ซ่งอินเดินวนไปมาหน้าห้องเรียนด้วยท่าทางสง่างาม เขามองเหล่าผู้ฝึกตนหน้าใหม่ที่นั่งเรียงกันในท่าฝึกสมาธิอย่างเงียบงัน ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่ทรงพลัง
“หน้าที่ของพวกเจ้าในวันนี้คือโคจรลมปราณและใช้พลังของเจ้า ทำให้แผ่นไม้เล็กเรียวยาวตรงหน้าลอยอยู่กลางอากาศให้ได้”
ทุกคนต่างหันมามองแผ่นไม้ที่วางอยู่ตรงหน้าของตัวเอง ด้วยแววตาที่ผสมผสานระหว่างความมุ่งมั่นและกังวล
ซ่งอินอธิบายเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“การควบคุมลมปราณในระดับนี้เป็นพื้นฐานของการฝึกขี่อาวุธในอนาคต หากพวกเจ้าทำไม่ได้ แม้แต่เหาะเหินเดินอากาศก็คงเป็นไปไม่ได้ จงตั้งสมาธิ หายใจให้ช้า และดึงพลังปราณจากภายในตัวเจ้าออกมา!”
ศิษย์แต่ละคนพยายามทำตามคำแนะนำ บางคนหลับตา บางคนจ้องแผ่นไม้ด้วยความตั้งใจสุดกำลัง เสียงลมหายใจดังสลับกับเสียงพึมพำเบาๆ ของบางคนที่พยายามรวบรวมสมาธิ
แต่ก็ยังไม่มีใครทำให้แผ่นไม้ลอยขึ้นได้
จางอี้หมิงนั่งอยู่หลังสุดของห้อง แม้เขาจะไม่ได้โคจรลมปราณในตอนนี้ แต่เขามองดูศิษย์คนอื่นด้วยความสงบ ราวกับกำลังประเมินทุกคนอย่างใจเย็น ทว่าภายในใจเขากลับคิดอย่างขบขัน
“พวกเด็กใหม่เหล่านี้ยังอ่อนหัดกันจริงๆ”
ทันใดนั้น เสียงใสๆ ของดรุณีน้อยก็ดังขึ้น
“ข้าทำได้แล้ว!”
เสียงของหลินหนิงดึงดูดสายตาของทุกคนทันที เมื่อพวกเขาหันไปมอง ก็เห็นแผ่นไม้เล็กๆ ลอยอยู่กลางอากาศระหว่างฝ่ามือทั้งสองของนาง ดวงตากลมโตของหลินหนิงฉายแววตื่นเต้นและยินดี
ซ่งอินหยุดเดินแล้วมองไปยังหลินหนิง ก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจ
“ดีมาก เจ้าเข้าใจการควบคุมลมปราณได้เร็วถึงเพียงนี้ นับว่ามีพรสวรรค์ที่ดี”
จางอี้หมิงที่มองอยู่ด้านหลังลอบยิ้มเล็กน้อย
เขาคิดในใจว่า “แม่นางผู้นี้ไม่เพียงมีหน้าตางดงาม แต่ยังมีฝีมือที่น่าสนใจอีกด้วย พรสวรรค์ของนางนับว่าไม่ธรรมดา”
เขาลอบมองหลินหนิงอีกครั้งอย่างพินิจพิจารณา ก่อนจะคิดต่อ “วันใดวันหนึ่ง ข้าต้องเชิญนางมาฝึกเวทอักษรส่วนตัวกับข้าสองต่อสองให้ได้ นางคงพัฒนาไปไกลไม่น้อย”
“บัดซบเอ้ย! ข้าควรรู้สึกผิดที่หลอกโก่งราคาขายตำราติวสอบให้นาง!”
ในขณะเดียวกัน ศิษย์คนอื่นๆ ยังคงพยายามต่อไป แม้จะยังไม่มีใครทำได้สำเร็จเช่นเดียวกับหลินหนิง แต่แววตามุ่งมั่นของทุกคนกลับยิ่งเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ซ่งอินยังคงเดินตรวจดูอย่างเงียบๆ รอคอยศิษย์คนต่อไปที่จะทำสำเร็จ
จางอี้หมิงจ้องมองแผ่นไม้ตรงหน้าด้วยแววตาจริงจัง เขาพลางครุ่นคิดถึงวิธีโคจรลมปราณที่ผิดแผกจากผู้อื่น
“พลังปราณของข้ายังไม่สมดุล หากฝืนโคจรตามปกติก็คงไร้ผล ต้องเริ่มจากจุดอื่นแล้วค่อยดึงกลับสู่ตันเถียน...”
เขาตั้งสมาธิแน่วแน่ เริ่มดึงพลังจากจุดที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างระมัดระวัง ทุกการเคลื่อนของลมปราณเป็นไปอย่างเชื่องช้าและรัดกุม
ไม่นานนัก แผ่นไม้ตรงหน้าของเขาก็เริ่มขยับ ลอยขึ้นจากพื้นเพียงเล็กน้อยก่อนจะตกลงมาอีกครั้ง
จางอี้หมิงถอนหายใจเบาๆ แม้จะยังไม่สำเร็จ แต่เขารู้ว่าตนกำลังเดินมาถูกทางแล้ว
“ถือว่าเป็นก้าวแรกที่สวยงาม”
ขณะนั้นเอง เสียงอุทานเบาๆ ดังขึ้นจากเหล่าศิษย์ ทุกสายตาหันไปจับจ้องที่ หวงจื่อรั่ว ดรุณีที่แต่งกายคล้ายบุรุษ แต่มีความงดงามจนสะดุดตา
แผ่นไม้เบื้องหน้าของนางกำลังลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ ระหว่างฝ่ามือ ดวงตานางนิ่งเฉย สง่างามดุจน้ำค้างยามรุ่งอรุณ
ซ่งอินเดินเข้ามาใกล้หวงจื่อรั่ว ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม
“เจ้าทำได้ดีมาก สมเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูง นี่เป็นขั้นแรกที่สำคัญ จงรักษาความมุ่งมั่นเช่นนี้ต่อไป”
เสียงซุบซิบในห้องเริ่มดังขึ้น มีทั้งความชื่นชมและอิจฉาในตัวหวงจื่อรั่ว แต่เจ้าตัวกลับยังคงนิ่งเฉย ราวกับคำชมเหล่านั้นเป็นเพียงสายลมพัดผ่าน
จางอี้หมิงมองไปที่หวงจื่อรั่วด้วยแววตาชื่นชม พร้อมกับคิดในใจว่า “แม่นางจื่อรั่ว นอกจากจะมีความสามารถโดดเด่นแล้ว ยังมีใบหน้างดงามดุจภาพวาดของเทพธิดา...”
แต่แล้วเขาก็หัวเราะเบาๆ ในใจเมื่อคิดต่อ “เสียดายที่นางมีนิสัยแข็งกร้าวนัก หากนางอ่อนโยนกว่านี้อีกหน่อย คงง่ายต่อการเชิญชวนให้นางมาอยู่ในใจข้าได้”
“ถึงอย่างไรนางก็ควรค่าแก่การจับตามอง”
จะเป็นแม่นางหลินหนิงหรือว่าหวงจื่อรั่ว นับว่าเป็นหญิงงามที่น่าจับตามองในอนาคต ไม่ว่าจะเรื่องฝีมือ รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่จางอี้หมิงมั่นหมายไว้ในใจ แต่ถึงอย่างไรเสียนางก็ไม่สามารถเป็นผู้ช่วยในการปรับสมดุลพลังในเร็ววันนี้ของเขาเป็นแน่
ซ่งอินเดินเข้ามาใกล้จางอี้หมิง พร้อมกับมองแผ่นไม้ที่ลอยขึ้นและหล่นลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาพยายามเก็บสีหน้าไว้เรียบเฉยในฐานะของอาจารย์ประจำวิชา แต่ถึงอย่างไรเขาก็นับว่าเป็นศิษย์ก้นกุฏิในวิชาเวทอักษรของจางอี้หมิงเช่นกัน ฉะนั้นความเคารพนับถือจึงมีอยู่ไม่น้อย
ซ่งอินโน้มตัวเข้าไปใกล้ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาๆ ที่ได้ยินกันสองคน
“ศิษย์พี่ ท่านอย่าได้เครียดนัก ลองปล่อยตัวให้ผ่อนคลาย อย่าว่อกแว่ก พลังปราณจะโคจรได้ลื่นไหลกว่านี้”
จางอี้หมิงชะงักไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้าช้าๆ เขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าลึก พยายามปลดเปลื้องความคิดฟุ้งซ่านในใจ
เมื่อจิตใจเริ่มนิ่ง เขาเริ่มโคจรลมปราณอีกครั้ง แผ่นไม้ตรงหน้าค่อยๆ ขยับ ก่อนจะลอยขึ้นมาอย่างมั่นคง ครั้งนี้มันไม่ตกลงอีก
จางอี้หมิงลืมตาขึ้น ยิ้มมุมปากเบาๆ แล้วหันไปสบตากับซ่งอิน เป็นอันรู้กันระหว่างพี่น้องทั้งสองว่าเป็นการขอบคุณ
ซ่งอินเผยยิ้มเล็กน้อย แต่ยังรักษาท่าทางในบทบาทอาจารย์ประจำวิชาไว้ ก่อนพยักหน้าและเดินกลับไป
ขณะเดียวกัน หลินหนิงและหวงจื่อรั่วที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็หันมามองทางจางอี้หมิงโดยตั้งใจ
หลินหนิง นางมีรอยยิ้มสดใสประดับใบหน้า และคิดในใจว่า “เสี่ยวอี้ผู้นี้มีความสามารถไม่น้อย อีกทั้งนิสัยก็ไม่เลว หากได้ร่วมฝึกฝนด้วยกันต่อไป คงนับเป็นสหายที่ดีทีเดียว”
หวงจื่อรั่ว แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่ในใจกลับคอยจับตาดูจางอี้หมิงตั้งแต่ต้น นางรู้จักเขามาตั้งแต่เด็ก “บุตรชายท่านอ๋องจางผู้นี้ แม้สูญเสียพลังปราณ แต่ความสามารถก็มิใช่น้อย...” นางคิดพลางเผลออมยิ้มเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
จางอี้หมิงเงยหน้าขึ้นมองแผ่นไม้ที่ลอยอยู่เบื้องหน้าอย่างพอใจ
“นับว่าไม่เลว”
หลังจากการฝึกฝนเสร็จสิ้น ศิษย์ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับไปยังเรือนพักของตน หลินหนิงและหวงจื่อรั่ว เดินกลับเรือนของพวกนางด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อถึงเรือนพัก หลินหนิง ทิ้งร่างอันบอบบางลงบนเตียงนุ่มอย่างหมดแรง นางเอนตัวพลางบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า“วันนี้ช่างเหนื่อยยิ่งนัก...”หวงจื่อรั่ว ที่นั่งลงบนเตียงอีกฟากหนึ่งอย่างสำรวมและสง่างาม แม้จะแต่งกายคล้ายชายหนุ่ม แต่รูปร่างของนางยังคงเผยความเป็นสตรีด้วยแผ่นอกที่ดูเด่นสะดุดตา นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ“เจ้าช่างเรียนรู้ได้ไวยิ่งนัก น่าชื่นชม”หลินหนิง พลิกตัวมองไปทางหวงจื่อรั่วแล้วเผยรอยยิ้มบาง“ข้าไม่ได้เก่งอะไรหรอก เพียงแต่…ตัวข้าตั้งใจมาเป็นผู้ฝึกตน เพราะอยากให้ครอบครัวของข้าอยู่สุขสบายขึ้น เลยตั้งใจมากเป็นพิเศษเท่านั้น”
“ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย” ศิษย์พี่ฟ่านหวงกล่าว“ครั้งนี้มีศิษย์พี่ฟ่านหวงเป็นตัวตั้งตัวตี เรื่องการไปเที่ยวสำนักสังคีตรอบนี้ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้แน่”เหอะ! เจ้าซ่งอินผู้นี้ ติดนิสัยหื่นกามมาจากผู้ใด ถึงขนาดไปขอความช่วยเหลือจากศิษย์ระดับหก นับว่ามักมากในกามไม่น้อย“ครั้งนี้ข้าจะเลี้ยงพวกเจ้าเอง”ฟ่านห่วงยิ้มเปล่งประกายประกอบกับใบหน้าอันคมคายของเขาแล้ว ก็นับว่าหล่อเหล่าดูดียิ่ง เขาค่อยๆ หยิบถุงเงินจากภายในเสื้อออกมาโยนแสดงให้ดูในกำมือโอ! ศิาย์พี่ข้าผู้นี้ นับว่ามักมากในกามไม่แพ้กัน เห็นทีคำกล่าวของซ่งอินคงเป็นจริง ศิษย์พี่นี่แหละที่เป็นตัวตั้งตัวตีหลัก“นับเป็นวาสนาของพวกเจ้าแล้ว ที่ศิษย์พี่คนนี้เลี้ยงดูเป็นอย่างดี”ฟ่านหวงกล่าวอย่างภูมิใจ
“ใช่แล้ว อิ้นเอ๋อร์”จางอี้หมิงกล่าวพร้อมซดสุราหมดจอกในคราเดียวฟ่านหวงตบโต๊ะเสียงดังจนแก้วสุราสั่นสะเทือน เสียงดังนั้นทำให้บรรยากาศในสำนักสังคีตหยุดชะงัก ดนตรีที่บรรเลงอย่างไพเราะก็พลันเงียบลง เหล่าคณิกาและบัณฑิตในห้องโถงต่างหันมามองฟ่านหวงด้วยความสงสัยฟ่านหวงรู้สึกตัวว่าตนเป็นต้นเหตุ จึงรีบหันกลับไปยังทุกคนพร้อมโบกมือพลางพูดเสียงดัง “ไม่มีอะไร! พวกท่านบรรเลงต่อไปเถิด!”ฟ่านหวงยกสุ
บ้าเอ้ย! โดนจับได้แล้ว หึ! แต่…“ศิษย์พี่หญิง ท่านอย่าได้กล่าวหาเลื่อนลอยไร้หลักฐาน”เจียงเยว่ ไม่ตอบโต้ทันที นางก้าวเข้ามาพร้อมด้วยใบหน้าที่ดูไร้เรี่ยวแรงกับหน้าอกอันอวบอิ่มคู่นั้น นางขยับตัวเข้ามาใกล้ แล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น“นี่ไม่ใช่กลิ่นเครื่องหอมที่มีในสำนักเทียนหยาง แต่เป็นกลิ่นเฉพาะของสำนักส
วิชาบรรยายของถัวเค่อชีดำเนินไปอย่างน่าเบื่อ จางอี้หมิงนั่งมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย ครุ่นคิดในใจว่า “ปฏิกิริยาของลมปราณขณะที่ข้าบรรเลงเพลงราคะกับแม่นางฉีเหอคืออะไร”นี่เป็นการปรับสมดุลงั้นหรือ ไม่สิ! ไม่ถูกต้อง! ตอนนี้ลมปราณภายในของข้ายังไม่สมดุลแต่แม่นางฉีเหอเป็นนางคณิกาในสำนักสังคีต จะเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ได้อย่างไร
เสียงของ ซุนสีห่าว ดังก้องไปทั่วบริเวณ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งผยองเหล่าศิษย์หน้าใหม่ที่ยืนอยู่ต่างหันมามองอย่างสนใจ บางคนแอบกระซิบกระซาบถึงความกล้าของเขา ขณะที่บางคนลอบหัวเราะเบาๆ กับท่าทางที่โอ้อวดโฮ่วเมี่ยน ศิษย์พี่ใหญ่ผู้ดูแลคลังอาวุธ หัวเราะดังออกมา เสียงหัวเราะของเขาดังก้องจนทุกคนหยุดพูดคุยและหันไปมอง โฮ่วเมี่ยนก้าวเข้ามาใกล้ซุนสีห่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูมีเลศนัย
เมื่อ จางอี้หมิง อุ้มหวงจื่อรั่ว มาถึงหน่วยแพทย์ ศิษย์ของหน่วยแพทย์ ต่างรีบพานางเข้าไปยังด้านในเพื่อทำการดูแลอย่างเร่งด่วนเมื่อถึงเตียง จางอี้หมิงค่อยๆ วางหวงจื่อรั่วลงด้วยความระมัดระวัง แต่ขณะที่เขากำลังจะปล่อยตัวนางลง แขนของหวงจื่อรั่วกลับกอดคอเขาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยจางอี้หมิงเหลือบมองใบหน้าของนางที่ซีดเซียว แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความงามที่เปล่งประกายแม้ในยามหมดสติ ในใจเขาคิดอย่างขบขัน “หากเจ้าไม่ได้บาดเจ็บ ข้าก็ยินดีให้เจ้ากอดไว้ไม่ปล่อย”ในตอนนั้นเอง หลินหนิง ที่เดินตามมาด้วยความเป็นห่วง รีบเข้ามาช่วยดึงแขนของหวงจื่อรั่วออกจากคอของจางอี้หมิง นางจัดท่าทางให้หวงจื่อรั่วนอนราบลงบนเตียงอย่างเรียบร้อยแม้ตอนนี้สีหน้าของนางจะซีดเผือก แต่ทว่าก็มิอาจกลบกั้นความงามของนางได้แม้แต่น้อย ยากนักที่จางอี้หมิงจะละสายตา ออกจากนางได้แม่นางผิงกั๋ว ศิษย์หญิงผู้มีตำแหน่งประจำหน่วยแพทย์ เดินเข้ามาตรวจดูอาการ ก่อนจะเงยหน้ามองจางอี้หมิงและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ
จางอี้หมิงก้าวออกจากประตูห้องพักฟื้นของหวงจื่อรั่ว ที่ด้านนอก มีแม่นางผิงกั๋ว ศิษย์แห่งหน่วยแพทย์กำลังรออยู่ นางประสานมือคารวะพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ศิษย์พี่ฟางหรงกำชับไว้ว่า ท่านต้องแช่ตัวในอ่างยาทุกเจ็ดวันเพื่อฟื้นฟูร่างกาย และนี่ก็ถึงเวลาแล้ว”ที่หน่วยแพทย์แห่งนี้ ผู้ที่เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ที่สุดก็คือศิษย์พี่ฟางหรง และนางก็เป็นหัวหน้ากับผู้ฝึกสอน ให้แก่ศิษย์ในหน่วยแพทย์เหล่านี้ด้วยจางอี้หมิง เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนถามกลับด้วยท่าทีสบายๆ“ข้าต้องแช่ที่นี่หรือกลับไปแช่ที่บ้าน?”“ตามที่ศิษย์พี่สะดวก”จางอี้หมิงหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดอย่างขบขัน “หากข้าแช่ที่นี่ จะมีศิษย์สาวๆ มาคอยบีบนวดให้ข้าหรือไม่?”ผิงกั๋ว มองหน้าเขานิ่งๆ ก่อนตอบอย่างจริงจัง“ไม่มีเจ้าค่ะ”น่าเสียดายยิ่งนัก!แม่นางผิงกํ่วนั้นเป็นดรุณีสาวที่มีใบหน้างดงาม แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับแม่นางหลินหนิงก็นับว่าด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับแม่นางหวงจื่อรั่ว ก็นับว่าด้อยกว่าแบบพลิกฝ่ามือแต่หากเปรียบความงามระหว่างแม่นางหวงจื่อรั่วกับศิษย์พี่ฟางหรง ในสายตาข
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร
ท่ามกลางป่าทึบยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์หรือประกายดาว มีเพียงเสียงลมพัดเอื่อยๆ ราวกับเสียงกระซิบจากธรรมชาติเพียงเท่านั้นถัวเค่อชี ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เรือนผมยุ่งเหยิง เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจากร่องรอยการดิ้นรนทรมานจากฤทธิ์ยา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังแดงก่ำ ราวกับมีเปลวไฟกำลังเผาผลาญจากภายในความเจ็บปวดจากพิษของยาเสริมพลังที่ เชียนหวง มอบให้เขา ตอนนี้ค่อยๆ สลายไปแล้ว“ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า!”เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง ราวกับสายธารปราณที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเขาหลับตา โคจรลมปราณทั่วร่าง และสิ่งที่ค้นพบก็ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย“พลังของข้า... เพิ่มขึ้นแล้ว!”เขาเผยรอยยิ้มสะใจ ก่อนจะกระชากกระบี่ออกจากฝัก แสงเย็นเยียบสะท้อนจากใบกระบี่ เขารวบรวมพลังลงไปในคมดาบ จากนั้นฟาดมันออกไปเต็มแรงฉัวะ!เสียงกระบี่เฉือนอากาศดังก้อง ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เศษไม้ปลิวกระจายไปทั่ว
“หากพวกเจ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าสำนัก จงบอกที่ซ่อนของศิลาเฝิ่นเหิงมาเดี๋ยวนี้!”เสียงของเชียนหวงก้องกังวาน แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกบีบอัดจนหนักอึ้งลิ่วเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิลาเฝิ่นเหิง?”จางอี้หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเคยอ่านเจอในนิยาย ตำนานเซียนไท่ซวิน ไม่คิดว่าจะมีคนที่เชื่อว่าเป็นของจริงด้วย”ลิ่วเฉียงหันไปมองหน้าเชียนหวง ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ไปถามผู้เขียนนิยายสิ!”“หุบปาก!” เชียนหวงตะโกนลั่น ‘ปากแข็งหรือเบาปัญญาก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก!’ รังสีอำมหิตระเบิดออกมาจากร่าง พลังสีดำมืดหม่นหมุนวนไปรอบตัวเขา ราวกับเป็นพายุวิญญาณอาฆาต“เช่นนั้น ข้าคงต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดแล้วค่อยค้นหาด้วยตัวเอง!”ซ่าาา!พลังอาฆาตสีดำแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเชียนหวง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกร้าว เปลวพลังสีดำคุกรุ่นรอบตัวลิ่วเฉียงยังคงยืนสงบนิ่ง มองดูศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะหันไปถามเฉินเจิ้ง “แค่ระดับเจ็ด เจ้าสู้ไม่ได้รึ?”เฉินเจิ้งกำหมัดแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงเจ็บใจ “น่าอ
สายลมพัดเอื่อย สะบัดผ่านร่างของสองศิษย์พี่น้องที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ่านหวงและเฉินเจิ้งต่างจมอยู่ในสมาธิ โคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อรอบกายเต็มไปด้วยซากอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดิน เศษหิน เสียงลมหายใจของทั้งสองเริ่มกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงชั่วขณะ“ตรวจสอบหาผู้นำพวกมันได้หรือยัง?” เฉินเจิ้งถามเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังฟ่านหวงมองไปรอบๆ “ยัง”เฉินเจิ้งแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ระหว่างที่ข้ากำจัดพวกมัน เจ้าไม่ได้อู้ใช่หรือไม่?”ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “ศิษย์พี่เอ๋ย หากข้าตอบว่าใช่ ท่านจะทำอะไรข้า?”“เจ้ามันตัวบัดซบ กินแรงผู้อื่น!”เสียงหัวเราะของฟ่านหวงดังขึ้น ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำต่อไป บรรยากาศรอบกายพลันเย็นยะเยือกลงจนขนลุกชันวูบบบ!“ศิษย์พี่…ท่านหายเหนื่อยแล้วหรือยัง?”เฉินเจิ้งยืดเส้นยืดสาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็… 5… 4… 3… 2… 1…”วูบบบ!!!
ทางด้านลานกว้างหน้าหอเทียนหยางจางอี้หมิยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลานกว้างหน้าหอเทียนหยาง ท่ามกลางหมอกฝุ่นและเสียงคำรามของเหล่าอสูรดินเหนียว ดาบในมือของเขาเปื้อนเศษดินและคราบอสูร แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับกระชับแน่น แม้ไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ด้วยร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงและกระบวนท่าอันเฉียบคม เขาก็ยังคงยืนหยัดต้านศัตรูได้อย่างไม่ลดละเมื่ออสูรตนหนึ่งพุ่งเข้ามาทางด้านซ้าย จางอี้หมิงใช้แรงบิดเอว เหวี่ยงดาบออกไปเป็นแนวโค้งคมกริบ ปลายดาบฟันทะลุไหล่อสูรดินเหนียวเสียงดังฉึบ! เศษดินกระจายตัวออกเป็นฝุ่นสีดำ อสูรตัวนั้นเซถลาไปด้านหลังก่อนที่ร่างจะถูกแรงฟันฉีกออกเป็นสองซีก ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ! โฮกกก!!!!เสียงคำรามจากอสูรตัวอื่นดังก้อง มันพุ่งเข้ามารุมล้อมจากทุกทิศทาง จางอี้หมิงย่อกายลงเล็กน้อยก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้า ใช้ดาบแทงทะลุอกของตัวหนึ่ง จากนั้นดึงกลับแล้วฟาดดาบฟันเข้าที่คอของอีกตัว เศษดินและโคล
ศิษย์ระดับสามและศิษย์ระดับต่ำกว่านั้นบางกลุ่มก็ออกไปจัดการกับอสูรดินเหนียวในจุดต่างๆ ถัวเค่อชีเองก็เช่นกัน ที่มีหน้าที่จัดการกับเหล่าอสูรดินเหนียวที่บุกโจมตีสำนักจากนั้นถัวเค่อชีก็แยกตัวออกจากกลุ่มศิษย์ที่กำลังต่อสู้กับอสูรดินเหนียว โดยอ้างว่าจะจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียว ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเรียกหาอยู่กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาท ขณะที่ถัวเค่อชีเดินเข้าไปในเงามืดของป่า เสียงนั้นไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวของเขาเอง และไม่อาจสลัดเสียงเหล่านั้นออกไปจากร่างกายได้แม้แต่น้อยร่างกายของถัวเค่อชีเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกย่างก้าว จนกระทั่งเขามาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีเงาร่มครึ้มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นขึ้นมาจากกลางศีรษะ ทะลวงไปถึงไขสันหลัง ถัวเค่อชีทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมหัวแน่นราวกับจะป้องกันมิให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง ร่างกายสั่นสะท้านจากความทุกข์ทรมาน ดวงตาพร่าเลือน เหมือนมีเงามืดแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ“อ๊ากกก!!”ถัวเค่อชีส่งเสี
เจียงเยว่และหลี่เกอซินยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของหอเทียนหยาง สายลมพัดเอื่อย ผมยาวสลวยของทั้งคู่ปลิวไสวไปตามสายลมดวงตาของเจียงเยว่จับจ้องไปยังท้องฟ้า และพื้นเบื้องล่าง ที่มีกองทัพอสูรดินเหนียวเข้ามาไม่พักหลี่เกอซิน ศิษย์น้องผู้ชำนาญวิชาตรวจจับ ยืนนิ่งข้างๆ นางหลับตาลงเล็กน้อย ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ที่อารามทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีปัญหา ทำให้ม่านพลังป้องกันเกิดรอยรั่ว”“แล้วอย่างไร?”“พวกเราต้องไปซ่อมแซมจุดนั้นโดยด่วน เพียงแต่ทางด้านนั้นมีศัตรูเข้ามามากเกินไป ข้าเกรงว่าหากไปตอนนี้จะไม่ปลอดภัย”เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ นางคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “ก่อนอื่นต้องระงับศัตรูไม่ให้เข้ามาชั่วคราว แล้วค่อยเข้าไปซ่อมแซมม่านพลัง”“แล้วควรทำอย่างไรดีศิษย์พี่?”“เจ้ารอที่นี่ก่อน”เจียงเยว่เหลือบตามองลงไปด้านล่าง ราวกับกำลังมองหาบางคน ดวงตาของนางสะท้อนเงาร่างหนึ่งที่กำลังต่อสู้