงเป้าหมาย ชายหนุ่มสองคนก็ขวางทางไว้ คนหนึ่งแซ่หม่า อีกคนแซ่เจียง ทั้งสองเป็นสมุนของซุนสีห่าว บุตรชายของขุนนางใหญ่ แต่กลับเป็นคุณชายไม่เอาไหน ที่ฟ้าดินกลั่นแกล้งให้มาเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของน้องสาวจางอี้หมิงสมุนทั้งสองของซุนสีห่าวกอดอก ยืดอกทำท่าโอหัง ก่อนที่ผู้แซ่หม่าจะชี้นิ้วมาที่จางอี้หมิง“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” ผู้แซ่หม่ากล่าวเสียงดัง “วันนี้พวกข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าจากเหตุการณ์วันนั้น ที่เจ้าทำให้พวกข้าอับอายที่หน้าสำนักบ่อนเบี้ย!”จางอี้หมิงเหลือบตามองพวกเขาเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความเฉยเมย ก่อนจ