เมื่อจางส่วงเอ่ยชื่อ "ซุนสีห่าว" ออกมา จางอี้หมิง ถึงกับพ่นสุราออกมาเต็มโต๊ะ!
แต่ไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวอะไร จางหลันซือ น้องสาวของเขา ก็ลุกขึ้นมาทันที ใบหน้างามของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางจ้องบิดาตนเองด้วยดวงตาแดงก่ำก่อนจะกล่าวเสียงดัง
“ข้าไม่ยอม!”
น้ำเสียงของนางเด็ดขาดและหนักแน่น บรรยากาศรอบโต๊ะเงียบลงทันที
จางอี้หมิงรีบเช็ดปาก เช็ดน้ำสุราที่พ่นออกมา ก่อนจะขมวดคิ้วแน่นแล้วกล่าวสนับสนุนน้องสาว
“ข้าเองก็ไม่เห็นด้วย!”
เขาวางจอกสุราลงกับโต๊ะดัง ตึง! แล้วกล่าวต่ออย่างหนักแน่น
“ซุนสีห่าวผู้นี้เป็นคนชั่วช้า ไม่เหมาะกับน้องหญิงแม้แต่น้อย! ข้าเกือบซัดหน้ามันที่สำนักเทียนหยาง”
เขาพูดจบก็กวาดตามองบิดาของตนอย่างจริงจัง
แต่ก่อนที่บรรยากาศจะตึงเครียดไปมากกว่านี้ หลี่เอ้อเหมียว ผู้เป็นมารดาเลี้ยงของเขาก็วางตะเกียบลงเบาๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ
“อาหารใกล้เย็นแล้ว มากินข้าวกันเถอะ”
ถึงแม้คำพูดของนางจะอ่อนโยน แต่แฝงไปด้วยอำนาจที่ทำให้ทุกคนในโต๊ะเงียบลงโดยไม่รู้ตัว
บรรยากาศสงบลง จางอี้หมิงรีบอาหารเข้าปาก ทั้งเป็ด ทั้งไก่ ทั้งเนื้อ ล้วนผ่านปากเขาลงท้องทั้งหมดจนอิ่ม
หลังจากอาหารมื้อใหญ่สิ้นสุดลง จางอี้หมิง วางตะเกียบลงแล้วลุกขึ้น
“ท่านพ่อท่านแม่ ข้าขอตัว”
จากนั้นจางอี้หมิงหยิบกาสุรา แล้วกล่าวกับ ซงเอ๋อร์
“พวกเราไปนั่งคุยกันเถอะ”
ซงเอ๋อร์ เงยหน้ามองเขา ใบหน้างามแดงระเรื่อเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าตอบอย่างอ่อนโยน
“เจ้าค่ะ”
จากนั้นเดินตามหลังเขาออกจากห้องอาหารไป
ในตรอกเล็กๆ ของเมืองหลวง ถัวเค่อชี ศิษย์ระดับสามของสำนักเทียนหยาง ก้าวเดินอย่างไม่เร่งรีบ ในคืนวันหยุดพักผ่อน ท่ามกลางแสงโคมไฟสลัวยามค่ำคืน
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาปะทะเขาเต็มแรง
“ขออภัย! ขออภัยด้วย!”
บุคคลนั้นกล่าวขอโทษเสียงอ่อนน้อม ก่อนจะสะบัดมือ พ่นผงประหลาดสีจางใส่ใบหน้าของเขา
ถัวเค่อชี รู้สึกมึนงง สมองหมุนเคว้ง เสียงโลหะกระทบกันเบาๆ ดังขึ้นที่ข้างหู
กิ๊ง! กิ๊ง!
เสียงกระดิ่งดัง
ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ ราวกับมีบางสิ่งควบคุมสติสัมปชัญญะของเขา เท้าก้าวเดินไปเอง โดยที่เขาไม่อาจต้านทานได้
ตรอกมืดแห่งหนึ่ง
ถัวเค่อชี หยุดลงที่หัวมุมตึก ร่างสูงของเขายืนนิ่งราวหุ่นเชิด รอคำสั่งจากเจ้านายที่มองไม่เห็น
จากความมืดมิด ปรากฏร่างสตรีนางหนึ่ง นางสวมหน้ากากปกปิดโฉมหน้า สวมชุดคลุมสีเทายาวถึงพื้น กลิ่นอายเย็นยะเยือกแผ่ซ่านออกจากร่างของนาง
“เจ้าเป็นศิษย์แห่งเทียนหยางสินะ?”
เสียงของนางดังขึ้น นุ่มนวล แต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันที่ไม่อาจต้านทาน
ถัวเค่อชี ยืนนิ่ง ดวงตาไร้แวว ราวกับจิตใจของเขาหลุดลอยไปแล้ว
สตรีลึกลับก้าวเข้าใกล้ วางนิ้วเรียวลงบนคางของเขา ยิ้มเย็นชา
“กลิ่นไอความริษยาของเจ้า... รุนแรงเสียจริง”
ดวงตาของ ถัวเค่อชี กระตุกเล็กน้อย ราวกับคำพูดของนางกระทบถึงจิตใต้สำนึกที่ซ่อนเร้น
นางกระซิบที่ข้างหูเขา
“หากเจ้ายินดีทำงานให้ข้า ข้าจะมอบพลังให้เจ้า…”
เสียงของนางชวนให้หลงใหล ราวกับมีเวทมนตร์สะกดจิต
ถัวเค่อชี ขมวดคิ้วก่อนจะถามเสียงแข็ง
“ทำสิ่งใด?”
สตรีปริศนาเผยรอยยิ้มจางๆ
“ปลดการป้องกันของสำนักเทียนหยางออก”
บรรยากาศเงียบงันชั่วขณะ จากนั้น เสียงของ ถัวเค่อชี ก็ดังขึ้น แผ่วเบา แต่นิ่งแน่ว
“ตกลง”
แสงประหลาดสีแดงปรากฏขึ้นที่หน้าผากของเขา พริบตาเดียวก็หายไป
ดวงตาของ ถัวเค่อชี กลับมามีสติอีกครั้ง ร่างของสตรีลึกลับหายไปแล้ว เขาสะบัดศีรษะ รู้สึกงุนงง
“เกิดอะไรขึ้น...?”
“ปลดการป้องกันของสำนักเทียนหยาง…” เสียงในหัวของเขาดังก้อง มือของเขากำหมัดแน่น ดวงตาฉายแววสับสนมึนงง
ท่ามกลางตรอกแคบที่เงียบสงัด สตรีลึกลับ ยืนพิงกำแพงอยู่ในมุมมืด ร่างของนางแนบชิดกับเงา จนแทบกลืนหายไปกับความมืดมิด
ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าแผ่วเบา ก็ดังขึ้น จากปลายตรอก ปรากฏร่างของ ชายลึกลับ สวมชุดคลุมสีเทาเช่นเดียวกัน ใบหน้าของเขาปกปิดด้วยหน้ากากสีเทา
เขาก้าวเข้ามาหยุดตรงหน้านาง ดวงตาสีดำขลับจ้องนางผ่านหน้ากาก
“ดำเนินการอย่างไรต่อ?”
สตรีลึกลับ ไม่ตอบในทันที นางเพียงยกมือขึ้นช้าๆ ลูบไล้ขอบหน้ากากของตนเบาๆ ราวกับกำลังครุ่นคิด
จากนั้น...นางแย้มรอยยิ้มบางๆ
“รอสัญญาณจากข้าก็พอ”
เสียงของนางเย็นเยียบ แต่แฝงไปด้วยอำนาจบางอย่าง
ชายลึกลับ พยักหน้ารับคำ ไม่ถามอะไรอีก ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ร่างของเขาหายไปในเงามืด เงียบเชียบ ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่
“หมากตัวแรกของข้าถูกวางลงกระดานแล้ว อยากรู้ยิ่งนักพวกสำนักเทียนหยางจะแก้เกมยังไง กลิ่นไอมารของคนในสำนักอันสูงส่งของเจ้าช่างรุนแรงยิ่งนัก อีกไม่นานข้าจะมอบของขวัญให้แก่พวกเจ้า ศิลาเฝิ่นเหิงจะต้องมาอยู่ในมือพวกข้า” สตรีลึกลับนามว่า เฉิน เสี่ยวฮุ่ย กล่าว
เสี่ยวฮุ่ย ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด มีแสงริบหรี่จากดวงจันทร์ส่องมาเปล่งประกายบนหน้ากากสีดำที่ปกปิดใบหน้าของนาง ขณะเงบขึ้นไปบนท้องฟ้า
นางชูแขนสองข้างขึ้นกล่าวว่า “เจ้าตำหนัก ข้าจะทำให้ท่านฟื้นคืนให้ได้!”
ยามค่ำคืนภายในเรือนหลังน้อยของจวนอ๋องจางส่วงแสงจันทร์ส่องกระทบผ่านหน้าต่าง เผยให้เห็นเงาร่างของบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่าง มองดูหมู่ดาวที่ระยิบระยับบนท้องฟ้าอย่างเงียบงัน บุรุษผู้นั้นคือ จางอี้หมิงผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งสำนักเทียนหยาง ด้านข้างของเขามีหญิงสาวนางหนึ่งนั่งอยู่ ซงเอ๋อร์ กำลังก้มหน้ารินสุราให้ด้วยท่วงท่าสง่างามแม้ว่าซงเอ๋อร์ จะมีหน้าที่คล้ายสาวใช้ในบ้าน แต่ฐานะของนางนั้นสูงมากกว่า นางถูกแม่แท้ๆ ของจางอี้หมิงชุบเลี้ยงไว้ตั้งแต่ทารก และกำหนดไว้ให้แต่งเป็นอนุของจางอี้หมิงเมื่อโตขึ้นอ๋องจางส่วงและฮูหยินก็รับปากดำเนินการต่อแม้ว่ามารดาของจางอี้หมิงเสียชีวิตไปแล้ว นางจึงได้รับการเลี้ยงดูและได้รับการศึกษามากกว่าสาวใช้ทั่วไปในบ้าน แต่ไม่เทียบเท่าบุตรสาวในจวนสกุลจางนั้นมีฐานะพิเศษ ที่ต้องถูกควบคุมอย่างเคร่งครัดจากราชสำนัก ราชวงศ์ปัจจุบัน บุรุษทุกคนต้องถูกกำหนดให้แต่งกับคนที่ราชสำนักกำหนดให้เท่านั้น ส่วนอนุภรรยาสามารถมีได้หลังจากแต่งตั้งชายาหลักแล้วเท่านั้นซงเอ๋อร์ในเวลานี้ยังไม่ถูกแต่งตั้งเป็นอนุภรรยาอย
ภายในเรือนหลังน้อย แสงเทียนริบหรี่โยกไหวตามสายลมอ่อนๆ ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา บรรยากาศสงบเงียบยามค่ำคืนช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์จากเครื่องหอมอบอวลในห้อง ผสมกับกลิ่นหอมประจำกายของซงเอ๋อร์ที่อบอวลอยู่ใกล้ๆจางอี้หมิงนอนเอนกายอยู่บนเตียง ใช้มือข้างหนึ่งรองศีรษะ ดวงตาคู่คมทอดมองซงเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าของนางสะท้อนแสงเทียน ยิ่งขับให้ดูงดงามอ่อนหวาน นางก้มหน้างุด ริมฝีปากเม้มเล็กน้อยราวกับลังเลจางอี้หมิงขยับตัวเข้าไปด้านในของเตียงเล็กน้อย แล้วใช้มือข้างหนึ่งตบลงที่ที่นอนเบาๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น“เจ้าลงมานอนข้างๆ ข้าเถอะ”ซงเอ๋อร์เม้มปากน้อยๆ ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ แล้วขยับตัวขึ้นไปบนเตียงอย่างลังเล นางห่มผ้าคลุมร่าง ก่อนจะเอนกายลงนอนข้างๆ จางอี้หมิง แต่ยังเว้นระยะห่างเล็กน้อย ดวงตากลมโตของนางช้อนมองเขาอย่างประหม่าจางอี้หมิงขยับตัวเข้าใกล้อีกนิด พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ข้านอนกอดเจ้าได้หรือไม่”ซงเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้างามก็แดงก่ำขึ้นมาทันที นางเม้มริมฝีปากอย่างครุ่นคิด แต่สุดท้ายก็เอ่ยต
ซุนสีห่าว!คนผู้นั้นคือซุนสีห่าว บุตรชายรองเจ้ากรมคลัง ผู้มีฐานะเป็นศิษย์ระดับศูนย์ของสำนัก และเป็นว่าที่คู่หมั้นของจางหลันซือ ผู้เป็นน้องสาวของจางอี้หมิงจางอี้หมิงเห็นหน้าแล้วไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เป็นคู่หมั้นของน้องสาวยังพอจะนับญาติได้ แต่ตอนอยู่ในสำนักดันวางตัวเป็นศัตรูกับเขา และชอบมีปัญหากับแม่นางหลินหนิงและแม่นางหวงจื่อรั่วคนงาม คนผู้นี้ยิ่งไม่น่าคบหา“พวกเจ้าคิดจะโกงข้าหรือไง!?”เสียงของซุนสีห่าวดังลั่นด้วยสีหน้าเดือดดาลกับลูกสมุนสองคนที่ใบหน้ามีบาดแผลรอบตัวเขามีชายฉกรรจ์ในชุดสีเข้มยืนล้อมไว้ สีหน้าของพวกนั้นเรียบเฉยแต่แววตาเย็นชาจางอี้หมิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้าลูกสุนัขนั่นทำอะไรอีกแล้ว?”ซ่งอินยิ้มขบขัน “ดูเหมือนจะเสียพนันแล้วโวยวาย”“หึ นี่เป็นเรื่องปกติของสำนักบ่อนเบี้ย” จางอี้หมิงพัดพัดในมือเบาๆ“เราควรช่วยพวกเขาดีหรือไม่?”“รอให้เขาใกล้ตายก่อนค่อยออกไปช่วยก็ยังไม่สาย”ซ่งอินเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เพราะเหตุใด?”“วีรบุรุษย่อมเปิดเผยตัวเป็นคนสุดท้าย” จางอี้หมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ภายในห้องอาหารของจวนสกุลจาง ทุกคนในครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา จางส่วง ผู้เป็นบิดา นั่งอยู่หัวโต๊ะ ด้านข้างมี หลี่เอ้อเหมียว ภรรยาของเขาและเป็นมารดาเลี้ยงของ จางอี้หมิง ส่วน จางหลันซือ บุตรีของหลี่เอ้อเหมียว และ จางอี้หมิง พี่ชายต่างมารดา ก็นั่งร่วมโต๊ะพร้อมกันบรรยากาศเป็นไปอย่างสงบ ทุกคนเพลิดเพลินกับอาหารถูกจัดเตรียมมาอย่างดีจางอี้หมิงคีบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งอย่างใจเย็น และสูดกลิ่นหอมของอาหารเบาๆ ขณะที่หลี่เอ้อเหมียวรินน้ำชาให้สามีจางหลันซือที่เงียบมานานจ้องมองพี่ชายต่างมารดาของตน ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“พี่ใหญ่มีเรื่องใดสารภาพหรือไม่?”จางอี้หมิงชะงักมือที่กำลังคีบอาหาร ดวงตาคมเข้มเหลือบมองน้องสาวแล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจหลี่เอ้อเหมียววางกาน้ำชาลงแล้วหันมามองด้วยความสนใจ ขณะที่ จางส่วง ผู้เป็นบิดา ชะงักไปเพียงอึดใจ ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังแล้วกล่าวขึ้น“เจ้าไปทำนางคณิกาคนใดท้อง?”เสียงคำถามนั้นทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่พลันชะงักไปชั่วขณะ แม้แต่นางรับใช้ที่กำลังรินน้ำแกงยังเผลอมือสั่นเล็กน้อยจางอี้หมิงถอนหายใจแล้
“พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย! ไอ้โรคจิตนี่จะขืนใจข้า!”“หา!?” จางอี้หมิงขมวดคิ้วทันใดนั้น ซุนสีห่าวที่กำลังวิ่งมาตามมา ก็ชะงักฝีเท้ากะทันหัน เมื่อเห็น ใบหน้าของจางอี้หมิงจากนั้น เข่าทรุดลงแทบพื้น!“พี่เขย!!”“...”“ข้าเคยล่วงเกินท่าน โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิด!!!”จางอี้หมิงกระพริบตาสองสามที ก่อนจะหันไปมองน้องสาวที่ยังยืนหลบอยู่ด้านหลังเขา จากนั้นรีบคว้ามือจางหลันซือขึ้นรถม้า แล้วควบรถม้าออกไปทันที!!เมื่อรถม้ากลับมาถึง จวนสกุลจาง จางหลันซือถอดปิ่นปักผมออก ผมสยายกระทบแสงอาทิตย์งดงาม ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อจางอี้หมิงก้าวเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และเครื่องหอม ลอยอบอวลในอากาศ เทียนไขบนโต๊ะเล็กส่องแสงวูบไหวเป็นประกายอ่อนโยน เงาสะท้อนของเปลวไฟเต้นระยิบระยับบนผ้าม่านโปร่งบาง ราวกับกำลังเต้นรำอยู่ในค่ำคืนที่เงียบสงบกลางห้อง มีร่างของดรุณีสาวผู้หนึ่ง ในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ เนื้อผ้าบางเบาพริ้วไหวไปตามลมอ่อน ซงเอ๋อร์ สาวใช้คู่ใจและว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง หันกลับมามองเขาแววตาอ่อนโยนคู่นั้นเต็มไปด้วยความใส่ใจ แก้มของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ ราวกับกลีบดอกท้อแรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ“คุณชายฝึกซ้อมเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ?” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ข้าจัดเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้ท่านแล้ว”จางอี้หมิงยิ้มบางๆ สายตาคมคายทอดมองหญิงสาวตรงหน้า “เจ้าช่างดีเหลือเกิน” เขากล่าวเบาๆซงเอ๋อร์เดินเข้ามาใกล้ นางช่วยปลดเสื้อคลุมของเขาออกอย่างนุ่มนวล มือเรียวของนางสัมผัสโดนปลายแขนของเขาเพียงแผ่วเบาทว่ากลับทำให้หัวใจของจางอี้หมิงเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัวหลังจากปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกแล้ว เขาก้าวลงไปในอ่างไม้ขนาดใหญ่ ไอน้ำอุ่นโอบล้อมร่างกายช่างผ่อนคลา
เช้าของวันใหม่ วันนี้เป็นวันที่ต้องเดินทางกลับสำนักเทียนหยางเพื่อไปฝึกฝนวิชาต่อ เหล่าศิษย์ระดับล่างที่หยุดผักผ่อนด้านนอก จะต้องกลับไปยังสำนักความจริงแล้วแม้ว่าจางอี้หมิงจะเป็นศิษย์ระดับสูง แต่ก็ต้องปฏิบัติถามกฎนี้ด้วยเช่นกัน เว้นแต่ว่าจะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจด้านนอก ก็สามารถแวะพักผ่อนตามทางได้เช่นกัน ขอแค่ภารกิจไม่เสียหายอาจจะมีบางครั้งที่เขาหรือศิษย์แอบหนีเที่ยวออกมา ซึ่งทางสำนักก็หลับตาข้างเดียวอนุโลมให้ หากหลบมาเพียงแค่คืนเดียว เพราะเป็นที่รู้กันว่าเป็นการออกไปหาความสุขชั่วคราวเท่านั้นจางอี้หมิง และ หวงจื่อรั่ว ควบม้าคู่กันออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน สายลมยามเช้าพัดจางๆ เย็นสบายยิ่งนัก ท้องฟ้าสีครามสดใส อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การเดินทางทั้งสองคนควบม้าเคียงกัน จางอี้หมิงมีธัญพืชขบเคียวตลอดทาง ส่วนหวงจื่อรั่วรักษาท่าทีได้ดี จนกระทั่งออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน เมื่อถึงบริเวณเขตชั้นนอก พวกเขาพบ แม่นางหลินหนิง กำลังยืนรออยู่ข้างทาง หลินหนิงทักทายทั้งสองก่อนจะขี่ม้าเดินต
วันนี้เหล่าศิษย์ระดับศูนย์ ซึ่งเป็นระดับฐานของสำนักเทียนหยาง ต้องกลับสู่การฝึกฝนอีกครั้งจางอี้หมิงเดินผ่านประตูห้องเรียนเข้ามาด้วยท่าทางผ่อนคลาย สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับสองดรุณีงามหลินหนิงและหวงจื่อรั่ว สองสาวที่งามหยดย้อยในอาภรณ์ที่สะอาดตาแต่แนบเน้นรูปร่างพองาม สัดส่วนอ่อนช้อยของพวกนางช่างเย้ายวนจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง พลางโบกพัดในมือราวกับเป็นบัณฑิตเจ้าสำราญ แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาพวกนางอย่างไม่เร่งรีบทว่า ก่อนที่เขาจะไปถึงเป้าหมาย ชายหนุ่มสองคนก็ขวางทางไว้ คนหนึ่งแซ่หม่า อีกคนแซ่เจียง ทั้งสองเป็นสมุนของซุนสีห่าว บุตรชายของขุนนางใหญ่ แต่กลับเป็นคุณชายไม่เอาไหน ที่ฟ้าดินกลั่นแกล้งให้มาเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของน้องสาวจางอี้หมิงสมุนทั้งสองของซุนสีห่าวกอดอก ยืดอกทำท่าโอหัง ก่อนที่ผู้แซ่หม่าจะชี้นิ้วมาที่จางอี้หมิง“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” ผู้แซ่หม่ากล่าวเสียงดัง “วันนี้พวกข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าจากเหตุการณ์วันนั้น ที่เจ้าทำให้พวกข้าอับอายที่หน้าสำนักบ่อนเบี้ย!”จางอี้หมิงเหลือบตามองพวกเขาเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความเฉยเมย ก่อนจ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร
ท่ามกลางป่าทึบยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์หรือประกายดาว มีเพียงเสียงลมพัดเอื่อยๆ ราวกับเสียงกระซิบจากธรรมชาติเพียงเท่านั้นถัวเค่อชี ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เรือนผมยุ่งเหยิง เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจากร่องรอยการดิ้นรนทรมานจากฤทธิ์ยา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังแดงก่ำ ราวกับมีเปลวไฟกำลังเผาผลาญจากภายในความเจ็บปวดจากพิษของยาเสริมพลังที่ เชียนหวง มอบให้เขา ตอนนี้ค่อยๆ สลายไปแล้ว“ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า!”เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง ราวกับสายธารปราณที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเขาหลับตา โคจรลมปราณทั่วร่าง และสิ่งที่ค้นพบก็ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย“พลังของข้า... เพิ่มขึ้นแล้ว!”เขาเผยรอยยิ้มสะใจ ก่อนจะกระชากกระบี่ออกจากฝัก แสงเย็นเยียบสะท้อนจากใบกระบี่ เขารวบรวมพลังลงไปในคมดาบ จากนั้นฟาดมันออกไปเต็มแรงฉัวะ!เสียงกระบี่เฉือนอากาศดังก้อง ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เศษไม้ปลิวกระจายไปทั่ว
“หากพวกเจ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าสำนัก จงบอกที่ซ่อนของศิลาเฝิ่นเหิงมาเดี๋ยวนี้!”เสียงของเชียนหวงก้องกังวาน แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกบีบอัดจนหนักอึ้งลิ่วเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิลาเฝิ่นเหิง?”จางอี้หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเคยอ่านเจอในนิยาย ตำนานเซียนไท่ซวิน ไม่คิดว่าจะมีคนที่เชื่อว่าเป็นของจริงด้วย”ลิ่วเฉียงหันไปมองหน้าเชียนหวง ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ไปถามผู้เขียนนิยายสิ!”“หุบปาก!” เชียนหวงตะโกนลั่น ‘ปากแข็งหรือเบาปัญญาก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก!’ รังสีอำมหิตระเบิดออกมาจากร่าง พลังสีดำมืดหม่นหมุนวนไปรอบตัวเขา ราวกับเป็นพายุวิญญาณอาฆาต“เช่นนั้น ข้าคงต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดแล้วค่อยค้นหาด้วยตัวเอง!”ซ่าาา!พลังอาฆาตสีดำแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเชียนหวง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกร้าว เปลวพลังสีดำคุกรุ่นรอบตัวลิ่วเฉียงยังคงยืนสงบนิ่ง มองดูศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะหันไปถามเฉินเจิ้ง “แค่ระดับเจ็ด เจ้าสู้ไม่ได้รึ?”เฉินเจิ้งกำหมัดแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงเจ็บใจ “น่าอ
สายลมพัดเอื่อย สะบัดผ่านร่างของสองศิษย์พี่น้องที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ่านหวงและเฉินเจิ้งต่างจมอยู่ในสมาธิ โคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อรอบกายเต็มไปด้วยซากอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดิน เศษหิน เสียงลมหายใจของทั้งสองเริ่มกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงชั่วขณะ“ตรวจสอบหาผู้นำพวกมันได้หรือยัง?” เฉินเจิ้งถามเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังฟ่านหวงมองไปรอบๆ “ยัง”เฉินเจิ้งแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ระหว่างที่ข้ากำจัดพวกมัน เจ้าไม่ได้อู้ใช่หรือไม่?”ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “ศิษย์พี่เอ๋ย หากข้าตอบว่าใช่ ท่านจะทำอะไรข้า?”“เจ้ามันตัวบัดซบ กินแรงผู้อื่น!”เสียงหัวเราะของฟ่านหวงดังขึ้น ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำต่อไป บรรยากาศรอบกายพลันเย็นยะเยือกลงจนขนลุกชันวูบบบ!“ศิษย์พี่…ท่านหายเหนื่อยแล้วหรือยัง?”เฉินเจิ้งยืดเส้นยืดสาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็… 5… 4… 3… 2… 1…”วูบบบ!!!
ทางด้านลานกว้างหน้าหอเทียนหยางจางอี้หมิยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลานกว้างหน้าหอเทียนหยาง ท่ามกลางหมอกฝุ่นและเสียงคำรามของเหล่าอสูรดินเหนียว ดาบในมือของเขาเปื้อนเศษดินและคราบอสูร แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับกระชับแน่น แม้ไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ด้วยร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงและกระบวนท่าอันเฉียบคม เขาก็ยังคงยืนหยัดต้านศัตรูได้อย่างไม่ลดละเมื่ออสูรตนหนึ่งพุ่งเข้ามาทางด้านซ้าย จางอี้หมิงใช้แรงบิดเอว เหวี่ยงดาบออกไปเป็นแนวโค้งคมกริบ ปลายดาบฟันทะลุไหล่อสูรดินเหนียวเสียงดังฉึบ! เศษดินกระจายตัวออกเป็นฝุ่นสีดำ อสูรตัวนั้นเซถลาไปด้านหลังก่อนที่ร่างจะถูกแรงฟันฉีกออกเป็นสองซีก ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ! โฮกกก!!!!เสียงคำรามจากอสูรตัวอื่นดังก้อง มันพุ่งเข้ามารุมล้อมจากทุกทิศทาง จางอี้หมิงย่อกายลงเล็กน้อยก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้า ใช้ดาบแทงทะลุอกของตัวหนึ่ง จากนั้นดึงกลับแล้วฟาดดาบฟันเข้าที่คอของอีกตัว เศษดินและโคล
ศิษย์ระดับสามและศิษย์ระดับต่ำกว่านั้นบางกลุ่มก็ออกไปจัดการกับอสูรดินเหนียวในจุดต่างๆ ถัวเค่อชีเองก็เช่นกัน ที่มีหน้าที่จัดการกับเหล่าอสูรดินเหนียวที่บุกโจมตีสำนักจากนั้นถัวเค่อชีก็แยกตัวออกจากกลุ่มศิษย์ที่กำลังต่อสู้กับอสูรดินเหนียว โดยอ้างว่าจะจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียว ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเรียกหาอยู่กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาท ขณะที่ถัวเค่อชีเดินเข้าไปในเงามืดของป่า เสียงนั้นไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวของเขาเอง และไม่อาจสลัดเสียงเหล่านั้นออกไปจากร่างกายได้แม้แต่น้อยร่างกายของถัวเค่อชีเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกย่างก้าว จนกระทั่งเขามาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีเงาร่มครึ้มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นขึ้นมาจากกลางศีรษะ ทะลวงไปถึงไขสันหลัง ถัวเค่อชีทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมหัวแน่นราวกับจะป้องกันมิให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง ร่างกายสั่นสะท้านจากความทุกข์ทรมาน ดวงตาพร่าเลือน เหมือนมีเงามืดแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ“อ๊ากกก!!”ถัวเค่อชีส่งเสี
เจียงเยว่และหลี่เกอซินยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของหอเทียนหยาง สายลมพัดเอื่อย ผมยาวสลวยของทั้งคู่ปลิวไสวไปตามสายลมดวงตาของเจียงเยว่จับจ้องไปยังท้องฟ้า และพื้นเบื้องล่าง ที่มีกองทัพอสูรดินเหนียวเข้ามาไม่พักหลี่เกอซิน ศิษย์น้องผู้ชำนาญวิชาตรวจจับ ยืนนิ่งข้างๆ นางหลับตาลงเล็กน้อย ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ที่อารามทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีปัญหา ทำให้ม่านพลังป้องกันเกิดรอยรั่ว”“แล้วอย่างไร?”“พวกเราต้องไปซ่อมแซมจุดนั้นโดยด่วน เพียงแต่ทางด้านนั้นมีศัตรูเข้ามามากเกินไป ข้าเกรงว่าหากไปตอนนี้จะไม่ปลอดภัย”เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ นางคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “ก่อนอื่นต้องระงับศัตรูไม่ให้เข้ามาชั่วคราว แล้วค่อยเข้าไปซ่อมแซมม่านพลัง”“แล้วควรทำอย่างไรดีศิษย์พี่?”“เจ้ารอที่นี่ก่อน”เจียงเยว่เหลือบตามองลงไปด้านล่าง ราวกับกำลังมองหาบางคน ดวงตาของนางสะท้อนเงาร่างหนึ่งที่กำลังต่อสู้