จางอี้หมิงก้าวออกจากประตูห้องพักฟื้นของหวงจื่อรั่ว ที่ด้านนอก มีแม่นางผิงกั๋ว ศิษย์แห่งหน่วยแพทย์กำลังรออยู่ นางประสานมือคารวะพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ศิษย์พี่ฟางหรงกำชับไว้ว่า ท่านต้องแช่ตัวในอ่างยาทุกเจ็ดวันเพื่อฟื้นฟูร่างกาย และนี่ก็ถึงเวลาแล้ว”
ที่หน่วยแพทย์แห่งนี้ ผู้ที่เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ที่สุดก็คือศิษย์พี่ฟางหรง และนางก็เป็นหัวหน้ากับผู้ฝึกสอน ให้แก่ศิษย์ในหน่วยแพทย์เหล่านี้ด้วย
จางอี้หมิง เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนถามกลับด้วยท่าทีสบายๆ
“ข้าต้องแช่ที่นี่หรือกลับไปแช่ที่บ้าน?”
“ตามที่ศิษย์พี่สะดวก”
จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดอย่างขบขัน “หากข้าแช่ที่นี่ จะมีศิษย์สาวๆ มาคอยบีบนวดให้ข้าหรือไม่?”
ผิงกั๋ว มองหน้าเขานิ่งๆ ก่อนตอบอย่างจริงจัง
“ไม่มีเจ้าค่ะ”
น่าเสียดายยิ่งนัก!
แม่นางผิงกํ่วนั้นเป็นดรุณีสาวที่มีใบหน้างดงาม แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับแม่นางหลินหนิงก็นับว่าด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับแม่นางหวงจื่อรั่ว ก็นับว่าด้อยกว่าแบบพลิกฝ่ามือ
แต่หากเปรียบความงามระหว่างแม่นางหวงจื่อรั่วกับศิษย์พี่ฟางหรง ในสายตาของจางอี้หมิงพบว่ามีความสุสีใกล้เคียงกัน มากกว่าศิษย์พี่เจียงเยว่อยู่บ้าง
จางอี้หมิงหัวเราะเสียงดังแล้วโบกมือ
“ถ้าเช่นนั้น จัดชุดยามาให้ข้า ข้าจะกลับไปแช่ที่บ้านพักเอง”
ผิงกั๋ว พยักหน้าแล้วพูด “เชิญศิษย์พี่รอสักครู่ ข้าจะไปนำชุดยามาให้”
จากนั้นนางก็เดินเข้าไปในห้องยา ทิ้งให้จางอี้หมิงยืนรอที่ด้านนอก
ห้องพักฟื้น
ภายในห้องพักฟื้นที่ หวงจื่อรั่ว นอนอยู่ หลินหนิงนั่งอยู่ข้างเตียง คุยกับหวงจื่อรั่วที่เพิ่งฟื้นตัวด้วยความตื่นเต้น
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเสี่ยวอี้คือใคร? เขาคือท่านจางอี้หมิง ศิษย์ระดับสูงของสำนักเชียวนะ!”
หวงจื่อรั่ว ยิ้มเล็กน้อยแล้วพยักหน้าเบาๆ
“ข้ารู้!”
หลินหนิง เบิกตากว้างอย่างตกใจ “รู้อยู่แล้ว? เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร?”
หวงจื่อรั่วถอนหายใจเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ข้ารู้มาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะตัวข้าเองถูกท่านอ๋องจางส่วงส่งมาที่นี่ เพื่อคอยคุ้มครองจางอี้หมิงในช่วงที่เขาต้องฟื้นฟูพลังปราณ”
นางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“แต่เพียงแค่ตั้งแต่มาที่นี่ ตัวข้ากลับยังไม่เคยทำหน้าที่นี้เลย มีแต่เขาที่คอยช่วยเหลือข้าอยู่ตลอด”
หลินหนิงจับแขนหวงจื่อรั่วเบาๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เจ้ากับเขา...แท้จริงแล้วเป็นอะไรกัน?”
หวงจื่อรั่ว เงียบไปครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“นายกับบ่าว”
หลินหนิงได้ยินคำตอบนั้นก็เงียบไป ไม่พูดอะไรต่อ หวงจื่อรั่วเหลือบมองหลินหนิงเล็กน้อย ก่อนถามกลับ
“แล้วเจ้าเล่า? เจ้าชอบเขาหรือ?”
หลินหนิง หน้าแดงเล็กน้อย เธอส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว
“ไม่ใช่! ข้าจะไปชอบเขาได้ยังไง?”
ด้านนอกห้องพักฟื้น
แม่นางผิงกั๋ว เดินกลับมาพร้อมชุดยาสมุนไพรสำหรับแช่ตัวในมือมัดหนึ่ง นางส่งให้จางอี้หมิงพร้อมพูด
“ท่านต้มน้ำในอ่างที่บ้าน จากนั้นเทยาพวกนี้ลงไป แล้วแช่ตัวสักครึ่งชั่วยาม จะช่วยฟื้นฟูร่างกายของท่านได้”
จางอี้หมิง รับชุดยามาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอบใจเจ้ามาก”
ก่อนเดินจากไป เขาหันกลับมามองผิงกั๋วอีกครั้ง
“ฝากดูแลแม่นางสองคนนั้นด้วยนะ”
ผิงกั๋ว พยักหน้ารับคำ จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อยก่อนหันหลังเดินไปทางบ้านพักของเขา
ระหว่างทางเดินกลับบ้านพัก จางอี้หมิง นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจำได้รางๆ ว่าที่บ้านพักของเขามีบางสิ่งที่สำคัญ แต่กลับนึกไม่ออก
เมื่อมาถึงบ้านพัก เขาเห็น ม่านพลังป้องกัน ที่ล้อมรอบบ้านไว้ ม่านพลังนี้มีคุณสมบัติป้องกันบุคคลภายนอกไม่ให้เข้ามา แต่เพราะม่านพลังนี้เกิดจากพลังปราณของจางอี้หมิงเอง เขาจึงเดินทะลุเข้าไปได้โดยไม่มีปัญหา
เมื่อเข้าไปในบ้านพัก เขาก็เห็น ศิษย์พี่เจียงเยว่ ผู้มีใบหน้างดงามปานหยกขาว กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะหนังสือของเขา นางยังคงสง่างามแม้ในท่วงท่าที่เรียบง่าย กับหน้าอกทั้งสองที่วางอยู่บนโต๊ะนั้น
“ท่าทางคงจะหนักน่าดู” จางอี้หมิงลอบคิดเงียบๆ ในใจ
เมื่อเห็นดังนั้น จางอี้หมิงก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเลียน
“ศิษย์พี่ยังอยู่อีกหรือ? เหตุใดถึงไม่กลับไปเรือนของท่าน”
เจียงเยว่ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเขา นางยังคงก้มหน้าอ่านตำรา แล้วเปล่งวาจาอันมีพลังจนทำให้สองเต้านั้นกระเพื่มเล็กๆ
“นางคณิกาผู้นั้น...เป็นสาวบริสุทธิ์หรือไม่?”
คำถามนั้นทำให้จางอี้หมิงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เขาจ้องมองเจียงเยว่ด้วยความสงสัย
“เกี่ยวอะไรกับท่าน?”
เจียงเยว่ปิดตำราลง ดวงตาคมกริบของนางจ้องมองมาที่เขา นางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หากสตรีผู้นั้นเป็นสาวบริสุทธิ์แต่ไม่ได้มีจิตใจที่ลึกซึ้งต่อเจ้า พลังปราณของเจ้าจะเกิดปฏิกิริยาเพียงเล็กน้อย และยังไม่คืนสมดุล แต่หากนางมีใจลึกซึ้งต่อเจ้า พลังปราณของเจ้าจะกลับคืนสมดุล เรื่องเหล่านี้เจ้าคงไม่ได้อ่านตำราให้จบสินะ"
นางพูดพร้อมกับดันหนังสือเล่มนั้นไปทางเขาเล็กน้อย ก่อนถามต่อ
“ตกลง นางคณิกาผู้นั้นเป็นอย่างไร?”
จางอี้หมิง รู้สึกกระอักกระอ่วนกับคำถาม พลันคิดในใจว่า “แม่นางฉีเหอผู้นั้นแท้จริงแล้วเป็นสาวบริสุทธิ์...หรือว่าข้าเป็นคนที่เปิดประสบการณ์ให้นาง? ถ้ารู้เช่นนี้ข้าก็ควรจะถนอมนางให้มากกว่านี้เสียหน่อย”
จางอี้หมิงแอบสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นางคณิกาที่ไหนจะบริสุทธิ์กัน?”
เจียงเยว่ได้ยินคำตอบนั้นก็ยกคิ้วเล็กน้อย แล้วแค่นเสียงหัวเราะ
“เจ้ายอมรับแล้วสินะว่าไปหลับนอนกับนางคณิกามา เอาเถอะ ข้าจะไม่บอกอาจารย์ในครั้งนี้”
บ้าเอ้ย! ข้าเสียท่านางจนได้ หากท่านยอมขึ้นเตียงกับข้า มีหรือข้าจะแอบไปหากินกับนางคณิกาสาว
เจียงเยว่ยืนกอดอก ก้อนทั้งสองแนบชิดกันจนเกิดร่องยาว จางอี้หมิงพลันเหลือบตาลงไปในพื้นที่ร่องระหว่างเนินสีขาวทั้งสองนั้น
หากข้าจ้องมากไปกว่านี้ ลูกข้าคงจะถูกนางควักออก อาจจะสูญเสียการมองเห็นตามลมปราณก็เป็นได้
เมื่อคิดได้เช่นนั้นจางอี้หมิงจึงละสายตาออก
เจียงเยว่ยืนกอดออก และเปลี่ยนสายตาไปที่ ห่อยาสมุนไพร ในมือของจางอี้หมิง นางถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“นั่นคืออะไร?”
จางอี้หมิงมองห่อยาในมือแล้วตอบ
“เป็นยาจากหน่วยแพทย์สำหรับแช่ตัวเพื่อพักฟื้น”
เจียงเยว่รับห่อยามาไว้ในมือ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนออกคำสั่ง
“เพื่อเป็นการตอบแทนที่เจ้าให้ข้านอนพัก ข้าจะต้มน้ำในอ่างให้เอง ส่วนเจ้าจงไปฝึกซ้อมนอกรอบเสีย”
ข้าให้ท่านนอนพัก ท่านก็ควรนอนกับข้าเป็นการตอบแทน แต่ช่างเถอะ เท่านี้ก็นับว่าดีเหมือนกัน ข้าเองก็อยากหาเวลาฝึกขี่ดาบเช่นกัน
“ตกลง เช่นนั้นข้าจะไปฝึกที่ลานด้านหลัง หากน้ำในอ่างพร้อมแล้วเรียกข้าด้วย”
ในยามเย็น ลมเย็นพัดโชยไปทั่วลานฝึกด้านหลังบ้านพัก จางอี้หมิง ยืนถือดาบเล่มหนึ่งไว้ในมือ เขาหลับตาลง สูดลมหายใจลึก แล้วเริ่มโคจรลมปราณในร่างกายแบบย้อนกลับ การไหลเวียนพลังปราณครั้งนี้ราบรื่นและง่ายดายกว่าครั้งก่อนๆ “ปฏิกิริยาจากการหลับนอนกับแม่นางฉีเหอหรือนี่ รู้แบบนี้ข้าควรทำให้นางมีจิตคิดลึกซึ้งต่อข้ามากกว่านี้ การคืนสู่สมดุลลมปราณก็คงไม่ยากนัก” เขาพึมพำเมื่อโคจรลมปราณได้ระดับนึง จางอี้หมิงจึงค่อยๆ วางดาบลงกับพื้น เขาปลดปล่อยพลังปราณลงในดาบ ดาบเล่มนั้นเริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือพื้นดินดาบเล่มนี้สะท้อนแสงรางๆ จางอี้หมิงก้าวขึ้นไปยืนบนดาบอย่างมั่นคง ท่าทางของเขาแสดงถึงความชำนาญ แม้จะไม่ได้ขี่ดาบมานาน แต่ร่างกายยังจดจำวิธีทรงตัวบนดาบได้ดี “น่าจะไปได้สวย”
ยันต์กลายเป็นตาข่ายพลังสีทองผืนใหญ่ที่รับร่างของหลินหนิงไว้ก่อนที่นางจะตกถึงพื้น ตาข่ายช่วยลดแรงกระแทกจนหลินหนิงไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงทันทีที่หวงจื่อรั่วรีบวิ่งเข้าไปช่วยประคองหลินหนิงอย่างปลอดภัยหลินหนิงที่ยังตกใจอยู่เงยหน้ามองจางอี้หมิงด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง แต่ก่อนที่นางจะเอ่ยคำใดออกมา ร่างของจางอี้หมิงก็เซไปเล็กน้อย ก่อนจะกระอักโลหิตออกมาการโคจรพลังของข้าเกินขีดจำกัด น่าขายหน้ายิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะยันต์พวกนี้ข้าเขียนไว้ก่อนสิ้นพลัง คงไม่เป็นเช่นนี้ พลังดั้งเดิมข้าแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ "ศิษย์พี่!" หลินหนิงร้องออกมาด้วยความตกใจหวงจื่อรั่วและหลินหนิงรีบวิ่งเข้าไปหาจางอี้หมิง นางทั้งสองช่วยประคองเขาที่กำลังจะล้มลงพื้นไว้ทันพอดีถัวเค่อชีโบกมือให้ทั้งสองประคองจางอี้หมิงไปหน่วยแพทย์ตามหน้าที่ แม้ในใจจะคิดขึ้นว่า “ถึงอย่างไรก็มีข้อจำกัดสินะ”หน่วยแพทย์จางอี้หมิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สัมผัสแรกที่เขารู้สึกคือความหนักอึ้งของร่า
เช้าวันใหม่ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบไปทั่วลานหน้าบ้านพักจางอี้หมิงลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา แต่งตัวใหม่ดูดี จากนั้น จางอี้หมิงเดินออกมาด้วยท่าทีผ่อนคลาย ดวงตาของเขาสะท้อนภาพของสตรีสองนางที่ยืนรออยู่หลินหนิง สตรีร่างเล็ก หน้าตาน่ารัก เอวคอดกิ่ว มีส่วนเว้าโค้งที่พอดี ชวนให้ดูอ่อนหวานและสดใสส่วนหวงจื่อรั่วแม้จะแต่งกายคล้ายบุรุษ มีทวนยาวสะพายอยู่บนหลัง แต่ความงดงามของนางก็โดดเด่นราวกับเทพธิดา ยากนักที่จะหยุดมองได้จางอี้หมิงเผยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวว่า “เดินทางกันเถอะ”ทั้งสามต่างขึ้นม้าของตน แล้วควบออกจากสำนักเทียนหยาง ระหว่างทางที่สายลมพัดผ่านไล้ผิวเบาๆ จางอี้หมิงหันไปทางหลินหนิง พลางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “เจ้าเรียกข้าว่า ‘เสี่ยวอี้’ เหมือนเดิมเถอะ ศิษย์น้องของข้ามีมากพอแล้ว”หลินหนิงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ดวงตาเป็นประกาย แล้วกล่าวตอบ
เมื่อจางส่วงเอ่ยชื่อ "ซุนสีห่าว" ออกมา จางอี้หมิง ถึงกับพ่นสุราออกมาเต็มโต๊ะ!แต่ไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวอะไร จางหลันซือ น้องสาวของเขา ก็ลุกขึ้นมาทันที ใบหน้างามของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางจ้องบิดาตนเองด้วยดวงตาแดงก่ำก่อนจะกล่าวเสียงดัง “ข้าไม่ยอม!”น้ำเสียงของนางเด็ดขาดและหนักแน่น บรรยากาศรอบโต๊ะเงียบลงทันทีจางอี้หมิงรีบเช็ดปาก เช็ดน้ำสุราที่พ่นออกมา ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นแล้วกล่าวสนับสนุนน้องสาว “ข้าเองก็ไม่เห็นด้วย!”เขาวางจอกสุราลงกับโต๊ะดัง ตึง! แล้วกล่าวต่ออย่างหนักแน่น “ซุนสีห่าวผู้นี้เป็นคนชั่วช้า ไม่เหมาะกับน้องหญิงแม้แต่น้อย! ข้าเกือบซัดหน้ามันที่สำนักเทียนหยาง”เขาพูดจบก็กวาดตามองบิดาของตนอย่างจริงจังแต่ก่อนที่บรรยากาศจะตึงเครียดไปมากกว่านี้ หลี่เอ้อเหมียว ผู้เ
ยามค่ำคืนภายในเรือนหลังน้อยของจวนอ๋องจางส่วงแสงจันทร์ส่องกระทบผ่านหน้าต่าง เผยให้เห็นเงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองดูหมู่ดาวที่ระยิบระยับบนท้องฟ้าอย่างเงียบงัน บุรุษผู้นั้นคือ จางอี้หมิงผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งสำนักเทียนหยาง ด้านข้างของเขามีหญิงสาวนางหนึ่งนั่งอยู่ ซงเอ๋อร์ กำลังก้มหน้ารินสุราให้ด้วยท่วงท่าสง่างามแม้ว่าซงเอ๋อร์ จะมีหน้าที่คล้ายสาวใช้ในบ้าน แต่ฐานะของนางนั้นสูงมากกว่า นางถูกแม่แท้ๆ ของจางอี้หมิงชุบเลี้ยงไว้ตั้งแต่ทารก และกำหนดไว้ให้แต่งเป็นอนุของจางอี้หมิงเมื่อโตขึ้นอ๋องจางส่วงและฮูหยินก็รับปากดำเนินการต่อแม้ว่ามารดาของจางอี้หมิงเสียชีวิตไปแล้ว นางจึงได้รับการเลี้ยงดูและได้รับการศึกษามากกว่าสาวใช้ทั่วไปในบ้าน แต่ไม่เทียบเท่าบุตรสาวในจวนสกุลจางนั้นมีฐานะพิเศษ ที่ต้องถูกควบคุมอย่างเคร่งครัดจากราชสำนัก ราชวงศ์ปัจจุบัน บุรุษทุกคนต้องถูกกำหนดให้แต่งกับคนที่ราชสำนักกำหนดให้เท่านั้น ส่วนอนุภรรยาสามารถมีได้หลังจากแต่งตั้งชายาหลักแล้วเท่านั้นซงเอ๋อร์ในเวลานี้ยังไม่ถูกแต่งตั้งเป็นอนุภรรยาอย
ภายในเรือนหลังน้อย แสงเทียนริบหรี่โยกไหวตามสายลมอ่อนๆ ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา บรรยากาศสงบเงียบยามค่ำคืนช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์จากเครื่องหอมอบอวลในห้อง ผสมกับกลิ่นหอมประจำกายของซงเอ๋อร์ที่อบอวลอยู่ใกล้ๆจางอี้หมิงนอนเอนกายอยู่บนเตียง ใช้มือข้างหนึ่งรองศีรษะ ดวงตาคู่คมทอดมองซงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าของนางสะท้อนแสงเทียน ยิ่งขับให้ดูงดงามอ่อนหวาน นางก้มหน้างุด ริมฝีปากเม้มเล็กน้อยราวกับลังเลจางอี้หมิงขยับตัวเข้าไปด้านในของเตียงเล็กน้อย แล้วใช้มือข้างหนึ่งตบลงที่ที่นอนเบาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น“เจ้าลงมานอนข้างๆ ข้าเถอะ”ซงเอ๋อร์เม้มปากน้อยๆ ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ แล้วขยับตัวขึ้นไปบนเตียงอย่างลังเล นางห่มผ้าคลุมร่าง ก่อนจะเอนกายลงนอนข้างๆ จางอี้หมิง แต่ยังเว้นระยะห่างเล็กน้อย ดวงตากลมโตของนางช้อนมองเขาอย่างประหม่าจางอี้หมิงขยับตัวเข้าใกล้อีกนิด พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ข้านอนกอดเจ้าได้หรือไม่”ซงเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้างามก็แดงก่ำขึ้นมาทันที นางเม้มริมฝีปากอย่างครุ่นคิด แต่สุดท้ายก็เอ่ยต
ซุนสีห่าว!คนผู้นั้นคือซุนสีห่าว บุตรชายรองเจ้ากรมคลัง ผู้มีฐานะเป็นศิษย์ระดับศูนย์ของสำนัก และเป็นว่าที่คู่หมั้นของจางหลันซือ ผู้เป็นน้องสาวของจางอี้หมิงจางอี้หมิงเห็นหน้าแล้วไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เป็นคู่หมั้นของน้องสาวยังพอจะนับญาติได้ แต่ตอนอยู่ในสำนักดันวางตัวเป็นศัตรูกับเขา และชอบมีปัญหากับแม่นางหลินหนิงและแม่นางหวงจื่อรั่วคนงาม คนผู้นี้ยิ่งไม่น่าคบหา“พวกเจ้าคิดจะโกงข้าหรือไง!?”เสียงของซุนสีห่าวดังลั่นด้วยสีหน้าเดือดดาลกับลูกสมุนสองคนที่ใบหน้ามีบาดแผลรอบตัวเขามีชายฉกรรจ์ในชุดสีเข้มยืนล้อมไว้ สีหน้าของพวกนั้นเรียบเฉยแต่แววตาเย็นชาจางอี้หมิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้าลูกสุนัขนั่นทำอะไรอีกแล้ว?”ซ่งอินยิ้มขบขัน “ดูเหมือนจะเสียพนันแล้วโวยวาย”“หึ นี่เป็นเรื่องปกติของสำนักบ่อนเบี้ย” จางอี้หมิงพัดพัดในมือเบาๆ“เราควรช่วยพวกเขาดีหรือไม่?”“รอให้เขาใกล้ตายก่อนค่อยออกไปช่วยก็ยังไม่สาย”ซ่งอินเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เพราะเหตุใด?”“วีรบุรุษย่อมเปิดเผยตัวเป็นคนสุดท้าย” จางอี้หมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ภายในห้องอาหารของจวนสกุลจาง ทุกคนในครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา จางส่วง ผู้เป็นบิดา นั่งอยู่หัวโต๊ะ ด้านข้างมี หลี่เอ้อเหมียว ภรรยาของเขาและเป็นมารดาเลี้ยงของ จางอี้หมิง ส่วน จางหลันซือ บุตรีของหลี่เอ้อเหมียว และ จางอี้หมิง พี่ชายต่างมารดา ก็นั่งร่วมโต๊ะพร้อมกันบรรยากาศเป็นไปอย่างสงบ ทุกคนเพลิดเพลินกับอาหารถูกจัดเตรียมมาอย่างดีจางอี้หมิงคีบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งอย่างใจเย็น และสูดกลิ่นหอมของอาหารเบาๆ ขณะที่หลี่เอ้อเหมียวรินน้ำชาให้สามีจางหลันซือที่เงียบมานานจ้องมองพี่ชายต่างมารดาของตน ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“พี่ใหญ่มีเรื่องใดสารภาพหรือไม่?”จางอี้หมิงชะงักมือที่กำลังคีบอาหาร ดวงตาคมเข้มเหลือบมองน้องสาวแล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจหลี่เอ้อเหมียววางกาน้ำชาลงแล้วหันมามองด้วยความสนใจ ขณะที่ จางส่วง ผู้เป็นบิดา ชะงักไปเพียงอึดใจ ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังแล้วกล่าวขึ้น“เจ้าไปทำนางคณิกาคนใดท้อง?”เสียงคำถามนั้นทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่พลันชะงักไปชั่วขณะ แม้แต่นางรับใช้ที่กำลังรินน้ำแกงยังเผลอมือสั่นเล็กน้อยจางอี้หมิงถอนหายใจแล้
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร
ท่ามกลางป่าทึบยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์หรือประกายดาว มีเพียงเสียงลมพัดเอื่อยๆ ราวกับเสียงกระซิบจากธรรมชาติเพียงเท่านั้นถัวเค่อชี ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เรือนผมยุ่งเหยิง เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจากร่องรอยการดิ้นรนทรมานจากฤทธิ์ยา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังแดงก่ำ ราวกับมีเปลวไฟกำลังเผาผลาญจากภายในความเจ็บปวดจากพิษของยาเสริมพลังที่ เชียนหวง มอบให้เขา ตอนนี้ค่อยๆ สลายไปแล้ว“ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า!”เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง ราวกับสายธารปราณที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเขาหลับตา โคจรลมปราณทั่วร่าง และสิ่งที่ค้นพบก็ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย“พลังของข้า... เพิ่มขึ้นแล้ว!”เขาเผยรอยยิ้มสะใจ ก่อนจะกระชากกระบี่ออกจากฝัก แสงเย็นเยียบสะท้อนจากใบกระบี่ เขารวบรวมพลังลงไปในคมดาบ จากนั้นฟาดมันออกไปเต็มแรงฉัวะ!เสียงกระบี่เฉือนอากาศดังก้อง ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เศษไม้ปลิวกระจายไปทั่ว
“หากพวกเจ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าสำนัก จงบอกที่ซ่อนของศิลาเฝิ่นเหิงมาเดี๋ยวนี้!”เสียงของเชียนหวงก้องกังวาน แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกบีบอัดจนหนักอึ้งลิ่วเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิลาเฝิ่นเหิง?”จางอี้หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเคยอ่านเจอในนิยาย ตำนานเซียนไท่ซวิน ไม่คิดว่าจะมีคนที่เชื่อว่าเป็นของจริงด้วย”ลิ่วเฉียงหันไปมองหน้าเชียนหวง ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ไปถามผู้เขียนนิยายสิ!”“หุบปาก!” เชียนหวงตะโกนลั่น ‘ปากแข็งหรือเบาปัญญาก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก!’ รังสีอำมหิตระเบิดออกมาจากร่าง พลังสีดำมืดหม่นหมุนวนไปรอบตัวเขา ราวกับเป็นพายุวิญญาณอาฆาต“เช่นนั้น ข้าคงต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดแล้วค่อยค้นหาด้วยตัวเอง!”ซ่าาา!พลังอาฆาตสีดำแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเชียนหวง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกร้าว เปลวพลังสีดำคุกรุ่นรอบตัวลิ่วเฉียงยังคงยืนสงบนิ่ง มองดูศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะหันไปถามเฉินเจิ้ง “แค่ระดับเจ็ด เจ้าสู้ไม่ได้รึ?”เฉินเจิ้งกำหมัดแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงเจ็บใจ “น่าอ
สายลมพัดเอื่อย สะบัดผ่านร่างของสองศิษย์พี่น้องที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ่านหวงและเฉินเจิ้งต่างจมอยู่ในสมาธิ โคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อรอบกายเต็มไปด้วยซากอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดิน เศษหิน เสียงลมหายใจของทั้งสองเริ่มกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงชั่วขณะ“ตรวจสอบหาผู้นำพวกมันได้หรือยัง?” เฉินเจิ้งถามเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังฟ่านหวงมองไปรอบๆ “ยัง”เฉินเจิ้งแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ระหว่างที่ข้ากำจัดพวกมัน เจ้าไม่ได้อู้ใช่หรือไม่?”ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “ศิษย์พี่เอ๋ย หากข้าตอบว่าใช่ ท่านจะทำอะไรข้า?”“เจ้ามันตัวบัดซบ กินแรงผู้อื่น!”เสียงหัวเราะของฟ่านหวงดังขึ้น ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำต่อไป บรรยากาศรอบกายพลันเย็นยะเยือกลงจนขนลุกชันวูบบบ!“ศิษย์พี่…ท่านหายเหนื่อยแล้วหรือยัง?”เฉินเจิ้งยืดเส้นยืดสาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็… 5… 4… 3… 2… 1…”วูบบบ!!!
ทางด้านลานกว้างหน้าหอเทียนหยางจางอี้หมิยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลานกว้างหน้าหอเทียนหยาง ท่ามกลางหมอกฝุ่นและเสียงคำรามของเหล่าอสูรดินเหนียว ดาบในมือของเขาเปื้อนเศษดินและคราบอสูร แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับกระชับแน่น แม้ไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ด้วยร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงและกระบวนท่าอันเฉียบคม เขาก็ยังคงยืนหยัดต้านศัตรูได้อย่างไม่ลดละเมื่ออสูรตนหนึ่งพุ่งเข้ามาทางด้านซ้าย จางอี้หมิงใช้แรงบิดเอว เหวี่ยงดาบออกไปเป็นแนวโค้งคมกริบ ปลายดาบฟันทะลุไหล่อสูรดินเหนียวเสียงดังฉึบ! เศษดินกระจายตัวออกเป็นฝุ่นสีดำ อสูรตัวนั้นเซถลาไปด้านหลังก่อนที่ร่างจะถูกแรงฟันฉีกออกเป็นสองซีก ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ! โฮกกก!!!!เสียงคำรามจากอสูรตัวอื่นดังก้อง มันพุ่งเข้ามารุมล้อมจากทุกทิศทาง จางอี้หมิงย่อกายลงเล็กน้อยก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้า ใช้ดาบแทงทะลุอกของตัวหนึ่ง จากนั้นดึงกลับแล้วฟาดดาบฟันเข้าที่คอของอีกตัว เศษดินและโคล
ศิษย์ระดับสามและศิษย์ระดับต่ำกว่านั้นบางกลุ่มก็ออกไปจัดการกับอสูรดินเหนียวในจุดต่างๆ ถัวเค่อชีเองก็เช่นกัน ที่มีหน้าที่จัดการกับเหล่าอสูรดินเหนียวที่บุกโจมตีสำนักจากนั้นถัวเค่อชีก็แยกตัวออกจากกลุ่มศิษย์ที่กำลังต่อสู้กับอสูรดินเหนียว โดยอ้างว่าจะจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียว ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเรียกหาอยู่กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาท ขณะที่ถัวเค่อชีเดินเข้าไปในเงามืดของป่า เสียงนั้นไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวของเขาเอง และไม่อาจสลัดเสียงเหล่านั้นออกไปจากร่างกายได้แม้แต่น้อยร่างกายของถัวเค่อชีเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกย่างก้าว จนกระทั่งเขามาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีเงาร่มครึ้มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นขึ้นมาจากกลางศีรษะ ทะลวงไปถึงไขสันหลัง ถัวเค่อชีทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมหัวแน่นราวกับจะป้องกันมิให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง ร่างกายสั่นสะท้านจากความทุกข์ทรมาน ดวงตาพร่าเลือน เหมือนมีเงามืดแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ“อ๊ากกก!!”ถัวเค่อชีส่งเสี
เจียงเยว่และหลี่เกอซินยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของหอเทียนหยาง สายลมพัดเอื่อย ผมยาวสลวยของทั้งคู่ปลิวไสวไปตามสายลมดวงตาของเจียงเยว่จับจ้องไปยังท้องฟ้า และพื้นเบื้องล่าง ที่มีกองทัพอสูรดินเหนียวเข้ามาไม่พักหลี่เกอซิน ศิษย์น้องผู้ชำนาญวิชาตรวจจับ ยืนนิ่งข้างๆ นางหลับตาลงเล็กน้อย ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ที่อารามทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีปัญหา ทำให้ม่านพลังป้องกันเกิดรอยรั่ว”“แล้วอย่างไร?”“พวกเราต้องไปซ่อมแซมจุดนั้นโดยด่วน เพียงแต่ทางด้านนั้นมีศัตรูเข้ามามากเกินไป ข้าเกรงว่าหากไปตอนนี้จะไม่ปลอดภัย”เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ นางคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “ก่อนอื่นต้องระงับศัตรูไม่ให้เข้ามาชั่วคราว แล้วค่อยเข้าไปซ่อมแซมม่านพลัง”“แล้วควรทำอย่างไรดีศิษย์พี่?”“เจ้ารอที่นี่ก่อน”เจียงเยว่เหลือบตามองลงไปด้านล่าง ราวกับกำลังมองหาบางคน ดวงตาของนางสะท้อนเงาร่างหนึ่งที่กำลังต่อสู้