หลังจากการฝึกฝนเสร็จสิ้น ศิษย์ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับไปยังเรือนพักของตน หลินหนิงและหวงจื่อรั่ว เดินกลับเรือนของพวกนางด้วยความเหน็ดเหนื่อย
เมื่อถึงเรือนพัก หลินหนิง ทิ้งร่างอันบอบบางลงบนเตียงนุ่มอย่างหมดแรง นางเอนตัวพลางบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“วันนี้ช่างเหนื่อยยิ่งนัก...”
หวงจื่อรั่ว ที่นั่งลงบนเตียงอีกฟากหนึ่งอย่างสำรวมและสง่างาม แม้จะแต่งกายคล้ายชายหนุ่ม แต่รูปร่างของนางยังคงเผยความเป็นสตรีด้วยแผ่นอกที่ดูเด่นสะดุดตา นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ
“เจ้าช่างเรียนรู้ได้ไวยิ่งนัก น่าชื่นชม”
หลินหนิง พลิกตัวมองไปทางหวงจื่อรั่วแล้วเผยรอยยิ้มบาง
“ข้าไม่ได้เก่งอะไรหรอก เพียงแต่…ตัวข้าตั้งใจมาเป็นผู้ฝึกตน เพราะอยากให้ครอบครัวของข้าอยู่สุขสบายขึ้น เลยตั้งใจมากเป็นพิเศษเท่านั้น”
หวงจื่อรั่ว พยักหน้าเบาๆ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ
“เป็นเช่นนั้นเองหรือ…”
หลินหนิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปถามหวงจื่อรั่วด้วยความสงสัย
“แล้วเจ้าล่ะจื่อรั่ว เหตุใดจึงมาเป็นผู้ฝึกตนที่สำนักเทียนหยาง?”
หวงจื่อรั่วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบเสียงเบาแต่หนักแน่น
“ข้า...ได้รับคำสั่งมา”
หลินหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ นางลุกขึ้นนั่งแล้วถามต่อ
“คำสั่งจากบิดามารดาของเจ้าหรือ?”
หวงจื่อรั่วส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะตอบอย่างนิ่งสงบ
“ไม่ใช่...เป็นคำสั่งจากผู้มีพระคุณคนหนึ่ง”
คำพูดของหวงจื่อรั่วทำให้หลินหนิงชะงักไป นางมองหวงจื่อรั่วด้วยความสนใจ แต่ไม่ได้ถามต่อ เพราะดูเหมือนหวงจื่อรั่วไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้มากนัก
บรรยากาศในเรือนพักเงียบลงเล็กน้อย หลินหนิงเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มสดใส พลางพูดถึงการฝึกฝนในวันนี้ เพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น
หลินหนิงนั่งบนเตียงพลางเอามือประคองแก้ม ยิ้มเล็กๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส
“เสี่ยวอี้ผู้นั้น...ข้าว่าเขาช่างน่าสนใจนัก มีทั้งความสามารถ นิสัยก็น่าคบหา แถมหน้าตาก็หล่อเหลาไม่เบา!”
นางหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนเปลี่ยนสีหน้ากลายเป็นหงุดหงิดเล็กน้อย
“ไม่เหมือนกับคุณชายซุนผู้นั้นเลยสักนิด นิสัยชั่วช้า ไม่เคยเห็นหัวใคร ข้าไม่ชอบพวกคุณชายสูงศักดิ์แบบเขาเลยจริงๆ!”
หวงจื่อรั่ว ที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ เงยหน้าขึ้นมองหลินหนิง ก่อนพูดเสียงเรียบ
“คุณชายสูงศักดิ์อาจไม่ได้ชั่วร้ายทุกคนก็ได้”
หลินหนิงชะงักเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจแล้วยิ้มบาง
“ข้าก็หวังว่าจะมีสักคนที่ไม่เหมือนพวกนั้นจริงๆ”
หวงจื่อรั่ว ไม่พูดอะไรต่อ แต่ในใจของนางกลับนึกถึงใบหน้าของ จางอี้หมิง บุตรชายท่านอ๋องจางส่วง ผู้ซึ่งนางรู้จักมาตั้งแต่เด็ก แม้สถานะเขาจะคล้ายเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ ทำตัวขี้เล่นไร้สาระ แต่เขากลับมีความสามารถและจิตใจดีงามอยู่ไม่น้อย
หวงจื่อรั่วสะบัดศีรษะเบาๆ สลัดความคิดออก ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูดเสียงเรียบ
“ข้าขอตัวไปอาบน้ำก่อน”
หลินหนิงมองตามพร้อมยิ้มบาง ก่อนจะล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยล้าจากการฝึกฝนในวันนี้
จางอี้หมิงเอนกายอย่างสบายอารมณ์อยู่ริมระเบียงบ้านพักส่วนตัว พลางจิบน้ำชาบาๆ ไม่นานนักเสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นจากกระบี่ที่พุ่งทะยานเข้ามา ซ่งอิน ศิษย์น้องผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นอาจารย์ในวันนี้ ขี่กระบี่ประจำกายเข้ามา พร้อมส่งเสียงตะโกนเรียก
“ศิษย์พี่อี้หมิง!”
จางอี้หมิงหันมองด้วยท่าทีเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยถามกลับด้วยน้ำเสียงติดขบขัน
“ท่านอาจารย์มาด้วยธุระใดกันหรือ?”
ซ่งอิน โดดลงจากกระบี่ พลางเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเคร่งขรึม
“ข้ามาชี้แนะเจ้า!”
จางอี้หมิงเห็นดังนั้นหัวเราะหึในลำคอ ก่อนจะหยิบขนมปาที่ยังเหลืออยู่ข้างตัว ปาเข้าใส่ซ่งอินโดยไม่ให้ตั้งตัว ขนมกระเด็นโดนแขนซ่งอินจนเลอะเป็นคราบ ซ่งอินขมวดคิ้วหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็ทำเพียงปัดออกแล้วเดินเข้ามาใกล้
“ศิษย์พี่! คืนนี้เป็นฤกษ์งามยามดี ข้าว่าเราควรค่าที่จะไปล้างอายเสียที”
จางอี้หมิงยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างสงสัย “ล้างอายเรื่องใดของเจ้า?”
ซ่งอิน ลดเสียงลงเล็กน้อย พลางมองซ้ายมองขวา ก่อนโน้มตัวเข้าใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราวกระซิบ
“ก็เรื่องที่เราเคยถูกศิษย์พี่เจียงเยว่จับกุมต่อหน้าเหล่าคณิกาสาวที่สำนักสังคีตในเมืองหลวงเมื่อคราวนั้นน่ะสิ! ท่านยังจำได้ใช่หรือไม่?”
“ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้?”
“แล้วท่านสนใจหรือไม่?”
“มั่นใจได้อย่างไรว่าครั้งนี้จะไม่ถูกจับได้”
ซ่งอินได้ยินเช่นนั้นก็ยืดตัวแล้วหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะชี้มือไปยังท้องฟ้า ทันใดนั้นเองลำแสงอัศนีก็พุ่งลงมายังเบื้องหน้าของทั้งสองคน ผู้ที่มาปรากฏอยู่เบื้องหน้าทั้งคู่คือ ศิษย์พี่ฟ่านหวง!
“ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย” ศิษย์พี่ฟ่านหวงกล่าว“ครั้งนี้มีศิษย์พี่ฟ่านหวงเป็นตัวตั้งตัวตี เรื่องการไปเที่ยวสำนักสังคีตรอบนี้ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้แน่”เหอะ! เจ้าซ่งอินผู้นี้ ติดนิสัยหื่นกามมาจากผู้ใด ถึงขนาดไปขอความช่วยเหลือจากศิษย์ระดับหก นับว่ามักมากในกามไม่น้อย“ครั้งนี้ข้าจะเลี้ยงพวกเจ้าเอง”ฟ่านห่วงยิ้มเปล่งประกายประกอบกับใบหน้าอันคมคายของเขาแล้ว ก็นับว่าหล่อเหล่าดูดียิ่ง เขาค่อยๆ หยิบถุงเงินจากภายในเสื้อออกมาโยนแสดงให้ดูในกำมือโอ! ศิาย์พี่ข้าผู้นี้ นับว่ามักมากในกามไม่แพ้กัน เห็นทีคำกล่าวของซ่งอินคงเป็นจริง ศิษย์พี่นี่แหละที่เป็นตัวตั้งตัวตีหลัก“นับเป็นวาสนาของพวกเจ้าแล้ว ที่ศิษย์พี่คนนี้เลี้ยงดูเป็นอย่างดี”ฟ่านหวงกล่าวอย่างภูมิใจ
“ใช่แล้ว อิ้นเอ๋อร์”จางอี้หมิงกล่าวพร้อมซดสุราหมดจอกในคราเดียวฟ่านหวงตบโต๊ะเสียงดังจนแก้วสุราสั่นสะเทือน เสียงดังนั้นทำให้บรรยากาศในสำนักสังคีตหยุดชะงัก ดนตรีที่บรรเลงอย่างไพเราะก็พลันเงียบลง เหล่าคณิกาและบัณฑิตในห้องโถงต่างหันมามองฟ่านหวงด้วยความสงสัยฟ่านหวงรู้สึกตัวว่าตนเป็นต้นเหตุ จึงรีบหันกลับไปยังทุกคนพร้อมโบกมือพลางพูดเสียงดัง “ไม่มีอะไร! พวกท่านบรรเลงต่อไปเถิด!”ฟ่านหวงยกสุ
บ้าเอ้ย! โดนจับได้แล้ว หึ! แต่…“ศิษย์พี่หญิง ท่านอย่าได้กล่าวหาเลื่อนลอยไร้หลักฐาน”เจียงเยว่ ไม่ตอบโต้ทันที นางก้าวเข้ามาพร้อมด้วยใบหน้าที่ดูไร้เรี่ยวแรงกับหน้าอกอันอวบอิ่มคู่นั้น นางขยับตัวเข้ามาใกล้ แล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น“นี่ไม่ใช่กลิ่นเครื่องหอมที่มีในสำนักเทียนหยาง แต่เป็นกลิ่นเฉพาะของสำนักส
วิชาบรรยายของถัวเค่อชีดำเนินไปอย่างน่าเบื่อ จางอี้หมิงนั่งมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย ครุ่นคิดในใจว่า “ปฏิกิริยาของลมปราณขณะที่ข้าบรรเลงเพลงราคะกับแม่นางฉีเหอคืออะไร”นี่เป็นการปรับสมดุลงั้นหรือ ไม่สิ! ไม่ถูกต้อง! ตอนนี้ลมปราณภายในของข้ายังไม่สมดุลแต่แม่นางฉีเหอเป็นนางคณิกาในสำนักสังคีต จะเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ได้อย่างไร
เสียงของ ซุนสีห่าว ดังก้องไปทั่วบริเวณ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งผยองเหล่าศิษย์หน้าใหม่ที่ยืนอยู่ต่างหันมามองอย่างสนใจ บางคนแอบกระซิบกระซาบถึงความกล้าของเขา ขณะที่บางคนลอบหัวเราะเบาๆ กับท่าทางที่โอ้อวดโฮ่วเมี่ยน ศิษย์พี่ใหญ่ผู้ดูแลคลังอาวุธ หัวเราะดังออกมา เสียงหัวเราะของเขาดังก้องจนทุกคนหยุดพูดคุยและหันไปมอง โฮ่วเมี่ยนก้าวเข้ามาใกล้ซุนสีห่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูมีเลศนัย
เมื่อ จางอี้หมิง อุ้มหวงจื่อรั่ว มาถึงหน่วยแพทย์ ศิษย์ของหน่วยแพทย์ ต่างรีบพานางเข้าไปยังด้านในเพื่อทำการดูแลอย่างเร่งด่วนเมื่อถึงเตียง จางอี้หมิงค่อยๆ วางหวงจื่อรั่วลงด้วยความระมัดระวัง แต่ขณะที่เขากำลังจะปล่อยตัวนางลง แขนของหวงจื่อรั่วกลับกอดคอเขาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยจางอี้หมิงเหลือบมองใบหน้าของนางที่ซีดเซียว แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความงามที่เปล่งประกายแม้ในยามหมดสติ ในใจเขาคิดอย่างขบขัน “หากเจ้าไม่ได้บาดเจ็บ ข้าก็ยินดีให้เจ้ากอดไว้ไม่ปล่อย”ในตอนนั้นเอง หลินหนิง ที่เดินตามมาด้วยความเป็นห่วง รีบเข้ามาช่วยดึงแขนของหวงจื่อรั่วออกจากคอของจางอี้หมิง นางจัดท่าทางให้หวงจื่อรั่วนอนราบลงบนเตียงอย่างเรียบร้อยแม้ตอนนี้สีหน้าของนางจะซีดเผือก แต่ทว่าก็มิอาจกลบกั้นความงามของนางได้แม้แต่น้อย ยากนักที่จางอี้หมิงจะละสายตา ออกจากนางได้แม่นางผิงกั๋ว ศิษย์หญิงผู้มีตำแหน่งประจำหน่วยแพทย์ เดินเข้ามาตรวจดูอาการ ก่อนจะเงยหน้ามองจางอี้หมิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
จางอี้หมิงก้าวออกจากประตูห้องพักฟื้นของหวงจื่อรั่ว ที่ด้านนอก มีแม่นางผิงกั๋ว ศิษย์แห่งหน่วยแพทย์กำลังรออยู่ นางประสานมือคารวะพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ศิษย์พี่ฟางหรงกำชับไว้ว่า ท่านต้องแช่ตัวในอ่างยาทุกเจ็ดวันเพื่อฟื้นฟูร่างกาย และนี่ก็ถึงเวลาแล้ว”ที่หน่วยแพทย์แห่งนี้ ผู้ที่เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ที่สุดก็คือศิษย์พี่ฟางหรง และนางก็เป็นหัวหน้ากับผู้ฝึกสอน ให้แก่ศิษย์ในหน่วยแพทย์เหล่านี้ด้วยจางอี้หมิง เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนถามกลับด้วยท่าทีสบายๆ“ข้าต้องแช่ที่นี่หรือกลับไปแช่ที่บ้าน?”“ตามที่ศิษย์พี่สะดวก”จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดอย่างขบขัน “หากข้าแช่ที่นี่ จะมีศิษย์สาวๆ มาคอยบีบนวดให้ข้าหรือไม่?”ผิงกั๋ว มองหน้าเขานิ่งๆ ก่อนตอบอย่างจริงจัง“ไม่มีเจ้าค่ะ”น่าเสียดายยิ่งนัก!แม่นางผิงกํ่วนั้นเป็นดรุณีสาวที่มีใบหน้างดงาม แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับแม่นางหลินหนิงก็นับว่าด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับแม่นางหวงจื่อรั่ว ก็นับว่าด้อยกว่าแบบพลิกฝ่ามือแต่หากเปรียบความงามระหว่างแม่นางหวงจื่อรั่วกับศิษย์พี่ฟางหรง ในสายตาข
ในยามเย็น ลมเย็นพัดโชยไปทั่วลานฝึกด้านหลังบ้านพัก จางอี้หมิง ยืนถือดาบเล่มหนึ่งไว้ในมือ เขาหลับตาลง สูดลมหายใจลึก แล้วเริ่มโคจรลมปราณในร่างกายแบบย้อนกลับ การไหลเวียนพลังปราณครั้งนี้ราบรื่นและง่ายดายกว่าครั้งก่อนๆ “ปฏิกิริยาจากการหลับนอนกับแม่นางฉีเหอหรือนี่ รู้แบบนี้ข้าควรทำให้นางมีจิตคิดลึกซึ้งต่อข้ามากกว่านี้ การคืนสู่สมดุลลมปราณก็คงไม่ยากนัก” เขาพึมพำเมื่อโคจรลมปราณได้ระดับนึง จางอี้หมิงจึงค่อยๆ วางดาบลงกับพื้น เขาปลดปล่อยพลังปราณลงในดาบ ดาบเล่มนั้นเริ่มสั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ลอยขึ้นเหนือพื้นดินดาบเล่มนี้สะท้อนแสงรางๆ จางอี้หมิงก้าวขึ้นไปยืนบนดาบอย่างมั่นคง ท่าทางของเขาแสดงถึงความชำนาญ แม้จะไม่ได้ขี่ดาบมานาน แต่ร่างกายยังจดจำวิธีทรงตัวบนดาบได้ดี “น่าจะไปได้สวย”
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร
ท่ามกลางป่าทึบยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์หรือประกายดาว มีเพียงเสียงลมพัดเอื่อยๆ ราวกับเสียงกระซิบจากธรรมชาติเพียงเท่านั้นถัวเค่อชี ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เรือนผมยุ่งเหยิง เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจากร่องรอยการดิ้นรนทรมานจากฤทธิ์ยา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังแดงก่ำ ราวกับมีเปลวไฟกำลังเผาผลาญจากภายในความเจ็บปวดจากพิษของยาเสริมพลังที่ เชียนหวง มอบให้เขา ตอนนี้ค่อยๆ สลายไปแล้ว“ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า!”เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง ราวกับสายธารปราณที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเขาหลับตา โคจรลมปราณทั่วร่าง และสิ่งที่ค้นพบก็ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย“พลังของข้า... เพิ่มขึ้นแล้ว!”เขาเผยรอยยิ้มสะใจ ก่อนจะกระชากกระบี่ออกจากฝัก แสงเย็นเยียบสะท้อนจากใบกระบี่ เขารวบรวมพลังลงไปในคมดาบ จากนั้นฟาดมันออกไปเต็มแรงฉัวะ!เสียงกระบี่เฉือนอากาศดังก้อง ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เศษไม้ปลิวกระจายไปทั่ว
“หากพวกเจ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าสำนัก จงบอกที่ซ่อนของศิลาเฝิ่นเหิงมาเดี๋ยวนี้!”เสียงของเชียนหวงก้องกังวาน แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกบีบอัดจนหนักอึ้งลิ่วเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิลาเฝิ่นเหิง?”จางอี้หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเคยอ่านเจอในนิยาย ตำนานเซียนไท่ซวิน ไม่คิดว่าจะมีคนที่เชื่อว่าเป็นของจริงด้วย”ลิ่วเฉียงหันไปมองหน้าเชียนหวง ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ไปถามผู้เขียนนิยายสิ!”“หุบปาก!” เชียนหวงตะโกนลั่น ‘ปากแข็งหรือเบาปัญญาก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก!’ รังสีอำมหิตระเบิดออกมาจากร่าง พลังสีดำมืดหม่นหมุนวนไปรอบตัวเขา ราวกับเป็นพายุวิญญาณอาฆาต“เช่นนั้น ข้าคงต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดแล้วค่อยค้นหาด้วยตัวเอง!”ซ่าาา!พลังอาฆาตสีดำแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเชียนหวง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกร้าว เปลวพลังสีดำคุกรุ่นรอบตัวลิ่วเฉียงยังคงยืนสงบนิ่ง มองดูศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะหันไปถามเฉินเจิ้ง “แค่ระดับเจ็ด เจ้าสู้ไม่ได้รึ?”เฉินเจิ้งกำหมัดแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงเจ็บใจ “น่าอ
สายลมพัดเอื่อย สะบัดผ่านร่างของสองศิษย์พี่น้องที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ่านหวงและเฉินเจิ้งต่างจมอยู่ในสมาธิ โคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อรอบกายเต็มไปด้วยซากอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดิน เศษหิน เสียงลมหายใจของทั้งสองเริ่มกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงชั่วขณะ“ตรวจสอบหาผู้นำพวกมันได้หรือยัง?” เฉินเจิ้งถามเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังฟ่านหวงมองไปรอบๆ “ยัง”เฉินเจิ้งแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ระหว่างที่ข้ากำจัดพวกมัน เจ้าไม่ได้อู้ใช่หรือไม่?”ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “ศิษย์พี่เอ๋ย หากข้าตอบว่าใช่ ท่านจะทำอะไรข้า?”“เจ้ามันตัวบัดซบ กินแรงผู้อื่น!”เสียงหัวเราะของฟ่านหวงดังขึ้น ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำต่อไป บรรยากาศรอบกายพลันเย็นยะเยือกลงจนขนลุกชันวูบบบ!“ศิษย์พี่…ท่านหายเหนื่อยแล้วหรือยัง?”เฉินเจิ้งยืดเส้นยืดสาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็… 5… 4… 3… 2… 1…”วูบบบ!!!
ทางด้านลานกว้างหน้าหอเทียนหยางจางอี้หมิยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลานกว้างหน้าหอเทียนหยาง ท่ามกลางหมอกฝุ่นและเสียงคำรามของเหล่าอสูรดินเหนียว ดาบในมือของเขาเปื้อนเศษดินและคราบอสูร แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับกระชับแน่น แม้ไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ด้วยร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงและกระบวนท่าอันเฉียบคม เขาก็ยังคงยืนหยัดต้านศัตรูได้อย่างไม่ลดละเมื่ออสูรตนหนึ่งพุ่งเข้ามาทางด้านซ้าย จางอี้หมิงใช้แรงบิดเอว เหวี่ยงดาบออกไปเป็นแนวโค้งคมกริบ ปลายดาบฟันทะลุไหล่อสูรดินเหนียวเสียงดังฉึบ! เศษดินกระจายตัวออกเป็นฝุ่นสีดำ อสูรตัวนั้นเซถลาไปด้านหลังก่อนที่ร่างจะถูกแรงฟันฉีกออกเป็นสองซีก ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ! โฮกกก!!!!เสียงคำรามจากอสูรตัวอื่นดังก้อง มันพุ่งเข้ามารุมล้อมจากทุกทิศทาง จางอี้หมิงย่อกายลงเล็กน้อยก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้า ใช้ดาบแทงทะลุอกของตัวหนึ่ง จากนั้นดึงกลับแล้วฟาดดาบฟันเข้าที่คอของอีกตัว เศษดินและโคล
ศิษย์ระดับสามและศิษย์ระดับต่ำกว่านั้นบางกลุ่มก็ออกไปจัดการกับอสูรดินเหนียวในจุดต่างๆ ถัวเค่อชีเองก็เช่นกัน ที่มีหน้าที่จัดการกับเหล่าอสูรดินเหนียวที่บุกโจมตีสำนักจากนั้นถัวเค่อชีก็แยกตัวออกจากกลุ่มศิษย์ที่กำลังต่อสู้กับอสูรดินเหนียว โดยอ้างว่าจะจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียว ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเรียกหาอยู่กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาท ขณะที่ถัวเค่อชีเดินเข้าไปในเงามืดของป่า เสียงนั้นไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวของเขาเอง และไม่อาจสลัดเสียงเหล่านั้นออกไปจากร่างกายได้แม้แต่น้อยร่างกายของถัวเค่อชีเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกย่างก้าว จนกระทั่งเขามาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีเงาร่มครึ้มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นขึ้นมาจากกลางศีรษะ ทะลวงไปถึงไขสันหลัง ถัวเค่อชีทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมหัวแน่นราวกับจะป้องกันมิให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง ร่างกายสั่นสะท้านจากความทุกข์ทรมาน ดวงตาพร่าเลือน เหมือนมีเงามืดแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ“อ๊ากกก!!”ถัวเค่อชีส่งเสี
เจียงเยว่และหลี่เกอซินยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของหอเทียนหยาง สายลมพัดเอื่อย ผมยาวสลวยของทั้งคู่ปลิวไสวไปตามสายลมดวงตาของเจียงเยว่จับจ้องไปยังท้องฟ้า และพื้นเบื้องล่าง ที่มีกองทัพอสูรดินเหนียวเข้ามาไม่พักหลี่เกอซิน ศิษย์น้องผู้ชำนาญวิชาตรวจจับ ยืนนิ่งข้างๆ นางหลับตาลงเล็กน้อย ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ที่อารามทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีปัญหา ทำให้ม่านพลังป้องกันเกิดรอยรั่ว”“แล้วอย่างไร?”“พวกเราต้องไปซ่อมแซมจุดนั้นโดยด่วน เพียงแต่ทางด้านนั้นมีศัตรูเข้ามามากเกินไป ข้าเกรงว่าหากไปตอนนี้จะไม่ปลอดภัย”เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ นางคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “ก่อนอื่นต้องระงับศัตรูไม่ให้เข้ามาชั่วคราว แล้วค่อยเข้าไปซ่อมแซมม่านพลัง”“แล้วควรทำอย่างไรดีศิษย์พี่?”“เจ้ารอที่นี่ก่อน”เจียงเยว่เหลือบตามองลงไปด้านล่าง ราวกับกำลังมองหาบางคน ดวงตาของนางสะท้อนเงาร่างหนึ่งที่กำลังต่อสู้