“พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย! ไอ้โรคจิตนี่จะขืนใจข้า!”
“หา!?” จางอี้หมิงขมวดคิ้ว
ทันใดนั้น ซุนสีห่าวที่กำลังวิ่งมาตามมา ก็ชะงักฝีเท้ากะทันหัน เมื่อเห็น ใบหน้าของจางอี้หมิง
จากนั้น เข่าทรุดลงแทบพื้น!
“พี่เขย!!”
“...”
“ข้าเคยล่วงเกินท่าน โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิด!!!”
จางอี้หมิงกระพริบตาสองสามที ก่อนจะหันไปมองน้องสาวที่ยังยืนหลบอยู่ด้านหลังเขา จากนั้นรีบคว้ามือจางหลันซือขึ้นรถม้า แล้วควบรถม้าออกไปทันที!!
เมื่อรถม้ากลับมาถึง จวนสกุลจาง จางหลันซือถอดปิ่นปักผมออก ผมสยายกระทบแสงอาทิตย์งดงาม ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ
“เกิดอะไรขึ้น?”
จางอี้หมิง ถามขึ้นขณะนั่งลงตรงข้ามนาง
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน!” จางหลันซือขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม
“ข้าทำสิ่งที่ทุเรศสายตาที่สุดเท่าที่คิดได้ไปแล้ว! แต่มันกลับไม่สนใจ ซ้ำยังดูชอบข้ามากขึ้นอีก! หรือว่าข้าต้องกลับไปทำตัวเรียบร้อย?”
จางอี้หมิงฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่
“ตอนซุนสีห่าวอยู่สำนักเทียนหยาง เขาก็ไม่น่าจะชอบกุลสตรีนอกตำรานะ?”
ขณะที่ทั้งสองพี่น้องกำลังขบคิดอยู่นั้น เหล่าหวง พ่อบ้านสกุลจาง ก็รีบเดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน
“คุณหนู มีคนมาขอพบท่านขอรับ”
“ใคร?” จางหลันซือขมวดคิ้วถาม
“เห็นว่าชื่อ ซุนสีห่าว…”
จางอี้หมิงถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันมาสั่งเสียงเข้ม “เจ้าไปหลบในบ้านก่อน!”
แม่นางซงเอ๋อร์คนงาม รีบเข้ามาพาตัวจางหลันซือออกไป จางอี้หมิงมองตามนางกายน้อยๆ ของซงเอ๋อร์ที่สะโพกบิดไปมาอย่างชื่นชม
จากนั้นจางอี้หมิงหันกลับมาหาเหล่าหวง แล้วกล่าวเสียงเรียบ
“ไปตามลูกสาวท่านมา”
แต่ไม่ทันที่เหล่าหวงจะเดินออกไป
“ไม่ต้องตาม ข้ามาเองได้!”
เสียงหนึ่งดังมาจากด้านบน หวงจื่อรั่ว บุตรสาวของเหล่าหวง พลิกตัวลงจากหลังคาอย่างว่องไว แล้วลงมายืนต่อหน้าพวกเขา
จางอี้หมิง ขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ร้อนหรือไง ไปนอนเล่นบนหลังคาทั้งวัน”
“ข้ากำลังทำหน้าที่” หวงจื่อรั่วตอบเบาๆ
จางอี้หมิงส่ายหัวก่อนจะกล่าวเสียงหนัก “ตอนนี้ซุนสีห่าวทำตัวประหลาดมาก ต้องระวังตัวไว้ให้ดี ระดมพลทั้งจวนมาที่ประตูใหญ่!”
จากนั้นจางอี้หมิงและพวกก็มาที่หน้าประตูใหญ่ จางอี้หมิงถือดาบเตรียมพร้อม หวงจื่อรั่วก็ถือทวนเตรียมพร้อม ทหารองครักษ์หลายคนในจวนก็เข้าประจำตำแหน่ง ทุกคนยืนอย่างแข็งขัน
จากนั้นจางอี้หมิงหันไปพยักหน้าให้ เหล่าหวง เป็นสัญญาณให้เปิดประตู เมื่อประตูจวนเปิดออกก็พบว่า…
ซุนสีห่าวยืนอยู่หน้าประตู พร้อมขบวนรถขนดอกไม้หลากสี!
“ข้าน้อยคารวะพี่เขย”
เสียงของซุนสีห่าวดังขึ้น พร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“เจ้ามาทำไม?”
“ข้าขอมอบดอกไม้เหล่านี้ให้แม่นางหลันซือ”
“เจ้าเป็นบ้าอะไร!?” จางอี้หมิงถามเสียงหนักแน่น “นี่เจ้าโดนวิชาอะไรเล่นงานมา?”
ซุนสีห่าวยิ้มกว้าง ก่อนจะกล่าวอย่างหนักแน่น
“วิชามารอันใดเล่า หากจะโดนก็คงโดนสเน่ห์ของแม่จางคนงาม ข้าตกหลุมรักน้องสาวท่านแล้ว!”
“…”
จางอี้หมิงถึงกับ อึ้งจนพูดไม่ออก
ขณะที่จางอี้หมิงยังยืนอึ้งอยู่นั้น ซุนสีห่าวก็หันไปส่งสัญญาณให้ข้ารับใช้ของเขา
คนเหล่านั้นเริ่ม ขนดอกไม้เข้าไปในจวน จางอี้หมิงก็พยักหน้าเหมือนอนุญาตด้วยความมึนงง
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซุนสีห่าวก็ โค้งคำนับ ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าขอตัวก่อน พี่เขย!”
จากนั้น เขาหมุนตัวเดินจากไป… ทิ้งไว้เพียงกองดอกไม้ที่เต็มไปหมดในจวน!
จางอี้หมิง ยืนกอดอกมองกองดอกไม้ตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจยาว “เจ้าลูกเต่านั้นมันคิดอะไรอยู่กันแน่?”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงเดินไปหยิบช่อดอกไม้มาหนึ่งช่อ แล้วหยิบ ขวดน้ำยาตรวจสอบพิษ ออกจากแขนเสื้อ เปิดฝาขวดแล้วค่อยๆ เทลงบนกลีบดอกไม้อย่างระมัดระวัง
ดอกไม้ยังคงเป็นสีสันสดใส ไม่เปลี่ยนสี ไม่เกิดฟอง หรือมีควันลอยออกมา
“ไม่มียาพิษ…” จางอี้หมิงพึมพำ ก่อนจะยกดอกไม้ขึ้นมาสูดดม “แถมไม่มีกลิ่นไอมารซ่อนอยู่ด้วย?”
หลังจากมั่นใจว่าดอกไม้ไม่เป็นอันตราย จางอี้หมิงก็ถือช่อดอกไม้นั้นเดินเข้าไปในเรือน
ภายในเรือน จางหลันซือ กำลังนั่งกอดเข่าหลบอยู่ที่มุมห้อง ราวกับกำลังพยายามหลบเลี่ยงภัยคุกคามด้านนอกอยู่
จางอี้หมิงมองน้องสาวก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ แล้วพูดขึ้นลอยๆ
“มีบุตรชายไม่เอาไหนของคุณนางใหญ่ ส่งดอกไม้มาหาเจ้า”ฃ
จางหลันซือเหลือบมองช่อดอกไม้ในมือพี่ชาย ก่อนจะ เบ้ปาก แล้วเบือนหน้าหนี
“ท่านจะรับมันมาทำไม?” นางถามอย่างไม่พอใจ
“ข้าเห็นว่ามันสวยดี” จางอี้หมิงยิ้มเจ้าเล่ห์ “ในนี้ไม่มีพิษ และไม่มีวิชามารซ่อนอยู่ ดูท่าลูกเต่านั่นจะชอบเจ้าจริงๆ”
“ชอบก็เรื่องของเขา ข้าไม่สน!” จางหลันซือเชิดหน้าขึ้นแล้วสะบัดแขนอย่างไม่แยแส
จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่สนใจหรือ? น่าเสียดายจริงๆ…”
เขามองดอกไม้ในมือครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปทาง ซงเอ๋อร์ ที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้ว ยื่นช่อดอกไม้ให้นาง พร้อมกับกล่าวว่า
“ดอกไม้สวยเหมาะกับคนงามเช่นเจ้า”
ซงเอ๋อร์มองดอกไม้ในมือจางอี้หมิง ก่อนจะ ส่ายหน้าช้าๆ “นี่เป็นของคุณหนูหลันซือ” นางกล่าวเสียงเรียบ
ทันใดนั้นเอง จางหลันซือก็ลุกขึ้นยืน สะบัดแขนเสื้อแรงๆ แล้วพูดออกมาสั้นๆ
“เหม็น!”
จากนั้นนางก็ หมุนตัวเดินออกจากห้องไปทันที ปล่อยให้จางอี้หมิงและซงเอ๋อร์ยืนมองตามหลังอย่างมึนงง
“เหม็น?” จางอี้หมิงพึมพำ “อะไรเหม็นกันแน่? ดอกไม้ หรือว่าซุนสีห่าว?” จากนั้นหันหน้าไปหาซงเอ๋อร์ “หรือว่าเหม็นความรักระหว่างข้ากับเจ้า?”
ซงเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินหนีไป
ยามค่ำคืน ภายในลานกว้างของ จวนสกุลจาง สายลมเย็นเอื่อยพัดผ่านต้นไม้ใบหญ้า ส่งเสียงกระซิบแผ่วเบาใต้แสงจันทร์สีเงิน
จางอี้หมิง กำลังฝึกซ้อมกระบวนท่าดาบอยู่เพียงลำพัง ทุกการฟัน การแทง ล้วนแม่นยำและสง่างาม ร่างสูงใหญ่เคลื่อนไหวได้ดั่งสายน้ำแต่ทรงพลังดุจพายุ
เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้น หวงจื่อรั่ว ปรากฏกายในชุดซ้อมสีอ่อน ดวงหน้าคมคายของนางโดดเด่นในความมืด นางถือ ทวนเล่มยาว อยู่ในมือ
“ช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ข้าไม่เคยเห็นท่านฝึกซ้อมเลย” นางกล่าวขึ้น ขณะก้าวเข้าใกล้
จางอี้หมิง หยุดดาบในมือแล้วหันมายิ้ม “วันหยุดก็ต้องหยุดสิ ข้าจะฝึกให้เหนื่อยทำไมกัน?”
“แต่พรุ่งนี้ก็ต้องกลับสำนักแล้วมิใช่หรือ?”
“อืม... เช่นนั้นข้าก็ต้องอบอุ่นร่างกายสักหน่อย”
หวงจื่อรั่ว ยิ้มบางก่อนจะเอียงคอเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้น... ท่านมาประลองกับข้าดีหรือไม่?”
จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ แล้วก้าวไปหยิบ ทวนไม้สองเล่ม จากลานฝึก ก่อนยื่นให้หวงจื่อรั่ว
“ข้าต่อให้ใช้วิชาทวนที่เจ้าถนัดเลยก็ได้”
หวงจื่อรั่วรับทวนมาแล้วแค่นยิ้ม "ข้าจะไม่ปรานีท่านหรอกนะ”
เมื่อทั้งสองคนพร้อมและส่งสัญญาณพร้อมกัน จางอี้หมิงหมุนทวนในมือไปมาอย่างคล่องแคล่ว แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านทวน แต่ฝีมือของเขาก็หาใช่ระดับธรรมดา
หวงจื่อรั่ว ไม่รอช้า ก้าวเท้าเข้าหา พลิกทวนแล้วพุ่งเข้าจู่โจมทันที!
ฟึ่บ!
ปลายทวนแหวกอากาศเข้าใกล้ลำตัวจางอี้หมิง เขาเอนกายหลบได้ฉิวเฉียด ก่อนจะใช้ทวนรับแรงกระแทกกลับไป
ปัง!
ไม้กระทบไม้ เสียงดังก้องในลานฝึก
“หึ... ไม่เลว” จางอี้หมิงกล่าว พลางเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุกบ้าง
เขาหมุนตัว แทงทวนไปข้างหน้า หวงจื่อรั่วดีดตัวถอยหลังอย่างว่องไว นางยกทวนขึ้นกันแรงโจมตีแล้วตวัดกลับด้วยความเร็วสูง
“เร็วนัก” จางอี้หมิงพึมพำ ก่อนจะกดทวนลงกับพื้นแล้วดีดตัวหลบ
หวงจื่อรั่วไม่ปล่อยโอกาสให้สูญเปล่า นาง พุ่งเข้าใกล้ แล้วใช้ปลายทวนตวัดใส่เอวของจางอี้หมิง
แต่ทว่าจางอี้หมิงคว้าปลายทวนของนางไว้ได้!
มือของเขาจับแน่นรอบท่อนทวน ทำให้ทั้งสองต้อง ยืนใกล้กันจนปลายจมูกแทบจะชนกัน
สายตาทั้งคู่สบกันโดยบังเอิญ จังหวะนั้นเองลมหายใจของหวงจื่อรั่วสะดุดไปชั่วขณะ แต่ก่อนที่ความเงียบจะยาวนานเกินไป นางกัดฟันแน่น แล้วบิดข้อมือเพื่อสะบัดทวนออกจากการยึดของเขา
ฟึ่บ!
จางอี้หมิงปล่อยมือออก “ใช้ได้ๆ”
หวงจื่อรั่วปรับลมหายใจ แล้วพุ่งเข้าจู่โจมใหม่ การประลองดำเนินต่อไปอย่างไม่มีใครยอมใคร
20 กระบวนท่า... ไม่มีใครสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้
30 กระบวนท่า... ทั้งสองเริ่มหอบเล็กน้อย แต่ยังไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำ
40 กระบวนท่า...
จางอี้หมิงพุ่งเข้าแทง แต่หวงจื่อรั่วใช้ทวนของนางเกี่ยวคอเสื้อของเขาดึงให้เซไปข้างหน้า ส่งผลให้จางอี้หมิงเสียหลักแล้วเกือบจะล้มลงไปทับนาง
จังหวะนั้นเอง ทั้งสองอยู่ในท่าที่ใกล้ชิดกันอีกครั้ง!
หวงจื่อรั่วหน้าแดงนิดๆ ก่อนจะรีบผลักเขาออก
จางอี้หมิงพลิกตัวนั่งแล้วกล่าว “ข้าเหนื่อยแล้ว”
หวงจื่อรั่วใจเต้นรัว นางไม่รู้ว่าความรู้สึกในเวลานี้คืออะไร เป็นความเหนื่อยที่แทรกซึมเข้ามา หรือเป็นเพราะจางอี้หมิงที่ใกล้ชิดนางเมื่อครู่
“เช่นนั้นก็เลิกเถอะ”
หวงจื่อรั่วกล่าวก่อนจะลุกขึ้นเก็บทวนไม้แล้วเดินจากไป
เมื่อจางอี้หมิงก้าวเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และเครื่องหอม ลอยอบอวลในอากาศ เทียนไขบนโต๊ะเล็กส่องแสงวูบไหวเป็นประกายอ่อนโยน เงาสะท้อนของเปลวไฟเต้นระยิบระยับบนผ้าม่านโปร่งบาง ราวกับกำลังเต้นรำอยู่ในค่ำคืนที่เงียบสงบกลางห้อง มีร่างของดรุณีสาวผู้หนึ่ง ในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ เนื้อผ้าบางเบาพริ้วไหวไปตามลมอ่อน ซงเอ๋อร์ สาวใช้คู่ใจและว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง หันกลับมามองเขาแววตาอ่อนโยนคู่นั้นเต็มไปด้วยความใส่ใจ แก้มของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ ราวกับกลีบดอกท้อแรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ“คุณชายฝึกซ้อมเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ?” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ข้าจัดเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้ท่านแล้ว”จางอี้หมิงยิ้มบางๆ สายตาคมคายทอดมองหญิงสาวตรงหน้า “เจ้าช่างดีเหลือเกิน” เขากล่าวเบาๆซงเอ๋อร์เดินเข้ามาใกล้ นางช่วยปลดเสื้อคลุมของเขาออกอย่างนุ่มนวล มือเรียวของนางสัมผัสโดนปลายแขนของเขาเพียงแผ่วเบาทว่ากลับทำให้หัวใจของจางอี้หมิงเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัวหลังจากปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกแล้ว เขาก้าวลงไปในอ่างไม้ขนาดใหญ่ ไอน้ำอุ่นโอบล้อมร่างกายช่างผ่อนคลา
เช้าของวันใหม่ วันนี้เป็นวันที่ต้องเดินทางกลับสำนักเทียนหยางเพื่อไปฝึกฝนวิชาต่อ เหล่าศิษย์ระดับล่างที่หยุดผักผ่อนด้านนอก จะต้องกลับไปยังสำนักความจริงแล้วแม้ว่าจางอี้หมิงจะเป็นศิษย์ระดับสูง แต่ก็ต้องปฏิบัติถามกฎนี้ด้วยเช่นกัน เว้นแต่ว่าจะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจด้านนอก ก็สามารถแวะพักผ่อนตามทางได้เช่นกัน ขอแค่ภารกิจไม่เสียหายอาจจะมีบางครั้งที่เขาหรือศิษย์แอบหนีเที่ยวออกมา ซึ่งทางสำนักก็หลับตาข้างเดียวอนุโลมให้ หากหลบมาเพียงแค่คืนเดียว เพราะเป็นที่รู้กันว่าเป็นการออกไปหาความสุขชั่วคราวเท่านั้นจางอี้หมิง และ หวงจื่อรั่ว ควบม้าคู่กันออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน สายลมยามเช้าพัดจางๆ เย็นสบายยิ่งนัก ท้องฟ้าสีครามสดใส อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การเดินทางทั้งสองคนควบม้าเคียงกัน จางอี้หมิงมีธัญพืชขบเคียวตลอดทาง ส่วนหวงจื่อรั่วรักษาท่าทีได้ดี จนกระทั่งออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน เมื่อถึงบริเวณเขตชั้นนอก พวกเขาพบ แม่นางหลินหนิง กำลังยืนรออยู่ข้างทาง หลินหนิงทักทายทั้งสองก่อนจะขี่ม้าเดินต
วันนี้เหล่าศิษย์ระดับศูนย์ ซึ่งเป็นระดับฐานของสำนักเทียนหยาง ต้องกลับสู่การฝึกฝนอีกครั้งจางอี้หมิงเดินผ่านประตูห้องเรียนเข้ามาด้วยท่าทางผ่อนคลาย สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับสองดรุณีงามหลินหนิงและหวงจื่อรั่ว สองสาวที่งามหยดย้อยในอาภรณ์ที่สะอาดตาแต่แนบเน้นรูปร่างพองาม สัดส่วนอ่อนช้อยของพวกนางช่างเย้ายวนจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง พลางโบกพัดในมือราวกับเป็นบัณฑิตเจ้าสำราญ แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาพวกนางอย่างไม่เร่งรีบทว่า ก่อนที่เขาจะไปถึงเป้าหมาย ชายหนุ่มสองคนก็ขวางทางไว้ คนหนึ่งแซ่หม่า อีกคนแซ่เจียง ทั้งสองเป็นสมุนของซุนสีห่าว บุตรชายของขุนนางใหญ่ แต่กลับเป็นคุณชายไม่เอาไหน ที่ฟ้าดินกลั่นแกล้งให้มาเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของน้องสาวจางอี้หมิงสมุนทั้งสองของซุนสีห่าวกอดอก ยืดอกทำท่าโอหัง ก่อนที่ผู้แซ่หม่าจะชี้นิ้วมาที่จางอี้หมิง“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” ผู้แซ่หม่ากล่าวเสียงดัง “วันนี้พวกข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าจากเหตุการณ์วันนั้น ที่เจ้าทำให้พวกข้าอับอายที่หน้าสำนักบ่อนเบี้ย!”จางอี้หมิงเหลือบตามองพวกเขาเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความเฉยเมย ก่อนจ
จางอี้หมิงเดินทางมาถึงบ้านของศิษย์พี่เฉินเจิ้ง บ้านของเฉินเจิ้งเต็มไปด้วยเศษโลหะกระจัดกระจายทั่วบริเวณ บางชิ้นเป็นแผ่นเหล็ก บางชิ้นเป็นเศษดาบที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และบางชิ้นก็เป็นเพียงเศษเหล็กที่ขึ้นสนิมไปแล้ว ที่หน้าบ้านมีเตาหลอมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ เปลวไฟที่มอดลงไปแล้วทำให้รู้ว่าเฉินเจิ้งคงเพิ่งทำงานเสร็จไม่นานจางอี้หมิงมองสภาพบ้านแล้วอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “เพ่ย! ศิษย์พี่เฉินเจิ้ง ช่างโสโครกยิ่งนัก!”ทันใดนั้น เสียงจากในบ้านก็ดังขึ้นมาทันที “เจ้าพูดอะไรข้าได้ยินนะ!”จางอี้หมิงยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าตั้งใจให้ท่านได้ยิน” แล้วเดินเข้าไปในบ้านภายในบ้านรกไม่แพ้ด้านนอก หากแต่สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในนี้ไม่ใช่เศษโลหะ แต่เป็นกองหนังสือที่กองระเกะระกะจนแทบไม่มีทางเดิน พื้นบางส่วนมีรอยหมึกเปรอะเปื้อน บางจุดมีม้วนตำราวางซ้อนกันจนสูงท่วมหัวเฉินเจิ้งคือผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ค้อนและหลอมโลหะ แถมยังเป็นผู้ชำนาญการอ่านตำราตอนกลางวันเขามักหมกมุ่นอยู่กับเตาหลอมโลหะ ส่วนกลางคืนจะหมกมุ่นอยู่กับตำราในบ้านจางอี้หมิงลัดเ
กริ๊ง!กริ๊ง!กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังขึ้น ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัด ถัวเค่อชีสะดุ้งตื่น ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เป็นเพราะแรงบางอย่างที่กำลังเรียกหาเขาวาบ!แสงสีม่วงสว่างวาบขึ้นตรงกลางหน้าผากของถัวเค่อชีลูกตาดำของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นราวกับวิญญาณไร้ชีวิต ก่อนจะค่อยๆ กลับคืนสู่สีดำ เสียงกระดิ่งยังคงดังต่อเนื่อง ดังก้องเข้าไปในห้วงจิตใจของเขากริ๊ง!อึก...!ถัวเค่อชีขบกรามแน่น พยายามดึงสติกลับคืนมา เขากุมศีรษะ ใช้กำปั้นทุบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ออกไป! ข้าไม่ต้องการเจ้า!”ถัวเค่อชียังคงทุกข์ทรมาน แต่แล้ว…เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเขา“จงลืมตาขึ้น... ความแข็งแกร่งที่แท้จริงกำลังรอเจ้าอยู่…”ดวงตาของถัวเค่อชีสั่นไหว มือของเขาสั่นระริก เสียงกระดิ่งยังคงดังไม่หยุด“เจ้าจำไม่ได้เหรอ... ว่าจางอี้หมิงน่าแค้นใจเพียงไร?”ทันใดนั้น ภาพแห่งความทรงจำในอดีตก็ไหลทะลักเข้ามาในหัวของเขาสิบปีก่อน…เด็กชายวัยสิบขวบเดินทางมาย
แสงอรุณแรกสาดส่องผ่านบานหน้าต่าง ลำแสงสีทองกระทบใบหน้าของจางอี้หมิง เขาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย แต่เมื่อขยับตัวจึงพบว่า…“พื้นหน้าประตูบ้าน... ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้?”เขากวาดสายตามองรอบๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้ ศิษย์พี่เจียงเยว่ บุกมายึดเตียงของเขาและบังคับให้เขานอนเฝ้าประตูแทน“ช่างไร้น้ำใจเสียจริง! แย่งที่นอนข้าแล้วยังไม่คิดจะปลุกกันบ้างเลย”จางอี้หมิงบ่นอุบอิบพร้อมทั้งลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เส้นผมยุ่งเหยิง เขาขยี้ตาเบาๆ แล้วหันไปมองเตียงนอน…เตียงว่างเปล่า ไม่มีเงาของศิษย์พี่เจียงเยว่“ไว้วันหนึ่งท่านร่วมเตียงกับข้าเมื่อไหร่ ข้าจะปลุกขึ้นมาเสพสุขแต่เช้า”แม้จะบ่น แต่ใบหน้าของจางอี้หมิงกลับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อยจากนั้น จางอี้หมิงก็จัดการตัวเอง ล้างหน้า แปรงฟัน และเปลี่ยนชุดเรียบร้อย จางอี้หมิงเดินทอดน่องไปยังลานฝึกเบื้องล่างของสำนักวันนี้ก็เหมือนทุกวัน ไม่มีอันใดพิเศษเขาเข้าร่วมชั้นเรียนอย่างขอไปที ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ยังคงแสร้งทำเป็นตั้งใจต่อหน้าผู้สอนระหว่างพักการฝึก…
สายลมเย็นพัดผ่านยอดไม้ใหญ่ กิ่งไม้เสียดสีกันดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดบนก้านต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน ร่างสตรีปริศนาผู้หนึ่งยืนอยู่ นางสวมชุดคลุมสีเทาหม่น สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าสายตาของนางจ้องมองไปยังที่ตั้งของสำนักเทียนหยาง ราวกับกำลังเฝ้ารอเวลาอะไรบางอย่าง“เป็นอย่างไรบ้าง?”เสียงแหบห้าวดังขึ้นจากด้านหลังร่างชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทา สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเช่นกัน เขาก้าวเข้ามาใกล้อย่างเงียบงันสตรีในชุดคลุมไม่หันกลับมา นางเอ่ยเสียงเย็นชา“ข้าใส่จิตวิญญาณมารให้แก่ศิษย์คนนึงในสำนักเทียนหยางแล้ว ตอนนี้... ม่านพลังป้องกันมีรอยรั่วเล็กน้อย หน้าที่ของข้ามีเพียงเท่านี้”นางเหลือบตามองชายผู้นั้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว เชียนหวง”“อย่าทำให้เจ้าตำหนักพิโรธอีกรอบล่ะ”ดวงตาภายใต้หน้ากากของเชียนหวงเป็นประกายวาวโรจน์ เขายกคางขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งผยองทะนงตน “เรื่องนั้นไม่ต้องให้เจ้ามาสอน”“แน่ใจใช่ไหมว่าศิลาเฝิ่นเหิงอยู่ในสำนักเทียนหยาง?” เชียนหวงเอ่ยถาม น
เสียงนกร้องแว่วมาเข้าหูเป็นสัญญาณแห่งยามเช้า จางอี้หมิงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อสายตาปรับให้เข้ากับแสงสว่างรอบตัว เขาพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้หลังหนึ่ง ภายในห้องนอนที่แปลกตาแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยผนังห้องถูกประดับด้วยภาพวาดภูเขาและสายน้ำ ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นผลงานวาดภาพของบิดา มุมหนึ่งของห้องมีตู้หนังสือเก่าที่เขาเคยอ่านในวัยเด็ก และบนโต๊ะไม้ใกล้เตียง มีโถยาที่ส่งกลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ ลอยมากระทบจมูกนี่คือห้องของเขาในจวนสกุลจาง บ้านเดิมของเขา แต่เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่?จางอี้หมิงพยายามลุกขึ้น แต่ความปวดร้าวที่หน้าอกทำให้เขาต้องนิ่งอยู่กับที่ เขาก้มลงมองร่างกายตนเองและพบว่ามีผ้าพันแผลขนาดใหญ่พันรอบหน้าอก บ่งบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส“เหตุใดข้าถึงเป็นเช่นนี้?” เขาพึมพำทันใดนั้น สายตาของเขาหันไปเห็นสตรีร่างเล็กนางหนึ่ง นาง
สายลมเย็นพัดผ่านยอดไม้ใหญ่ กิ่งไม้เสียดสีกันดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดบนก้านต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน ร่างสตรีปริศนาผู้หนึ่งยืนอยู่ นางสวมชุดคลุมสีเทาหม่น สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าสายตาของนางจ้องมองไปยังที่ตั้งของสำนักเทียนหยาง ราวกับกำลังเฝ้ารอเวลาอะไรบางอย่าง“เป็นอย่างไรบ้าง?”เสียงแหบห้าวดังขึ้นจากด้านหลังร่างชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทา สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเช่นกัน เขาก้าวเข้ามาใกล้อย่างเงียบงันสตรีในชุดคลุมไม่หันกลับมา นางเอ่ยเสียงเย็นชา“ข้าใส่จิตวิญญาณมารให้แก่ศิษย์คนนึงในสำนักเทียนหยางแล้ว ตอนนี้... ม่านพลังป้องกันมีรอยรั่วเล็กน้อย หน้าที่ของข้ามีเพียงเท่านี้”นางเหลือบตามองชายผู้นั้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว เชียนหวง”“อย่าทำให้เจ้าตำหนักพิโรธอีกรอบล่ะ”ดวงตาภายใต้หน้ากากของเชียนหวงเป็นประกายวาวโรจน์ เขายกคางขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งผยองทะนงตน “เรื่องนั้นไม่ต้องให้เจ้ามาสอน”“แน่ใจใช่ไหมว่าศิลาเฝิ่นเหิงอยู่ในสำนักเทียนหยาง?” เชียนหวงเอ่ยถาม น
แสงอรุณแรกสาดส่องผ่านบานหน้าต่าง ลำแสงสีทองกระทบใบหน้าของจางอี้หมิง เขาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย แต่เมื่อขยับตัวจึงพบว่า…“พื้นหน้าประตูบ้าน... ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้?”เขากวาดสายตามองรอบๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้ ศิษย์พี่เจียงเยว่ บุกมายึดเตียงของเขาและบังคับให้เขานอนเฝ้าประตูแทน“ช่างไร้น้ำใจเสียจริง! แย่งที่นอนข้าแล้วยังไม่คิดจะปลุกกันบ้างเลย”จางอี้หมิงบ่นอุบอิบพร้อมทั้งลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เส้นผมยุ่งเหยิง เขาขยี้ตาเบาๆ แล้วหันไปมองเตียงนอน…เตียงว่างเปล่า ไม่มีเงาของศิษย์พี่เจียงเยว่“ไว้วันหนึ่งท่านร่วมเตียงกับข้าเมื่อไหร่ ข้าจะปลุกขึ้นมาเสพสุขแต่เช้า”แม้จะบ่น แต่ใบหน้าของจางอี้หมิงกลับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อยจากนั้น จางอี้หมิงก็จัดการตัวเอง ล้างหน้า แปรงฟัน และเปลี่ยนชุดเรียบร้อย จางอี้หมิงเดินทอดน่องไปยังลานฝึกเบื้องล่างของสำนักวันนี้ก็เหมือนทุกวัน ไม่มีอันใดพิเศษเขาเข้าร่วมชั้นเรียนอย่างขอไปที ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ยังคงแสร้งทำเป็นตั้งใจต่อหน้าผู้สอนระหว่างพักการฝึก…
กริ๊ง!กริ๊ง!กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังขึ้น ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัด ถัวเค่อชีสะดุ้งตื่น ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เป็นเพราะแรงบางอย่างที่กำลังเรียกหาเขาวาบ!แสงสีม่วงสว่างวาบขึ้นตรงกลางหน้าผากของถัวเค่อชีลูกตาดำของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นราวกับวิญญาณไร้ชีวิต ก่อนจะค่อยๆ กลับคืนสู่สีดำ เสียงกระดิ่งยังคงดังต่อเนื่อง ดังก้องเข้าไปในห้วงจิตใจของเขากริ๊ง!อึก...!ถัวเค่อชีขบกรามแน่น พยายามดึงสติกลับคืนมา เขากุมศีรษะ ใช้กำปั้นทุบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ออกไป! ข้าไม่ต้องการเจ้า!”ถัวเค่อชียังคงทุกข์ทรมาน แต่แล้ว…เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเขา“จงลืมตาขึ้น... ความแข็งแกร่งที่แท้จริงกำลังรอเจ้าอยู่…”ดวงตาของถัวเค่อชีสั่นไหว มือของเขาสั่นระริก เสียงกระดิ่งยังคงดังไม่หยุด“เจ้าจำไม่ได้เหรอ... ว่าจางอี้หมิงน่าแค้นใจเพียงไร?”ทันใดนั้น ภาพแห่งความทรงจำในอดีตก็ไหลทะลักเข้ามาในหัวของเขาสิบปีก่อน…เด็กชายวัยสิบขวบเดินทางมาย
จางอี้หมิงเดินทางมาถึงบ้านของศิษย์พี่เฉินเจิ้ง บ้านของเฉินเจิ้งเต็มไปด้วยเศษโลหะกระจัดกระจายทั่วบริเวณ บางชิ้นเป็นแผ่นเหล็ก บางชิ้นเป็นเศษดาบที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และบางชิ้นก็เป็นเพียงเศษเหล็กที่ขึ้นสนิมไปแล้ว ที่หน้าบ้านมีเตาหลอมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ เปลวไฟที่มอดลงไปแล้วทำให้รู้ว่าเฉินเจิ้งคงเพิ่งทำงานเสร็จไม่นานจางอี้หมิงมองสภาพบ้านแล้วอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “เพ่ย! ศิษย์พี่เฉินเจิ้ง ช่างโสโครกยิ่งนัก!”ทันใดนั้น เสียงจากในบ้านก็ดังขึ้นมาทันที “เจ้าพูดอะไรข้าได้ยินนะ!”จางอี้หมิงยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าตั้งใจให้ท่านได้ยิน” แล้วเดินเข้าไปในบ้านภายในบ้านรกไม่แพ้ด้านนอก หากแต่สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในนี้ไม่ใช่เศษโลหะ แต่เป็นกองหนังสือที่กองระเกะระกะจนแทบไม่มีทางเดิน พื้นบางส่วนมีรอยหมึกเปรอะเปื้อน บางจุดมีม้วนตำราวางซ้อนกันจนสูงท่วมหัวเฉินเจิ้งคือผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ค้อนและหลอมโลหะ แถมยังเป็นผู้ชำนาญการอ่านตำราตอนกลางวันเขามักหมกมุ่นอยู่กับเตาหลอมโลหะ ส่วนกลางคืนจะหมกมุ่นอยู่กับตำราในบ้านจางอี้หมิงลัดเ
วันนี้เหล่าศิษย์ระดับศูนย์ ซึ่งเป็นระดับฐานของสำนักเทียนหยาง ต้องกลับสู่การฝึกฝนอีกครั้งจางอี้หมิงเดินผ่านประตูห้องเรียนเข้ามาด้วยท่าทางผ่อนคลาย สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับสองดรุณีงามหลินหนิงและหวงจื่อรั่ว สองสาวที่งามหยดย้อยในอาภรณ์ที่สะอาดตาแต่แนบเน้นรูปร่างพองาม สัดส่วนอ่อนช้อยของพวกนางช่างเย้ายวนจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง พลางโบกพัดในมือราวกับเป็นบัณฑิตเจ้าสำราญ แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาพวกนางอย่างไม่เร่งรีบทว่า ก่อนที่เขาจะไปถึงเป้าหมาย ชายหนุ่มสองคนก็ขวางทางไว้ คนหนึ่งแซ่หม่า อีกคนแซ่เจียง ทั้งสองเป็นสมุนของซุนสีห่าว บุตรชายของขุนนางใหญ่ แต่กลับเป็นคุณชายไม่เอาไหน ที่ฟ้าดินกลั่นแกล้งให้มาเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของน้องสาวจางอี้หมิงสมุนทั้งสองของซุนสีห่าวกอดอก ยืดอกทำท่าโอหัง ก่อนที่ผู้แซ่หม่าจะชี้นิ้วมาที่จางอี้หมิง“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” ผู้แซ่หม่ากล่าวเสียงดัง “วันนี้พวกข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าจากเหตุการณ์วันนั้น ที่เจ้าทำให้พวกข้าอับอายที่หน้าสำนักบ่อนเบี้ย!”จางอี้หมิงเหลือบตามองพวกเขาเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความเฉยเมย ก่อนจ
เช้าของวันใหม่ วันนี้เป็นวันที่ต้องเดินทางกลับสำนักเทียนหยางเพื่อไปฝึกฝนวิชาต่อ เหล่าศิษย์ระดับล่างที่หยุดผักผ่อนด้านนอก จะต้องกลับไปยังสำนักความจริงแล้วแม้ว่าจางอี้หมิงจะเป็นศิษย์ระดับสูง แต่ก็ต้องปฏิบัติถามกฎนี้ด้วยเช่นกัน เว้นแต่ว่าจะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจด้านนอก ก็สามารถแวะพักผ่อนตามทางได้เช่นกัน ขอแค่ภารกิจไม่เสียหายอาจจะมีบางครั้งที่เขาหรือศิษย์แอบหนีเที่ยวออกมา ซึ่งทางสำนักก็หลับตาข้างเดียวอนุโลมให้ หากหลบมาเพียงแค่คืนเดียว เพราะเป็นที่รู้กันว่าเป็นการออกไปหาความสุขชั่วคราวเท่านั้นจางอี้หมิง และ หวงจื่อรั่ว ควบม้าคู่กันออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน สายลมยามเช้าพัดจางๆ เย็นสบายยิ่งนัก ท้องฟ้าสีครามสดใส อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การเดินทางทั้งสองคนควบม้าเคียงกัน จางอี้หมิงมีธัญพืชขบเคียวตลอดทาง ส่วนหวงจื่อรั่วรักษาท่าทีได้ดี จนกระทั่งออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน เมื่อถึงบริเวณเขตชั้นนอก พวกเขาพบ แม่นางหลินหนิง กำลังยืนรออยู่ข้างทาง หลินหนิงทักทายทั้งสองก่อนจะขี่ม้าเดินต
เมื่อจางอี้หมิงก้าวเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และเครื่องหอม ลอยอบอวลในอากาศ เทียนไขบนโต๊ะเล็กส่องแสงวูบไหวเป็นประกายอ่อนโยน เงาสะท้อนของเปลวไฟเต้นระยิบระยับบนผ้าม่านโปร่งบาง ราวกับกำลังเต้นรำอยู่ในค่ำคืนที่เงียบสงบกลางห้อง มีร่างของดรุณีสาวผู้หนึ่ง ในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ เนื้อผ้าบางเบาพริ้วไหวไปตามลมอ่อน ซงเอ๋อร์ สาวใช้คู่ใจและว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง หันกลับมามองเขาแววตาอ่อนโยนคู่นั้นเต็มไปด้วยความใส่ใจ แก้มของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ ราวกับกลีบดอกท้อแรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ“คุณชายฝึกซ้อมเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ?” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ข้าจัดเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้ท่านแล้ว”จางอี้หมิงยิ้มบางๆ สายตาคมคายทอดมองหญิงสาวตรงหน้า “เจ้าช่างดีเหลือเกิน” เขากล่าวเบาๆซงเอ๋อร์เดินเข้ามาใกล้ นางช่วยปลดเสื้อคลุมของเขาออกอย่างนุ่มนวล มือเรียวของนางสัมผัสโดนปลายแขนของเขาเพียงแผ่วเบาทว่ากลับทำให้หัวใจของจางอี้หมิงเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัวหลังจากปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกแล้ว เขาก้าวลงไปในอ่างไม้ขนาดใหญ่ ไอน้ำอุ่นโอบล้อมร่างกายช่างผ่อนคลา
“พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย! ไอ้โรคจิตนี่จะขืนใจข้า!”“หา!?” จางอี้หมิงขมวดคิ้วทันใดนั้น ซุนสีห่าวที่กำลังวิ่งมาตามมา ก็ชะงักฝีเท้ากะทันหัน เมื่อเห็น ใบหน้าของจางอี้หมิงจากนั้น เข่าทรุดลงแทบพื้น!“พี่เขย!!”“...”“ข้าเคยล่วงเกินท่าน โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิด!!!”จางอี้หมิงกระพริบตาสองสามที ก่อนจะหันไปมองน้องสาวที่ยังยืนหลบอยู่ด้านหลังเขา จากนั้นรีบคว้ามือจางหลันซือขึ้นรถม้า แล้วควบรถม้าออกไปทันที!!เมื่อรถม้ากลับมาถึง จวนสกุลจาง จางหลันซือถอดปิ่นปักผมออก ผมสยายกระทบแสงอาทิตย์งดงาม ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ“เกิดอะไรขึ้น?”
ภายในห้องอาหารของจวนสกุลจาง ทุกคนในครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา จางส่วง ผู้เป็นบิดา นั่งอยู่หัวโต๊ะ ด้านข้างมี หลี่เอ้อเหมียว ภรรยาของเขาและเป็นมารดาเลี้ยงของ จางอี้หมิง ส่วน จางหลันซือ บุตรีของหลี่เอ้อเหมียว และ จางอี้หมิง พี่ชายต่างมารดา ก็นั่งร่วมโต๊ะพร้อมกันบรรยากาศเป็นไปอย่างสงบ ทุกคนเพลิดเพลินกับอาหารถูกจัดเตรียมมาอย่างดีจางอี้หมิงคีบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งอย่างใจเย็น และสูดกลิ่นหอมของอาหารเบาๆ ขณะที่หลี่เอ้อเหมียวรินน้ำชาให้สามีจางหลันซือที่เงียบมานานจ้องมองพี่ชายต่างมารดาของตน ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“พี่ใหญ่มีเรื่องใดสารภาพหรือไม่?”จางอี้หมิงชะงักมือที่กำลังคีบอาหาร ดวงตาคมเข้มเหลือบมองน้องสาวแล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจหลี่เอ้อเหมียววางกาน้ำชาลงแล้วหันมามองด้วยความสนใจ ขณะที่ จางส่วง ผู้เป็นบิดา ชะงักไปเพียงอึดใจ ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังแล้วกล่าวขึ้น“เจ้าไปทำนางคณิกาคนใดท้อง?”เสียงคำถามนั้นทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่พลันชะงักไปชั่วขณะ แม้แต่นางรับใช้ที่กำลังรินน้ำแกงยังเผลอมือสั่นเล็กน้อยจางอี้หมิงถอนหายใจแล้