ภายในเรือนหลังน้อย แสงเทียนริบหรี่โยกไหวตามสายลมอ่อนๆ ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา บรรยากาศสงบเงียบยามค่ำคืนช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์จากเครื่องหอมอบอวลในห้อง ผสมกับกลิ่นหอมประจำกายของซงเอ๋อร์ที่อบอวลอยู่ใกล้ๆ
จางอี้หมิงนอนเอนกายอยู่บนเตียง ใช้มือข้างหนึ่งรองศีรษะ ดวงตาคู่คมทอดมองซงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าของนางสะท้อนแสงเทียน ยิ่งขับให้ดูงดงามอ่อนหวาน นางก้มหน้างุด ริมฝีปากเม้มเล็กน้อยราวกับลังเล
จางอี้หมิงขยับตัวเข้าไปด้านในของเตียงเล็กน้อย แล้วใช้มือข้างหนึ่งตบลงที่ที่นอนเบาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“เจ้าลงมานอนข้างๆ ข้าเถอะ”
ซงเอ๋อร์เม้มปากน้อยๆ ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ แล้วขยับตัวขึ้นไปบนเตียงอย่างลังเล นางห่มผ้าคลุมร่าง ก่อนจะเอนกายลงนอนข้างๆ จางอี้หมิง แต่ยังเว้นระยะห่างเล็กน้อย ดวงตากลมโตของนางช้อนมองเขาอย่างประหม่า
จางอี้หมิงขยับตัวเข้าใกล้อีกนิด พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ข้านอนกอดเจ้าได้หรือไม่”
ซงเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้างามก็แดงก่ำขึ้นมาทันที นางเม้มริมฝีปากอย่างครุ่นคิด แต่สุดท้ายก็เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนเสียงกระซิบ
“ข้าน้อยอนุญาตให้สูงสุดแค่นั้น…”
ได้ยินคำตอบเช่นนั้น จางอี้หมิงยิ้มจางๆ แล้วค่อยๆ ยกแขนโอบรอบตัวนางไว้เบาๆ ดึงร่างนุ่มนิ่มเข้าสู่อ้อมกอดอย่างแผ่วเบา กลิ่นหอมของซงเอ๋อร์ลอยเข้ามาแตะจมูก ทำให้หัวใจเขารู้สึกสงบและผ่อนคลาย
ซงเอ๋อร์ตัวแข็งไปเล็กน้อยเมื่อถูกรวบกอด นางรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากร่างของจางอี้หมิง แต่ไม่นานก็รู้สึกปลอดภัยจนค่อยๆ ผ่อนคลาย นางซุกตัวลงใต้ผ้าห่ม มือเล็กกำผ้าห่มแน่นเพื่อระงับความขัดเขิน
เป้าหมายของข้าในวันหยุด คือเที่ยวสำนักสังคีตหลับนอนกับคณิกาสาวให้อิ่มหนำ นี่ไม่ใช่เป้าหมายข้า เพียงแต่มันดียิ่งนัก ขนาดยังไม่บรรลุเป้าหมายสูงสุดของการร่วมเตียงยังดีขนาดนี้ แล้วถ้าถึงวันนั้นจะดีขนาดไหน แม่นางซงเอ๋อร์เอย ข้าจะถนอมเจ้าเป็นอย่างดี
จางอี้หมิงนอนสวมกอดซงเอ๋อร์อยู่แบบนั้นทั้งคืน…
แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในเรือนหลังน้อย จางอี้หมิงขยับตัวเล็กน้อย เปลือกตากระพริบไหว ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ที่ทอดลงมาบนเตียง
เขาหันไปข้างกายโดยสัญชาตญาณ แต่พบว่าซงเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว มีเพียงร่องรอยบนฟูกที่บ่งบอกว่านางเคยนอนอยู่ข้างเขาเมื่อค่ำคืนก่อน
จางอี้หมิงลุกขึ้นนั่ง แปรงฟันล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย ก่อนจะได้กลิ่นหอมบางอย่างลอยมาจากโต๊ะ เมื่อหันไปก็พบว่ามีถาดอาหารวางอยู่ บนถาดนั้นมีชามโจ๊กอุ่นๆ กับจานเครื่องเคียงเล็กๆ อยู่เคียงข้าง
ริมฝีปากเขาเผยรอยยิ้มบางๆ
“แม่นางน้อยช่างเอาใจใส่จริงๆ”
เขาพึมพำ ก่อนจะเดินไปนั่งลง แล้วหยิบช้อนขึ้นมาคนโจ๊กเบาๆ ไอร้อนลอยขึ้นมาปะทะใบหน้า พร้อมกับกลิ่นหอมของข้าวที่เคี่ยวจนเนียนละเอียด เขาค่อยๆ ตักขึ้นมาชิม รสชาตินุ่มละมุนกำลังดี
เมื่อกินเสร็จ จางอี้หมิงก็ออกไปนั่งที่ศาลาด้านนอก ลมเช้าพัดเอื่อยให้ความรู้สึกสดชื่น สระน้ำเล็กๆ ข้างศาลาสะท้อนแสงแดดเป็นประกายระยิบ
ตอนนี้จางหลันซือกับซงเอ๋อร์ออกไปที่สำนักศึกษาหยูเทียนแล้ว ความเงียบสงบชั่วครู่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย
แต่ไม่นานนัก ก็มีร่างหนึ่งเดินเข้ามา
แม่นางหวงจื่อรั่ว นางงามผู้สะพายทวนไว้บนหลัง เดินตรงเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไอมารเมื่อคืนคือสิ่งใดกันแน่?” นางถามเสียงเรียบ
จางอี้หมิงยิ้มบางๆ ยื่นถ้วยน้ำชาให้
“นั่งลงก่อน”
หวงจื่อรั่ววางทวนไว้ข้างศาลา ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามเขา นางมองจางอี้หมิงด้วยสายตาตรวจสอบ
“ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว” จางอี้หมิงพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะยกยิ้มขบขัน “หรือไม่แน่อาจเป็นพวกมารที่มาเดินเล่นในเมืองหลวงกระมัง”
หวงจื่อรั่วฟังแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำท่าหงุดหงิด
“เจ้ายังเล่นตลกได้อีก…” นางพึมพำ
จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดจริงจังขึ้น
“เรื่องนี้ข้าจะกลับไปปรึกษากับเหล่าศิษย์พี่ระดับสูงก่อน พวกเจ้าศิษย์ระดับล่างไม่ต้องกังวลไป”
หวงจื่อรั่วพยักหน้าเบาๆ อย่างเข้าใจ นางไม่เซ้าซี้อะไรอีก
จางอี้หมิงมองนางก่อนจะเอ่ยถาม
“แล้ววันนี้เจ้าจะไปไหนหรือไม่?”
“ข้ามีนัดกับแม่นางหลินหนิงไว้” หวงจื่อรั่วตอบเรียบๆ “เป็นนัดเดินเล่นของสตรี”
จางอี้หมิงส่ายหน้าพลางโบกมือให้นางไป
“เข้าใจล่ะ… พวกเจ้าคงไม่อยากให้ข้าไปด้วยสินะ” เขาคิดในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นที่หน้าประตูจวน
บุรุษคนหนึ่งยืนรออยู่ ใบหน้าคมคาย ดวงตาสดใส ท่าทางร่าเริง
เขาคือ ซ่งอิน ศิษย์น้องแห่งสำนักเทียนหยาง
เมื่อเห็นจางอี้หมิงออกมา ซ่งอินก็ประสานมือคารวะ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่อี้หมิง วันนี้พวกเราจะไปที่ใดก่อนดี? ใช่สำนักสังคีตหรือไม่?”
จางอี้หมิงเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะใช้พัดในมือเคาะที่ท้องของซ่งอินเบาๆ
“สำนักสังคีตบ้านใครเขาไปกันแต่เช้า?” เขาพูดพลางหัวเราะเบาๆ ในใจคิดว่า “ที่บ้านข้ามีสิ่งสวยงามกว่าสำนักสังคีตตั้งเยอะ”
จากนั้น จางอี้หมิงหยิบถุงเงินขึ้นมาโยนเล่นในมือ ก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ไปเที่ยวบ่อนพนันกันเถอะ”
ซ่งอินได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะร่วนทันที “สมกับเป็นท่านจริงๆ”
ทั้งสองไม่รอช้า ขึ้นม้าคนละตัว แล้วควบออกจากจวนมุ่งหน้าไปยังบ่อนพนัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะและบรรยากาศคึกคักของเช้าวันใหม่…
เมื่อจางอี้หมิงและซ่งอินมาถึง สำนักบ่อนเบี้ย เสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้คนที่อยู่ภายในก็ดังแว่วออกมาถึงหน้าประตู แม้จะเป็นเวลากลางวัน แต่ที่นี่ก็พลุกพล่านไปด้วยผู้คนจำนวนมาก
อาคารหลังใหญ่ของบ่อนเบี้ยสร้างจากไม้เนื้อดี แกะสลักลวดลายหรูหรา บันไดทางเข้ามีพื้นปูด้วยหินอ่อนสะอาดสะอ้าน ประตูใหญ่เปิดกว้างต้อนรับผู้มาเยือนเสมอ ด้านบนมีป้ายไม้สลักตัวอักษรสีทองว่า "สำนักบ่อนเบี้ย" ขึงตระหง่านอยู่
ที่นี่คือหนึ่งในสามสถานที่บันเทิงหลักของเขตเมืองหลวงชั้นใน ในยามค่ำคืน คนชั้นสูงมักไปรวมตัวกันที่ สำนักสังคีต เพื่อเสพสุขกับสุราและนารี แต่ในยามกลางวัน หากมิได้สนใจเรื่องเดิมพันในบ่อน ก็คงไปที่ สำนักเดินหมาก ที่ขึ้นชื่อเรื่องการประชันปัญญา แต่คนที่มาที่บ่อนเบี้ยนี่ ส่วนใหญ่มักเป็นลูกหลานขุนนางที่ไม่ใส่ใจวิชาการหรือการปกครองบ้านเมืองนัก
จางอี้หมิงกวาดตามองรอบตัว ขณะเดินเข้าไปพร้อมซ่งอิน ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้มบางๆ เหมือนคนที่กำลังเดินเข้าสู่สนามเด็กเล่นของตนเอง
“ช่างคึกคักจริงๆ” ซ่งอินเอ่ยขึ้น พลางเหลือบมองรอบด้าน
ที่นี่เต็มไปด้วยกลุ่มชนชั้นสูงที่แต่งกายหรูหรา บางคนใส่เสื้อคลุมผ้าไหมปักลายงดงาม ในขณะที่บางกลุ่มนั่งดื่มสุรา คุยกันอย่างออกรส ราวกับสถานที่แห่งนี้คือคฤหาสน์ส่วนตัว
เมื่อเดินมาถึงโต๊ะเก็บเงินที่ทางเข้า ทั้งสองต้องจ่ายค่าแรกเข้าคนละหนึ่งตำลึง ตามกฎของที่นี่
ชายชราในชุดผ้าสีน้ำเงินเข้ม เป็นผู้ดูแลทางเข้าบ่อน เขามองจางอี้หมิงกับซ่งอินแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ รับเงินแล้วผายมือให้พวกเขาเข้าไป
ด้านในบ่อนกว้างขวางและแบ่งเป็นพื้นที่การละเล่นไว้หลายส่วน แล้วแต่ผู้คนจะร่วมวงเล่นสนุก ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ และเสียงโห่ร้องของผู้ที่ชนะเดิมพัน
ที่นี่มี เจ้าหน้าที่ที่รับบทเป็นเจ้ามือของสำนักบ่อนเบี้ย ประจำอยู่ทุกโต๊ะ ซึ่งเป็นคนของทางการโดยตรง ระบบการจ่ายเงินของที่นี่เป็นแบบกินแบ่ง ไม่ใช่กินรวบ ทุกคนมีโอกาสชนะ แต่หากไม่ประมาณตนก็มีโอกาสหมดตัวเช่นกัน ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนานและเร้าใจ
“ข้าว่าเรามาลองเสี่ยงดวงกันสักหน่อย” จางอี้หมิงพูดพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์
“ท่านคิดจะเล่นอะไร?” ซ่งอินถาม
“เริ่มจากโต๊ะทายเต๋าสูงต่ำก็แล้วกัน”
ทั้งสองเดินไปที่ โต๊ะทอยเต๋า ซึ่งมีวงพนันล้อมรอบกันอยู่ ที่หัวโต๊ะ เจ้ามือสวมอาภรณ์สีดำขลิบทอง ยืนรออยู่ ใบหน้าของเขานิ่งสงบ แสดงให้เห็นถึงประสบการณ์และความช่ำชองในการควบคุมเกม
บนโต๊ะมีถ้วยเขย่าลูกเต๋าทำจากกระเบื้องเคลือบ แสงสะท้อนจากโคมไฟภายในบ่อนทำให้มันดูมันวาว เสียงลูกเต๋าในถ้วยกระทบกันเบาๆ ขณะที่เจ้ามือเตรียมเขย่า
“ข้าจะทายต่ำ” จางอี้หมิงพูด พลางโยนเงินลงไป
ซ่งอินเลิกคิ้ว “ท่านแน่ใจหรือ?”
“เจ้าก็ทายตรงข้ามข้าสิ”
ซ่งอินโยนเงินไปที่ฝั่งสูงทันที
แต่ก่อนที่เจ้ามือจะเปิดถ้วยลูกเต๋า เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ทั้งจางอี้หมิงและซ่งอินสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปตามเสียงนั้นทันที
สิ่งที่พวกเขาเห็นคือ…
ซุนสีห่าว!คนผู้นั้นคือซุนสีห่าว บุตรชายรองเจ้ากรมคลัง ผู้มีฐานะเป็นศิษย์ระดับศูนย์ของสำนัก และเป็นว่าที่คู่หมั้นของจางหลันซือ ผู้เป็นน้องสาวของจางอี้หมิงจางอี้หมิงเห็นหน้าแล้วไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เป็นคู่หมั้นของน้องสาวยังพอจะนับญาติได้ แต่ตอนอยู่ในสำนักดันวางตัวเป็นศัตรูกับเขา และชอบมีปัญหากับแม่นางหลินหนิงและแม่นางหวงจื่อรั่วคนงาม คนผู้นี้ยิ่งไม่น่าคบหา“พวกเจ้าคิดจะโกงข้าหรือไง!?”เสียงของซุนสีห่าวดังลั่นด้วยสีหน้าเดือดดาลกับลูกสมุนสองคนที่ใบหน้ามีบาดแผลรอบตัวเขามีชายฉกรรจ์ในชุดสีเข้มยืนล้อมไว้ สีหน้าของพวกนั้นเรียบเฉยแต่แววตาเย็นชาจางอี้หมิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้าลูกสุนัขนั่นทำอะไรอีกแล้ว?”ซ่งอินยิ้มขบขัน “ดูเหมือนจะเสียพนันแล้วโวยวาย”“หึ นี่เป็นเรื่องปกติของสำนักบ่อนเบี้ย” จางอี้หมิงพัดพัดในมือเบาๆ“เราควรช่วยพวกเขาดีหรือไม่?”“รอให้เขาใกล้ตายก่อนค่อยออกไปช่วยก็ยังไม่สาย”ซ่งอินเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เพราะเหตุใด?”“วีรบุรุษย่อมเปิดเผยตัวเป็นคนสุดท้าย” จางอี้หมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ภายในห้องอาหารของจวนสกุลจาง ทุกคนในครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา จางส่วง ผู้เป็นบิดา นั่งอยู่หัวโต๊ะ ด้านข้างมี หลี่เอ้อเหมียว ภรรยาของเขาและเป็นมารดาเลี้ยงของ จางอี้หมิง ส่วน จางหลันซือ บุตรีของหลี่เอ้อเหมียว และ จางอี้หมิง พี่ชายต่างมารดา ก็นั่งร่วมโต๊ะพร้อมกันบรรยากาศเป็นไปอย่างสงบ ทุกคนเพลิดเพลินกับอาหารถูกจัดเตรียมมาอย่างดีจางอี้หมิงคีบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งอย่างใจเย็น และสูดกลิ่นหอมของอาหารเบาๆ ขณะที่หลี่เอ้อเหมียวรินน้ำชาให้สามีจางหลันซือที่เงียบมานานจ้องมองพี่ชายต่างมารดาของตน ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“พี่ใหญ่มีเรื่องใดสารภาพหรือไม่?”จางอี้หมิงชะงักมือที่กำลังคีบอาหาร ดวงตาคมเข้มเหลือบมองน้องสาวแล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจหลี่เอ้อเหมียววางกาน้ำชาลงแล้วหันมามองด้วยความสนใจ ขณะที่ จางส่วง ผู้เป็นบิดา ชะงักไปเพียงอึดใจ ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังแล้วกล่าวขึ้น“เจ้าไปทำนางคณิกาคนใดท้อง?”เสียงคำถามนั้นทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่พลันชะงักไปชั่วขณะ แม้แต่นางรับใช้ที่กำลังรินน้ำแกงยังเผลอมือสั่นเล็กน้อยจางอี้หมิงถอนหายใจแล้
“พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย! ไอ้โรคจิตนี่จะขืนใจข้า!”“หา!?” จางอี้หมิงขมวดคิ้วทันใดนั้น ซุนสีห่าวที่กำลังวิ่งมาตามมา ก็ชะงักฝีเท้ากะทันหัน เมื่อเห็น ใบหน้าของจางอี้หมิงจากนั้น เข่าทรุดลงแทบพื้น!“พี่เขย!!”“...”“ข้าเคยล่วงเกินท่าน โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิด!!!”จางอี้หมิงกระพริบตาสองสามที ก่อนจะหันไปมองน้องสาวที่ยังยืนหลบอยู่ด้านหลังเขา จากนั้นรีบคว้ามือจางหลันซือขึ้นรถม้า แล้วควบรถม้าออกไปทันที!!เมื่อรถม้ากลับมาถึง จวนสกุลจาง จางหลันซือถอดปิ่นปักผมออก ผมสยายกระทบแสงอาทิตย์งดงาม ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อจางอี้หมิงก้าวเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และเครื่องหอม ลอยอบอวลในอากาศ เทียนไขบนโต๊ะเล็กส่องแสงวูบไหวเป็นประกายอ่อนโยน เงาสะท้อนของเปลวไฟเต้นระยิบระยับบนผ้าม่านโปร่งบาง ราวกับกำลังเต้นรำอยู่ในค่ำคืนที่เงียบสงบกลางห้อง มีร่างของดรุณีสาวผู้หนึ่ง ในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ เนื้อผ้าบางเบาพริ้วไหวไปตามลมอ่อน ซงเอ๋อร์ สาวใช้คู่ใจและว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง หันกลับมามองเขาแววตาอ่อนโยนคู่นั้นเต็มไปด้วยความใส่ใจ แก้มของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ ราวกับกลีบดอกท้อแรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ“คุณชายฝึกซ้อมเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ?” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ข้าจัดเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้ท่านแล้ว”จางอี้หมิงยิ้มบางๆ สายตาคมคายทอดมองหญิงสาวตรงหน้า “เจ้าช่างดีเหลือเกิน” เขากล่าวเบาๆซงเอ๋อร์เดินเข้ามาใกล้ นางช่วยปลดเสื้อคลุมของเขาออกอย่างนุ่มนวล มือเรียวของนางสัมผัสโดนปลายแขนของเขาเพียงแผ่วเบาทว่ากลับทำให้หัวใจของจางอี้หมิงเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัวหลังจากปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกแล้ว เขาก้าวลงไปในอ่างไม้ขนาดใหญ่ ไอน้ำอุ่นโอบล้อมร่างกายช่างผ่อนคลา
เช้าของวันใหม่ วันนี้เป็นวันที่ต้องเดินทางกลับสำนักเทียนหยางเพื่อไปฝึกฝนวิชาต่อ เหล่าศิษย์ระดับล่างที่หยุดผักผ่อนด้านนอก จะต้องกลับไปยังสำนักความจริงแล้วแม้ว่าจางอี้หมิงจะเป็นศิษย์ระดับสูง แต่ก็ต้องปฏิบัติถามกฎนี้ด้วยเช่นกัน เว้นแต่ว่าจะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจด้านนอก ก็สามารถแวะพักผ่อนตามทางได้เช่นกัน ขอแค่ภารกิจไม่เสียหายอาจจะมีบางครั้งที่เขาหรือศิษย์แอบหนีเที่ยวออกมา ซึ่งทางสำนักก็หลับตาข้างเดียวอนุโลมให้ หากหลบมาเพียงแค่คืนเดียว เพราะเป็นที่รู้กันว่าเป็นการออกไปหาความสุขชั่วคราวเท่านั้นจางอี้หมิง และ หวงจื่อรั่ว ควบม้าคู่กันออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน สายลมยามเช้าพัดจางๆ เย็นสบายยิ่งนัก ท้องฟ้าสีครามสดใส อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การเดินทางทั้งสองคนควบม้าเคียงกัน จางอี้หมิงมีธัญพืชขบเคียวตลอดทาง ส่วนหวงจื่อรั่วรักษาท่าทีได้ดี จนกระทั่งออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน เมื่อถึงบริเวณเขตชั้นนอก พวกเขาพบ แม่นางหลินหนิง กำลังยืนรออยู่ข้างทาง หลินหนิงทักทายทั้งสองก่อนจะขี่ม้าเดินต
วันนี้เหล่าศิษย์ระดับศูนย์ ซึ่งเป็นระดับฐานของสำนักเทียนหยาง ต้องกลับสู่การฝึกฝนอีกครั้งจางอี้หมิงเดินผ่านประตูห้องเรียนเข้ามาด้วยท่าทางผ่อนคลาย สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับสองดรุณีงามหลินหนิงและหวงจื่อรั่ว สองสาวที่งามหยดย้อยในอาภรณ์ที่สะอาดตาแต่แนบเน้นรูปร่างพองาม สัดส่วนอ่อนช้อยของพวกนางช่างเย้ายวนจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง พลางโบกพัดในมือราวกับเป็นบัณฑิตเจ้าสำราญ แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาพวกนางอย่างไม่เร่งรีบทว่า ก่อนที่เขาจะไปถึงเป้าหมาย ชายหนุ่มสองคนก็ขวางทางไว้ คนหนึ่งแซ่หม่า อีกคนแซ่เจียง ทั้งสองเป็นสมุนของซุนสีห่าว บุตรชายของขุนนางใหญ่ แต่กลับเป็นคุณชายไม่เอาไหน ที่ฟ้าดินกลั่นแกล้งให้มาเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของน้องสาวจางอี้หมิงสมุนทั้งสองของซุนสีห่าวกอดอก ยืดอกทำท่าโอหัง ก่อนที่ผู้แซ่หม่าจะชี้นิ้วมาที่จางอี้หมิง“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” ผู้แซ่หม่ากล่าวเสียงดัง “วันนี้พวกข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าจากเหตุการณ์วันนั้น ที่เจ้าทำให้พวกข้าอับอายที่หน้าสำนักบ่อนเบี้ย!”จางอี้หมิงเหลือบตามองพวกเขาเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความเฉยเมย ก่อนจ
จางอี้หมิงเดินทางมาถึงบ้านของศิษย์พี่เฉินเจิ้ง บ้านของเฉินเจิ้งเต็มไปด้วยเศษโลหะกระจัดกระจายทั่วบริเวณ บางชิ้นเป็นแผ่นเหล็ก บางชิ้นเป็นเศษดาบที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และบางชิ้นก็เป็นเพียงเศษเหล็กที่ขึ้นสนิมไปแล้ว ที่หน้าบ้านมีเตาหลอมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ เปลวไฟที่มอดลงไปแล้วทำให้รู้ว่าเฉินเจิ้งคงเพิ่งทำงานเสร็จไม่นานจางอี้หมิงมองสภาพบ้านแล้วอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “เพ่ย! ศิษย์พี่เฉินเจิ้ง ช่างโสโครกยิ่งนัก!”ทันใดนั้น เสียงจากในบ้านก็ดังขึ้นมาทันที “เจ้าพูดอะไรข้าได้ยินนะ!”จางอี้หมิงยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าตั้งใจให้ท่านได้ยิน” แล้วเดินเข้าไปในบ้านภายในบ้านรกไม่แพ้ด้านนอก หากแต่สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในนี้ไม่ใช่เศษโลหะ แต่เป็นกองหนังสือที่กองระเกะระกะจนแทบไม่มีทางเดิน พื้นบางส่วนมีรอยหมึกเปรอะเปื้อน บางจุดมีม้วนตำราวางซ้อนกันจนสูงท่วมหัวเฉินเจิ้งคือผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ค้อนและหลอมโลหะ แถมยังเป็นผู้ชำนาญการอ่านตำราตอนกลางวันเขามักหมกมุ่นอยู่กับเตาหลอมโลหะ ส่วนกลางคืนจะหมกมุ่นอยู่กับตำราในบ้านจางอี้หมิงลัดเ
กริ๊ง!กริ๊ง!กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังขึ้น ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัด ถัวเค่อชีสะดุ้งตื่น ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เป็นเพราะแรงบางอย่างที่กำลังเรียกหาเขาวาบ!แสงสีม่วงสว่างวาบขึ้นตรงกลางหน้าผากของถัวเค่อชีลูกตาดำของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นราวกับวิญญาณไร้ชีวิต ก่อนจะค่อยๆ กลับคืนสู่สีดำ เสียงกระดิ่งยังคงดังต่อเนื่อง ดังก้องเข้าไปในห้วงจิตใจของเขากริ๊ง!อึก...!ถัวเค่อชีขบกรามแน่น พยายามดึงสติกลับคืนมา เขากุมศีรษะ ใช้กำปั้นทุบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ออกไป! ข้าไม่ต้องการเจ้า!”ถัวเค่อชียังคงทุกข์ทรมาน แต่แล้ว…เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเขา“จงลืมตาขึ้น... ความแข็งแกร่งที่แท้จริงกำลังรอเจ้าอยู่…”ดวงตาของถัวเค่อชีสั่นไหว มือของเขาสั่นระริก เสียงกระดิ่งยังคงดังไม่หยุด“เจ้าจำไม่ได้เหรอ... ว่าจางอี้หมิงน่าแค้นใจเพียงไร?”ทันใดนั้น ภาพแห่งความทรงจำในอดีตก็ไหลทะลักเข้ามาในหัวของเขาสิบปีก่อน…เด็กชายวัยสิบขวบเดินทางมาย
สายลมเย็นพัดผ่านยอดไม้ใหญ่ กิ่งไม้เสียดสีกันดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดบนก้านต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน ร่างสตรีปริศนาผู้หนึ่งยืนอยู่ นางสวมชุดคลุมสีเทาหม่น สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าสายตาของนางจ้องมองไปยังที่ตั้งของสำนักเทียนหยาง ราวกับกำลังเฝ้ารอเวลาอะไรบางอย่าง“เป็นอย่างไรบ้าง?”เสียงแหบห้าวดังขึ้นจากด้านหลังร่างชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทา สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเช่นกัน เขาก้าวเข้ามาใกล้อย่างเงียบงันสตรีในชุดคลุมไม่หันกลับมา นางเอ่ยเสียงเย็นชา“ข้าใส่จิตวิญญาณมารให้แก่ศิษย์คนนึงในสำนักเทียนหยางแล้ว ตอนนี้... ม่านพลังป้องกันมีรอยรั่วเล็กน้อย หน้าที่ของข้ามีเพียงเท่านี้”นางเหลือบตามองชายผู้นั้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว เชียนหวง”“อย่าทำให้เจ้าตำหนักพิโรธอีกรอบล่ะ”ดวงตาภายใต้หน้ากากของเชียนหวงเป็นประกายวาวโรจน์ เขายกคางขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งผยองทะนงตน “เรื่องนั้นไม่ต้องให้เจ้ามาสอน”“แน่ใจใช่ไหมว่าศิลาเฝิ่นเหิงอยู่ในสำนักเทียนหยาง?” เชียนหวงเอ่ยถาม น
แสงอรุณแรกสาดส่องผ่านบานหน้าต่าง ลำแสงสีทองกระทบใบหน้าของจางอี้หมิง เขาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย แต่เมื่อขยับตัวจึงพบว่า…“พื้นหน้าประตูบ้าน... ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้?”เขากวาดสายตามองรอบๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้ ศิษย์พี่เจียงเยว่ บุกมายึดเตียงของเขาและบังคับให้เขานอนเฝ้าประตูแทน“ช่างไร้น้ำใจเสียจริง! แย่งที่นอนข้าแล้วยังไม่คิดจะปลุกกันบ้างเลย”จางอี้หมิงบ่นอุบอิบพร้อมทั้งลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เส้นผมยุ่งเหยิง เขาขยี้ตาเบาๆ แล้วหันไปมองเตียงนอน…เตียงว่างเปล่า ไม่มีเงาของศิษย์พี่เจียงเยว่“ไว้วันหนึ่งท่านร่วมเตียงกับข้าเมื่อไหร่ ข้าจะปลุกขึ้นมาเสพสุขแต่เช้า”แม้จะบ่น แต่ใบหน้าของจางอี้หมิงกลับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อยจากนั้น จางอี้หมิงก็จัดการตัวเอง ล้างหน้า แปรงฟัน และเปลี่ยนชุดเรียบร้อย จางอี้หมิงเดินทอดน่องไปยังลานฝึกเบื้องล่างของสำนักวันนี้ก็เหมือนทุกวัน ไม่มีอันใดพิเศษเขาเข้าร่วมชั้นเรียนอย่างขอไปที ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ยังคงแสร้งทำเป็นตั้งใจต่อหน้าผู้สอนระหว่างพักการฝึก…
กริ๊ง!กริ๊ง!กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังขึ้น ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัด ถัวเค่อชีสะดุ้งตื่น ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เป็นเพราะแรงบางอย่างที่กำลังเรียกหาเขาวาบ!แสงสีม่วงสว่างวาบขึ้นตรงกลางหน้าผากของถัวเค่อชีลูกตาดำของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นราวกับวิญญาณไร้ชีวิต ก่อนจะค่อยๆ กลับคืนสู่สีดำ เสียงกระดิ่งยังคงดังต่อเนื่อง ดังก้องเข้าไปในห้วงจิตใจของเขากริ๊ง!อึก...!ถัวเค่อชีขบกรามแน่น พยายามดึงสติกลับคืนมา เขากุมศีรษะ ใช้กำปั้นทุบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ออกไป! ข้าไม่ต้องการเจ้า!”ถัวเค่อชียังคงทุกข์ทรมาน แต่แล้ว…เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเขา“จงลืมตาขึ้น... ความแข็งแกร่งที่แท้จริงกำลังรอเจ้าอยู่…”ดวงตาของถัวเค่อชีสั่นไหว มือของเขาสั่นระริก เสียงกระดิ่งยังคงดังไม่หยุด“เจ้าจำไม่ได้เหรอ... ว่าจางอี้หมิงน่าแค้นใจเพียงไร?”ทันใดนั้น ภาพแห่งความทรงจำในอดีตก็ไหลทะลักเข้ามาในหัวของเขาสิบปีก่อน…เด็กชายวัยสิบขวบเดินทางมาย
จางอี้หมิงเดินทางมาถึงบ้านของศิษย์พี่เฉินเจิ้ง บ้านของเฉินเจิ้งเต็มไปด้วยเศษโลหะกระจัดกระจายทั่วบริเวณ บางชิ้นเป็นแผ่นเหล็ก บางชิ้นเป็นเศษดาบที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และบางชิ้นก็เป็นเพียงเศษเหล็กที่ขึ้นสนิมไปแล้ว ที่หน้าบ้านมีเตาหลอมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ เปลวไฟที่มอดลงไปแล้วทำให้รู้ว่าเฉินเจิ้งคงเพิ่งทำงานเสร็จไม่นานจางอี้หมิงมองสภาพบ้านแล้วอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “เพ่ย! ศิษย์พี่เฉินเจิ้ง ช่างโสโครกยิ่งนัก!”ทันใดนั้น เสียงจากในบ้านก็ดังขึ้นมาทันที “เจ้าพูดอะไรข้าได้ยินนะ!”จางอี้หมิงยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าตั้งใจให้ท่านได้ยิน” แล้วเดินเข้าไปในบ้านภายในบ้านรกไม่แพ้ด้านนอก หากแต่สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในนี้ไม่ใช่เศษโลหะ แต่เป็นกองหนังสือที่กองระเกะระกะจนแทบไม่มีทางเดิน พื้นบางส่วนมีรอยหมึกเปรอะเปื้อน บางจุดมีม้วนตำราวางซ้อนกันจนสูงท่วมหัวเฉินเจิ้งคือผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ค้อนและหลอมโลหะ แถมยังเป็นผู้ชำนาญการอ่านตำราตอนกลางวันเขามักหมกมุ่นอยู่กับเตาหลอมโลหะ ส่วนกลางคืนจะหมกมุ่นอยู่กับตำราในบ้านจางอี้หมิงลัดเ
วันนี้เหล่าศิษย์ระดับศูนย์ ซึ่งเป็นระดับฐานของสำนักเทียนหยาง ต้องกลับสู่การฝึกฝนอีกครั้งจางอี้หมิงเดินผ่านประตูห้องเรียนเข้ามาด้วยท่าทางผ่อนคลาย สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับสองดรุณีงามหลินหนิงและหวงจื่อรั่ว สองสาวที่งามหยดย้อยในอาภรณ์ที่สะอาดตาแต่แนบเน้นรูปร่างพองาม สัดส่วนอ่อนช้อยของพวกนางช่างเย้ายวนจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง พลางโบกพัดในมือราวกับเป็นบัณฑิตเจ้าสำราญ แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาพวกนางอย่างไม่เร่งรีบทว่า ก่อนที่เขาจะไปถึงเป้าหมาย ชายหนุ่มสองคนก็ขวางทางไว้ คนหนึ่งแซ่หม่า อีกคนแซ่เจียง ทั้งสองเป็นสมุนของซุนสีห่าว บุตรชายของขุนนางใหญ่ แต่กลับเป็นคุณชายไม่เอาไหน ที่ฟ้าดินกลั่นแกล้งให้มาเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของน้องสาวจางอี้หมิงสมุนทั้งสองของซุนสีห่าวกอดอก ยืดอกทำท่าโอหัง ก่อนที่ผู้แซ่หม่าจะชี้นิ้วมาที่จางอี้หมิง“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” ผู้แซ่หม่ากล่าวเสียงดัง “วันนี้พวกข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าจากเหตุการณ์วันนั้น ที่เจ้าทำให้พวกข้าอับอายที่หน้าสำนักบ่อนเบี้ย!”จางอี้หมิงเหลือบตามองพวกเขาเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความเฉยเมย ก่อนจ
เช้าของวันใหม่ วันนี้เป็นวันที่ต้องเดินทางกลับสำนักเทียนหยางเพื่อไปฝึกฝนวิชาต่อ เหล่าศิษย์ระดับล่างที่หยุดผักผ่อนด้านนอก จะต้องกลับไปยังสำนักความจริงแล้วแม้ว่าจางอี้หมิงจะเป็นศิษย์ระดับสูง แต่ก็ต้องปฏิบัติถามกฎนี้ด้วยเช่นกัน เว้นแต่ว่าจะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจด้านนอก ก็สามารถแวะพักผ่อนตามทางได้เช่นกัน ขอแค่ภารกิจไม่เสียหายอาจจะมีบางครั้งที่เขาหรือศิษย์แอบหนีเที่ยวออกมา ซึ่งทางสำนักก็หลับตาข้างเดียวอนุโลมให้ หากหลบมาเพียงแค่คืนเดียว เพราะเป็นที่รู้กันว่าเป็นการออกไปหาความสุขชั่วคราวเท่านั้นจางอี้หมิง และ หวงจื่อรั่ว ควบม้าคู่กันออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน สายลมยามเช้าพัดจางๆ เย็นสบายยิ่งนัก ท้องฟ้าสีครามสดใส อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การเดินทางทั้งสองคนควบม้าเคียงกัน จางอี้หมิงมีธัญพืชขบเคียวตลอดทาง ส่วนหวงจื่อรั่วรักษาท่าทีได้ดี จนกระทั่งออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน เมื่อถึงบริเวณเขตชั้นนอก พวกเขาพบ แม่นางหลินหนิง กำลังยืนรออยู่ข้างทาง หลินหนิงทักทายทั้งสองก่อนจะขี่ม้าเดินต
เมื่อจางอี้หมิงก้าวเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และเครื่องหอม ลอยอบอวลในอากาศ เทียนไขบนโต๊ะเล็กส่องแสงวูบไหวเป็นประกายอ่อนโยน เงาสะท้อนของเปลวไฟเต้นระยิบระยับบนผ้าม่านโปร่งบาง ราวกับกำลังเต้นรำอยู่ในค่ำคืนที่เงียบสงบกลางห้อง มีร่างของดรุณีสาวผู้หนึ่ง ในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ เนื้อผ้าบางเบาพริ้วไหวไปตามลมอ่อน ซงเอ๋อร์ สาวใช้คู่ใจและว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง หันกลับมามองเขาแววตาอ่อนโยนคู่นั้นเต็มไปด้วยความใส่ใจ แก้มของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ ราวกับกลีบดอกท้อแรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ“คุณชายฝึกซ้อมเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ?” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ข้าจัดเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้ท่านแล้ว”จางอี้หมิงยิ้มบางๆ สายตาคมคายทอดมองหญิงสาวตรงหน้า “เจ้าช่างดีเหลือเกิน” เขากล่าวเบาๆซงเอ๋อร์เดินเข้ามาใกล้ นางช่วยปลดเสื้อคลุมของเขาออกอย่างนุ่มนวล มือเรียวของนางสัมผัสโดนปลายแขนของเขาเพียงแผ่วเบาทว่ากลับทำให้หัวใจของจางอี้หมิงเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัวหลังจากปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกแล้ว เขาก้าวลงไปในอ่างไม้ขนาดใหญ่ ไอน้ำอุ่นโอบล้อมร่างกายช่างผ่อนคลา
“พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย! ไอ้โรคจิตนี่จะขืนใจข้า!”“หา!?” จางอี้หมิงขมวดคิ้วทันใดนั้น ซุนสีห่าวที่กำลังวิ่งมาตามมา ก็ชะงักฝีเท้ากะทันหัน เมื่อเห็น ใบหน้าของจางอี้หมิงจากนั้น เข่าทรุดลงแทบพื้น!“พี่เขย!!”“...”“ข้าเคยล่วงเกินท่าน โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิด!!!”จางอี้หมิงกระพริบตาสองสามที ก่อนจะหันไปมองน้องสาวที่ยังยืนหลบอยู่ด้านหลังเขา จากนั้นรีบคว้ามือจางหลันซือขึ้นรถม้า แล้วควบรถม้าออกไปทันที!!เมื่อรถม้ากลับมาถึง จวนสกุลจาง จางหลันซือถอดปิ่นปักผมออก ผมสยายกระทบแสงอาทิตย์งดงาม ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ“เกิดอะไรขึ้น?”
ภายในห้องอาหารของจวนสกุลจาง ทุกคนในครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา จางส่วง ผู้เป็นบิดา นั่งอยู่หัวโต๊ะ ด้านข้างมี หลี่เอ้อเหมียว ภรรยาของเขาและเป็นมารดาเลี้ยงของ จางอี้หมิง ส่วน จางหลันซือ บุตรีของหลี่เอ้อเหมียว และ จางอี้หมิง พี่ชายต่างมารดา ก็นั่งร่วมโต๊ะพร้อมกันบรรยากาศเป็นไปอย่างสงบ ทุกคนเพลิดเพลินกับอาหารถูกจัดเตรียมมาอย่างดีจางอี้หมิงคีบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งอย่างใจเย็น และสูดกลิ่นหอมของอาหารเบาๆ ขณะที่หลี่เอ้อเหมียวรินน้ำชาให้สามีจางหลันซือที่เงียบมานานจ้องมองพี่ชายต่างมารดาของตน ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“พี่ใหญ่มีเรื่องใดสารภาพหรือไม่?”จางอี้หมิงชะงักมือที่กำลังคีบอาหาร ดวงตาคมเข้มเหลือบมองน้องสาวแล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจหลี่เอ้อเหมียววางกาน้ำชาลงแล้วหันมามองด้วยความสนใจ ขณะที่ จางส่วง ผู้เป็นบิดา ชะงักไปเพียงอึดใจ ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังแล้วกล่าวขึ้น“เจ้าไปทำนางคณิกาคนใดท้อง?”เสียงคำถามนั้นทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่พลันชะงักไปชั่วขณะ แม้แต่นางรับใช้ที่กำลังรินน้ำแกงยังเผลอมือสั่นเล็กน้อยจางอี้หมิงถอนหายใจแล้