หลินหนิง สตรีสาววัยสิบหก ใบหน้างดงามดวงตาโตสดใส ร่างเล็กบางแต่ทรวดทรงได้สัดส่วน มีหน้าอกที่นูนขึ้นพอเหมาะ นางสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดา แต่ความงามของนางกลับสะดุดตาผู้คนได้อย่างง่ายดาย หลินหนิงเป็นบุตรสาวขุนนางตำแหน่งเล็กในเมืองหลวง ตำแหน่งที่ไม่ได้โดดเด่นหรือทรงอำนาจ แต่นางมีความใฝ่ฝันแรงกล้าที่จะเป็นผู้ฝึกตนในสำนักเทียนหยาง
เมื่อได้ยินข่าวลือว่าในตลาดมีร้านขายตำราติวสอบของสำนักเทียนหยาง หลินหนิงไม่รอช้า รีบรุดไปยังตลาดทันที
แต่เมื่อไปถึงร้านที่ถูกกล่าวถึง กลับพบเพียงแผงเปล่าๆ และป้ายไม้ที่ถูกปลดลงแล้ว หลินหนิงยืนมองด้วยความผิดหวัง นางกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะบ่นออกมาเบาๆ “พลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไรกัน!” ดวงตากลมโตฉายแววเศร้า
ระหว่างที่หลินหนิงยังครุ่นคิดอยู่นั้น ทางด้าน จางอี้หมิง และ ซ่งอิน ซึ่งเป็นต้นตอของตำราติวสอบ กำลังนั่งพักอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จางอี้หมิงจิบน้ำชา พลางโบกตั๋วเงินในมือเหมือนพัดอย่างอารมณ์ดี
“ข้าคิดว่าการเป็นพ่อค้านี่ก็สนุกไม่น้อย” จางอี้หมิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ “ว่าแต่ซ่งอิน เจ้าเคยได้ยินชื่อสำนักสังคีตหรือไม่?”
ซ่งอินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “หอนางโลมของทางการใช่หรือไม่? มีชื่อเสียงเรื่องเพลงและความงามของหญิงสาว”
จางอี้หมิงหัวเราะดังขึ้น “ถูกต้อง! ข้าจะพาเจ้าที่นั่น ถือเป็นรางวัลให้แก่เจ้า”
ซ่งอินยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเอ่ย “เช่นนั้นจะรอช้าอยู่ใย”
ทั้งสองลุกขึ้นจากที่นั่ง เก็บตั๋วเงินและสิ่งของใส่ในถุงผ้า ก่อนจะเดินออกจากโรงเตี๊ยมมุ่งหน้าสู่ สำนักสังคีต ที่เลื่องชื่อในหมู่ชนชั้นสูงในเมืองหลวง
หลินหนิง ที่ยังคงวนเวียนอยู่ในตลาดด้วยความเสียดาย เผอิญสายตาของนางเหลือบไปเห็นชายสองคนกำลังเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม ทั้งสองดูโดดเด่นกว่าผู้คนทั่วไป ทั้งด้วยท่าทางภูมิฐานแต่ดูเรียบง่าย
หลินหนิงรีบก้าวเข้าไปหาทั้งสอง พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพและจริงจัง “ท่านทั้งสองพอจะทราบหรือไม่ว่าร้านขายตำราติวสอบอยู่ที่ใด?”
จางอี้หมิงที่กำลังหัวเราะสนุกสนานกับซ่งอินถึงกับชะงักเมื่อสบตากลมโตของหญิงสาวตรงหน้า นางดูมีความงามอ่อนหวานไร้เดียงสา ใบหน้านวลใสและแววตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทำให้เขาตะลึงไปชั่วขณะ
เขาเผลอตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกว่าที่ตั้งใจไว้ “ร้านปิดไปแล้ว แต่ถ้าเจ้าต้องการตำรา ข้าซื้อเกินมาเล่มหนึ่ง”
“จริงหรือเจ้าคะ?” หลินหนิงดวงตาเปล่งประกาย นางรีบถามต่อ “ท่านขายเท่าใด?”
จางอี้หมิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “นี่เป็นตำราที่เขียนโดยท่านต้าหมิง ราคาหนึ่งตำลึงทอง”
ซ่งอินที่ยืนอยู่ข้างๆ ฟังแล้วถึงกับหรี่ตามองศิษย์พี่ของเขา ‘ท่านต้าหมิงอันใด นามแฝงของท่านหรือ? ตำรานี้ราคาจริงแค่ห้าร้อยอีแปะ ศิษย์พี่ข้าช่างต่ำช้าจริงๆ’ เขาคิดในใจ แต่เลือกที่จะเงียบไม่กล่าวอะไร
หลินหนิงฟังแล้วหน้าเศร้าลง นางกัดริมฝีปากพลางก้มหน้าตอบเสียงเบา “ทั้งตัวข้ามีเพียงสองตำลึงเงินเท่านั้น”
จางอี้หมิงมองท่าทีของนางแล้วเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมา เขารู้ว่านางคงลำบากไม่น้อย แต่กลับมีความมุ่งมั่นเช่นนี้ จึงลดราคาลง “หนึ่งตำลึงเงินก็แล้วกัน ถือว่าโชคดีที่เจ้าเจอข้า”
ดวงตาของหลินหนิงเปล่งประกายด้วยความดีใจ นางรีบหยิบตั๋วเงินออกมาจ่ายพร้อมโค้งคำนับด้วยความขอบคุณ “ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ!”
จางอี้หมิงยื่นตำราให้พร้อมรอยยิ้มเจือจาง นางรับตำราไว้ด้วยสองมือและกล่าวลา ก่อนจะรีบเดินจากไปด้วยความสุขใจ
ซ่งอินมองหลังก่อนจะหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวลอยๆ “คล้ายมีใจเมตตา แต่ว่าแท้จริงเดรัจฉาน”
จางอี้หมิงแค่นหัวเราะพร้อมตอบกลับ “เจ้ามันไม่มีหัวการค้า”
จางอี้หมิง และ ซ่งอิน เดินผ่านประตูสำนักสังคีตเข้าสู่บรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เสียงดนตรี และความคึกคักจากเหล่าแขกที่มาดื่มด่ำความสำราญ ที่ประตูเก็บค่าเข้าคนละ 5 ตำลึงเงิน ทั้งสองจ่ายด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเลือกโต๊ะริมเวทีเพื่อชมการแสดงอย่างใกล้ชิด
เมื่อสุราและอาหารกับแกล้มถูกนำมาจัดวาง ทั้งสองดื่มกินอย่างสำราญ เสียงพิณและขลุ่ยบรรเลงจากสาวงามบนเวทีทำให้บรรยากาศยิ่งน่ารื่นรมย์ นักดนตรีแต่ละนางแต่งกายด้วยอาภรณ์เปิดเผยโชว์สัดส่วนอันเย้ายวน ทำให้ซ่งอินเริ่มพูดคุยด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน ส่วนจางอี้หมิงเพียงหัวเราะขำๆ พลางจิบสุราต่อเนื่อง
ทันใดนั้น เสียงกลองดังกึกก้องก่อนที่ม่านชั้นบนจะเปิดออก เผยให้เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งในอาภรณ์เบาบางประดับลายวิจิตร เธอคือ แม่นางฉีเหอ ยอดคณิกาดาวเด่นแห่งสำนักสังคีต ความงามของนางสะกดสายตาของทุกคนในห้อง รวมถึงจางอี้หมิงที่เผลอหยุดจิบสุราแล้วจ้องมองโดยไม่รู้ตัว
แม่นางฉีเหอเดินออกมาด้วยท่วงท่าสง่างาม เธอนั่งลงหน้าพิณไม้สลักลวดลายวิจิตร ก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงพิณที่ไพเราะจับใจ เสียงดนตรีของนางทำให้ทั้งห้องเงียบสงัด แขกทุกคนหลงใหลในท่วงทำนองที่ส่งผ่านนิ้วมือเรียวยาวของเธอ
เมื่อจบการแสดง นางยิ้มบางๆ ก่อนจะกล่าวเสียงหวานผ่านม่านไม้ไผ่บางเบา “ขอบคุณแขกทุกท่านที่มาร่วมสนุกในค่ำคืนนี้ ขอให้ทุกท่านดื่มให้เต็มที่เพื่อความสำราญ”
หลังจากนั้น บ่าวรับใช้ของสำนักสังคีตประกาศว่า “คืนนี้ ใครที่อยากมีโอกาสดื่มกับแม่นางฉีเหอเป็นการส่วนตัว สามารถลงแข่งขันเขียนอักษรได้ โดยมีค่าเข้าร่วม 10 ตำลึงทอง ผู้ที่แม่นางฉีเหอเลือกจะได้รับเกียรติพิเศษ”
ซ่งอินที่กำลังเมาหนัก หัวเราะพลางกล่าวกับจางอี้หมิง “ศิษย์พี่ เรามีเงินรวมกันแค่ 15 ตำลึงทอง อย่าเสียเงินเปล่าเลย แม้แต่พวกเศรษฐีใหญ่ยังแทบไม่มีโอกาสได้ใกล้นาง”
จางอี้หมิงที่หน้าแดงจากสุรา แสร้งทำเป็นพยักหน้าเห็นด้วย ทว่าเพียงพริบตาเดียวเขากลับลุกขึ้นประกาศกร้าว
“ข้าสมัคร!”
ซ่งอินที่เห็นเช่นนั้นได้แต่มองตามด้วยความตกใจและหัวเราะอย่างเหนื่อยใจ “นี่แหละศิษย์พี่ที่ข้ารู้จัก! ยังดีที่แบ่งเงินให้ข้านอนกับคณิกาธรรมดาไว้เหรียญหนึ่ง”
เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น แขกหลายคนพากันแสดงฝีมือเขียนอักษรบนกระดาษที่เตรียมไว้ แต่ไม่มีตัวอักษรใดที่โดดเด่นสะดุดตาเท่าผลงานของจางอี้หมิง อักษรของเขามีทั้งความงดงามและพลัง ชวนให้นึกถึงท่วงทำนองของดาบที่รวดเร็วและหนักแน่นในคราวเดียว
แม่นางฉีเหอที่ยืนมองผลงานอยู่ด้านบนส่งยิ้มพอใจ ก่อนจะโบกมือให้บ่าวรับใช้ประกาศชื่อผู้ชนะ “เสี่ยวจาง!”
เสียงปรบมือดังขึ้นทั่วห้อง ท่ามกลางสายตาอิจฉาของแขกคนอื่นๆ จางอี้หมิงเดินขึ้นไปยังชั้นบนด้วยรอยยิ้มมั่นใจ ขณะที่ซ่งอินได้แต่นั่งจิบสุราเงียบๆ พร้อมพึมพำเบาๆ “ศิษย์พี่ข้ายอดเยี่ยมจริงๆ”
จางอี้หมิง ค่อยๆ ก้าวลงสู่อ่างอาบน้ำร้อนภายในห้องส่วนตัวของสำนักสังคีต ไอน้ำลอยขึ้นคลอเคล้ากับแสงตะเกียงที่ส่องสว่างเบาๆ เผยให้เห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง และรอยแผลเป็นเด่นชัดกลางหน้าอกหญิงสา วสองนางในชุดบางเบาท่อนบนกำลังขัดถูร่างกายของเขาด้วยมือที่นุ่มนวลและระมัดระวัง ในขณะที่อีกคนบีบนวดไหล่และต้นแขนให้เขาอย่างอ่อนโยนเสียงประตูเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็น แม่นางฉีเหอ ในอาภรณ์สีแดงสดที่บางเบา เปิดเผยสัดส่วนอันงดงามและเย้ายวน เธอเดินเข้ามาอย่างสง่างาม ดวงตาคมจับจ้องมาที่จางอี้หมิง“พวกเจ้าออกไปก่อน” แม่นางฉีเหอเอ่ยเสียงนุ่ม หญิงสาวสองคนก้มหัวรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไปเงียบๆแม่นางฉีเหอนั่งลงข้างอ่าง รินสุราในถ้วยหยกส่งให้เขาด้วยรอยยิ้ม “คุณชายเสี่ยวจาง สุรานี้เป็นของพิเศษที่ข้าเก็บไว้
ในยามค่ำคืนก่อนวันสอบ จางอี้หมิงนอนหลับอยู่ในห้องพักเรียบง่าย แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างลงบนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของเขา ท่ามกลางความเงียบสงัด ความฝันได้พาเขาย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่เขาแทบจะลืมเลือนไปแล้วในความฝันนั้น เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กกำลังวิ่งเล่นในสวนดอกไม้กับมารดาผู้ให้กำเนิด ใบหน้าของนางอ่อนโยนและงดงามยิ่งนัก เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังขึ้นท่ามกลางสายลมเบาๆ ขณะนั้นบิดาของเขานั่งมองอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของบิดาเต็มไปด้วยความภูมิใจและอบอุ่นแต่แล้วภาพแห่งความสุขก็เลือนหายไป กลายเป็นภาพงานศพของมารดา เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กนั่งร้องไห้เสียงดัง สองแขนโอบร่างไร้วิญญาณของนางไว้แน่น ภาพนี้แทงลึกลงในจิตใจของเขาเหมือนหอกที่ทิ่มแทงไม่จบสิ้นจากนั้นความฝันเปลี่ยนไปเป็นภาพช่วงเวลาที่เขาเติบโต ฝึกฝนวิชาอย่างหนัก ภาพหอกเล่มหนึ่งพุ่งใส่เขาในสนามประลองและเขาต่อสู้กลับอย่างดุดัน ภาพเหล่านี้วนเวียนไปมาราวกับต้องการตอกย้ำอดีตของเขา
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง จางอี้หมิงเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เขาเดินตรงไปที่โต๊ะตัวสุดท้ายตามธรรมเนียม เนื่องจากเขาเป็นศิษย์คนเล็กของเจ้าสำนักเมื่อเขานั่งลงได้ไม่นาน ศิษย์พี่ฟางหรง ก็เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำชากาหนึ่ง วางลงตรงหน้าเขา พลางกล่าวสั้นๆ ว่า “ใกล้ได้เวลาแล้ว” ก่อนจะเดินจากไปจางอี้หมิงมองตามศิษย์พี่ฟางหรง พลางชื่นชมรูปร่างเพรียวบางของนางที่ดูงดงามอย่างไร้ที่ติ เมื่อฟางหรงนั่งลงตรงมุมหนึ่งของห้อง เขาเห็นใบหน้างดงามราวเทพธิดาของนางชัดเจนยิ่งขึ้น“งดงามยิ่งนัก” จางอี้หมิงนึกในใจจู่ๆ ฟางหรงหันมาสบตาเขาด้วยสายตาแฝงความสงสัย จางอี้หมิงรีบส่ายหน้าพลางสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป“ศิษย์พี่ฟางหรงสูงส่งและห่างไกลเกินไป นางไม่มีทางสละพรหมจรรย์ให้ข้าแน่”จางอี้หมิงยอมรับในใจว่าไม่คู
ภายในห้องประชุมของชั้นเก้า บรรยากาศเงียบสงบ ศิษย์ระดับสูงและเจ้าสำนักต่างจับจ้องภาพจากคันฉ่องวิเศษที่ฉายให้เห็นการทดสอบด้านล่าง จางอี้หมิง ที่กำลังครึ้มอกครึ้มใจได้เอ่ยขึ้นมาว่า "ท่านศิษย์พี่ฟ่านหวง ข้าขอเดิมพันว่า ผู้ที่หลุดจากภวังค์คนแรกจะเป็นสตรี ท่านว่าอย่างไร?"ฟ่านหวง หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าว่าจะต้องเป็นบุรุษ หากข้าผิด ข้ายินดีวาง 20 อีแปะเป็นเดิมพัน”จางอี้หมิงหัวเราะพลางโยนเหรียญ 20 อีแปะลงบนโต๊ะ “เช่นนั้นข้าขอพนันว่าเป็นสตรี!”เจียงเยว่ ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ทำหน้าหงุดหงิดพลางกล่าวลอยๆ “ไร้สาระนัก!”เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ยิ้มขำพลางโบกมือให้สงบ “ตั้งใจดูกันหน่อย!”เบื้องล่าง ผู้เข้าสอบทั้งหลายต่างตกอยู่ในภวังค์แห่ง เพลงพฤกษาเหมันต์สะท้านจันทรา ของศิษย์พี่ชิงซิ่ว ภาพต่างๆ ในใจของพวกเขาค่อยๆ ฉายออกมา รวมถึงหล
หวงจื่อรั่วค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อมองไปรอบๆ ทุกคนยังคงยืนนิ่ง หลับตาอยู่ในภวังค์ หวงจื่อรั่วสังเกตว่าตัวนางเป็นคนเดียวที่หลุดออกมาก่อน“เหตุใดข้าถึงหลุดออกมาก่อน บทเพลงยังคงบรรเลง นี่เป็นการทดสอบอะไรกัน ข้าผ่านแล้วงั้นหรือ”หวงจื่อรั่วหันไปมองหลินหนิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และยังคงหลับตาแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน“หลินหนิง!” หวงจื่อรั่วรีบก้าวเข้าไปใกล้ นางเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆหลินหนิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เสียงสะอื้นเล็กๆ ดังออกมาจากริมฝีปากของนาง ดวงตาของหลินหนิงเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอหน่วย ก่อนจะไหลรินลงมาอย่างเงียบงัน นางก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อของตัวเองแน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้น“เจ้าเป็นอะไร?” หวงจื่อรั่วถามหลินหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนตอบเสียงสั่นเครือ “ในภวังค์… ข
เมื่อการสอบสิ้นสุดลง จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่ในห้องประชุม จากนั้นศิษย์พี่ฟางหรงในชุดยาวปักลวดลายประณีต รูปร่างโปร่งบาง งดงามราวกับภาพวาดบนม้วนกระดาษโบราณ ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิฟางหรงหันมาทางจางอี้หมิง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่มีเสน่ห์ “จางอี้หมิง เดี๋ยวเจ้าตามข้ามา ข้ามียาฟื้นฟูที่บ่มไว้นานแล้ว คาดว่าน่าจะเสร็จพอดี เดี๋ยวเจ้าไปเอายาที่บ้านข้า”จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขามองศิษย์พี่ฟางหรงด้วยสายตาชื่นชม ก่อนพึมพำในใจว่า "ศิษย์พี่ฟางหรงของข้าผู้นี้ มองยังไงก็งดงาม น่าจะงามสุดในสำนักแล้ว"เขาลุกขึ้นยืน ยิ้มพลางตอบนาง “ขอบคุณศิษย์พี่ฟางหรง ข้าจะรีบไปตามคำสั่งของท่าน”ฟางหรง ผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์การรักษาและฟื้นฟู เป็นหนึ่งในศิษ
วันที่สำนักเทียนหยางกลับมาเปิดการฝึกฝนใหม่อีกครั้ง ยามนี้ศิษย์ระดับสูงอย่างชิงซิ่วและลิ่วเฉียงที่อยู่ในระดับแปดซึ่งตอนนี้ก็ต่างแยกย้ายกันไปเก็บตัวเพื่อฝึกฝนพลังปราณให้แข็งแกร่งกว่าเดิม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครจะทะลวงเข้าสู่ระดับเก้าก่อนกัน ฟางหรงคนงามตอนนี้ก็ออกเดินทางไปรวบรวมสมุนไพรที่เหลืออยู่อีกสิบเจ็ดชนิด เมื่อมีเหตุด่วนเหตุร้ายเมื่อไหร่จึงค่อยกลับมายังสำนักเทียนหยาง ส่วนเรื่องการฟื้นฟูรักษาก็เป็นหน้าที่ของศิษย์สายตรงของนางที่รับไว้ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในระดับสองและระดับหนึ่งเป็นผู้ดูแลศิษย์ที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วย ในเวลานี้ศิษย์ระดับเจ็ดอย่างเฉินเจิ้งเป็นผู้มีระดับปราณสูงสุดในสำนักส่วนเจ้าสำนักกู่เจิ้งไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน หากเขาอยากมาก็จะมาเอง
จางอี้หมิงมองตามถัวเค่อชีผู้นั้น เขารู้ดีว่าศิษย์ระดับสามผู้นั้นริษยาเขามาตลอด เหตุที่อายุเท่ากัน แต่จางอี้หมิงเข้าสำนักก่อน ได้เป็นศิษย์สายตรงของกู่เจิ้ง และทะลวงด่านขึ้นสู่ระดับสูงสำเร็จ แต่ถั่วเค่อชีผู้นั้นทำได้เพียงระดับสามเท่านั้น “หากข้าได้พลังปราณกลับคืนเพียงนิด เจ้าจะเป็นคนแรกที่บิดาจะสั่งสอน!” จางอี้หมิงลอบคิดในใจ ก่อนจะเดินนำหลินหนิงและหวงจื่อรั่วไปเพื่อรับฟังคำชี้แจงจางอี้หมิงยืนข้างหวงจื่อรั่ว ลอบมองใบหน้างดงามหมดจดของนาง ก่อนจะกระซิบกับนางเบาๆ “ที่นี่ศิษย์ระดับศูนย์จะต้องนอนร่วมกัน แต่แบ่งแยกชายหญิง เจ้าควรเลิกปลอมเป็นชายได้แล้ว”หวงจื่อรั่วมองเขาตอบด้วยสายตาเย็นชา “ข้าไม่ได้ปลอม”“เห็นชั
สายลมเย็นพัดผ่านยอดไม้ใหญ่ กิ่งไม้เสียดสีกันดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดบนก้านต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน ร่างสตรีปริศนาผู้หนึ่งยืนอยู่ นางสวมชุดคลุมสีเทาหม่น สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าสายตาของนางจ้องมองไปยังที่ตั้งของสำนักเทียนหยาง ราวกับกำลังเฝ้ารอเวลาอะไรบางอย่าง“เป็นอย่างไรบ้าง?”เสียงแหบห้าวดังขึ้นจากด้านหลังร่างชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทา สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเช่นกัน เขาก้าวเข้ามาใกล้อย่างเงียบงันสตรีในชุดคลุมไม่หันกลับมา นางเอ่ยเสียงเย็นชา“ข้าใส่จิตวิญญาณมารให้แก่ศิษย์คนนึงในสำนักเทียนหยางแล้ว ตอนนี้... ม่านพลังป้องกันมีรอยรั่วเล็กน้อย หน้าที่ของข้ามีเพียงเท่านี้”นางเหลือบตามองชายผู้นั้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว เชียนหวง”“อย่าทำให้เจ้าตำหนักพิโรธอีกรอบล่ะ”ดวงตาภายใต้หน้ากากของเชียนหวงเป็นประกายวาวโรจน์ เขายกคางขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งผยองทะนงตน “เรื่องนั้นไม่ต้องให้เจ้ามาสอน”“แน่ใจใช่ไหมว่าศิลาเฝิ่นเหิงอยู่ในสำนักเทียนหยาง?” เชียนหวงเอ่ยถาม น
แสงอรุณแรกสาดส่องผ่านบานหน้าต่าง ลำแสงสีทองกระทบใบหน้าของจางอี้หมิง เขาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย แต่เมื่อขยับตัวจึงพบว่า…“พื้นหน้าประตูบ้าน... ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้?”เขากวาดสายตามองรอบๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้ ศิษย์พี่เจียงเยว่ บุกมายึดเตียงของเขาและบังคับให้เขานอนเฝ้าประตูแทน“ช่างไร้น้ำใจเสียจริง! แย่งที่นอนข้าแล้วยังไม่คิดจะปลุกกันบ้างเลย”จางอี้หมิงบ่นอุบอิบพร้อมทั้งลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เส้นผมยุ่งเหยิง เขาขยี้ตาเบาๆ แล้วหันไปมองเตียงนอน…เตียงว่างเปล่า ไม่มีเงาของศิษย์พี่เจียงเยว่“ไว้วันหนึ่งท่านร่วมเตียงกับข้าเมื่อไหร่ ข้าจะปลุกขึ้นมาเสพสุขแต่เช้า”แม้จะบ่น แต่ใบหน้าของจางอี้หมิงกลับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อยจากนั้น จางอี้หมิงก็จัดการตัวเอง ล้างหน้า แปรงฟัน และเปลี่ยนชุดเรียบร้อย จางอี้หมิงเดินทอดน่องไปยังลานฝึกเบื้องล่างของสำนักวันนี้ก็เหมือนทุกวัน ไม่มีอันใดพิเศษเขาเข้าร่วมชั้นเรียนอย่างขอไปที ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ยังคงแสร้งทำเป็นตั้งใจต่อหน้าผู้สอนระหว่างพักการฝึก…
กริ๊ง!กริ๊ง!กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังขึ้น ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัด ถัวเค่อชีสะดุ้งตื่น ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เป็นเพราะแรงบางอย่างที่กำลังเรียกหาเขาวาบ!แสงสีม่วงสว่างวาบขึ้นตรงกลางหน้าผากของถัวเค่อชีลูกตาดำของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นราวกับวิญญาณไร้ชีวิต ก่อนจะค่อยๆ กลับคืนสู่สีดำ เสียงกระดิ่งยังคงดังต่อเนื่อง ดังก้องเข้าไปในห้วงจิตใจของเขากริ๊ง!อึก...!ถัวเค่อชีขบกรามแน่น พยายามดึงสติกลับคืนมา เขากุมศีรษะ ใช้กำปั้นทุบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ออกไป! ข้าไม่ต้องการเจ้า!”ถัวเค่อชียังคงทุกข์ทรมาน แต่แล้ว…เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเขา“จงลืมตาขึ้น... ความแข็งแกร่งที่แท้จริงกำลังรอเจ้าอยู่…”ดวงตาของถัวเค่อชีสั่นไหว มือของเขาสั่นระริก เสียงกระดิ่งยังคงดังไม่หยุด“เจ้าจำไม่ได้เหรอ... ว่าจางอี้หมิงน่าแค้นใจเพียงไร?”ทันใดนั้น ภาพแห่งความทรงจำในอดีตก็ไหลทะลักเข้ามาในหัวของเขาสิบปีก่อน…เด็กชายวัยสิบขวบเดินทางมาย
จางอี้หมิงเดินทางมาถึงบ้านของศิษย์พี่เฉินเจิ้ง บ้านของเฉินเจิ้งเต็มไปด้วยเศษโลหะกระจัดกระจายทั่วบริเวณ บางชิ้นเป็นแผ่นเหล็ก บางชิ้นเป็นเศษดาบที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และบางชิ้นก็เป็นเพียงเศษเหล็กที่ขึ้นสนิมไปแล้ว ที่หน้าบ้านมีเตาหลอมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ เปลวไฟที่มอดลงไปแล้วทำให้รู้ว่าเฉินเจิ้งคงเพิ่งทำงานเสร็จไม่นานจางอี้หมิงมองสภาพบ้านแล้วอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “เพ่ย! ศิษย์พี่เฉินเจิ้ง ช่างโสโครกยิ่งนัก!”ทันใดนั้น เสียงจากในบ้านก็ดังขึ้นมาทันที “เจ้าพูดอะไรข้าได้ยินนะ!”จางอี้หมิงยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าตั้งใจให้ท่านได้ยิน” แล้วเดินเข้าไปในบ้านภายในบ้านรกไม่แพ้ด้านนอก หากแต่สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในนี้ไม่ใช่เศษโลหะ แต่เป็นกองหนังสือที่กองระเกะระกะจนแทบไม่มีทางเดิน พื้นบางส่วนมีรอยหมึกเปรอะเปื้อน บางจุดมีม้วนตำราวางซ้อนกันจนสูงท่วมหัวเฉินเจิ้งคือผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ค้อนและหลอมโลหะ แถมยังเป็นผู้ชำนาญการอ่านตำราตอนกลางวันเขามักหมกมุ่นอยู่กับเตาหลอมโลหะ ส่วนกลางคืนจะหมกมุ่นอยู่กับตำราในบ้านจางอี้หมิงลัดเ
วันนี้เหล่าศิษย์ระดับศูนย์ ซึ่งเป็นระดับฐานของสำนักเทียนหยาง ต้องกลับสู่การฝึกฝนอีกครั้งจางอี้หมิงเดินผ่านประตูห้องเรียนเข้ามาด้วยท่าทางผ่อนคลาย สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับสองดรุณีงามหลินหนิงและหวงจื่อรั่ว สองสาวที่งามหยดย้อยในอาภรณ์ที่สะอาดตาแต่แนบเน้นรูปร่างพองาม สัดส่วนอ่อนช้อยของพวกนางช่างเย้ายวนจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง พลางโบกพัดในมือราวกับเป็นบัณฑิตเจ้าสำราญ แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาพวกนางอย่างไม่เร่งรีบทว่า ก่อนที่เขาจะไปถึงเป้าหมาย ชายหนุ่มสองคนก็ขวางทางไว้ คนหนึ่งแซ่หม่า อีกคนแซ่เจียง ทั้งสองเป็นสมุนของซุนสีห่าว บุตรชายของขุนนางใหญ่ แต่กลับเป็นคุณชายไม่เอาไหน ที่ฟ้าดินกลั่นแกล้งให้มาเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของน้องสาวจางอี้หมิงสมุนทั้งสองของซุนสีห่าวกอดอก ยืดอกทำท่าโอหัง ก่อนที่ผู้แซ่หม่าจะชี้นิ้วมาที่จางอี้หมิง“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” ผู้แซ่หม่ากล่าวเสียงดัง “วันนี้พวกข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าจากเหตุการณ์วันนั้น ที่เจ้าทำให้พวกข้าอับอายที่หน้าสำนักบ่อนเบี้ย!”จางอี้หมิงเหลือบตามองพวกเขาเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความเฉยเมย ก่อนจ
เช้าของวันใหม่ วันนี้เป็นวันที่ต้องเดินทางกลับสำนักเทียนหยางเพื่อไปฝึกฝนวิชาต่อ เหล่าศิษย์ระดับล่างที่หยุดผักผ่อนด้านนอก จะต้องกลับไปยังสำนักความจริงแล้วแม้ว่าจางอี้หมิงจะเป็นศิษย์ระดับสูง แต่ก็ต้องปฏิบัติถามกฎนี้ด้วยเช่นกัน เว้นแต่ว่าจะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจด้านนอก ก็สามารถแวะพักผ่อนตามทางได้เช่นกัน ขอแค่ภารกิจไม่เสียหายอาจจะมีบางครั้งที่เขาหรือศิษย์แอบหนีเที่ยวออกมา ซึ่งทางสำนักก็หลับตาข้างเดียวอนุโลมให้ หากหลบมาเพียงแค่คืนเดียว เพราะเป็นที่รู้กันว่าเป็นการออกไปหาความสุขชั่วคราวเท่านั้นจางอี้หมิง และ หวงจื่อรั่ว ควบม้าคู่กันออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน สายลมยามเช้าพัดจางๆ เย็นสบายยิ่งนัก ท้องฟ้าสีครามสดใส อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การเดินทางทั้งสองคนควบม้าเคียงกัน จางอี้หมิงมีธัญพืชขบเคียวตลอดทาง ส่วนหวงจื่อรั่วรักษาท่าทีได้ดี จนกระทั่งออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน เมื่อถึงบริเวณเขตชั้นนอก พวกเขาพบ แม่นางหลินหนิง กำลังยืนรออยู่ข้างทาง หลินหนิงทักทายทั้งสองก่อนจะขี่ม้าเดินต
เมื่อจางอี้หมิงก้าวเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และเครื่องหอม ลอยอบอวลในอากาศ เทียนไขบนโต๊ะเล็กส่องแสงวูบไหวเป็นประกายอ่อนโยน เงาสะท้อนของเปลวไฟเต้นระยิบระยับบนผ้าม่านโปร่งบาง ราวกับกำลังเต้นรำอยู่ในค่ำคืนที่เงียบสงบกลางห้อง มีร่างของดรุณีสาวผู้หนึ่ง ในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ เนื้อผ้าบางเบาพริ้วไหวไปตามลมอ่อน ซงเอ๋อร์ สาวใช้คู่ใจและว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง หันกลับมามองเขาแววตาอ่อนโยนคู่นั้นเต็มไปด้วยความใส่ใจ แก้มของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ ราวกับกลีบดอกท้อแรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ“คุณชายฝึกซ้อมเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ?” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ข้าจัดเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้ท่านแล้ว”จางอี้หมิงยิ้มบางๆ สายตาคมคายทอดมองหญิงสาวตรงหน้า “เจ้าช่างดีเหลือเกิน” เขากล่าวเบาๆซงเอ๋อร์เดินเข้ามาใกล้ นางช่วยปลดเสื้อคลุมของเขาออกอย่างนุ่มนวล มือเรียวของนางสัมผัสโดนปลายแขนของเขาเพียงแผ่วเบาทว่ากลับทำให้หัวใจของจางอี้หมิงเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัวหลังจากปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกแล้ว เขาก้าวลงไปในอ่างไม้ขนาดใหญ่ ไอน้ำอุ่นโอบล้อมร่างกายช่างผ่อนคลา
“พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย! ไอ้โรคจิตนี่จะขืนใจข้า!”“หา!?” จางอี้หมิงขมวดคิ้วทันใดนั้น ซุนสีห่าวที่กำลังวิ่งมาตามมา ก็ชะงักฝีเท้ากะทันหัน เมื่อเห็น ใบหน้าของจางอี้หมิงจากนั้น เข่าทรุดลงแทบพื้น!“พี่เขย!!”“...”“ข้าเคยล่วงเกินท่าน โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิด!!!”จางอี้หมิงกระพริบตาสองสามที ก่อนจะหันไปมองน้องสาวที่ยังยืนหลบอยู่ด้านหลังเขา จากนั้นรีบคว้ามือจางหลันซือขึ้นรถม้า แล้วควบรถม้าออกไปทันที!!เมื่อรถม้ากลับมาถึง จวนสกุลจาง จางหลันซือถอดปิ่นปักผมออก ผมสยายกระทบแสงอาทิตย์งดงาม ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ“เกิดอะไรขึ้น?”
ภายในห้องอาหารของจวนสกุลจาง ทุกคนในครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา จางส่วง ผู้เป็นบิดา นั่งอยู่หัวโต๊ะ ด้านข้างมี หลี่เอ้อเหมียว ภรรยาของเขาและเป็นมารดาเลี้ยงของ จางอี้หมิง ส่วน จางหลันซือ บุตรีของหลี่เอ้อเหมียว และ จางอี้หมิง พี่ชายต่างมารดา ก็นั่งร่วมโต๊ะพร้อมกันบรรยากาศเป็นไปอย่างสงบ ทุกคนเพลิดเพลินกับอาหารถูกจัดเตรียมมาอย่างดีจางอี้หมิงคีบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งอย่างใจเย็น และสูดกลิ่นหอมของอาหารเบาๆ ขณะที่หลี่เอ้อเหมียวรินน้ำชาให้สามีจางหลันซือที่เงียบมานานจ้องมองพี่ชายต่างมารดาของตน ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“พี่ใหญ่มีเรื่องใดสารภาพหรือไม่?”จางอี้หมิงชะงักมือที่กำลังคีบอาหาร ดวงตาคมเข้มเหลือบมองน้องสาวแล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจหลี่เอ้อเหมียววางกาน้ำชาลงแล้วหันมามองด้วยความสนใจ ขณะที่ จางส่วง ผู้เป็นบิดา ชะงักไปเพียงอึดใจ ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังแล้วกล่าวขึ้น“เจ้าไปทำนางคณิกาคนใดท้อง?”เสียงคำถามนั้นทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่พลันชะงักไปชั่วขณะ แม้แต่นางรับใช้ที่กำลังรินน้ำแกงยังเผลอมือสั่นเล็กน้อยจางอี้หมิงถอนหายใจแล้