วิชาบรรยายของถัวเค่อชีดำเนินไปอย่างน่าเบื่อ จางอี้หมิงนั่งมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย ครุ่นคิดในใจว่า “ปฏิกิริยาของลมปราณขณะที่ข้าบรรเลงเพลงราคะกับแม่นางฉีเหอคืออะไร”
นี่เป็นการปรับสมดุลงั้นหรือ
ไม่สิ! ไม่ถูกต้อง!
ตอนนี้ลมปราณภายในของข้ายังไม่สมดุล
แต่แม่นางฉีเหอเป็นนางคณิกาในสำนักสังคีต จะเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ได้อย่างไร
ถ้าหาว่านางเป็นหญิงบริสุทธิ์จริง ก็เท่ากับว่าตัวข้าคือผู้เปิดประสบการณ์ให้นาง จางอี้หมิงเอ๋ย เจ้าคือผู้มีพระคุณของนาง
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นลมปราณของข้าก็ควรเข้าสู่จุดสมดุลแล้ว
หลังเลิกเรียนข้าควรกลับไปเปิดตำราดูให้ละเอียดว่าเกี่ยวข้องหรือไม่
จางอี้หมิง นั่งเอนพิงเก้าอี้ จนกระทั่งเวลาเรียนในวิชาบรรยายอันแสนน่าเบื่อนี้สิ้นสุดลง
เฮ้อ! เอาเวลาไปนั่งรอน้ำค้างจากใบไม้หยดลงพื้นยังสนุกมากกว่า
จางอี้หมิงปิดตำราลงพลางถอดถอนลมหายใจออกมา เสียงลมหายใจนั้นสร้างความสนใจแก่หลินหนิงสาวน้อยใบหน้างดงามดวงตากลมโต และหวงจื่อรั่วองครักษ์สาวประจำจวนที่มีใบหน้างดงามหมดจดดุจเทพธิดา
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” หลินหนิงถามด้วยความใคร่รู้
ท่าทางน่าเบื่อของข้าชัดเจนขนาดนี้เจ้ายังถามอีกหรือว่าเป็นอย่างไร สงสัยเจ้าคงอยากหาเรื่องพูดคุยกับข้ากระมัง
“วิชาบรรยายข้าเบื่อยิ่งนัก หากเป็นวิชาต่อสู้ข้าคงมีความสุขมากกว่า”
จางอี้หมิงกล่าวขึ้น คาดหวังให้หลินหนิงรับรู้ว่าตัวของเขาคือหนึ่งในยอดยุทธ์ที่พึ่งพาได้ไม่น้อย สตรีร่างบอบบางอย่างเจ้าควรมีข้ายืนอยู่ข้างกาย
“น่าเบื่อจริงอย่างที่เจ้าว่า แต่ก็ได้ความรู้มิน้อย เรื่องทฤษฎีแบบนี้ถึงอย่างไรก็ควรต้องรู้”
หลินหนิงกล่าวราวกับว่าตัวเองเป็นยอดบัณฑิตหญิงแห่งใต้หล้า แม้ว่าความจริงแล้วตัวของนางจะรู้สึกเบื่อเช่นกัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นก็ควรจะวางมาดให้ดูดี
“พูดถึงวิชาต่อสู้ ข้าเองก็อยากเห็นจื่อรั่วได้แสดงวิชาฝีมือบ้าง”
บ้าเอ้ย! แม่นางน้อยดวงตากลมโต เจ้าควรถามถึงฝีไม้ลายมือของข้า ไม่ใช่ถามถึงแม่นางหวงผู้นี้
จางอี้หมิงครุ่นคิดพลางมองใบหน้าแสนสวยของแม่นางหลินหนิง
“ใช่แล้ว ข้าเองก็อย่างเห็นฝีมือของแม่นางจื่อรั่ว”
ใช่! แม้ว่านางจะอยู่ภายในจวนเดียวกับข้า แต่ข้าจดจำหน้านางมิได้ คาดว่าช่วงระยะที่นางเติบโตขึ้นจนงดงามสะพรั่งเช่นนี้ ข้าคงไม่ได้อยู่ในจวนตอนช่วงเวลานั้น
ก็แหงสิ! ข้ามาอยู่ที่เทียนหยางทั้งแต่อายุ 8 ขวบ กลับบ้านเพียงเดือนละครั้งจนกระทั่งเติบใหญ่ กลับไปข้าก็เอาแต่หมกตัวในห้องตำรา พอโตขึ้นมาก็เอาแต่แอบมองแม่นางซงเอ๋อร์ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำให้ข้าพลาดชื่นชมความงาม เอ้ย! ฝีมือด้านวรยุทธ์ของแม่นางหวง
“ไว้ถึงเวลาข้าจะแสดงให้ดู”
หวงจื่อรั่วเอ่ยตอบเบาๆ ด้วยใบหน้าอันเรียบเฉยเช่นเดิม
ระหว่างที่ทั้งสามกำลังสนทนาความอยู่ ทันใดนั้น เสียงตะโกนจาก ซ่งอิน ผู้ฝึกสอนวิชาควบคุมลมปราณก็ดังขึ้นจากหน้าประตู
“ทุกคน ไปที่ลานกว้างหน้าห้องเรียนเดี๋ยวนี้!”
ผู้ฝึกตนทุกคนลุกเดินตามเสียงเรียกนั้นไป หลินหนิงหันหน้ามามองจางอี้หมิงแล้วกล่าวว่า “หวังว่าวิชานี้ จะทำให้ท่านมีชีวิตชีวาขึ้น”
หลินหนิงกล่าวพร้อมรอยยิ้มอันสดใส จางอี้หมิงพลันคิดขึ้นมาภายในใจ “รอยยิ้มของเจ้าก็สร้างชีวิตชีวาให้ข้าเช่นกัน”
จากนั้นทั้งสามคนก็ลุกเดินไปตามเสียงเรียกของซ่งอิน
ลานฝึกหน้าห้องเรียน
ซ่งอิน ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของเหล่าศิษย์หน้าใหม่นับร้อยคน ใบหน้าของเขานิ่งขรึม ด้วยท่าทีที่ดูสง่างามและน่าเกรงขามยิ่งนัก เสื้อคลุมสีขาวสะบัดเบาๆ ตามแรงลมที่พัดผ่าน เส้นผมสีดำขลับถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย
เขามองกวาดสายตาไปรอบลานฝึก พลางเอ่ยเสียงดังฟังชัดที่สะท้อนก้องไปทั่วพื้นที่
“ตั้งแต่วันนี้ไป ทุกคนจะต้องมีอาวุธประจำกายหนึ่งชิ้น”
เสียงของเหล่าศิษย์หน้าใหม่ฮือฮาขึ้นเมื่อได้ยินคำว่าอาวุธประจำกาย
“ข้าอยากได้ดาบฆ่ามังกร”
“ข้าอยากได้กระบี่อิงฟ้า”
“เงียบ!”
เสียงอื้ออึงเงียบลง จากนั้นซ่งอินก็พูดต่อ “จงเดินไปตามทางเดินสายตะวันออก เจ้าจะพบคลังอาวุธ ที่นั่นมีศิษย์ผู้รับผิดชอบรออยู่ เขาจะอธิบายวิธีการเลือกอาวุธให้เจ้า”
เหล่าศิษย์เริ่มทยอยเดินตามคำสั่งไปตามทางเดิน ทว่า เมื่อจางอี้หมิงกำลังก้าวเดินออกไปพร้อมคนอื่น ซ่งอินกลับยื่นมือออกมากั้นเขาไว้
“ศิษย์พี่อี้หมิง ท่านมีอาวุธอยู่แล้ว ยืนรออยู่ด้านหลังกับข้าก็เพียงพอ”
“อืม”
ทางเดินสู่คลังอาวุธทอดยาวไปยังทิศตะวันออก เบื้องหน้าคือประตูไม้บานใหญ่ที่ถูกแกะสลักด้วยลวดลายวิจิตร เส้นสีทองที่ขอบประตูส่องประกายเบาๆ แสดงถึงพลังปราณที่คอยป้องกันบุคคลภายนอก
เมื่อทุกคนมาถึง ผู้ที่ยืนรออยู่คือ โฮ่วเมี่ยน ศิษย์ระดับสามของสำนักเทียนหยาง ชายหนุ่มร่างกำยำ ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาคมกริบ ที่แสดงถึงความเชี่ยวชาญในศิลปะการใช้อาวุธ กล้ามเนื้อที่แน่นตึงบ่งบอกถึงการฝึกฝนที่เข้มงวด
โฮ่วเมี่ยนก้าวออกมายืนเบื้องหน้า ก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างสุขุมและกล่าวต้อนรับด้วยน้ำเสียงทรงพลัง
“พวกเจ้าทั้งหมดคือศิษย์ใหม่ของสำนักเทียนหยาง ตั้งแต่นี้ไป พวกเจ้าจะได้เลือกอาวุธประจำกายหนึ่งชิ้นจากคลังอาวุธนี้ แต่ข้าขอเตือนว่า อย่าได้คิดว่าเพียงแค่เจ้าเลือกอาวุธ อาวุธชิ้นนั้นจะยอมรับเจ้าโดยง่าย”
น้ำเสียงของเขาทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความกดดัน
“หากเจ้าเลือกอาวุธที่ไม่คู่ควร อาวุธนั้นจะปฏิเสธเจ้า บางทีเจ้าอาจถูกดีดออกจนบาดเจ็บ แต่หากเจ้าได้รับการยอมรับ อาวุธนั้นจะเป็นสหายคู่ใจของเจ้าไปตลอดชีวิต”
พูดจบ โฮ่วเมี่ยนโบกมือเบาๆ ประตูไม้บานใหญ่ค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นภายในคลังอาวุธที่เต็มไปด้วยอาวุธหลากหลายชนิดที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อเหล่าศิษย์ก้าวเข้าไป ดวงตาทุกคู่เบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึง ภายในมีทั้งดาบเล่มยาว กระบี่ที่เงางาม ทวนทรงพลัง ธนูที่ดูสง่างาม และอาวุธอีกมากมายที่ส่งแสงสะท้อนแวววาว
บรรยากาศภายในคลังเต็มไปด้วยพลังปราณเข้มข้นที่ล่องลอยในอากาศ คล้ายกับอาวุธแต่ละชิ้นกำลังเฝ้ามองผู้ที่เข้ามา
เหล่าศิษย์เริ่มทยอยเดินไปหยิบอาวุธ บางคนเพียงแตะอาวุธก็ถูกดีดถอยหลังจนล้มลง บ้างก็ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ขณะที่บางคนโชคดี อาวุธยอมรับและเปล่งแสงอ่อนๆ ออกมา
หลินหนิง ศิษย์หญิงร่างเล็กใบหน้างดงาม นางเดินตรงไปหยิบกระบี่เล่มหนึ่ง กระบี่นั้นเงางาม น้ำหนักเบาและคมกริบ คล้ายกับถูกสร้างขึ้นเพื่อนางโดยเฉพาะ
“กระบี่นี้เหมาะกับเจ้าจริงๆ!” หวงจื่อรั่วที่ยืนมองอยู่เอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม
หลินหนิงยิ้มตอบอย่างพึงพอใจ ในขณะที่หวงจื่อรั่วยังคงมองหาอาวุธที่เหมาะกับตัวเองต่อไป
จางอี้หมิงที่ยืนมองดูเหล่าศิษย์หน้าใหม่เลือกอาวุธก็นึกภาพตัวเองในวัยเด็กที่บังอาจหยิบดาบที่ถูกตีขึ้นมาเพื่อเจ้าสำนัก แม้จะถูกดีดออกมาหลายรอบ แต่สุดท้ายก็หยิบมันมาไว้กับตัวได้
อาวุธประจำกายของจางอี้หมิงนั้น นอกจากดาบที่ได้รับมอบมาจากสำนักเทียนหยางแห่งนี้แล้ว ยังมีดาบอีกเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นอาวุธที่มารดาผู้ให้กำเนิดมอบให้ก่อนจากไป แต่นางกลับกำชับว่าให้ใช้งานเฉพาะยามจำเป็นเท่านั้น เขาจึงไม่ค่อยแตะต้องดาบเล่มนั้นสักเท่าไหร่ และมักใช้ดาบจากสำนักเทียนหยางเป็นประจำมากกว่า
ระหว่างที่ทุกคนกำลังเลือกอาวุธอยู่นั้น ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นจากด้านหลัง ซุนสีห่าว บุตรชายรองเจ้ากรมคลัง ผู้มีชื่อเสียงในด้านความเย่อหยิ่งและถือดี เดินเข้ามาพร้อมกับแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ
เขามองอาวุธรอบๆ ด้วยสีหน้าที่ดูแคลน ก่อนจะกล่าวเสียงดังให้ทุกคนได้ยิน
“เอาอาวุธที่ทรงพลังที่สุดมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
เสียงของ ซุนสีห่าว ดังก้องไปทั่วบริเวณ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งผยองเหล่าศิษย์หน้าใหม่ที่ยืนอยู่ต่างหันมามองอย่างสนใจ บางคนแอบกระซิบกระซาบถึงความกล้าของเขา ขณะที่บางคนลอบหัวเราะเบาๆ กับท่าทางที่โอ้อวดโฮ่วเมี่ยน ศิษย์พี่ใหญ่ผู้ดูแลคลังอาวุธ หัวเราะดังออกมา เสียงหัวเราะของเขาดังก้องจนทุกคนหยุดพูดคุยและหันไปมอง โฮ่วเมี่ยนก้าวเข้ามาใกล้ซุนสีห่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูมีเลศนัย
เมื่อ จางอี้หมิง อุ้มหวงจื่อรั่ว มาถึงหน่วยแพทย์ ศิษย์ของหน่วยแพทย์ ต่างรีบพานางเข้าไปยังด้านในเพื่อทำการดูแลอย่างเร่งด่วนเมื่อถึงเตียง จางอี้หมิงค่อยๆ วางหวงจื่อรั่วลงด้วยความระมัดระวัง แต่ขณะที่เขากำลังจะปล่อยตัวนางลง แขนของหวงจื่อรั่วกลับกอดคอเขาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยจางอี้หมิงเหลือบมองใบหน้าของนางที่ซีดเซียว แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความงามที่เปล่งประกายแม้ในยามหมดสติ ในใจเขาคิดอย่างขบขัน “หากเจ้าไม่ได้บาดเจ็บ ข้าก็ยินดีให้เจ้ากอดไว้ไม่ปล่อย”ในตอนนั้นเอง หลินหนิง ที่เดินตามมาด้วยความเป็นห่วง รีบเข้ามาช่วยดึงแขนของหวงจื่อรั่วออกจากคอของจางอี้หมิง นางจัดท่าทางให้หวงจื่อรั่วนอนราบลงบนเตียงอย่างเรียบร้อยแม้ตอนนี้สีหน้าของนางจะซีดเผือก แต่ทว่าก็มิอาจกลบกั้นความงามของนางได้แม้แต่น้อย ยากนักที่จางอี้หมิงจะละสายตา ออกจากนางได้แม่นางผิงกั๋ว ศิษย์หญิงผู้มีตำแหน่งประจำหน่วยแพทย์ เดินเข้ามาตรวจดูอาการ ก่อนจะเงยหน้ามองจางอี้หมิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
จางอี้หมิงก้าวออกจากประตูห้องพักฟื้นของหวงจื่อรั่ว ที่ด้านนอก มีแม่นางผิงกั๋ว ศิษย์แห่งหน่วยแพทย์กำลังรออยู่ นางประสานมือคารวะพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ศิษย์พี่ฟางหรงกำชับไว้ว่า ท่านต้องแช่ตัวในอ่างยาทุกเจ็ดวันเพื่อฟื้นฟูร่างกาย และนี่ก็ถึงเวลาแล้ว”ที่หน่วยแพทย์แห่งนี้ ผู้ที่เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ที่สุดก็คือศิษย์พี่ฟางหรง และนางก็เป็นหัวหน้ากับผู้ฝึกสอน ให้แก่ศิษย์ในหน่วยแพทย์เหล่านี้ด้วยจางอี้หมิง เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนถามกลับด้วยท่าทีสบายๆ“ข้าต้องแช่ที่นี่หรือกลับไปแช่ที่บ้าน?”“ตามที่ศิษย์พี่สะดวก”จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดอย่างขบขัน “หากข้าแช่ที่นี่ จะมีศิษย์สาวๆ มาคอยบีบนวดให้ข้าหรือไม่?”ผิงกั๋ว มองหน้าเขานิ่งๆ ก่อนตอบอย่างจริงจัง“ไม่มีเจ้าค่ะ”น่าเสียดายยิ่งนัก!แม่นางผิงกํ่วนั้นเป็นดรุณีสาวที่มีใบหน้างดงาม แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับแม่นางหลินหนิงก็นับว่าด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับแม่นางหวงจื่อรั่ว ก็นับว่าด้อยกว่าแบบพลิกฝ่ามือแต่หากเปรียบความงามระหว่างแม่นางหวงจื่อรั่วกับศิษย์พี่ฟางหรง ในสายตาข
ในยามเย็น ลมเย็นพัดโชยไปทั่วลานฝึกด้านหลังบ้านพัก จางอี้หมิง ยืนถือดาบเล่มหนึ่งไว้ในมือ เขาหลับตาลง สูดลมหายใจลึก แล้วเริ่มโคจรลมปราณในร่างกายแบบย้อนกลับ การไหลเวียนพลังปราณครั้งนี้ราบรื่นและง่ายดายกว่าครั้งก่อนๆ “ปฏิกิริยาจากการหลับนอนกับแม่นางฉีเหอหรือนี่ รู้แบบนี้ข้าควรทำให้นางมีจิตคิดลึกซึ้งต่อข้ามากกว่านี้ การคืนสู่สมดุลลมปราณก็คงไม่ยากนัก” เขาพึมพำเมื่อโคจรลมปราณได้ระดับนึง จางอี้หมิงจึงค่อยๆ วางดาบลงกับพื้น เขาปลดปล่อยพลังปราณลงในดาบ ดาบเล่มนั้นเริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือพื้นดินดาบเล่มนี้สะท้อนแสงรางๆ จางอี้หมิงก้าวขึ้นไปยืนบนดาบอย่างมั่นคง ท่าทางของเขาแสดงถึงความชำนาญ แม้จะไม่ได้ขี่ดาบมานาน แต่ร่างกายยังจดจำวิธีทรงตัวบนดาบได้ดี “น่าจะไปได้สวย”
ยันต์กลายเป็นตาข่ายพลังสีทองผืนใหญ่ที่รับร่างของหลินหนิงไว้ก่อนที่นางจะตกถึงพื้น ตาข่ายช่วยลดแรงกระแทกจนหลินหนิงไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงทันทีที่หวงจื่อรั่วรีบวิ่งเข้าไปช่วยประคองหลินหนิงอย่างปลอดภัยหลินหนิงที่ยังตกใจอยู่เงยหน้ามองจางอี้หมิงด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง แต่ก่อนที่นางจะเอ่ยคำใดออกมา ร่างของจางอี้หมิงก็เซไปเล็กน้อย ก่อนจะกระอักโลหิตออกมาการโคจรพลังของข้าเกินขีดจำกัด น่าขายหน้ายิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะยันต์พวกนี้ข้าเขียนไว้ก่อนสิ้นพลัง คงไม่เป็นเช่นนี้ พลังดั้งเดิมข้าแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ "ศิษย์พี่!" หลินหนิงร้องออกมาด้วยความตกใจหวงจื่อรั่วและหลินหนิงรีบวิ่งเข้าไปหาจางอี้หมิง นางทั้งสองช่วยประคองเขาที่กำลังจะล้มลงพื้นไว้ทันพอดีถัวเค่อชีโบกมือให้ทั้งสองประคองจางอี้หมิงไปหน่วยแพทย์ตามหน้าที่ แม้ในใจจะคิดขึ้นว่า “ถึงอย่างไรก็มีข้อจำกัดสินะ”หน่วยแพทย์จางอี้หมิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สัมผัสแรกที่เขารู้สึกคือความหนักอึ้งของร่า
เช้าวันใหม่ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบไปทั่วลานหน้าบ้านพักจางอี้หมิงลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา แต่งตัวใหม่ดูดี จากนั้น จางอี้หมิงเดินออกมาด้วยท่าทีผ่อนคลาย ดวงตาของเขาสะท้อนภาพของสตรีสองนางที่ยืนรออยู่หลินหนิง สตรีร่างเล็ก หน้าตาน่ารัก เอวคอดกิ่ว มีส่วนเว้าโค้งที่พอดี ชวนให้ดูอ่อนหวานและสดใสส่วนหวงจื่อรั่วแม้จะแต่งกายคล้ายบุรุษ มีทวนยาวสะพายอยู่บนหลัง แต่ความงดงามของนางก็โดดเด่นราวกับเทพธิดา ยากนักที่จะหยุดมองได้จางอี้หมิงเผยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวว่า “เดินทางกันเถอะ”ทั้งสามต่างขึ้นม้าของตน แล้วควบออกจากสำนักเทียนหยาง ระหว่างทางที่สายลมพัดผ่านไล้ผิวเบาๆ จางอี้หมิงหันไปทางหลินหนิง พลางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “เจ้าเรียกข้าว่า ‘เสี่ยวอี้’ เหมือนเดิมเถอะ ศิษย์น้องของข้ามีมากพอแล้ว”หลินหนิงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ดวงตาเป็นประกาย แล้วกล่าวตอบ
เมื่อจางส่วงเอ่ยชื่อ "ซุนสีห่าว" ออกมา จางอี้หมิง ถึงกับพ่นสุราออกมาเต็มโต๊ะ!แต่ไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวอะไร จางหลันซือ น้องสาวของเขา ก็ลุกขึ้นมาทันที ใบหน้างามของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางจ้องบิดาตนเองด้วยดวงตาแดงก่ำก่อนจะกล่าวเสียงดัง “ข้าไม่ยอม!”น้ำเสียงของนางเด็ดขาดและหนักแน่น บรรยากาศรอบโต๊ะเงียบลงทันทีจางอี้หมิงรีบเช็ดปาก เช็ดน้ำสุราที่พ่นออกมา ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นแล้วกล่าวสนับสนุนน้องสาว “ข้าเองก็ไม่เห็นด้วย!”เขาวางจอกสุราลงกับโต๊ะดัง ตึง! แล้วกล่าวต่ออย่างหนักแน่น “ซุนสีห่าวผู้นี้เป็นคนชั่วช้า ไม่เหมาะกับน้องหญิงแม้แต่น้อย! ข้าเกือบซัดหน้ามันที่สำนักเทียนหยาง”เขาพูดจบก็กวาดตามองบิดาของตนอย่างจริงจังแต่ก่อนที่บรรยากาศจะตึงเครียดไปมากกว่านี้ หลี่เอ้อเหมียว ผู้เ
ยามค่ำคืนภายในเรือนหลังน้อยของจวนอ๋องจางส่วงแสงจันทร์ส่องกระทบผ่านหน้าต่าง เผยให้เห็นเงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองดูหมู่ดาวที่ระยิบระยับบนท้องฟ้าอย่างเงียบงัน บุรุษผู้นั้นคือ จางอี้หมิงผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งสำนักเทียนหยาง ด้านข้างของเขามีหญิงสาวนางหนึ่งนั่งอยู่ ซงเอ๋อร์ กำลังก้มหน้ารินสุราให้ด้วยท่วงท่าสง่างามแม้ว่าซงเอ๋อร์ จะมีหน้าที่คล้ายสาวใช้ในบ้าน แต่ฐานะของนางนั้นสูงมากกว่า นางถูกแม่แท้ๆ ของจางอี้หมิงชุบเลี้ยงไว้ตั้งแต่ทารก และกำหนดไว้ให้แต่งเป็นอนุของจางอี้หมิงเมื่อโตขึ้นอ๋องจางส่วงและฮูหยินก็รับปากดำเนินการต่อแม้ว่ามารดาของจางอี้หมิงเสียชีวิตไปแล้ว นางจึงได้รับการเลี้ยงดูและได้รับการศึกษามากกว่าสาวใช้ทั่วไปในบ้าน แต่ไม่เทียบเท่าบุตรสาวในจวนสกุลจางนั้นมีฐานะพิเศษ ที่ต้องถูกควบคุมอย่างเคร่งครัดจากราชสำนัก ราชวงศ์ปัจจุบัน บุรุษทุกคนต้องถูกกำหนดให้แต่งกับคนที่ราชสำนักกำหนดให้เท่านั้น ส่วนอนุภรรยาสามารถมีได้หลังจากแต่งตั้งชายาหลักแล้วเท่านั้นซงเอ๋อร์ในเวลานี้ยังไม่ถูกแต่งตั้งเป็นอนุภรรยาอย
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร
ท่ามกลางป่าทึบยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์หรือประกายดาว มีเพียงเสียงลมพัดเอื่อยๆ ราวกับเสียงกระซิบจากธรรมชาติเพียงเท่านั้นถัวเค่อชี ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เรือนผมยุ่งเหยิง เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจากร่องรอยการดิ้นรนทรมานจากฤทธิ์ยา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังแดงก่ำ ราวกับมีเปลวไฟกำลังเผาผลาญจากภายในความเจ็บปวดจากพิษของยาเสริมพลังที่ เชียนหวง มอบให้เขา ตอนนี้ค่อยๆ สลายไปแล้ว“ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า!”เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง ราวกับสายธารปราณที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเขาหลับตา โคจรลมปราณทั่วร่าง และสิ่งที่ค้นพบก็ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย“พลังของข้า... เพิ่มขึ้นแล้ว!”เขาเผยรอยยิ้มสะใจ ก่อนจะกระชากกระบี่ออกจากฝัก แสงเย็นเยียบสะท้อนจากใบกระบี่ เขารวบรวมพลังลงไปในคมดาบ จากนั้นฟาดมันออกไปเต็มแรงฉัวะ!เสียงกระบี่เฉือนอากาศดังก้อง ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เศษไม้ปลิวกระจายไปทั่ว
“หากพวกเจ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าสำนัก จงบอกที่ซ่อนของศิลาเฝิ่นเหิงมาเดี๋ยวนี้!”เสียงของเชียนหวงก้องกังวาน แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกบีบอัดจนหนักอึ้งลิ่วเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิลาเฝิ่นเหิง?”จางอี้หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเคยอ่านเจอในนิยาย ตำนานเซียนไท่ซวิน ไม่คิดว่าจะมีคนที่เชื่อว่าเป็นของจริงด้วย”ลิ่วเฉียงหันไปมองหน้าเชียนหวง ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ไปถามผู้เขียนนิยายสิ!”“หุบปาก!” เชียนหวงตะโกนลั่น ‘ปากแข็งหรือเบาปัญญาก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก!’ รังสีอำมหิตระเบิดออกมาจากร่าง พลังสีดำมืดหม่นหมุนวนไปรอบตัวเขา ราวกับเป็นพายุวิญญาณอาฆาต“เช่นนั้น ข้าคงต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดแล้วค่อยค้นหาด้วยตัวเอง!”ซ่าาา!พลังอาฆาตสีดำแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเชียนหวง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกร้าว เปลวพลังสีดำคุกรุ่นรอบตัวลิ่วเฉียงยังคงยืนสงบนิ่ง มองดูศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะหันไปถามเฉินเจิ้ง “แค่ระดับเจ็ด เจ้าสู้ไม่ได้รึ?”เฉินเจิ้งกำหมัดแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงเจ็บใจ “น่าอ
สายลมพัดเอื่อย สะบัดผ่านร่างของสองศิษย์พี่น้องที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ่านหวงและเฉินเจิ้งต่างจมอยู่ในสมาธิ โคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อรอบกายเต็มไปด้วยซากอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดิน เศษหิน เสียงลมหายใจของทั้งสองเริ่มกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงชั่วขณะ“ตรวจสอบหาผู้นำพวกมันได้หรือยัง?” เฉินเจิ้งถามเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังฟ่านหวงมองไปรอบๆ “ยัง”เฉินเจิ้งแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ระหว่างที่ข้ากำจัดพวกมัน เจ้าไม่ได้อู้ใช่หรือไม่?”ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “ศิษย์พี่เอ๋ย หากข้าตอบว่าใช่ ท่านจะทำอะไรข้า?”“เจ้ามันตัวบัดซบ กินแรงผู้อื่น!”เสียงหัวเราะของฟ่านหวงดังขึ้น ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำต่อไป บรรยากาศรอบกายพลันเย็นยะเยือกลงจนขนลุกชันวูบบบ!“ศิษย์พี่…ท่านหายเหนื่อยแล้วหรือยัง?”เฉินเจิ้งยืดเส้นยืดสาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็… 5… 4… 3… 2… 1…”วูบบบ!!!
ทางด้านลานกว้างหน้าหอเทียนหยางจางอี้หมิยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลานกว้างหน้าหอเทียนหยาง ท่ามกลางหมอกฝุ่นและเสียงคำรามของเหล่าอสูรดินเหนียว ดาบในมือของเขาเปื้อนเศษดินและคราบอสูร แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับกระชับแน่น แม้ไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ด้วยร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงและกระบวนท่าอันเฉียบคม เขาก็ยังคงยืนหยัดต้านศัตรูได้อย่างไม่ลดละเมื่ออสูรตนหนึ่งพุ่งเข้ามาทางด้านซ้าย จางอี้หมิงใช้แรงบิดเอว เหวี่ยงดาบออกไปเป็นแนวโค้งคมกริบ ปลายดาบฟันทะลุไหล่อสูรดินเหนียวเสียงดังฉึบ! เศษดินกระจายตัวออกเป็นฝุ่นสีดำ อสูรตัวนั้นเซถลาไปด้านหลังก่อนที่ร่างจะถูกแรงฟันฉีกออกเป็นสองซีก ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ! โฮกกก!!!!เสียงคำรามจากอสูรตัวอื่นดังก้อง มันพุ่งเข้ามารุมล้อมจากทุกทิศทาง จางอี้หมิงย่อกายลงเล็กน้อยก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้า ใช้ดาบแทงทะลุอกของตัวหนึ่ง จากนั้นดึงกลับแล้วฟาดดาบฟันเข้าที่คอของอีกตัว เศษดินและโคล
ศิษย์ระดับสามและศิษย์ระดับต่ำกว่านั้นบางกลุ่มก็ออกไปจัดการกับอสูรดินเหนียวในจุดต่างๆ ถัวเค่อชีเองก็เช่นกัน ที่มีหน้าที่จัดการกับเหล่าอสูรดินเหนียวที่บุกโจมตีสำนักจากนั้นถัวเค่อชีก็แยกตัวออกจากกลุ่มศิษย์ที่กำลังต่อสู้กับอสูรดินเหนียว โดยอ้างว่าจะจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียว ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเรียกหาอยู่กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาท ขณะที่ถัวเค่อชีเดินเข้าไปในเงามืดของป่า เสียงนั้นไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวของเขาเอง และไม่อาจสลัดเสียงเหล่านั้นออกไปจากร่างกายได้แม้แต่น้อยร่างกายของถัวเค่อชีเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกย่างก้าว จนกระทั่งเขามาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีเงาร่มครึ้มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นขึ้นมาจากกลางศีรษะ ทะลวงไปถึงไขสันหลัง ถัวเค่อชีทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมหัวแน่นราวกับจะป้องกันมิให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง ร่างกายสั่นสะท้านจากความทุกข์ทรมาน ดวงตาพร่าเลือน เหมือนมีเงามืดแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ“อ๊ากกก!!”ถัวเค่อชีส่งเสี
เจียงเยว่และหลี่เกอซินยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของหอเทียนหยาง สายลมพัดเอื่อย ผมยาวสลวยของทั้งคู่ปลิวไสวไปตามสายลมดวงตาของเจียงเยว่จับจ้องไปยังท้องฟ้า และพื้นเบื้องล่าง ที่มีกองทัพอสูรดินเหนียวเข้ามาไม่พักหลี่เกอซิน ศิษย์น้องผู้ชำนาญวิชาตรวจจับ ยืนนิ่งข้างๆ นางหลับตาลงเล็กน้อย ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ที่อารามทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีปัญหา ทำให้ม่านพลังป้องกันเกิดรอยรั่ว”“แล้วอย่างไร?”“พวกเราต้องไปซ่อมแซมจุดนั้นโดยด่วน เพียงแต่ทางด้านนั้นมีศัตรูเข้ามามากเกินไป ข้าเกรงว่าหากไปตอนนี้จะไม่ปลอดภัย”เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ นางคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “ก่อนอื่นต้องระงับศัตรูไม่ให้เข้ามาชั่วคราว แล้วค่อยเข้าไปซ่อมแซมม่านพลัง”“แล้วควรทำอย่างไรดีศิษย์พี่?”“เจ้ารอที่นี่ก่อน”เจียงเยว่เหลือบตามองลงไปด้านล่าง ราวกับกำลังมองหาบางคน ดวงตาของนางสะท้อนเงาร่างหนึ่งที่กำลังต่อสู้