“ใช่แล้ว อิ้นเอ๋อร์”
จางอี้หมิงกล่าวพร้อมซดสุราหมดจอกในคราเดียว
ฟ่านหวงตบโต๊ะเสียงดังจนแก้วสุราสั่นสะเทือน เสียงดังนั้นทำให้บรรยากาศในสำนักสังคีตหยุดชะงัก ดนตรีที่บรรเลงอย่างไพเราะก็พลันเงียบลง เหล่าคณิกาและบัณฑิตในห้องโถงต่างหันมามองฟ่านหวงด้วยความสงสัย
ฟ่านหวงรู้สึกตัวว่าตนเป็นต้นเหตุ จึงรีบหันกลับไปยังทุกคนพร้อมโบกมือพลางพูดเสียงดัง “ไม่มีอะไร! พวกท่านบรรเลงต่อไปเถิด!”
ฟ่านหวงยกสุราดื่มหมดจอกเป็นการขออภัย
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น บรรยากาศก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ดนตรีเริ่มบรรเลงต่อ เสียงพูดคุยและหัวเราะในโถงใหญ่กลับคืนมา
ฟ่านหวงหันกลับมาหาศิษย์น้องทั้งสองด้วยสีหน้าขุ่นเคือง เขากระซิบตำหนิทั้งคู่ว่า
“เจ้าทั้งสองนี่มีนามแฝงตั้งแต่เมื่อใดกัน! เหตุใดข้ากลับไม่มี! เช่นนี้มันยุติธรรมหรือไม่! ข้าดูเหมือนคนไร้ศักดิ์ศรีหรือไม่?"
จางอี้หมิง ลอบหัวเราะในใจ ศิษย์พี่ผู้นี้อ่อนหัดยิ่งนัก แม้แต่นามแฝงก็ยังต้องพึ่งพาคนอื่น แต่เขาไม่ได้แสดงความคิดนี้ออกมา เพียงยกจอกสุราขึ้นจิบพลางเอ่ยน้ำเสียงทุ้มอย่างสุขุมว่า
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะตั้งให้นามหนึ่ง ศิษย์พี่…ฟ่านเจิ้ง เป็นอย่างไร?"
ฟ่านหวงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มอย่างยินดี แต่ในขณะเดียวกันก็บ่นพึมพำเบาๆ “ฟ่านเจิ้ง... แม้ชื่อจะฟังดูมั่นคงดี แต่เหตุใดเจ้าต้องใช้คำว่า 'เจิ้ง' ซึ่งคล้ายกับนามของศิษย์พี่เฉินเจิ้งผู้นั้นด้วยเล่า”
ซ่งอิน ที่ฟังอยู่ก็หลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดกลั้วเสียงหัวเราะว่า “หรือท่านจะเจิ้งเดียวกับเจ้าสำนักดีเล่า!”
“ท่านอาจารย์เราชื่อกู่เจิ้ง ไม่ใช่เจิ้งอย่างเดียว เอาเถอะ บิดาจะใช้ชื่อตามใจพวกเจ้า”
“ข้าตั้งชื่อให้ท่าน ข้าต่างหากคือบิดา”
ฟ่านหวงมองหน้าจางอี้หมิงเล็กน้อย ก่อนวางเงินหนึ่งอีแปะให้ซ่งอิน “ทุบตีมัน!”
ซ่งอินหยิบเงินมาแล้วดื่มสุราต่อไม่สนใจอันใด
จางอี้หมิงเอนกายพิงพนักเก้าอี้ โบกพัดในมืออย่างสบายอารมณ์ ไม่สนใจท่าทีของศิษย์พี่และศิษย์น้อง
ท่าทางของเขาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและเย่อหยิ่งสมกับภาพลักษณ์บัณฑิตผู้สูงศักดิ์ ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองสาวงามที่เริงระบำอยู่กลางเวที พวกนางสวมอาภรณ์สีแดงบางเบาเผยให้เห็นเรือนร่างอันอ้อนแอ้น ลีลาร่ายรำที่พลิ้วไหวชวนให้ผู้ชมหลงใหล โดยเฉพาะสะโพกกลมกลึงที่เคลื่อนไหวไปตามจังหวะดนตรี
แม้บรรยากาศจะคึกคัก แต่ดวงตาของ ฟ่านหวง กลับจดจ่ออยู่ที่ชั้นสองของสำนักสังคีต เขาดื่มสุราถ้วยแล้วถ้วยเล่าอย่างกระวนกระวายใจ พร้อมบ่นพึมพำว่า “ทำไมแม่นางฉีเหอยังไม่ออกมาสักที!”
เวลาล่วงเลยไป ดาวเด่นแห่งสำนักสังคีตที่ทุกคนรอคอยก็ยังไม่ปรากฏตัว ทันใดนั้น เสียงบรรเลงดนตรีก็เปลี่ยนไป บานประตูชั้นสองค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นสตรีในชุดอาภรณ์สีขาวหรูหราอันงดงาม แม้ใบหน้าของนางจะถูกปิดบังด้วยผ้าคลุมหน้าบางเบา แต่ความงามของนางกลับเจิดจรัสจนผู้คนแทบกลั้นลมหายใจ
“แม่นางฉีเหอ…” เสียงกระซิบดังขึ้นทั่วโถงสำนักสังคีต
นางก้าวออกมาอย่างสง่างาม พร้อมเอ่ยเสียงหวานที่ดังกังวานไปทั่วโถง “คืนนี้ ขอเชิญทุกท่านร่วมดื่มสุรากับข้าเพื่อแบ่งปันความสุขในยามราตรีนี้”
ฟ่านหวง กำจอกสุราแน่นพลางกระซิบกับจางอี้หมิงและซ่งอินด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ว่าจะต้องจ่ายเท่าใด ข้าจะต้องหลับนอนกับแม่นางฉีเหอให้ได้ในคืนนี้!”
จางอี้หมิงกลอกตา แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงโบกพัดเบาๆ พลางจิบสุรา
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เสียงดนตรีค่อยๆ เงียบลง ประตูชั้นสองปิดลงอีกครั้ง เหล่าผู้ชมที่ยังคงหลงใหลในมนตร์เสน่ห์ของแม่นางฉีเหอต่างถอนหายใจด้วยความเสียดาย
ทันใดนั้น สาวใช้ในชุดผ้าเรียบหรูคนหนึ่งเดินตรงมายังโต๊ะของจางอี้หมิง ฟ่านหวง และซ่งอิน นางก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มนวล “แม่นางฉีเหอเรียนเชิญคุณชายเสี่ยวจาง”
คำพูดนั้นทำให้ทั้งโต๊ะนิ่งงันไปชั่วครู่ ฟ่านหวง เบิกตากว้างพลางเอ่ยด้วยความตกตะลึง “จางอี้หมิง!? ทำไมเป็นเจ้าได้เล่า!?”
จางอี้หมิงลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม ก่อนจะโบกพัดปิด พลางตบบ่าฟ่านหวงเบาๆ “ศิษย์พี่ คืนนี้ผู้ชนะคงหนีไม่พ้นตัวข้า ขอตัวก่อนนะ”
เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะก้าวตามสาวใช้นางนั้นขึ้นไปยังชั้นสอง ทิ้งฟ่านหวงที่นั่งตัวแข็งพร้อมแววตาอิจฉาอย่างสุดจะกล่าว
“ศิษย์พี่ นางคณิกาคนอื่นยังมี ข้าขอเงินหน่อย”
ฟ่านหวงหยิบเงินให้แก่ซ่งอินแล้วกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่ยอมเสียเที่ยวเช่นกัน”
จางอี้หมิง เอนกายพิงพนักเก้าอี้ในห้องรับรองชั้นสอง มือหนึ่งถือจอกน้ำชาที่เขาจิบอย่างใจเย็น สายตาคมปล่อยวาง แต่หัวใจกลับเต้นแรงเมื่อกลิ่นหอมของบุปผาลอยมาพร้อมกับเงาร่างของหญิงงามในอาภรณ์สีขาว
แม่นางฉีเหอ ยอดคณิกาสาวดาวเด่นประจำสำนัก ก้าวออกมาจากหลังม่านอย่างงดงาม อาภรณ์สีขาวบางเบาของนางเผยให้เห็นเรือนร่างด้านในอย่างเลือนราง ทุกการเคลื่อนไหวของนางราวกับผีเสื้อโบยบิน มาพร้อมกลิ่นกายที่หอมละมุนจนทำให้บรรยากาศในห้องชวนลุ่มหลง
จางอี้หมิงกลืนน้ำลายอึกหนึ่งโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของเขาจดจ้องไปที่นางราวกับต้องมนตร์
แม่นางฉีเหอเดินมาหยุดตรงหน้าเขา มือเรียวงามของนางรินน้ำชาลงจอกของเขา กลิ่นชาหอมกรุ่นอบอวลไปทั่วห้อง
จางอี้หมิงกำลังจะเอื้อมมือไปรับจอก แต่ แม่นางฉีเหอ กลับนั่งลงบนตักของเขาอย่างอ่อนโยน ใบหน้าของนางอยู่ใกล้เพียงลมหายใจพาดผ่าน นางยิ้มหวานก่อนจะยกจอกน้ำชานั้นขึ้นป้อนใส่ริมฝีปากเขาเบาๆ
“ครั้งก่อนท่านเป็นนักรบที่ปราบโจรภูเขา” นางกล่าวเสียงหวาน แต่ในแววตากลับแฝงความฉลาดล้ำลึก “แต่ครั้งนี้กลับมาในคราบบัณฑิตผู้สูงส่ง... ตกลงแล้ว ท่านเป็นอะไรกันแน่?”
จางอี้หมิง ยิ้มมุมปาก เขาวางพัดลงกับโต๊ะช้าๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าเป็นคนที่จะพาเจ้าไปขึ้นสวรรค์”
แม่นางฉีเหอหัวเราะเสียงหวาน นิ้วเรียวของนางแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากของเขา “ปากหวานเช่นนี้ ทำได้อย่างที่พูดจริงหรือ?”
แม่นางฉีเหอเอียงใบหน้าเข้ามาใกล้ พลางเอ่ยเบาๆ ข้างหูของเขา “ถ้าเช่นนั้น ท่านพร้อมหรือไม่ที่จะทำให้ข้าขึ้นสวรรค์?”
จากนั้นจางอี้หมิงก็อุ้มแม่นางฉีเหอไปที่เตียงอย่างช้าๆ แล้วปฏิบัติภารกิจกันอย่างงดงาม
ทว่า…ลมปราณภายในร่างกายของจางอี้หมิงกลับมีปฏิกิริยาอย่างประหลาด นี่ไม่ใช่การปรับลมปราณเข้าสู่จุดสมดุลแต่อย่างใด แต่คล้ายว่าลมปราณที่เคยติดขัดสร้างความยากลำบากในการโคจรพลังได้คลายออกบ้างพอสมควร
จางอี้หมิง ลืมตาขึ้นในยามรุ่งเช้า สัมผัสได้ถึงร่างบางที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา แม่นางฉีเหอ หลับใหลอย่างสงบภายใต้อาภรณ์ที่หลุดรุ่ย ใบหน้าที่งดงามของนางยังคงเปล่งประกายแม้ในยามหลับ
สายลมอ่อนๆ จากหน้าต่างแตะหน้าจางอี้หมิงเบาๆ เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ในใจก็อยากจะต่อเวลาอยู่ตรงนี้อีกสักหน่อย แต่เมื่อแสงแดดลอดผ่านหน้าต่าง เขาก็รู้ว่าต้องกลับไปที่ สำนักเทียนหยาง เพื่อเข้าฝึกฝน
ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงอย่างแผ่วเบา ไม่ให้รบกวนแม่นางฉีเหอ เขาแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมองกลับไปที่ร่างงามบนเตียงด้วยรอยยิ้มบางๆ “สวรรค์ที่ข้ามอบให้ ยังมีได้มากกว่านี้อีก” เขาพึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้อง
ที่ด้านหน้าของชั้นสองสำนักสังคีต อาหารเช้าเรียบง่ายรออยู่บนโต๊ะ จางอี้หมิงนั่งทานอย่างรวดเร็ว สายตาสอดส่องไปทางประตูทางออก เมื่อทุกอย่างพร้อม เขาก็ออกเดินทางจากสำนักสังคีต
เมื่อเดินออกมาที่ลานหน้า ฟ่านหวง และ ซ่งอิน ยืนรอเขาอยู่ ทั้งสองคนดูผ่อนคลายเป็นพิเศษ ท่าทางเหมือนผ่านค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความสุข
“ศิษย์พี่ เสร็จธุระแล้วหรือ?” ซ่งอิน เอ่ยพลางยิ้มแหยๆ
ฟ่านหวง ตบไหล่จางอี้หมิงเบาๆ พลางหัวเราะเสียงดัง “ดูเจ้าสิ ศิษย์น้องของข้า ผู้ชนะตัวจริงกลับออกมาพร้อมกับแสงอรุณ เจ้าใช้เวลาคุ้มค่าดีจริงๆ”
จางอี้หมิงโบกพัดในมือเบาๆ ท่าทางสง่างามและเต็มไปด้วยความมั่นใจ “เรื่องธรรมดา”
ซ่งอิน หัวเราะเบาๆ “แล้วตอนนี้พวกเรากลับกันได้หรือยัง? หากพวกเราไม่รีบกลับไป ข้าเกรงว่าผู้เข้าร่วมฝึกตนกับศิษย์ระดับศูนย์จะถูกลงโทษ”
ซ่งอินหันมามองจางอี้หมิงเบาๆ
ฟ่านหวง โบกมือด้วยความสบายใจ “มีปราณอัศนีของข้าอยู่ พวกเจ้าจะกังวลอันใด”
ทั้งสามคนก้าวจับมือกันไว้ ฟ่านหวงใช้ปราณอัศนีเร่งความเร็ว พุ่งทะยานออกจาก สำนักสังคีต มุ่งหน้ากลับสู่ สำนักเทียนหยาง ทันที
เมื่อมาถึงสำนักเทียนหยาง จางอี้หมิงรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกเดินทางจากสู่ห้องเรียน ทันใดนั้นเองศิษย์พี่เจียงเยว่คนงามก็เดินมาที่เรือนหลังน้อยของเขาด้วยสีหน้าที่อ่อนล้า แต่สายตากลับแฝงความอำมหิต
“เมื่อคืนข้าแค่ไร้เรี่ยวแรงไปจัดการพวกเจ้า ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าหนีไปทำสิ่งใด”
บ้าเอ้ย! โดนจับได้แล้ว หึ! แต่…“ศิษย์พี่หญิง ท่านอย่าได้กล่าวหาเลื่อนลอยไร้หลักฐาน”เจียงเยว่ ไม่ตอบโต้ทันที นางก้าวเข้ามาพร้อมด้วยใบหน้าที่ดูไร้เรี่ยวแรงกับหน้าอกอันอวบอิ่มคู่นั้น นางขยับตัวเข้ามาใกล้ แล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น“นี่ไม่ใช่กลิ่นเครื่องหอมที่มีในสำนักเทียนหยาง แต่เป็นกลิ่นเฉพาะของสำนักส
วิชาบรรยายของถัวเค่อชีดำเนินไปอย่างน่าเบื่อ จางอี้หมิงนั่งมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย ครุ่นคิดในใจว่า “ปฏิกิริยาของลมปราณขณะที่ข้าบรรเลงเพลงราคะกับแม่นางฉีเหอคืออะไร”นี่เป็นการปรับสมดุลงั้นหรือ ไม่สิ! ไม่ถูกต้อง! ตอนนี้ลมปราณภายในของข้ายังไม่สมดุลแต่แม่นางฉีเหอเป็นนางคณิกาในสำนักสังคีต จะเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ได้อย่างไร
เสียงของ ซุนสีห่าว ดังก้องไปทั่วบริเวณ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งผยองเหล่าศิษย์หน้าใหม่ที่ยืนอยู่ต่างหันมามองอย่างสนใจ บางคนแอบกระซิบกระซาบถึงความกล้าของเขา ขณะที่บางคนลอบหัวเราะเบาๆ กับท่าทางที่โอ้อวดโฮ่วเมี่ยน ศิษย์พี่ใหญ่ผู้ดูแลคลังอาวุธ หัวเราะดังออกมา เสียงหัวเราะของเขาดังก้องจนทุกคนหยุดพูดคุยและหันไปมอง โฮ่วเมี่ยนก้าวเข้ามาใกล้ซุนสีห่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูมีเลศนัย
เมื่อ จางอี้หมิง อุ้มหวงจื่อรั่ว มาถึงหน่วยแพทย์ ศิษย์ของหน่วยแพทย์ ต่างรีบพานางเข้าไปยังด้านในเพื่อทำการดูแลอย่างเร่งด่วนเมื่อถึงเตียง จางอี้หมิงค่อยๆ วางหวงจื่อรั่วลงด้วยความระมัดระวัง แต่ขณะที่เขากำลังจะปล่อยตัวนางลง แขนของหวงจื่อรั่วกลับกอดคอเขาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยจางอี้หมิงเหลือบมองใบหน้าของนางที่ซีดเซียว แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความงามที่เปล่งประกายแม้ในยามหมดสติ ในใจเขาคิดอย่างขบขัน “หากเจ้าไม่ได้บาดเจ็บ ข้าก็ยินดีให้เจ้ากอดไว้ไม่ปล่อย”ในตอนนั้นเอง หลินหนิง ที่เดินตามมาด้วยความเป็นห่วง รีบเข้ามาช่วยดึงแขนของหวงจื่อรั่วออกจากคอของจางอี้หมิง นางจัดท่าทางให้หวงจื่อรั่วนอนราบลงบนเตียงอย่างเรียบร้อยแม้ตอนนี้สีหน้าของนางจะซีดเผือก แต่ทว่าก็มิอาจกลบกั้นความงามของนางได้แม้แต่น้อย ยากนักที่จางอี้หมิงจะละสายตา ออกจากนางได้แม่นางผิงกั๋ว ศิษย์หญิงผู้มีตำแหน่งประจำหน่วยแพทย์ เดินเข้ามาตรวจดูอาการ ก่อนจะเงยหน้ามองจางอี้หมิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
จางอี้หมิงก้าวออกจากประตูห้องพักฟื้นของหวงจื่อรั่ว ที่ด้านนอก มีแม่นางผิงกั๋ว ศิษย์แห่งหน่วยแพทย์กำลังรออยู่ นางประสานมือคารวะพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ศิษย์พี่ฟางหรงกำชับไว้ว่า ท่านต้องแช่ตัวในอ่างยาทุกเจ็ดวันเพื่อฟื้นฟูร่างกาย และนี่ก็ถึงเวลาแล้ว”ที่หน่วยแพทย์แห่งนี้ ผู้ที่เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ที่สุดก็คือศิษย์พี่ฟางหรง และนางก็เป็นหัวหน้ากับผู้ฝึกสอน ให้แก่ศิษย์ในหน่วยแพทย์เหล่านี้ด้วยจางอี้หมิง เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนถามกลับด้วยท่าทีสบายๆ“ข้าต้องแช่ที่นี่หรือกลับไปแช่ที่บ้าน?”“ตามที่ศิษย์พี่สะดวก”จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดอย่างขบขัน “หากข้าแช่ที่นี่ จะมีศิษย์สาวๆ มาคอยบีบนวดให้ข้าหรือไม่?”ผิงกั๋ว มองหน้าเขานิ่งๆ ก่อนตอบอย่างจริงจัง“ไม่มีเจ้าค่ะ”น่าเสียดายยิ่งนัก!แม่นางผิงกํ่วนั้นเป็นดรุณีสาวที่มีใบหน้างดงาม แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับแม่นางหลินหนิงก็นับว่าด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับแม่นางหวงจื่อรั่ว ก็นับว่าด้อยกว่าแบบพลิกฝ่ามือแต่หากเปรียบความงามระหว่างแม่นางหวงจื่อรั่วกับศิษย์พี่ฟางหรง ในสายตาข
ในยามเย็น ลมเย็นพัดโชยไปทั่วลานฝึกด้านหลังบ้านพัก จางอี้หมิง ยืนถือดาบเล่มหนึ่งไว้ในมือ เขาหลับตาลง สูดลมหายใจลึก แล้วเริ่มโคจรลมปราณในร่างกายแบบย้อนกลับ การไหลเวียนพลังปราณครั้งนี้ราบรื่นและง่ายดายกว่าครั้งก่อนๆ “ปฏิกิริยาจากการหลับนอนกับแม่นางฉีเหอหรือนี่ รู้แบบนี้ข้าควรทำให้นางมีจิตคิดลึกซึ้งต่อข้ามากกว่านี้ การคืนสู่สมดุลลมปราณก็คงไม่ยากนัก” เขาพึมพำเมื่อโคจรลมปราณได้ระดับนึง จางอี้หมิงจึงค่อยๆ วางดาบลงกับพื้น เขาปลดปล่อยพลังปราณลงในดาบ ดาบเล่มนั้นเริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือพื้นดินดาบเล่มนี้สะท้อนแสงรางๆ จางอี้หมิงก้าวขึ้นไปยืนบนดาบอย่างมั่นคง ท่าทางของเขาแสดงถึงความชำนาญ แม้จะไม่ได้ขี่ดาบมานาน แต่ร่างกายยังจดจำวิธีทรงตัวบนดาบได้ดี “น่าจะไปได้สวย”
ยันต์กลายเป็นตาข่ายพลังสีทองผืนใหญ่ที่รับร่างของหลินหนิงไว้ก่อนที่นางจะตกถึงพื้น ตาข่ายช่วยลดแรงกระแทกจนหลินหนิงไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงทันทีที่หวงจื่อรั่วรีบวิ่งเข้าไปช่วยประคองหลินหนิงอย่างปลอดภัยหลินหนิงที่ยังตกใจอยู่เงยหน้ามองจางอี้หมิงด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง แต่ก่อนที่นางจะเอ่ยคำใดออกมา ร่างของจางอี้หมิงก็เซไปเล็กน้อย ก่อนจะกระอักโลหิตออกมาการโคจรพลังของข้าเกินขีดจำกัด น่าขายหน้ายิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะยันต์พวกนี้ข้าเขียนไว้ก่อนสิ้นพลัง คงไม่เป็นเช่นนี้ พลังดั้งเดิมข้าแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ "ศิษย์พี่!" หลินหนิงร้องออกมาด้วยความตกใจหวงจื่อรั่วและหลินหนิงรีบวิ่งเข้าไปหาจางอี้หมิง นางทั้งสองช่วยประคองเขาที่กำลังจะล้มลงพื้นไว้ทันพอดีถัวเค่อชีโบกมือให้ทั้งสองประคองจางอี้หมิงไปหน่วยแพทย์ตามหน้าที่ แม้ในใจจะคิดขึ้นว่า “ถึงอย่างไรก็มีข้อจำกัดสินะ”หน่วยแพทย์จางอี้หมิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สัมผัสแรกที่เขารู้สึกคือความหนักอึ้งของร่า
เช้าวันใหม่ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบไปทั่วลานหน้าบ้านพักจางอี้หมิงลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา แต่งตัวใหม่ดูดี จากนั้น จางอี้หมิงเดินออกมาด้วยท่าทีผ่อนคลาย ดวงตาของเขาสะท้อนภาพของสตรีสองนางที่ยืนรออยู่หลินหนิง สตรีร่างเล็ก หน้าตาน่ารัก เอวคอดกิ่ว มีส่วนเว้าโค้งที่พอดี ชวนให้ดูอ่อนหวานและสดใสส่วนหวงจื่อรั่วแม้จะแต่งกายคล้ายบุรุษ มีทวนยาวสะพายอยู่บนหลัง แต่ความงดงามของนางก็โดดเด่นราวกับเทพธิดา ยากนักที่จะหยุดมองได้จางอี้หมิงเผยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวว่า “เดินทางกันเถอะ”ทั้งสามต่างขึ้นม้าของตน แล้วควบออกจากสำนักเทียนหยาง ระหว่างทางที่สายลมพัดผ่านไล้ผิวเบาๆ จางอี้หมิงหันไปทางหลินหนิง พลางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “เจ้าเรียกข้าว่า ‘เสี่ยวอี้’ เหมือนเดิมเถอะ ศิษย์น้องของข้ามีมากพอแล้ว”หลินหนิงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะเบาๆ ดวงตาเป็นประกาย แล้วกล่าวตอบ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร
ท่ามกลางป่าทึบยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์หรือประกายดาว มีเพียงเสียงลมพัดเอื่อยๆ ราวกับเสียงกระซิบจากธรรมชาติเพียงเท่านั้นถัวเค่อชี ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เรือนผมยุ่งเหยิง เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจากร่องรอยการดิ้นรนทรมานจากฤทธิ์ยา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังแดงก่ำ ราวกับมีเปลวไฟกำลังเผาผลาญจากภายในความเจ็บปวดจากพิษของยาเสริมพลังที่ เชียนหวง มอบให้เขา ตอนนี้ค่อยๆ สลายไปแล้ว“ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า!”เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง ราวกับสายธารปราณที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเขาหลับตา โคจรลมปราณทั่วร่าง และสิ่งที่ค้นพบก็ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย“พลังของข้า... เพิ่มขึ้นแล้ว!”เขาเผยรอยยิ้มสะใจ ก่อนจะกระชากกระบี่ออกจากฝัก แสงเย็นเยียบสะท้อนจากใบกระบี่ เขารวบรวมพลังลงไปในคมดาบ จากนั้นฟาดมันออกไปเต็มแรงฉัวะ!เสียงกระบี่เฉือนอากาศดังก้อง ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เศษไม้ปลิวกระจายไปทั่ว
“หากพวกเจ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าสำนัก จงบอกที่ซ่อนของศิลาเฝิ่นเหิงมาเดี๋ยวนี้!”เสียงของเชียนหวงก้องกังวาน แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกบีบอัดจนหนักอึ้งลิ่วเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิลาเฝิ่นเหิง?”จางอี้หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเคยอ่านเจอในนิยาย ตำนานเซียนไท่ซวิน ไม่คิดว่าจะมีคนที่เชื่อว่าเป็นของจริงด้วย”ลิ่วเฉียงหันไปมองหน้าเชียนหวง ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ไปถามผู้เขียนนิยายสิ!”“หุบปาก!” เชียนหวงตะโกนลั่น ‘ปากแข็งหรือเบาปัญญาก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก!’ รังสีอำมหิตระเบิดออกมาจากร่าง พลังสีดำมืดหม่นหมุนวนไปรอบตัวเขา ราวกับเป็นพายุวิญญาณอาฆาต“เช่นนั้น ข้าคงต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดแล้วค่อยค้นหาด้วยตัวเอง!”ซ่าาา!พลังอาฆาตสีดำแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเชียนหวง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกร้าว เปลวพลังสีดำคุกรุ่นรอบตัวลิ่วเฉียงยังคงยืนสงบนิ่ง มองดูศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะหันไปถามเฉินเจิ้ง “แค่ระดับเจ็ด เจ้าสู้ไม่ได้รึ?”เฉินเจิ้งกำหมัดแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงเจ็บใจ “น่าอ
สายลมพัดเอื่อย สะบัดผ่านร่างของสองศิษย์พี่น้องที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ่านหวงและเฉินเจิ้งต่างจมอยู่ในสมาธิ โคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อรอบกายเต็มไปด้วยซากอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดิน เศษหิน เสียงลมหายใจของทั้งสองเริ่มกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงชั่วขณะ“ตรวจสอบหาผู้นำพวกมันได้หรือยัง?” เฉินเจิ้งถามเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังฟ่านหวงมองไปรอบๆ “ยัง”เฉินเจิ้งแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ระหว่างที่ข้ากำจัดพวกมัน เจ้าไม่ได้อู้ใช่หรือไม่?”ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “ศิษย์พี่เอ๋ย หากข้าตอบว่าใช่ ท่านจะทำอะไรข้า?”“เจ้ามันตัวบัดซบ กินแรงผู้อื่น!”เสียงหัวเราะของฟ่านหวงดังขึ้น ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำต่อไป บรรยากาศรอบกายพลันเย็นยะเยือกลงจนขนลุกชันวูบบบ!“ศิษย์พี่…ท่านหายเหนื่อยแล้วหรือยัง?”เฉินเจิ้งยืดเส้นยืดสาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็… 5… 4… 3… 2… 1…”วูบบบ!!!
ทางด้านลานกว้างหน้าหอเทียนหยางจางอี้หมิยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลานกว้างหน้าหอเทียนหยาง ท่ามกลางหมอกฝุ่นและเสียงคำรามของเหล่าอสูรดินเหนียว ดาบในมือของเขาเปื้อนเศษดินและคราบอสูร แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับกระชับแน่น แม้ไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ด้วยร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงและกระบวนท่าอันเฉียบคม เขาก็ยังคงยืนหยัดต้านศัตรูได้อย่างไม่ลดละเมื่ออสูรตนหนึ่งพุ่งเข้ามาทางด้านซ้าย จางอี้หมิงใช้แรงบิดเอว เหวี่ยงดาบออกไปเป็นแนวโค้งคมกริบ ปลายดาบฟันทะลุไหล่อสูรดินเหนียวเสียงดังฉึบ! เศษดินกระจายตัวออกเป็นฝุ่นสีดำ อสูรตัวนั้นเซถลาไปด้านหลังก่อนที่ร่างจะถูกแรงฟันฉีกออกเป็นสองซีก ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ! โฮกกก!!!!เสียงคำรามจากอสูรตัวอื่นดังก้อง มันพุ่งเข้ามารุมล้อมจากทุกทิศทาง จางอี้หมิงย่อกายลงเล็กน้อยก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้า ใช้ดาบแทงทะลุอกของตัวหนึ่ง จากนั้นดึงกลับแล้วฟาดดาบฟันเข้าที่คอของอีกตัว เศษดินและโคล
ศิษย์ระดับสามและศิษย์ระดับต่ำกว่านั้นบางกลุ่มก็ออกไปจัดการกับอสูรดินเหนียวในจุดต่างๆ ถัวเค่อชีเองก็เช่นกัน ที่มีหน้าที่จัดการกับเหล่าอสูรดินเหนียวที่บุกโจมตีสำนักจากนั้นถัวเค่อชีก็แยกตัวออกจากกลุ่มศิษย์ที่กำลังต่อสู้กับอสูรดินเหนียว โดยอ้างว่าจะจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียว ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเรียกหาอยู่กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาท ขณะที่ถัวเค่อชีเดินเข้าไปในเงามืดของป่า เสียงนั้นไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวของเขาเอง และไม่อาจสลัดเสียงเหล่านั้นออกไปจากร่างกายได้แม้แต่น้อยร่างกายของถัวเค่อชีเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกย่างก้าว จนกระทั่งเขามาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีเงาร่มครึ้มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นขึ้นมาจากกลางศีรษะ ทะลวงไปถึงไขสันหลัง ถัวเค่อชีทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมหัวแน่นราวกับจะป้องกันมิให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง ร่างกายสั่นสะท้านจากความทุกข์ทรมาน ดวงตาพร่าเลือน เหมือนมีเงามืดแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ“อ๊ากกก!!”ถัวเค่อชีส่งเสี
เจียงเยว่และหลี่เกอซินยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของหอเทียนหยาง สายลมพัดเอื่อย ผมยาวสลวยของทั้งคู่ปลิวไสวไปตามสายลมดวงตาของเจียงเยว่จับจ้องไปยังท้องฟ้า และพื้นเบื้องล่าง ที่มีกองทัพอสูรดินเหนียวเข้ามาไม่พักหลี่เกอซิน ศิษย์น้องผู้ชำนาญวิชาตรวจจับ ยืนนิ่งข้างๆ นางหลับตาลงเล็กน้อย ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ที่อารามทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีปัญหา ทำให้ม่านพลังป้องกันเกิดรอยรั่ว”“แล้วอย่างไร?”“พวกเราต้องไปซ่อมแซมจุดนั้นโดยด่วน เพียงแต่ทางด้านนั้นมีศัตรูเข้ามามากเกินไป ข้าเกรงว่าหากไปตอนนี้จะไม่ปลอดภัย”เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ นางคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “ก่อนอื่นต้องระงับศัตรูไม่ให้เข้ามาชั่วคราว แล้วค่อยเข้าไปซ่อมแซมม่านพลัง”“แล้วควรทำอย่างไรดีศิษย์พี่?”“เจ้ารอที่นี่ก่อน”เจียงเยว่เหลือบตามองลงไปด้านล่าง ราวกับกำลังมองหาบางคน ดวงตาของนางสะท้อนเงาร่างหนึ่งที่กำลังต่อสู้