Home / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 25 ฝึกขี่อาวุธ

Share

บทที่ 25 ฝึกขี่อาวุธ

ในยามเย็น ลมเย็นพัดโชยไปทั่วลานฝึกด้านหลังบ้านพัก จางอี้หมิง ยืนถือดาบเล่มหนึ่งไว้ในมือ เขาหลับตาลง สูดลมหายใจลึก แล้วเริ่มโคจรลมปราณในร่างกายแบบย้อนกลับ การไหลเวียนพลังปราณครั้งนี้ราบรื่นและง่ายดายกว่าครั้งก่อนๆ

“ปฏิกิริยาจากการหลับนอนกับแม่นางฉีเหอหรือนี่ รู้แบบนี้ข้าควรทำให้นางมีจิตคิดลึกซึ้งต่อข้ามากกว่านี้ การคืนสู่สมดุลลมปราณก็คงไม่ยากนัก” เขาพึมพำ

เมื่อโคจรลมปราณได้ระดับนึง จางอี้หมิงจึงค่อยๆ วางดาบลงกับพื้น เขาปลดปล่อยพลังปราณลงในดาบ ดาบเล่มนั้นเริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือพื้นดิน

ดาบเล่มนี้สะท้อนแสงรางๆ จางอี้หมิงก้าวขึ้นไปยืนบนดาบอย่างมั่นคง ท่าทางของเขาแสดงถึงความชำนาญ แม้จะไม่ได้ขี่ดาบมานาน แต่ร่างกายยังจดจำวิธีทรงตัวบนดาบได้ดี

“น่าจะไปได้สวย”

เขาสั่งให้ดาบเริ่มบิน ดาบค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ ความเร็วเพิ่มขึ้นทีละน้อย เขาลอยสูงขึ้นเหนือยอดไม้ ลมเย็นปะทะใบหน้า แต่…

เปรี๊ยะ!

เสียงพลังปราณสะดุด ดาบเริ่มเสียสมดุล ก่อนจะดิ่งลงพื้น!

จางอี้หมิงดีดตัวลงก่อนดาบจะตกกระแทกพื้น เขาม้วนตัวกลางอากาศแล้วลงมายืนอย่างสง่างาม แม้จะไม่ได้บาดเจ็บ แต่ความผิดพลาดนี้ทำให้เขาขมวดคิ้ว

“พลังคงยังไม่พอสินะ…”

เขาไม่ละความพยายาม วนเวียนฝึกเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้จะพอควบคุมดาบได้เป็นบางครั้ง แต่ก็มักจะหล่นลงกลางทางทุกครั้ง พลังปราณที่ใช้ในการขี่ดาบทำให้ร่างกายของเขาสิ้นเปลืองพลังงานอย่างมาก

“เปลืองพลังงานมากเกินไป ข้ายังต้องฝึกอีกมาก…”

ในจังหวะนั้นเอง เสียงหวานใสแต่ทรงอำนาจของ ศิษย์พี่เจียงเยว่ ดังมาจากในบ้าน

“ต้มน้ำยาเสร็จแล้ว! เจ้ารีบมาแช่ตัวได้เลย!”

เสียงนั้นดึงจางอี้หมิงออกจากความเหนื่อยล้า เขาเงยหน้าขึ้น แล้วตะโกนตอบกลับไป

“ตกลง ศิษย์พี่ ข้าจะเข้าไปเดี๋ยวนี้!”

ขณะที่เขากำเดินกลับเข้าไปในบ้าน จางอี้หมิงเหลือบมองศิษย์พี่เจียงเยว่ที่ยืนอยู่ รูปร่างและใบหน้าอันงดงามผสานกับการปฏิบัติของนางนั้น ทำให้ทุกยอ่างมันช่างดีเหลือเกิน เขาครุ่นคิดในใจ

“เหมือนกับภรรยาที่คอยปรนนิบัติสามี ช่างดียิ่งนัก…”

จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อย พลางคิดต่อ

“หากวันหนึ่งนางยอมขึ้นเตียงกับข้า ลมปราณข้าคงจะบรรลุถึงขั้นสุด”

จางอี้หมิงแค่นเสียงหัวเราะเบาๆ กับความคิดตนเอง ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านเพื่อแช่ตัวในอ่างสมุนไพรที่ศิษย์พี่เจียงเยว่ตั้งใจเตรียมให้

ในยามค่ำคืนที่เงียบสงบ แสงจันทร์ส่องลอดผ่านหน้าต่างไม้ไผ่เข้ามาในห้องอาบน้ำ จางอี้หมิง นอนเอนกายในอ่างน้ำที่มีไอร้อนลอยอยู่ 

น้ำในอ่างอาบน้ำถูกปรุงด้วยสมุนไพรหลากชนิด กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรช่วยให้จิตใจของเขาผ่อนคลาย ร่างกายของเขาเปลือยเปล่า เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งและแผ่นอกที่เต็มไปด้วยพลัง

บนแผ่นอกนั้นมี รอยแผลเป็นบางๆ จากการต่อสู้ในอดีต แม้รอยนั้นจะเลือนลาง แต่ความเจ็บปวดนั้นช่างชัดเจนยิ่งนัก

“สมุนไพรเหล่านี้ช่างดีนัก…” จางอี้หมิงพึมพำเบาๆ เขาเอนศีรษะพิงขอบอ่าง หลับตาลง ปล่อยให้ร่างกายซึมซับความร้อนและพลังสมุนไพร

ในขณะที่เขากำลังดื่มด่ำกับความผ่อนคลาย เสียงของ ศิษย์พี่เจียงเยว่ ดังขึ้นจากด้านนอกประตู

“ข้าจัดเตรียมอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว!”

จางอี้หมิงลืมตาขึ้น พลางตะโกนตอบกลับไป

“ขอบคุณศิษย์พี่ ท่านจะทานด้วยหรือไม่?”

เสียงตอบกลับของเจียงเยว่ดังมาพร้อมกับน้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย แต่แฝงความน่ารัก

“ไม่!”

“และอย่าแอบเอาไปฝันว่าข้าปรนนิบัติดุจภรรยาเจ้าล่ะ!”

จางอี้หมิงยิ้มมุมปาก พลางแกล้งตะโกนกลับไปด้วยน้ำเสียงขี้เล่น

“ถ้าข้าฝันเช่นนั้นเล่า ท่านจะทำอะไรข้า?”

เจียงเยว่เงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความข่มขู่

“ข้าก็จะใช้ เวทจันทรา ทำลายฝันเจ้าให้แหลกสลาย!”

เสียงของนางดังมาจากด้านนอก ก่อนที่จางอี้หมิงจะได้ตอบกลับ นางก็หมุนตัวเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี

จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ พลางเอนกายกลับลงในอ่างน้ำอีกครั้ง เขาส่ายศีรษะเบาๆ พึมพำกับตัวเอง

“ข้าไม่ฝันก็ได้ รอวันที่เป็นความจริงทีเดียวเลยแล้วกัน”

สามวันต่อมา เช้าวันที่ฟ้าปลอดโปร่ง เหล่าผู้ฝึกตนหน้าใหม่ต่างมารวมตัวกันที่ลานฝึกกว้างใหญ่ ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง ในวันนี้คือการฝึกที่หลายคนรอคอย

วิชาการขี่อาวุธเพื่อบิน

ถัวเค่อชี ปรากฏตัวขึ้นอย่างสง่างาม เขาก้าวเดินออกมาเบื้องหน้า สายตาเฉียบคมมองเหล่าศิษย์ที่ยืนเรียงราย

“วันนี้ซ่งอินไปทำภารกิจด้านนอก ข้าจะเป็นผู้สอนพวกเจ้าเอง”

ถัวเค่อชีกล่าวด้วยเสียงเข้ม จางอี้หมิงฟังแล้วแค่นหัวเราะเบาๆ 

“การบินบนอาวุธเป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำได้!” ถัวเค่อชีกล่าวเสียงเข้มต่อเนื่อง สายตาเหลือบมอง จางอี้หมิง อย่างแฝงความหมาย ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันเล็กน้อย

“ใครที่ทำไม่ได้ นับว่าเป็นตัวไร้ค่า!”

จากนั้น ถัวเค่อชีนำกระบี่ของเขาซึ่งเป็นอาวุธประจำกายออกมา พลังลมปราณที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาคล้ายควันบางๆ 

กระบี่ลอยขึ้นจากพื้น เขาก้าวขึ้นยืนบนกระบี่อย่างมั่นคง ก่อนจะทะยานขึ้นฟ้าด้วยท่วงท่าที่มั่นคง กระบี่ของเขาร่อนวนไปในอากาศรอบลานฝึก สร้างความประทับใจและกดดันให้กับเหล่าศิษย์

เมื่อเขากลับมาลงพื้น ถัวเค่อชี กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเย็นชา

“พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ทุกคนสามารถกลับบ้านได้ตามอัธยาศัย” 

เสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อเหล่าศิษย์ต่างตื่นเต้นกับโอกาสที่จะได้กลับบ้าน บางคนพูดคุยกันถึงการจะขี่อาวุธบินกลับบ้าน

ถัวเค่อชีชะงักเล็กน้อย กล่าวด้วยเสียงเข้มว่า “จำไว้ให้ดี กฎของการบินคือ ห้ามบินในเขตเมืองหลวงเด็ดขาด เว้นแต่มีภารกิจเร่งด่วน ใครฝ่าฝืน จะต้องรับโทษหนัก!"

“แยกย้ายกันไปฝึกได้”

เมื่อถัวเค่อชีสั่งให้แยกย้ายกันไปฝึก เหล่าศิษย์ต่างรีบจับกลุ่มกันฝึกอย่างตั้งใจ หวงจื่อรั่ว และ หลินหนิง พากันไปที่มุมหนึ่งของลาน หลินหนิงบอกให้หวงจื่อรั่วรอ ก่อนจะวิ่งตรงไปที่ จางอี้หมิง

“ศิษย์พี่!” หลินหนิงส่งเสียงเรียก พลางคว้าแขนเขาด้วยความกระตือรือร้น

“มาร่วมฝึกกับพวกเราสิ!”

จางอี้หมิง หันไปมองรอยยิ้มสดใสของหลินหนิง เขาไม่อาจปฏิเสธได้ จึงเดินตามนางไป สะโพกกับเอวน้อยๆ ของนางบิดไปมา ยากนักจะละสายตาได้

เมื่อไปถึงมุมลานที่หวงจื่อรั่วยืนอยู่ สายตาของเขาสบเข้ากับใบหน้าที่งดงามหมดจดของนาง เขารู้สึกสะท้านเล็กน้อย แต่รีบสงบสติอารมณ์

“พวกเจ้าฝึกกันเถอะ ข้าจะช่วยดูให้” จางอี้หมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย พลางวางมาด

ตอนนี้พวกเจ้าทั้งสองรู้แล้วว่าข้าเป็นใคร โดยเฉพาะเจ้า! แม่นางตาโตหลินหนิง ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นศิษย์พี่ ข้าก็ควรวางมาด

หลินหนิงมองจางอี้หมิงด้วยดวงตาเปล่งประกาย ก่อนถามขึ้น

“ศิษย์พี่ พอจะลองทำให้ดูสักรอบได้หรือไม่?”

จางอี้หมิง ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบรับด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้าจะลองดู”

เอาล่ะ อย่างน้อยช่วงสองสามวันนี้ ข้าก็ฝึกนอกรอบอย่างหนักมาตลอด ครั้งนี้แหละ เป็นโอกาสที่ข้าจะได้แสดงความสามารถ หากแม่นางทั้งสองเห็น รับรองว่าประทับใจเป็นแน่

ก้าวแรกของการคืนสู่สมดุลพลังด้วยสาวงาม คือ สร้างความรู้สึกลึกซึ้งให้ได้เสียก่อน

จางอี้หมิงโคจรพลังลมปราณย้อนกลับตามหลักการเฉพาะเขา เข้าสู่ดาบประจำกาย ดาบลอยขึ้นจากพื้นอย่างราบรื่น

เขาก้าวขึ้นไปยืนบนกระบี่อย่างมั่นคง ทันทีที่เขาสั่งให้กระบี่ทะยานขึ้นฟ้า มันพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของเขานุ่มนวลและสง่างาม เขาบินวนรอบลานฝึกหนึ่งรอบ ก่อนจะกลับมาลงพื้นอย่างนิ่มนวล

หลินหนิง ตบมือด้วยความตื่นเต้น

“ศิษย์พี่เก่งมาก!”

หวงจื่อรั่ว ที่ยืนมองอยู่ อมยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร

“เหนื่อยยิ่งนัก แต่ก็นับว่า เป็นจุดเริ่มต้นที่คุ้มค่ากับการลงทุนระยะยาว” จางอี้หมิงลอบคิดในใจ ด้วยท่าทีภายนอกมั่นคง แม้ภายในจะเหนื่อยหอบ

การโคจรลมปราณย้อนกลับ ย่อมใช้พลังงานมากกว่าการโคจรพลังตามปกติ

เสียงซุบซิบชื่นชมดังมาจากเหล่าศิษย์คนอื่นที่กำลังจับตามอง จางอี้หมิงยืนอย่างภาคภูมิใจ แต่ในมุมหนึ่ง ถัวเค่อชี มองเขาด้วยสายตาเย็นชา

ถึงอย่างไรก็ตาม ถัวเค่อชีก็ชิงชังจางอี้หมิงมานาน ในวิชานี้เขาตั้งใจเหยียดหยามจางอี้หมิงเต็มที่ แต่สุดท้ายกลับผิดหวัง

หลังจากจางอี้หมิงแสดงความสามารถในการขี่ดาบจนเป็นที่ชื่นชม หวงจื่อรั่วก็ก้าวออกมาข้างหน้า นางหยิบทวนอาวุธประจำกายของตนขึ้นมา ดวงตาอันมุ่งมั่นของนางสะท้อนแสงแดดอ่อนๆ

“ข้าขอลองบ้าง” นางกล่าวเสียงนุ่มแต่มั่นใจ

นางโคจรลมปราณเข้าสู่ทวนอย่างสง่างาม ทวนเปล่งประกายเรืองรองเบาๆ ก่อนจะลอยขึ้นจากพื้น หวงจื่อรั่วกระโดดขึ้นไปยืนบนทวน 

หวงจื่อรั่วทรงตัวได้อย่างมั่นคง นางค่อยๆ ควบคุมทวนให้ร่อนลอยในอากาศอย่างคล่องแคล่ว ท่าทางของนางดูสง่างามราวกับนางพญา

จางอี้หมิงมองดูพลางพยักหน้าด้วยความชื่นชม “นางเป็นอัจฉริยะแห่งการฝึกยุทธ์โดยแท้!” เขาคิดในใจ

เมื่อหวงจื่อรั่วลงมาจากทวนอย่างนุ่มนวล หลินหนิงที่ดูอยู่ก็ปรบมือด้วยความตื่นเต้น

“แม่นางจื่อรั่วช่างเก่งยิ่งนัก!” นางกล่าว ก่อนจะหันมาหาจางอี้หมิงและกล่าวด้วยเสียงสดใส

“ข้าขอลองดูบ้าง!”

หลินหนิงหยิบกระบี่อาวุธประจำกายของนางขึ้นมา แม้ว่านางจะเป็นผู้ฝึกตนสายบัณฑิตที่ไม่ชำนาญวิชายุทธ์ แต่นางก็มีความมุ่งมั่นไม่น้อย 

หลินหนิงโคจรลมปราณเข้าสู่กระบี่ กระบี่ลอยขึ้นช้าๆ หลินหนิงกระโดดขึ้นไปยืนบนกระบี่ได้สำเร็จ

ในตอนแรกนางดูเหมือนจะควบคุมกระบี่ได้ดี แต่เมื่อกระบี่เริ่มร่อนในอากาศ นางก็เสียการทรงตัว ร่างของหลินหนิงเอนเซจนล้มร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว

จางอี้หมิงเห็นดังนั้น ด้วยความเคยชิน  เขารีบหยิบยันต์อักษรจากอกเสื้อ ออกมาอย่างรวดเร็ว เขาโคจรลมปราณย้อนกลับใส่ยันต์นั้น พลันกระดาษยันต์ลุกไหม้ ก่อนที่เขาจะปามันออกไปในอากาศ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 26 คืนก่อนกลับบ้าน

    ยันต์กลายเป็นตาข่ายพลังสีทองผืนใหญ่ที่รับร่างของหลินหนิงไว้ก่อนที่นางจะตกถึงพื้น ตาข่ายช่วยลดแรงกระแทกจนหลินหนิงไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงทันทีที่หวงจื่อรั่วรีบวิ่งเข้าไปช่วยประคองหลินหนิงอย่างปลอดภัยหลินหนิงที่ยังตกใจอยู่เงยหน้ามองจางอี้หมิงด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง แต่ก่อนที่นางจะเอ่ยคำใดออกมา ร่างของจางอี้หมิงก็เซไปเล็กน้อย ก่อนจะกระอักโลหิตออกมาการโคจรพลังของข้าเกินขีดจำกัด น่าขายหน้ายิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะยันต์พวกนี้ข้าเขียนไว้ก่อนสิ้นพลัง คงไม่เป็นเช่นนี้ พลังดั้งเดิมข้าแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ "ศิษย์พี่!" หลินหนิงร้องออกมาด้วยความตกใจหวงจื่อรั่วและหลินหนิงรีบวิ่งเข้าไปหาจางอี้หมิง นางทั้งสองช่วยประคองเขาที่กำลังจะล้มลงพื้นไว้ทันพอดีถัวเค่อชีโบกมือให้ทั้งสองประคองจางอี้หมิงไปหน่วยแพทย์ตามหน้าที่ แม้ในใจจะคิดขึ้นว่า “ถึงอย่างไรก็มีข้อจำกัดสินะ”หน่วยแพทย์จางอี้หมิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สัมผัสแรกที่เขารู้สึกคือความหนักอึ้งของร่า

    Last Updated : 2025-03-14
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 27 กลับจวนสกุลจาง

    เช้าวันใหม่ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบไปทั่วลานหน้าบ้านพักจางอี้หมิงลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา แต่งตัวใหม่ดูดี จากนั้น จางอี้หมิงเดินออกมาด้วยท่าทีผ่อนคลาย ดวงตาของเขาสะท้อนภาพของสตรีสองนางที่ยืนรออยู่หลินหนิง สตรีร่างเล็ก หน้าตาน่ารัก เอวคอดกิ่ว มีส่วนเว้าโค้งที่พอดี ชวนให้ดูอ่อนหวานและสดใสส่วนหวงจื่อรั่วแม้จะแต่งกายคล้ายบุรุษ มีทวนยาวสะพายอยู่บนหลัง แต่ความงดงามของนางก็โดดเด่นราวกับเทพธิดา ยากนักที่จะหยุดมองได้จางอี้หมิงเผยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวว่า “เดินทางกันเถอะ”ทั้งสามต่างขึ้นม้าของตน แล้วควบออกจากสำนักเทียนหยาง ระหว่างทางที่สายลมพัดผ่านไล้ผิวเบาๆ จางอี้หมิงหันไปทางหลินหนิง พลางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “เจ้าเรียกข้าว่า ‘เสี่ยวอี้’ เหมือนเดิมเถอะ ศิษย์น้องของข้ามีมากพอแล้ว”หลินหนิงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ดวงตาเป็นประกาย แล้วกล่าวตอบ

    Last Updated : 2025-03-15
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 28 ค่ำคืนลึกลับ

    เมื่อจางส่วงเอ่ยชื่อ "ซุนสีห่าว" ออกมา จางอี้หมิง ถึงกับพ่นสุราออกมาเต็มโต๊ะ!แต่ไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวอะไร จางหลันซือ น้องสาวของเขา ก็ลุกขึ้นมาทันที ใบหน้างามของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางจ้องบิดาตนเองด้วยดวงตาแดงก่ำก่อนจะกล่าวเสียงดัง “ข้าไม่ยอม!”น้ำเสียงของนางเด็ดขาดและหนักแน่น บรรยากาศรอบโต๊ะเงียบลงทันทีจางอี้หมิงรีบเช็ดปาก เช็ดน้ำสุราที่พ่นออกมา ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นแล้วกล่าวสนับสนุนน้องสาว “ข้าเองก็ไม่เห็นด้วย!”เขาวางจอกสุราลงกับโต๊ะดัง ตึง! แล้วกล่าวต่ออย่างหนักแน่น “ซุนสีห่าวผู้นี้เป็นคนชั่วช้า ไม่เหมาะกับน้องหญิงแม้แต่น้อย! ข้าเกือบซัดหน้ามันที่สำนักเทียนหยาง”เขาพูดจบก็กวาดตามองบิดาของตนอย่างจริงจังแต่ก่อนที่บรรยากาศจะตึงเครียดไปมากกว่านี้ หลี่เอ้อเหมียว ผู้เ

    Last Updated : 2025-03-16
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 29 ค่ำคืนแห่งไอมาร

    ยามค่ำคืนภายในเรือนหลังน้อยของจวนอ๋องจางส่วงแสงจันทร์ส่องกระทบผ่านหน้าต่าง เผยให้เห็นเงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองดูหมู่ดาวที่ระยิบระยับบนท้องฟ้าอย่างเงียบงัน บุรุษผู้นั้นคือ จางอี้หมิงผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งสำนักเทียนหยาง ด้านข้างของเขามีหญิงสาวนางหนึ่งนั่งอยู่ ซงเอ๋อร์ กำลังก้มหน้ารินสุราให้ด้วยท่วงท่าสง่างามแม้ว่าซงเอ๋อร์ จะมีหน้าที่คล้ายสาวใช้ในบ้าน แต่ฐานะของนางนั้นสูงมากกว่า นางถูกแม่แท้ๆ ของจางอี้หมิงชุบเลี้ยงไว้ตั้งแต่ทารก และกำหนดไว้ให้แต่งเป็นอนุของจางอี้หมิงเมื่อโตขึ้นอ๋องจางส่วงและฮูหยินก็รับปากดำเนินการต่อแม้ว่ามารดาของจางอี้หมิงเสียชีวิตไปแล้ว นางจึงได้รับการเลี้ยงดูและได้รับการศึกษามากกว่าสาวใช้ทั่วไปในบ้าน แต่ไม่เทียบเท่าบุตรสาวในจวนสกุลจางนั้นมีฐานะพิเศษ ที่ต้องถูกควบคุมอย่างเคร่งครัดจากราชสำนัก ราชวงศ์ปัจจุบัน บุรุษทุกคนต้องถูกกำหนดให้แต่งกับคนที่ราชสำนักกำหนดให้เท่านั้น ส่วนอนุภรรยาสามารถมีได้หลังจากแต่งตั้งชายาหลักแล้วเท่านั้นซงเอ๋อร์ในเวลานี้ยังไม่ถูกแต่งตั้งเป็นอนุภรรยาอย

    Last Updated : 2025-03-17
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 30 ความบันเทิงของบุรุษ

    ภายในเรือนหลังน้อย แสงเทียนริบหรี่โยกไหวตามสายลมอ่อนๆ ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา บรรยากาศสงบเงียบยามค่ำคืนช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์จากเครื่องหอมอบอวลในห้อง ผสมกับกลิ่นหอมประจำกายของซงเอ๋อร์ที่อบอวลอยู่ใกล้ๆจางอี้หมิงนอนเอนกายอยู่บนเตียง ใช้มือข้างหนึ่งรองศีรษะ ดวงตาคู่คมทอดมองซงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าของนางสะท้อนแสงเทียน ยิ่งขับให้ดูงดงามอ่อนหวาน นางก้มหน้างุด ริมฝีปากเม้มเล็กน้อยราวกับลังเลจางอี้หมิงขยับตัวเข้าไปด้านในของเตียงเล็กน้อย แล้วใช้มือข้างหนึ่งตบลงที่ที่นอนเบาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น“เจ้าลงมานอนข้างๆ ข้าเถอะ”ซงเอ๋อร์เม้มปากน้อยๆ ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ แล้วขยับตัวขึ้นไปบนเตียงอย่างลังเล นางห่มผ้าคลุมร่าง ก่อนจะเอนกายลงนอนข้างๆ จางอี้หมิง แต่ยังเว้นระยะห่างเล็กน้อย ดวงตากลมโตของนางช้อนมองเขาอย่างประหม่าจางอี้หมิงขยับตัวเข้าใกล้อีกนิด พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ข้านอนกอดเจ้าได้หรือไม่”ซงเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้างามก็แดงก่ำขึ้นมาทันที นางเม้มริมฝีปากอย่างครุ่นคิด แต่สุดท้ายก็เอ่ยต

    Last Updated : 2025-03-18
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 31 ที่แท้ก็...ซุนสีห่าว

    ซุนสีห่าว!คนผู้นั้นคือซุนสีห่าว บุตรชายรองเจ้ากรมคลัง ผู้มีฐานะเป็นศิษย์ระดับศูนย์ของสำนัก และเป็นว่าที่คู่หมั้นของจางหลันซือ ผู้เป็นน้องสาวของจางอี้หมิงจางอี้หมิงเห็นหน้าแล้วไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เป็นคู่หมั้นของน้องสาวยังพอจะนับญาติได้ แต่ตอนอยู่ในสำนักดันวางตัวเป็นศัตรูกับเขา และชอบมีปัญหากับแม่นางหลินหนิงและแม่นางหวงจื่อรั่วคนงาม คนผู้นี้ยิ่งไม่น่าคบหา“พวกเจ้าคิดจะโกงข้าหรือไง!?”เสียงของซุนสีห่าวดังลั่นด้วยสีหน้าเดือดดาลกับลูกสมุนสองคนที่ใบหน้ามีบาดแผลรอบตัวเขามีชายฉกรรจ์ในชุดสีเข้มยืนล้อมไว้ สีหน้าของพวกนั้นเรียบเฉยแต่แววตาเย็นชาจางอี้หมิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้าลูกสุนัขนั่นทำอะไรอีกแล้ว?”ซ่งอินยิ้มขบขัน “ดูเหมือนจะเสียพนันแล้วโวยวาย”“หึ นี่เป็นเรื่องปกติของสำนักบ่อนเบี้ย” จางอี้หมิงพัดพัดในมือเบาๆ“เราควรช่วยพวกเขาดีหรือไม่?”“รอให้เขาใกล้ตายก่อนค่อยออกไปช่วยก็ยังไม่สาย”ซ่งอินเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เพราะเหตุใด?”“วีรบุรุษย่อมเปิดเผยตัวเป็นคนสุดท้าย” จางอี้หมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

    Last Updated : 2025-03-19
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 32 กุลสตรีนอกตำรา

    ภายในห้องอาหารของจวนสกุลจาง ทุกคนในครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา จางส่วง ผู้เป็นบิดา นั่งอยู่หัวโต๊ะ ด้านข้างมี หลี่เอ้อเหมียว ภรรยาของเขาและเป็นมารดาเลี้ยงของ จางอี้หมิง ส่วน จางหลันซือ บุตรีของหลี่เอ้อเหมียว และ จางอี้หมิง พี่ชายต่างมารดา ก็นั่งร่วมโต๊ะพร้อมกันบรรยากาศเป็นไปอย่างสงบ ทุกคนเพลิดเพลินกับอาหารถูกจัดเตรียมมาอย่างดีจางอี้หมิงคีบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งอย่างใจเย็น และสูดกลิ่นหอมของอาหารเบาๆ ขณะที่หลี่เอ้อเหมียวรินน้ำชาให้สามีจางหลันซือที่เงียบมานานจ้องมองพี่ชายต่างมารดาของตน ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“พี่ใหญ่มีเรื่องใดสารภาพหรือไม่?”จางอี้หมิงชะงักมือที่กำลังคีบอาหาร ดวงตาคมเข้มเหลือบมองน้องสาวแล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจหลี่เอ้อเหมียววางกาน้ำชาลงแล้วหันมามองด้วยความสนใจ ขณะที่ จางส่วง ผู้เป็นบิดา ชะงักไปเพียงอึดใจ ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังแล้วกล่าวขึ้น“เจ้าไปทำนางคณิกาคนใดท้อง?”เสียงคำถามนั้นทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่พลันชะงักไปชั่วขณะ แม้แต่นางรับใช้ที่กำลังรินน้ำแกงยังเผลอมือสั่นเล็กน้อยจางอี้หมิงถอนหายใจแล้

    Last Updated : 2025-03-20
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 33 การประลองวิชาทวน

    “พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย! ไอ้โรคจิตนี่จะขืนใจข้า!”“หา!?” จางอี้หมิงขมวดคิ้วทันใดนั้น ซุนสีห่าวที่กำลังวิ่งมาตามมา ก็ชะงักฝีเท้ากะทันหัน เมื่อเห็น ใบหน้าของจางอี้หมิงจากนั้น เข่าทรุดลงแทบพื้น!“พี่เขย!!”“...”“ข้าเคยล่วงเกินท่าน โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิด!!!”จางอี้หมิงกระพริบตาสองสามที ก่อนจะหันไปมองน้องสาวที่ยังยืนหลบอยู่ด้านหลังเขา จากนั้นรีบคว้ามือจางหลันซือขึ้นรถม้า แล้วควบรถม้าออกไปทันที!!เมื่อรถม้ากลับมาถึง จวนสกุลจาง จางหลันซือถอดปิ่นปักผมออก ผมสยายกระทบแสงอาทิตย์งดงาม ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ“เกิดอะไรขึ้น?”

    Last Updated : 2025-03-21

Latest chapter

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 50 จากลา (จบภาค1)

    ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 49 บำเพ็ญคู่ปรับสมดุลลมปราณ

    จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 48 กักตัวที่บ้านพัก

    จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 47 คมดาบไร้ลมปราณและไร้ปราณี

    ท่ามกลางป่าทึบยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์หรือประกายดาว มีเพียงเสียงลมพัดเอื่อยๆ ราวกับเสียงกระซิบจากธรรมชาติเพียงเท่านั้นถัวเค่อชี ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เรือนผมยุ่งเหยิง เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจากร่องรอยการดิ้นรนทรมานจากฤทธิ์ยา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังแดงก่ำ ราวกับมีเปลวไฟกำลังเผาผลาญจากภายในความเจ็บปวดจากพิษของยาเสริมพลังที่ เชียนหวง มอบให้เขา ตอนนี้ค่อยๆ สลายไปแล้ว“ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า!”เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง ราวกับสายธารปราณที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเขาหลับตา โคจรลมปราณทั่วร่าง และสิ่งที่ค้นพบก็ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย“พลังของข้า... เพิ่มขึ้นแล้ว!”เขาเผยรอยยิ้มสะใจ ก่อนจะกระชากกระบี่ออกจากฝัก แสงเย็นเยียบสะท้อนจากใบกระบี่ เขารวบรวมพลังลงไปในคมดาบ จากนั้นฟาดมันออกไปเต็มแรงฉัวะ!เสียงกระบี่เฉือนอากาศดังก้อง ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เศษไม้ปลิวกระจายไปทั่ว

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 46 ขอเพียงสามกระบวนท่า

    “หากพวกเจ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าสำนัก จงบอกที่ซ่อนของศิลาเฝิ่นเหิงมาเดี๋ยวนี้!”เสียงของเชียนหวงก้องกังวาน แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกบีบอัดจนหนักอึ้งลิ่วเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิลาเฝิ่นเหิง?”จางอี้หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเคยอ่านเจอในนิยาย ตำนานเซียนไท่ซวิน ไม่คิดว่าจะมีคนที่เชื่อว่าเป็นของจริงด้วย”ลิ่วเฉียงหันไปมองหน้าเชียนหวง ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ไปถามผู้เขียนนิยายสิ!”“หุบปาก!” เชียนหวงตะโกนลั่น ‘ปากแข็งหรือเบาปัญญาก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก!’ รังสีอำมหิตระเบิดออกมาจากร่าง พลังสีดำมืดหม่นหมุนวนไปรอบตัวเขา ราวกับเป็นพายุวิญญาณอาฆาต“เช่นนั้น ข้าคงต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดแล้วค่อยค้นหาด้วยตัวเอง!”ซ่าาา!พลังอาฆาตสีดำแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเชียนหวง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกร้าว เปลวพลังสีดำคุกรุ่นรอบตัวลิ่วเฉียงยังคงยืนสงบนิ่ง มองดูศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะหันไปถามเฉินเจิ้ง “แค่ระดับเจ็ด เจ้าสู้ไม่ได้รึ?”เฉินเจิ้งกำหมัดแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงเจ็บใจ “น่าอ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 45 เมื่อเชียนหวงปรากฏกาย

    สายลมพัดเอื่อย สะบัดผ่านร่างของสองศิษย์พี่น้องที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ่านหวงและเฉินเจิ้งต่างจมอยู่ในสมาธิ โคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อรอบกายเต็มไปด้วยซากอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดิน เศษหิน เสียงลมหายใจของทั้งสองเริ่มกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงชั่วขณะ“ตรวจสอบหาผู้นำพวกมันได้หรือยัง?” เฉินเจิ้งถามเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังฟ่านหวงมองไปรอบๆ “ยัง”เฉินเจิ้งแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ระหว่างที่ข้ากำจัดพวกมัน เจ้าไม่ได้อู้ใช่หรือไม่?”ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “ศิษย์พี่เอ๋ย หากข้าตอบว่าใช่ ท่านจะทำอะไรข้า?”“เจ้ามันตัวบัดซบ กินแรงผู้อื่น!”เสียงหัวเราะของฟ่านหวงดังขึ้น ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำต่อไป บรรยากาศรอบกายพลันเย็นยะเยือกลงจนขนลุกชันวูบบบ!“ศิษย์พี่…ท่านหายเหนื่อยแล้วหรือยัง?”เฉินเจิ้งยืดเส้นยืดสาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็… 5… 4… 3… 2… 1…”วูบบบ!!!

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 44 กระแสทวนแห่งฟ้า

    ทางด้านลานกว้างหน้าหอเทียนหยางจางอี้หมิยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลานกว้างหน้าหอเทียนหยาง ท่ามกลางหมอกฝุ่นและเสียงคำรามของเหล่าอสูรดินเหนียว ดาบในมือของเขาเปื้อนเศษดินและคราบอสูร แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับกระชับแน่น แม้ไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ด้วยร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงและกระบวนท่าอันเฉียบคม เขาก็ยังคงยืนหยัดต้านศัตรูได้อย่างไม่ลดละเมื่ออสูรตนหนึ่งพุ่งเข้ามาทางด้านซ้าย จางอี้หมิงใช้แรงบิดเอว เหวี่ยงดาบออกไปเป็นแนวโค้งคมกริบ ปลายดาบฟันทะลุไหล่อสูรดินเหนียวเสียงดังฉึบ! เศษดินกระจายตัวออกเป็นฝุ่นสีดำ อสูรตัวนั้นเซถลาไปด้านหลังก่อนที่ร่างจะถูกแรงฟันฉีกออกเป็นสองซีก ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ! โฮกกก!!!!เสียงคำรามจากอสูรตัวอื่นดังก้อง มันพุ่งเข้ามารุมล้อมจากทุกทิศทาง จางอี้หมิงย่อกายลงเล็กน้อยก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้า ใช้ดาบแทงทะลุอกของตัวหนึ่ง จากนั้นดึงกลับแล้วฟาดดาบฟันเข้าที่คอของอีกตัว เศษดินและโคล

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 43 ซ่อมม่านพลังป้องกัน

    ศิษย์ระดับสามและศิษย์ระดับต่ำกว่านั้นบางกลุ่มก็ออกไปจัดการกับอสูรดินเหนียวในจุดต่างๆ ถัวเค่อชีเองก็เช่นกัน ที่มีหน้าที่จัดการกับเหล่าอสูรดินเหนียวที่บุกโจมตีสำนักจากนั้นถัวเค่อชีก็แยกตัวออกจากกลุ่มศิษย์ที่กำลังต่อสู้กับอสูรดินเหนียว โดยอ้างว่าจะจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียว ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเรียกหาอยู่กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาท ขณะที่ถัวเค่อชีเดินเข้าไปในเงามืดของป่า เสียงนั้นไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวของเขาเอง และไม่อาจสลัดเสียงเหล่านั้นออกไปจากร่างกายได้แม้แต่น้อยร่างกายของถัวเค่อชีเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกย่างก้าว จนกระทั่งเขามาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีเงาร่มครึ้มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นขึ้นมาจากกลางศีรษะ ทะลวงไปถึงไขสันหลัง ถัวเค่อชีทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมหัวแน่นราวกับจะป้องกันมิให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง ร่างกายสั่นสะท้านจากความทุกข์ทรมาน ดวงตาพร่าเลือน เหมือนมีเงามืดแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ“อ๊ากกก!!”ถัวเค่อชีส่งเสี

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 42 เสริมม่านพลัง

    เจียงเยว่และหลี่เกอซินยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของหอเทียนหยาง สายลมพัดเอื่อย ผมยาวสลวยของทั้งคู่ปลิวไสวไปตามสายลมดวงตาของเจียงเยว่จับจ้องไปยังท้องฟ้า และพื้นเบื้องล่าง ที่มีกองทัพอสูรดินเหนียวเข้ามาไม่พักหลี่เกอซิน ศิษย์น้องผู้ชำนาญวิชาตรวจจับ ยืนนิ่งข้างๆ นางหลับตาลงเล็กน้อย ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ที่อารามทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีปัญหา ทำให้ม่านพลังป้องกันเกิดรอยรั่ว”“แล้วอย่างไร?”“พวกเราต้องไปซ่อมแซมจุดนั้นโดยด่วน เพียงแต่ทางด้านนั้นมีศัตรูเข้ามามากเกินไป ข้าเกรงว่าหากไปตอนนี้จะไม่ปลอดภัย”เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ นางคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “ก่อนอื่นต้องระงับศัตรูไม่ให้เข้ามาชั่วคราว แล้วค่อยเข้าไปซ่อมแซมม่านพลัง”“แล้วควรทำอย่างไรดีศิษย์พี่?”“เจ้ารอที่นี่ก่อน”เจียงเยว่เหลือบตามองลงไปด้านล่าง ราวกับกำลังมองหาบางคน ดวงตาของนางสะท้อนเงาร่างหนึ่งที่กำลังต่อสู้

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status