Beranda / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 19 พิชิตยอดคณิกาสาว

Share

บทที่ 19 พิชิตยอดคณิกาสาว

“ใช่แล้ว อิ้นเอ๋อร์”

จางอี้หมิงกล่าวพร้อมซดสุราหมดจอกในคราเดียว

ฟ่านหวงตบโต๊ะเสียงดังจนแก้วสุราสั่นสะเทือน เสียงดังนั้นทำให้บรรยากาศในสำนักสังคีตหยุดชะงัก ดนตรีที่บรรเลงอย่างไพเราะก็พลันเงียบลง เหล่าคณิกาและบัณฑิตในห้องโถงต่างหันมามองฟ่านหวงด้วยความสงสัย

ฟ่านหวงรู้สึกตัวว่าตนเป็นต้นเหตุ จึงรีบหันกลับไปยังทุกคนพร้อมโบกมือพลางพูดเสียงดัง “ไม่มีอะไร! พวกท่านบรรเลงต่อไปเถิด!”

ฟ่านหวงยกสุราดื่มหมดจอกเป็นการขออภัย

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น บรรยากาศก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ดนตรีเริ่มบรรเลงต่อ เสียงพูดคุยและหัวเราะในโถงใหญ่กลับคืนมา

ฟ่านหวงหันกลับมาหาศิษย์น้องทั้งสองด้วยสีหน้าขุ่นเคือง เขากระซิบตำหนิทั้งคู่ว่า

“เจ้าทั้งสองนี่มีนามแฝงตั้งแต่เมื่อใดกัน! เหตุใดข้ากลับไม่มี! เช่นนี้มันยุติธรรมหรือไม่! ข้าดูเหมือนคนไร้ศักดิ์ศรีหรือไม่?"

จางอี้หมิง ลอบหัวเราะในใจ ศิษย์พี่ผู้นี้อ่อนหัดยิ่งนัก แม้แต่นามแฝงก็ยังต้องพึ่งพาคนอื่น แต่เขาไม่ได้แสดงความคิดนี้ออกมา เพียงยกจอกสุราขึ้นจิบพลางเอ่ยน้ำเสียงทุ้มอย่างสุขุมว่า

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะตั้งให้นามหนึ่ง ศิษย์พี่…ฟ่านเจิ้ง เป็นอย่างไร?"

ฟ่านหวงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มอย่างยินดี แต่ในขณะเดียวกันก็บ่นพึมพำเบาๆ “ฟ่านเจิ้ง... แม้ชื่อจะฟังดูมั่นคงดี แต่เหตุใดเจ้าต้องใช้คำว่า 'เจิ้ง' ซึ่งคล้ายกับนามของศิษย์พี่เฉินเจิ้งผู้นั้นด้วยเล่า”

ซ่งอิน ที่ฟังอยู่ก็หลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดกลั้วเสียงหัวเราะว่า “หรือท่านจะเจิ้งเดียวกับเจ้าสำนักดีเล่า!”

“ท่านอาจารย์เราชื่อกู่เจิ้ง ไม่ใช่เจิ้งอย่างเดียว เอาเถอะ บิดาจะใช้ชื่อตามใจพวกเจ้า”

“ข้าตั้งชื่อให้ท่าน ข้าต่างหากคือบิดา”

ฟ่านหวงมองหน้าจางอี้หมิงเล็กน้อย ก่อนวางเงินหนึ่งอีแปะให้ซ่งอิน “ทุบตีมัน!”

ซ่งอินหยิบเงินมาแล้วดื่มสุราต่อไม่สนใจอันใด

จางอี้หมิงเอนกายพิงพนักเก้าอี้ โบกพัดในมืออย่างสบายอารมณ์ ไม่สนใจท่าทีของศิษย์พี่และศิษย์น้อง

ท่าทางของเขาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและเย่อหยิ่งสมกับภาพลักษณ์บัณฑิตผู้สูงศักดิ์ ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองสาวงามที่เริงระบำอยู่กลางเวที พวกนางสวมอาภรณ์สีแดงบางเบาเผยให้เห็นเรือนร่างอันอ้อนแอ้น ลีลาร่ายรำที่พลิ้วไหวชวนให้ผู้ชมหลงใหล โดยเฉพาะสะโพกกลมกลึงที่เคลื่อนไหวไปตามจังหวะดนตรี

แม้บรรยากาศจะคึกคัก แต่ดวงตาของ ฟ่านหวง กลับจดจ่ออยู่ที่ชั้นสองของสำนักสังคีต เขาดื่มสุราถ้วยแล้วถ้วยเล่าอย่างกระวนกระวายใจ พร้อมบ่นพึมพำว่า “ทำไมแม่นางฉีเหอยังไม่ออกมาสักที!”

เวลาล่วงเลยไป ดาวเด่นแห่งสำนักสังคีตที่ทุกคนรอคอยก็ยังไม่ปรากฏตัว ทันใดนั้น เสียงบรรเลงดนตรีก็เปลี่ยนไป บานประตูชั้นสองค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นสตรีในชุดอาภรณ์สีขาวหรูหราอันงดงาม แม้ใบหน้าของนางจะถูกปิดบังด้วยผ้าคลุมหน้าบางเบา แต่ความงามของนางกลับเจิดจรัสจนผู้คนแทบกลั้นลมหายใจ

“แม่นางฉีเหอ…” เสียงกระซิบดังขึ้นทั่วโถงสำนักสังคีต

นางก้าวออกมาอย่างสง่างาม พร้อมเอ่ยเสียงหวานที่ดังกังวานไปทั่วโถง “คืนนี้ ขอเชิญทุกท่านร่วมดื่มสุรากับข้าเพื่อแบ่งปันความสุขในยามราตรีนี้”

ฟ่านหวง กำจอกสุราแน่นพลางกระซิบกับจางอี้หมิงและซ่งอินด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ว่าจะต้องจ่ายเท่าใด ข้าจะต้องหลับนอนกับแม่นางฉีเหอให้ได้ในคืนนี้!”

จางอี้หมิงกลอกตา แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงโบกพัดเบาๆ พลางจิบสุรา

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เสียงดนตรีค่อยๆ เงียบลง ประตูชั้นสองปิดลงอีกครั้ง เหล่าผู้ชมที่ยังคงหลงใหลในมนตร์เสน่ห์ของแม่นางฉีเหอต่างถอนหายใจด้วยความเสียดาย

ทันใดนั้น สาวใช้ในชุดผ้าเรียบหรูคนหนึ่งเดินตรงมายังโต๊ะของจางอี้หมิง ฟ่านหวง และซ่งอิน นางก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มนวล “แม่นางฉีเหอเรียนเชิญคุณชายเสี่ยวจาง”

คำพูดนั้นทำให้ทั้งโต๊ะนิ่งงันไปชั่วครู่ ฟ่านหวง เบิกตากว้างพลางเอ่ยด้วยความตกตะลึง “จางอี้หมิง!? ทำไมเป็นเจ้าได้เล่า!?”

จางอี้หมิงลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม ก่อนจะโบกพัดปิด พลางตบบ่าฟ่านหวงเบาๆ “ศิษย์พี่ คืนนี้ผู้ชนะคงหนีไม่พ้นตัวข้า ขอตัวก่อนนะ”

เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะก้าวตามสาวใช้นางนั้นขึ้นไปยังชั้นสอง ทิ้งฟ่านหวงที่นั่งตัวแข็งพร้อมแววตาอิจฉาอย่างสุดจะกล่าว

“ศิษย์พี่ นางคณิกาคนอื่นยังมี ข้าขอเงินหน่อย”

ฟ่านหวงหยิบเงินให้แก่ซ่งอินแล้วกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่ยอมเสียเที่ยวเช่นกัน”

จางอี้หมิง เอนกายพิงพนักเก้าอี้ในห้องรับรองชั้นสอง มือหนึ่งถือจอกน้ำชาที่เขาจิบอย่างใจเย็น สายตาคมปล่อยวาง แต่หัวใจกลับเต้นแรงเมื่อกลิ่นหอมของบุปผาลอยมาพร้อมกับเงาร่างของหญิงงามในอาภรณ์สีขาว

แม่นางฉีเหอ ยอดคณิกาสาวดาวเด่นประจำสำนัก ก้าวออกมาจากหลังม่านอย่างงดงาม อาภรณ์สีขาวบางเบาของนางเผยให้เห็นเรือนร่างด้านในอย่างเลือนราง ทุกการเคลื่อนไหวของนางราวกับผีเสื้อโบยบิน มาพร้อมกลิ่นกายที่หอมละมุนจนทำให้บรรยากาศในห้องชวนลุ่มหลง

จางอี้หมิงกลืนน้ำลายอึกหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของเขาจดจ้องไปที่นางราวกับต้องมนตร์

แม่นางฉีเหอเดินมาหยุดตรงหน้าเขา มือเรียวงามของนางรินน้ำชาลงจอกของเขา กลิ่นชาหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วห้อง

จางอี้หมิงกำลังจะเอื้อมมือไปรับจอก แต่ แม่นางฉีเหอ กลับนั่งลงบนตักของเขาอย่างอ่อนโยน ใบหน้าของนางอยู่ใกล้เพียงลมหายใจพาดผ่าน นางยิ้มหวานก่อนจะยกจอกน้ำชานั้นขึ้นป้อนใส่ริมฝีปากเขาเบาๆ

“ครั้งก่อนท่านเป็นนักรบที่ปราบโจรภูเขา” นางกล่าวเสียงหวาน แต่ในแววตากลับแฝงความฉลาดล้ำลึก “แต่ครั้งนี้กลับมาในคราบบัณฑิตผู้สูงส่ง... ตกลงแล้ว ท่านเป็นอะไรกันแน่?”

จางอี้หมิง ยิ้มมุมปาก เขาวางพัดลงกับโต๊ะช้าๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าเป็นคนที่จะพาเจ้าไปขึ้นสวรรค์”

แม่นางฉีเหอหัวเราะเสียงหวาน นิ้วเรียวของนางแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากของเขา “ปากหวานเช่นนี้ ทำได้อย่างที่พูดจริงหรือ?”

แม่นางฉีเหอเอียงใบหน้าเข้ามาใกล้ พลางเอ่ยเบาๆ ข้างหูของเขา “ถ้าเช่นนั้น ท่านพร้อมหรือไม่ที่จะทำให้ข้าขึ้นสวรรค์?”

จากนั้นจางอี้หมิงก็อุ้มแม่นางฉีเหอไปที่เตียงอย่างช้าๆ แล้วปฏิบัติภารกิจกันอย่างงดงาม

ทว่า…ลมปราณภายในร่างกายของจางอี้หมิงกลับมีปฏิกิริยาอย่างประหลาด นี่ไม่ใช่การปรับลมปราณเข้าสู่จุดสมดุลแต่อย่างใด แต่คล้ายว่าลมปราณที่เคยติดขัดสร้างความยากลำบากในการโคจรพลังได้คลายออกบ้างพอสมควร

จางอี้หมิง ลืมตาขึ้นในยามรุ่งเช้า สัมผัสได้ถึงร่างบางที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา แม่นางฉีเหอ หลับใหลอย่างสงบภายใต้อาภรณ์ที่หลุดรุ่ย ใบหน้าที่งดงามของนางยังคงเปล่งประกายแม้ในยามหลับ

สายลมอ่อนๆ จากหน้าต่างแตะหน้าจางอี้หมิงเบาๆ เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ในใจก็อยากจะต่อเวลาอยู่ตรงนี้อีกสักหน่อย แต่เมื่อแสงแดดลอดผ่านหน้าต่าง เขาก็รู้ว่าต้องกลับไปที่ สำนักเทียนหยาง เพื่อเข้าฝึกฝน

ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงอย่างแผ่วเบา ไม่ให้รบกวนแม่นางฉีเหอ เขาแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมองกลับไปที่ร่างงามบนเตียงด้วยรอยยิ้มบางๆ “สวรรค์ที่ข้ามอบให้ ยังมีได้มากกว่านี้อีก” เขาพึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้อง

ที่ด้านหน้าของชั้นสองสำนักสังคีต อาหารเช้าเรียบง่ายรออยู่บนโต๊ะ จางอี้หมิงนั่งทานอย่างรวดเร็ว สายตาสอดส่องไปทางประตูทางออก เมื่อทุกอย่างพร้อม เขาก็ออกเดินทางจากสำนักสังคีต

เมื่อเดินออกมาที่ลานหน้า ฟ่านหวง และ ซ่งอิน ยืนรอเขาอยู่ ทั้งสองคนดูผ่อนคลายเป็นพิเศษ ท่าทางเหมือนผ่านค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความสุข

“ศิษย์พี่ เสร็จธุระแล้วหรือ?” ซ่งอิน เอ่ยพลางยิ้มแหยๆ

ฟ่านหวง ตบไหล่จางอี้หมิงเบาๆ พลางหัวเราะเสียงดัง “ดูเจ้าสิ ศิษย์น้องของข้า ผู้ชนะตัวจริงกลับออกมาพร้อมกับแสงอรุณ เจ้าใช้เวลาคุ้มค่าดีจริงๆ”

จางอี้หมิงโบกพัดในมือเบาๆ ท่าทางสง่างามและเต็มไปด้วยความมั่นใจ “เรื่องธรรมดา”

ซ่งอิน หัวเราะเบาๆ “แล้วตอนนี้พวกเรากลับกันได้หรือยัง? หากพวกเราไม่รีบกลับไป ข้าเกรงว่าผู้เข้าร่วมฝึกตนกับศิษย์ระดับศูนย์จะถูกลงโทษ”

ซ่งอินหันมามองจางอี้หมิงเบาๆ

ฟ่านหวง โบกมือด้วยความสบายใจ “มีปราณอัศนีของข้าอยู่ พวกเจ้าจะกังวลอันใด”

ทั้งสามคนก้าวจับมือกันไว้ ฟ่านหวงใช้ปราณอัศนีเร่งความเร็ว พุ่งทะยานออกจาก สำนักสังคีต มุ่งหน้ากลับสู่ สำนักเทียนหยาง ทันที

เมื่อมาถึงสำนักเทียนหยาง จางอี้หมิงรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกเดินทางจากสู่ห้องเรียน ทันใดนั้นเองศิษย์พี่เจียงเยว่คนงามก็เดินมาที่เรือนหลังน้อยของเขาด้วยสีหน้าที่อ่อนล้า แต่สายตากลับแฝงความอำมหิต

“เมื่อคืนข้าแค่ไร้เรี่ยวแรงไปจัดการพวกเจ้า ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าหนีไปทำสิ่งใด”

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terkait

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 20 เสียงบางอย่างจากแดนสวรรค์

    บ้าเอ้ย! โดนจับได้แล้ว หึ! แต่…“ศิษย์พี่หญิง ท่านอย่าได้กล่าวหาเลื่อนลอยไร้หลักฐาน”เจียงเยว่ ไม่ตอบโต้ทันที นางก้าวเข้ามาพร้อมด้วยใบหน้าที่ดูไร้เรี่ยวแรงกับหน้าอกอันอวบอิ่มคู่นั้น นางขยับตัวเข้ามาใกล้ แล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น“นี่ไม่ใช่กลิ่นเครื่องหอมที่มีในสำนักเทียนหยาง แต่เป็นกลิ่นเฉพาะของสำนักส

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-08
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 21 คลังอาวุธเปิดออก

    วิชาบรรยายของถัวเค่อชีดำเนินไปอย่างน่าเบื่อ จางอี้หมิงนั่งมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย ครุ่นคิดในใจว่า “ปฏิกิริยาของลมปราณขณะที่ข้าบรรเลงเพลงราคะกับแม่นางฉีเหอคืออะไร”นี่เป็นการปรับสมดุลงั้นหรือ ไม่สิ! ไม่ถูกต้อง! ตอนนี้ลมปราณภายในของข้ายังไม่สมดุลแต่แม่นางฉีเหอเป็นนางคณิกาในสำนักสังคีต จะเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ได้อย่างไร

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-09
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 22 ทวนเหยียนหลง

    เสียงของ ซุนสีห่าว ดังก้องไปทั่วบริเวณ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งผยองเหล่าศิษย์หน้าใหม่ที่ยืนอยู่ต่างหันมามองอย่างสนใจ บางคนแอบกระซิบกระซาบถึงความกล้าของเขา ขณะที่บางคนลอบหัวเราะเบาๆ กับท่าทางที่โอ้อวดโฮ่วเมี่ยน ศิษย์พี่ใหญ่ผู้ดูแลคลังอาวุธ หัวเราะดังออกมา เสียงหัวเราะของเขาดังก้องจนทุกคนหยุดพูดคุยและหันไปมอง โฮ่วเมี่ยนก้าวเข้ามาใกล้ซุนสีห่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูมีเลศนัย

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-10
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 23 ข้านี่แหละท่านต้าหมิง

    เมื่อ จางอี้หมิง อุ้มหวงจื่อรั่ว มาถึงหน่วยแพทย์ ศิษย์ของหน่วยแพทย์ ต่างรีบพานางเข้าไปยังด้านในเพื่อทำการดูแลอย่างเร่งด่วนเมื่อถึงเตียง จางอี้หมิงค่อยๆ วางหวงจื่อรั่วลงด้วยความระมัดระวัง แต่ขณะที่เขากำลังจะปล่อยตัวนางลง แขนของหวงจื่อรั่วกลับกอดคอเขาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยจางอี้หมิงเหลือบมองใบหน้าของนางที่ซีดเซียว แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความงามที่เปล่งประกายแม้ในยามหมดสติ ในใจเขาคิดอย่างขบขัน “หากเจ้าไม่ได้บาดเจ็บ ข้าก็ยินดีให้เจ้ากอดไว้ไม่ปล่อย”ในตอนนั้นเอง หลินหนิง ที่เดินตามมาด้วยความเป็นห่วง รีบเข้ามาช่วยดึงแขนของหวงจื่อรั่วออกจากคอของจางอี้หมิง นางจัดท่าทางให้หวงจื่อรั่วนอนราบลงบนเตียงอย่างเรียบร้อยแม้ตอนนี้สีหน้าของนางจะซีดเผือก แต่ทว่าก็มิอาจกลบกั้นความงามของนางได้แม้แต่น้อย ยากนักที่จางอี้หมิงจะละสายตา ออกจากนางได้แม่นางผิงกั๋ว ศิษย์หญิงผู้มีตำแหน่งประจำหน่วยแพทย์ เดินเข้ามาตรวจดูอาการ ก่อนจะเงยหน้ามองจางอี้หมิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-11
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 24 ห่อยานั้นคืออะไร

    จางอี้หมิงก้าวออกจากประตูห้องพักฟื้นของหวงจื่อรั่ว ที่ด้านนอก มีแม่นางผิงกั๋ว ศิษย์แห่งหน่วยแพทย์กำลังรออยู่ นางประสานมือคารวะพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ศิษย์พี่ฟางหรงกำชับไว้ว่า ท่านต้องแช่ตัวในอ่างยาทุกเจ็ดวันเพื่อฟื้นฟูร่างกาย และนี่ก็ถึงเวลาแล้ว”ที่หน่วยแพทย์แห่งนี้ ผู้ที่เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ที่สุดก็คือศิษย์พี่ฟางหรง และนางก็เป็นหัวหน้ากับผู้ฝึกสอน ให้แก่ศิษย์ในหน่วยแพทย์เหล่านี้ด้วยจางอี้หมิง เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนถามกลับด้วยท่าทีสบายๆ“ข้าต้องแช่ที่นี่หรือกลับไปแช่ที่บ้าน?”“ตามที่ศิษย์พี่สะดวก”จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดอย่างขบขัน “หากข้าแช่ที่นี่ จะมีศิษย์สาวๆ มาคอยบีบนวดให้ข้าหรือไม่?”ผิงกั๋ว มองหน้าเขานิ่งๆ ก่อนตอบอย่างจริงจัง“ไม่มีเจ้าค่ะ”น่าเสียดายยิ่งนัก!แม่นางผิงกํ่วนั้นเป็นดรุณีสาวที่มีใบหน้างดงาม แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับแม่นางหลินหนิงก็นับว่าด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับแม่นางหวงจื่อรั่ว ก็นับว่าด้อยกว่าแบบพลิกฝ่ามือแต่หากเปรียบความงามระหว่างแม่นางหวงจื่อรั่วกับศิษย์พี่ฟางหรง ในสายตาข

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-12
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 25 ฝึกขี่อาวุธ

    ในยามเย็น ลมเย็นพัดโชยไปทั่วลานฝึกด้านหลังบ้านพัก จางอี้หมิง ยืนถือดาบเล่มหนึ่งไว้ในมือ เขาหลับตาลง สูดลมหายใจลึก แล้วเริ่มโคจรลมปราณในร่างกายแบบย้อนกลับ การไหลเวียนพลังปราณครั้งนี้ราบรื่นและง่ายดายกว่าครั้งก่อนๆ “ปฏิกิริยาจากการหลับนอนกับแม่นางฉีเหอหรือนี่ รู้แบบนี้ข้าควรทำให้นางมีจิตคิดลึกซึ้งต่อข้ามากกว่านี้ การคืนสู่สมดุลลมปราณก็คงไม่ยากนัก” เขาพึมพำเมื่อโคจรลมปราณได้ระดับนึง จางอี้หมิงจึงค่อยๆ วางดาบลงกับพื้น เขาปลดปล่อยพลังปราณลงในดาบ ดาบเล่มนั้นเริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือพื้นดินดาบเล่มนี้สะท้อนแสงรางๆ จางอี้หมิงก้าวขึ้นไปยืนบนดาบอย่างมั่นคง ท่าทางของเขาแสดงถึงความชำนาญ แม้จะไม่ได้ขี่ดาบมานาน แต่ร่างกายยังจดจำวิธีทรงตัวบนดาบได้ดี “น่าจะไปได้สวย”

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-13
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 26 คืนก่อนกลับบ้าน

    ยันต์กลายเป็นตาข่ายพลังสีทองผืนใหญ่ที่รับร่างของหลินหนิงไว้ก่อนที่นางจะตกถึงพื้น ตาข่ายช่วยลดแรงกระแทกจนหลินหนิงไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงทันทีที่หวงจื่อรั่วรีบวิ่งเข้าไปช่วยประคองหลินหนิงอย่างปลอดภัยหลินหนิงที่ยังตกใจอยู่เงยหน้ามองจางอี้หมิงด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง แต่ก่อนที่นางจะเอ่ยคำใดออกมา ร่างของจางอี้หมิงก็เซไปเล็กน้อย ก่อนจะกระอักโลหิตออกมาการโคจรพลังของข้าเกินขีดจำกัด น่าขายหน้ายิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะยันต์พวกนี้ข้าเขียนไว้ก่อนสิ้นพลัง คงไม่เป็นเช่นนี้ พลังดั้งเดิมข้าแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ "ศิษย์พี่!" หลินหนิงร้องออกมาด้วยความตกใจหวงจื่อรั่วและหลินหนิงรีบวิ่งเข้าไปหาจางอี้หมิง นางทั้งสองช่วยประคองเขาที่กำลังจะล้มลงพื้นไว้ทันพอดีถัวเค่อชีโบกมือให้ทั้งสองประคองจางอี้หมิงไปหน่วยแพทย์ตามหน้าที่ แม้ในใจจะคิดขึ้นว่า “ถึงอย่างไรก็มีข้อจำกัดสินะ”หน่วยแพทย์จางอี้หมิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สัมผัสแรกที่เขารู้สึกคือความหนักอึ้งของร่า

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-14
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 27 กลับจวนสกุลจาง

    เช้าวันใหม่ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบไปทั่วลานหน้าบ้านพักจางอี้หมิงลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา แต่งตัวใหม่ดูดี จากนั้น จางอี้หมิงเดินออกมาด้วยท่าทีผ่อนคลาย ดวงตาของเขาสะท้อนภาพของสตรีสองนางที่ยืนรออยู่หลินหนิง สตรีร่างเล็ก หน้าตาน่ารัก เอวคอดกิ่ว มีส่วนเว้าโค้งที่พอดี ชวนให้ดูอ่อนหวานและสดใสส่วนหวงจื่อรั่วแม้จะแต่งกายคล้ายบุรุษ มีทวนยาวสะพายอยู่บนหลัง แต่ความงดงามของนางก็โดดเด่นราวกับเทพธิดา ยากนักที่จะหยุดมองได้จางอี้หมิงเผยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวว่า “เดินทางกันเถอะ”ทั้งสามต่างขึ้นม้าของตน แล้วควบออกจากสำนักเทียนหยาง ระหว่างทางที่สายลมพัดผ่านไล้ผิวเบาๆ จางอี้หมิงหันไปทางหลินหนิง พลางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “เจ้าเรียกข้าว่า ‘เสี่ยวอี้’ เหมือนเดิมเถอะ ศิษย์น้องของข้ามีมากพอแล้ว”หลินหนิงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ดวงตาเป็นประกาย แล้วกล่าวตอบ

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-15

Bab terbaru

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 44 กระแสทวนแห่งฟ้า

    ทางด้านลานกว้างหน้าหอเทียนหยางจางอี้หมิยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลานกว้างหน้าหอเทียนหยาง ท่ามกลางหมอกฝุ่นและเสียงคำรามของเหล่าอสูรดินเหนียว ดาบในมือของเขาเปื้อนเศษดินและคราบอสูร แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับกระชับแน่น แม้ไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ด้วยร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงและกระบวนท่าอันเฉียบคม เขาก็ยังคงยืนหยัดต้านศัตรูได้อย่างไม่ลดละเมื่ออสูรตนหนึ่งพุ่งเข้ามาทางด้านซ้าย จางอี้หมิงใช้แรงบิดเอว เหวี่ยงดาบออกไปเป็นแนวโค้งคมกริบ ปลายดาบฟันทะลุไหล่อสูรดินเหนียวเสียงดังฉึบ! เศษดินกระจายตัวออกเป็นฝุ่นสีดำ อสูรตัวนั้นเซถลาไปด้านหลังก่อนที่ร่างจะถูกแรงฟันฉีกออกเป็นสองซีก ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ! โฮกกก!!!!เสียงคำรามจากอสูรตัวอื่นดังก้อง มันพุ่งเข้ามารุมล้อมจากทุกทิศทาง จางอี้หมิงย่อกายลงเล็กน้อยก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้า ใช้ดาบแทงทะลุอกของตัวหนึ่ง จากนั้นดึงกลับแล้วฟาดดาบฟันเข้าที่คอของอีกตัว เศษดินและโคล

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 43 ซ่อมม่านพลังป้องกัน

    ศิษย์ระดับสามและศิษย์ระดับต่ำกว่านั้นบางกลุ่มก็ออกไปจัดการกับอสูรดินเหนียวในจุดต่างๆ ถัวเค่อชีเองก็เช่นกัน ที่มีหน้าที่จัดการกับเหล่าอสูรดินเหนียวที่บุกโจมตีสำนักจากนั้นถัวเค่อชีก็แยกตัวออกจากกลุ่มศิษย์ที่กำลังต่อสู้กับอสูรดินเหนียว โดยอ้างว่าจะจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียว ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเรียกหาอยู่กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาท ขณะที่ถัวเค่อชีเดินเข้าไปในเงามืดของป่า เสียงนั้นไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวของเขาเอง และไม่อาจสลัดเสียงเหล่านั้นออกไปจากร่างกายได้แม้แต่น้อยร่างกายของถัวเค่อชีเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกย่างก้าว จนกระทั่งเขามาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีเงาร่มครึ้มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นขึ้นมาจากกลางศีรษะ ทะลวงไปถึงไขสันหลัง ถัวเค่อชีทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมหัวแน่นราวกับจะป้องกันมิให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง ร่างกายสั่นสะท้านจากความทุกข์ทรมาน ดวงตาพร่าเลือน เหมือนมีเงามืดแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ“อ๊ากกก!!”ถัวเค่อชีส่งเสี

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 42 เสริมม่านพลัง

    เจียงเยว่และหลี่เกอซินยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของหอเทียนหยาง สายลมพัดเอื่อย ผมยาวสลวยของทั้งคู่ปลิวไสวไปตามสายลมดวงตาของเจียงเยว่จับจ้องไปยังท้องฟ้า และพื้นเบื้องล่าง ที่มีกองทัพอสูรดินเหนียวเข้ามาไม่พักหลี่เกอซิน ศิษย์น้องผู้ชำนาญวิชาตรวจจับ ยืนนิ่งข้างๆ นางหลับตาลงเล็กน้อย ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ที่อารามทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีปัญหา ทำให้ม่านพลังป้องกันเกิดรอยรั่ว”“แล้วอย่างไร?”“พวกเราต้องไปซ่อมแซมจุดนั้นโดยด่วน เพียงแต่ทางด้านนั้นมีศัตรูเข้ามามากเกินไป ข้าเกรงว่าหากไปตอนนี้จะไม่ปลอดภัย”เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ นางคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “ก่อนอื่นต้องระงับศัตรูไม่ให้เข้ามาชั่วคราว แล้วค่อยเข้าไปซ่อมแซมม่านพลัง”“แล้วควรทำอย่างไรดีศิษย์พี่?”“เจ้ารอที่นี่ก่อน”เจียงเยว่เหลือบตามองลงไปด้านล่าง ราวกับกำลังมองหาบางคน ดวงตาของนางสะท้อนเงาร่างหนึ่งที่กำลังต่อสู้

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 41 จากสายฟ้าลงสู่ผืนดิน

    เหนือฟากฟ้ากลางเวหาทางด้านฟ่านหวงยืนหยัดอยู่กลางเวหา มือถือกระบี่สายฟ้าที่เปล่งประกายแสงสีฟ้าสว่างไสว สายฟ้าสีครามแผ่พุ่งออกมาจากกระบี่ แปรเปลี่ยนเป็นประกายสายฟ้าฟาดลงมาอย่างดุดันเบื้องหน้าของเขา มีอสูรดินเหนียวจำนวนมากที่รวมตัวกันเป็นกองทัพ มันสูงใหญ่และแข็งแกร่ง ร่างกายของมันถูกปั้นขึ้นมาจากดินเหนียวสีเทาเข้ม สายตาของมันแดงก่ำ ราวกับเปลวไฟที่ลุกโชนด้วยความเกรี้ยวกราด“กระบี่สายฟ้าพิฆาต!” ฟ่านหวงตวาดเสียงดังกึกก้อง พร้อมกับยกกระบี่ขึ้นเหนือศีรษะ ลมปราณมหาศาลไหลเวียนไปทั่วร่างของเขาเปรี้ยง!สายฟ้าสีครามฟาดเปรี้ยงลงมา ฟาดผ่าร่างของอสูรดินเหนียวจนกระเด็นกระดอน เศษดินกระจายออกไปทั่วอากาศประกายสายฟ้าสีครามสว่างจ้า แสงสีฟ้าพลุ่งพล่านราวกับคลื่นพายุ ฟ่านหวงเหวี่ยงกระบี่ออกไปอย่างรุนแรง ฟาดใส่ศัตรูตัวแล้วตัวเล่าสายฟ้าขนาดมหึมาพุ่งออกจากกระบี่ ฟาดผ่าลงมากลางกองทัพอสูรดินเหนียว เสียงระเบิดดังกึกก้อง แผ่นดินสั่นสะเทือน เศษดินกระจายกระเด็นไปทั่วทุกสารทิศคลื่นพลังระเบิดออกเป็นวงกว้าง เผาไหม้อสูรดินเหนียวให้แตกกระจายกลายเป็นผุยผง เศษด

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 40 เตรียมตัวสำหรับการรบ

    สายลมเย็นพัดผ่านยอดไม้ใหญ่ กิ่งไม้เสียดสีกันดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดบนก้านต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน ร่างสตรีปริศนาผู้หนึ่งยืนอยู่ นางสวมชุดคลุมสีเทาหม่น สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าสายตาของนางจ้องมองไปยังที่ตั้งของสำนักเทียนหยาง ราวกับกำลังเฝ้ารอเวลาอะไรบางอย่าง“เป็นอย่างไรบ้าง?”เสียงแหบห้าวดังขึ้นจากด้านหลังร่างชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทา สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเช่นกัน เขาก้าวเข้ามาใกล้อย่างเงียบงันสตรีในชุดคลุมไม่หันกลับมา นางเอ่ยเสียงเย็นชา“ข้าใส่จิตวิญญาณมารให้แก่ศิษย์คนนึงในสำนักเทียนหยางแล้ว ตอนนี้... ม่านพลังป้องกันมีรอยรั่วเล็กน้อย หน้าที่ของข้ามีเพียงเท่านี้”นางเหลือบตามองชายผู้นั้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว เชียนหวง”“อย่าทำให้เจ้าตำหนักพิโรธอีกรอบล่ะ”ดวงตาภายใต้หน้ากากของเชียนหวงเป็นประกายวาวโรจน์ เขายกคางขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งผยองทะนงตน “เรื่องนั้นไม่ต้องให้เจ้ามาสอน”“แน่ใจใช่ไหมว่าศิลาเฝิ่นเหิงอยู่ในสำนักเทียนหยาง?” เชียนหวงเอ่ยถาม น

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 39 สอนการบินให้สาวงาม

    แสงอรุณแรกสาดส่องผ่านบานหน้าต่าง ลำแสงสีทองกระทบใบหน้าของจางอี้หมิง เขาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย แต่เมื่อขยับตัวจึงพบว่า…“พื้นหน้าประตูบ้าน... ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้?”เขากวาดสายตามองรอบๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้ ศิษย์พี่เจียงเยว่ บุกมายึดเตียงของเขาและบังคับให้เขานอนเฝ้าประตูแทน“ช่างไร้น้ำใจเสียจริง! แย่งที่นอนข้าแล้วยังไม่คิดจะปลุกกันบ้างเลย”จางอี้หมิงบ่นอุบอิบพร้อมทั้งลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เส้นผมยุ่งเหยิง เขาขยี้ตาเบาๆ แล้วหันไปมองเตียงนอน…เตียงว่างเปล่า ไม่มีเงาของศิษย์พี่เจียงเยว่“ไว้วันหนึ่งท่านร่วมเตียงกับข้าเมื่อไหร่ ข้าจะปลุกขึ้นมาเสพสุขแต่เช้า”แม้จะบ่น แต่ใบหน้าของจางอี้หมิงกลับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อยจากนั้น จางอี้หมิงก็จัดการตัวเอง ล้างหน้า แปรงฟัน และเปลี่ยนชุดเรียบร้อย จางอี้หมิงเดินทอดน่องไปยังลานฝึกเบื้องล่างของสำนักวันนี้ก็เหมือนทุกวัน ไม่มีอันใดพิเศษเขาเข้าร่วมชั้นเรียนอย่างขอไปที ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ยังคงแสร้งทำเป็นตั้งใจต่อหน้าผู้สอนระหว่างพักการฝึก…

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 38 ปลดม่านพลังป้องกัน

    กริ๊ง!กริ๊ง!กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังขึ้น ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัด ถัวเค่อชีสะดุ้งตื่น ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เป็นเพราะแรงบางอย่างที่กำลังเรียกหาเขาวาบ!แสงสีม่วงสว่างวาบขึ้นตรงกลางหน้าผากของถัวเค่อชีลูกตาดำของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นราวกับวิญญาณไร้ชีวิต ก่อนจะค่อยๆ กลับคืนสู่สีดำ เสียงกระดิ่งยังคงดังต่อเนื่อง ดังก้องเข้าไปในห้วงจิตใจของเขากริ๊ง!อึก...!ถัวเค่อชีขบกรามแน่น พยายามดึงสติกลับคืนมา เขากุมศีรษะ ใช้กำปั้นทุบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ออกไป! ข้าไม่ต้องการเจ้า!”ถัวเค่อชียังคงทุกข์ทรมาน แต่แล้ว…เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเขา“จงลืมตาขึ้น... ความแข็งแกร่งที่แท้จริงกำลังรอเจ้าอยู่…”ดวงตาของถัวเค่อชีสั่นไหว มือของเขาสั่นระริก เสียงกระดิ่งยังคงดังไม่หยุด“เจ้าจำไม่ได้เหรอ... ว่าจางอี้หมิงน่าแค้นใจเพียงไร?”ทันใดนั้น ภาพแห่งความทรงจำในอดีตก็ไหลทะลักเข้ามาในหัวของเขาสิบปีก่อน…เด็กชายวัยสิบขวบเดินทางมาย

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 37 ความฝันและความสุขของจางอี้หมิง

    จางอี้หมิงเดินทางมาถึงบ้านของศิษย์พี่เฉินเจิ้ง บ้านของเฉินเจิ้งเต็มไปด้วยเศษโลหะกระจัดกระจายทั่วบริเวณ บางชิ้นเป็นแผ่นเหล็ก บางชิ้นเป็นเศษดาบที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และบางชิ้นก็เป็นเพียงเศษเหล็กที่ขึ้นสนิมไปแล้ว ที่หน้าบ้านมีเตาหลอมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ เปลวไฟที่มอดลงไปแล้วทำให้รู้ว่าเฉินเจิ้งคงเพิ่งทำงานเสร็จไม่นานจางอี้หมิงมองสภาพบ้านแล้วอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “เพ่ย! ศิษย์พี่เฉินเจิ้ง ช่างโสโครกยิ่งนัก!”ทันใดนั้น เสียงจากในบ้านก็ดังขึ้นมาทันที “เจ้าพูดอะไรข้าได้ยินนะ!”จางอี้หมิงยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าตั้งใจให้ท่านได้ยิน” แล้วเดินเข้าไปในบ้านภายในบ้านรกไม่แพ้ด้านนอก หากแต่สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในนี้ไม่ใช่เศษโลหะ แต่เป็นกองหนังสือที่กองระเกะระกะจนแทบไม่มีทางเดิน พื้นบางส่วนมีรอยหมึกเปรอะเปื้อน บางจุดมีม้วนตำราวางซ้อนกันจนสูงท่วมหัวเฉินเจิ้งคือผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ค้อนและหลอมโลหะ แถมยังเป็นผู้ชำนาญการอ่านตำราตอนกลางวันเขามักหมกมุ่นอยู่กับเตาหลอมโลหะ ส่วนกลางคืนจะหมกมุ่นอยู่กับตำราในบ้านจางอี้หมิงลัดเ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 36 กลับเข้าสู่การฝึกตน

    วันนี้เหล่าศิษย์ระดับศูนย์ ซึ่งเป็นระดับฐานของสำนักเทียนหยาง ต้องกลับสู่การฝึกฝนอีกครั้งจางอี้หมิงเดินผ่านประตูห้องเรียนเข้ามาด้วยท่าทางผ่อนคลาย สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับสองดรุณีงามหลินหนิงและหวงจื่อรั่ว สองสาวที่งามหยดย้อยในอาภรณ์ที่สะอาดตาแต่แนบเน้นรูปร่างพองาม สัดส่วนอ่อนช้อยของพวกนางช่างเย้ายวนจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง พลางโบกพัดในมือราวกับเป็นบัณฑิตเจ้าสำราญ แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาพวกนางอย่างไม่เร่งรีบทว่า ก่อนที่เขาจะไปถึงเป้าหมาย ชายหนุ่มสองคนก็ขวางทางไว้ คนหนึ่งแซ่หม่า อีกคนแซ่เจียง ทั้งสองเป็นสมุนของซุนสีห่าว บุตรชายของขุนนางใหญ่ แต่กลับเป็นคุณชายไม่เอาไหน ที่ฟ้าดินกลั่นแกล้งให้มาเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของน้องสาวจางอี้หมิงสมุนทั้งสองของซุนสีห่าวกอดอก ยืดอกทำท่าโอหัง ก่อนที่ผู้แซ่หม่าจะชี้นิ้วมาที่จางอี้หมิง“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” ผู้แซ่หม่ากล่าวเสียงดัง “วันนี้พวกข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าจากเหตุการณ์วันนั้น ที่เจ้าทำให้พวกข้าอับอายที่หน้าสำนักบ่อนเบี้ย!”จางอี้หมิงเหลือบตามองพวกเขาเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความเฉยเมย ก่อนจ

Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status