ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง จางอี้หมิงเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เขาเดินตรงไปที่โต๊ะตัวสุดท้ายตามธรรมเนียม เนื่องจากเขาเป็นศิษย์คนเล็กของเจ้าสำนัก
เมื่อเขานั่งลงได้ไม่นาน ศิษย์พี่ฟางหรง ก็เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำชากาหนึ่ง วางลงตรงหน้าเขา พลางกล่าวสั้นๆ ว่า “ใกล้ได้เวลาแล้ว” ก่อนจะเดินจากไป
จางอี้หมิงมองตามศิษย์พี่ฟางหรง พลางชื่นชมรูปร่างเพรียวบางของนางที่ดูงดงามอย่างไร้ที่ติ เมื่อฟางหรงนั่งลงตรงมุมหนึ่งของห้อง เขาเห็นใบหน้างดงามราวเทพธิดาของนางชัดเจนยิ่งขึ้น
“งดงามยิ่งนัก” จางอี้หมิงนึกในใจ
จู่ๆ ฟางหรงหันมาสบตาเขาด้วยสายตาแฝงความสงสัย จางอี้หมิงรีบส่ายหน้าพลางสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป
“ศิษย์พี่ฟางหรงสูงส่งและห่างไกลเกินไป นางไม่มีทางสละพรหมจรรย์ให้ข้าแน่”
จางอี้หมิงยอมรับในใจว่าไม่คู่ควร
เขายกถ้วยชาขึ้นดื่มพลางก้มมองต่ำ แต่พลันสายตาเหลือบไปสบกับ ศิษย์พี่เจียงเยว่ ที่นั่งอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของเจียงเยว่ที่งดงามไม่แพ้ฟางหรงนั้นทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว แต่ท่าทีของนางกลับทำให้เขาชะงัก เพราะทันทีที่เจียงเยว่เห็นเขา นางทำหน้าหงุดหงิดใส่และหันหน้าหนี
จางอี้หมิงคิดในใจอย่างสงสัย “ข้าเผลอไปทำอะไรให้นางโกรธ? ก็ไม่มีนี่!”
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิด เสียงสัญญาณเริ่มการสอบก็ดังขึ้น คันฉ่องวิเศษบานใหญ่กลางห้องฉายภาพผู้เข้าสอบแต่ละคนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องสอบเบื้องล่าง ทำการทดสอบข้อเขียนอย่างเคร่งเครียด
จางอี้หมิงนั่งดูอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า “ใช่แล้ว แม่นางซงเอ๋อร์ สาวใช้ประจำจวนของข้า วันนี้จะมาร่วมการสอบด้วย?”
ความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกคาดหวัง เพราะถ้าเป็นซงเอ๋อร์ นางอาจยอมเสียพรหมจรรย์ให้เขาได้ง่ายกว่าผู้อื่น “ถึงอย่างไร ท่านพ่อของข้าก็ตั้งใจจะแต่งตั้งนางเป็นอนุภรรยาของข้าไม่วันใดก็วันหนึ่งอยู่แล้ว”
ขณะที่จางอี้หมิงกำลังคิดไปไกล ภาพในคันฉ่องแสดงให้เห็นภาพของหญิงสาวมากมายที่กำลังทำข้อสอบ แต่กลับไม่มีร่องรอยของซงเอ๋อร์เลย ทำให้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ยังคงมีความหวังอยู่ลึกๆ
“ภาพอาจไม่ได้จับไปที่นาง”
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เสียงสัญญาณยุติการสอบดังขึ้น
หลังจากเวลาสอบข้อเขียนสิ้นสุดลง ผู้เข้าสอบทุกคนต่างพักผ่อนเพื่อรอฟังผลสอบที่กำลังจะประกาศออกมา ในห้องตรวจข้อสอบ ซ่งอิน ศิษย์ระดับ 3 ผู้เชี่ยวชาญเวทอักษร และ หลี่เกอซิน ศิษย์หญิงระดับ 3 ผู้เชี่ยวชาญเวทตรวจจับ ต่างทำหน้าที่ตรวจข้อสอบอย่างขะมักเขม้น
เวลาผ่านไปเพียงชั่วหม้อข้าวเดือด ผลสอบก็ถูกตรวจเสร็จสิ้น และรายชื่อผู้ผ่านการสอบก็ถูกปิดประกาศที่กระดานใหญ่บนลานกว้าง
ห้องประชุมศิษย์ระดับสูง ชั้นเก้า หอเทียนหยาง
ที่หน้าคันฉ่องวิเศษขนาดใหญ่ ปรากฏภาพรายชื่อและใบหน้าของผู้เข้าสอบที่ได้คะแนนสูงสุดของรอบข้อเขียน คนผู้นั้นคือ หลินหนิง
จางอี้หมิงมองเห็นภาพของหลินหนิงในคันฉ่อง เขานึกขึ้นได้ทันทีว่า “ข้าขายตำราติวโก่งราคาให้แก่นางนี่!”
“ช่างเป็นอัจฉริยะเสียจริง”
“แล้วทำไมแม่นางซงเอ๋อร์ถึงไม่ได้ที่หนึ่ง? ทั้งที่ข้าส่งข้อสอบจริงให้แก่นาง”
จางอี้หมิงคิดต่ออย่างครุ่นเครือง “หรือว่า…นางแกล้งตอบผิดสองสามข้อเพราะกลัวถูกจับได้ว่าข้าขโมยข้อสอบจริงมาให้? ต้องใช้แน่ๆ”
เขากวาดสายตาตรวจสอบรายชื่อผู้สอบผ่านทั้งหมด แต่กลับไม่พบชื่อ ซงเอ๋อร์ เลย
“ทำไมไม่มีชื่อของนาง?”
ความผิดหวังพลันถาโถมเข้ามาเหมือนอกหัก เขาอดถอนหายใจไม่ได้ แต่ในรายชื่อเหล่านั้น เขามองเห็นชื่อ หวงจื่อรั่ว องครักษ์สาวประจำกายของจางหลันซือ น้องสาวต่างมารดาของเขา
“เหตุใดหวงจื่อรั่วถึงมาสอบได้?”
“นางไม่ต้องเป็นองครักษ์ให้แก่หลันซือแล้วหรือ?”
จางอี้หมิงรีบลุกขึ้นจากที่นั่ง วิ่งลงมาจากหอเทียนหยาง ก่อนควบม้าตรงไปยังลานกว้าง
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าคงบินไปแล้ว”
ที่ลานกว้าง
เมื่อจางอี้หมิงมาถึงลานกว้างและพบกับ หวงจื่อรั่ว จางอี้หมิงไม่รอช้า รีบสอบถามทันที
“แม่นางหวง เหตุใดท่านถึงอยู่ที่นี่?”
หวงจื่อรั่วหันมามองเขา ก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เป็นท่านสินะ ที่เป็นมอบข้อสอบนั้นให้แม่นางซงเอ๋อร์”
จางอี้หมิงยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ใช่ ข้าทำเอง แล้วนางเล่า?”
หวงจื่อรั่วถอนหายใจเบาๆ ก่อนเล่าว่า “แม่นางซงเอ๋อร์คิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับสำนักเทียนหยาง นางจึงไม่กล้ามาสอบ ท่านอ๋องเลยส่งตัวข้ามาแทนนาง”
จางอี้หมิงเข้าใจเหตุผลของซงเอ๋อร์ในทันที แต่ในใจก็ยังอดเสียดายไม่ได้ เขาถามต่อว่า “แล้วเจ้าไม่ต้องเป็นองครักษ์ให้หลันซืออีกแล้วหรือ?”
หวงจื่อรั่วยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบว่า “ในจวนมีองครักษ์มากมาย”
“ท่านอ๋องกำชับมาว่าให้ช่วยคุ้มกันท่าน แต่อย่าหวังว่าข้าจะปรนนิบัติท่านเหมือนที่แม่นางซงเอ๋อร์ทำ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน หลินหนิง เดินเข้ามาหาจางอี้หมิงพร้อมรอยยิ้ม นางกล่าวด้วยความจริงใจว่า “ขอบคุณท่าน…ที่ขายตำราติวให้ข้า”
จางอี้หมิงหันไปมอง ก่อนยิ้มบางๆ “ถ้าจะขอบคุณ ก็ขอบคุณท่านต้าหมิงเถิดที่เขียนตำรานั้นขึ้นมา”
“แล้วข้าต้องขอบคุณท่านต้าหมิงที่ใด”
“ท่านต้าหมิงคือผู้ฝึกตนผู้แข็งแกร่ง เขาได้ยินเจ้าแล้ว”
‘ข้านี่แหละคือท่านต้าหมิงที่เจ้ากำลังขอบคุณ หึ! ถึงอย่างไรศิษย์หน้าใหม่ก็ไม่มีใครรู้จักข้าอยู่แล้ว ข้าจะสถาปนาตัวเองเป็นวีรบุรุษอันใดก็ได้’ จ้างอี้หมิงครุ่นคิดในใจ
จางนั้นจางอี้หมิงขอตัวลา เพื่อกลับไปยังหอคอยเก้าชั้นตามเดิม “ไว้พบกันวันเปิดการศึกษา ข้าไปเตรียมตัวก่อน”
หวงจื่อรั่วและหลินหนิงมองตามเขาที่กำลังเดินจาก หวงจื่อรั่วมองดวงสายตาเย็นชาคล้ายกับจางอี้หมิงไม่มีตัวตน ส่วนหลินหนิงนั้นมองเขาด้วยตาเป็นประกายตามประสาคนที่ชอบทำความรู้จักผู้อื่น
“เดี๋ยวก่อนสิ ท่านชื่ออะไร”
แม่นางหลินหนิงคนงามเอ่ยถามขึ้น มีหรือที่จางอี้หมิงเห็นสตรีที่งดงามเช่นนี้จะไม่หันไปตอบ “ข้ามีนามว่า เสี่ยวอี้!”
“ข้าหลินหนิง!”
เมื่อจางอี้หมิงกลับไปยังห้องประชุมบนชั้นเก้าของหอเทียนหยางแล้ว เหล่าผู้คุมสอบก็เริ่มทยอยเข้าสู่ลานกว้าง ผู้เข้าสอบใหม่ทุกคนต่างตื่นเต้นกับการสอบในรอบถัดไป บรรยากาศเต็มไปด้วยความคาดหวังและความกดดัน
หนึ่งในผู้คุมสอบในชุดคลุมสีขาวซึ่งเป็นสีประจำสำนัก ก้าวขึ้นไปยังแท่นสูง เขากล่าวเสียงดังด้วยน้ำเสียงทรงพลังว่า “ลำดับต่อไป จะเป็นการทดสอบความสามารถในการต่อสู้และการเอาตัวรอด! ขอให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม!”
เสียงฆ้องขนาดใหญ่ดังขึ้นก้องกังวานทั่วลานกว้าง เป็นสัญญาณเริ่มต้นการสอบรอบใหม่ ทุกคนต่างเตรียมพร้อมทันที!
ชั้นเก้า หอเทียนหยาง
ที่ห้องประชุมศิษย์ระดับสูง ศิษย์พี่ชิงซิ่ว ศิษย์ชั้นสูงระดับแปด บุรุษผู้มีอายุมากกว่าจางอี้หมิงพอสมควร เป็นผู้มีออร่าแห่งความสงบลึกซึ้ง ก้าวเข้าไปยืนหน้าคันฉ่องวิเศษที่ฉายภาพเหตุการณ์ในลานกว้าง เขายกมือขึ้นเล็กน้อยราวกับว่ากำลังร่ายเวทบางอย่าง ก่อนร่างของเขาจะหายเข้าไปในคันฉ่องวิเศษนั้น
ลานกว้าง
ในลานกว้างที่เต็มไปด้วยผู้เข้าสอบ ร่างของ ศิษย์พี่ชิงซิ่ว ปรากฏกายขึ้นบนอากาศเบื้องบน เขามีรูปร่างสูงสง่า ใบหน้าสุขุมสงบนิ่ง เขาคือผู้เชี่ยวชาญ ปราณเวทแห่งเสียง หนึ่งในศาสตร์ที่คล้ายจะง่ายดาย แต่กลับลึกซึ้งและรุนแรง
ชิงซิ่วยก ขลุ่ยหยกสีขาวเลาเล็ก ขึ้นมาในมือ ขลุ่ยเลานี้มีลวดลายแกะสลักเป็นคลื่นเสียงอันงดงาม เขาเป่าเพลงท่วงทำนองที่แสนอ่อนโยน แต่กลับเต็มไปด้วยพลังสะกดจิตใจ กับเพลง "พฤกษาเหมันต์สะท้านจันทรา"
เสียงขลุ่ยของชิงซิ่วดังก้องไปทั่วลานกว้าง ทุกคนที่ได้ยินเสียงเพลงต่างรู้สึกถึงความสงบที่แทรกซึมเข้าสู่จิตใจ และไม่อาจหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในภวังค์แห่งเสียงนั้นได้ ดวงตาของผู้เข้าสอบทุกคนเริ่มเหม่อลอย ร่างกายคล้ายถูกตรึงไว้ด้วยพลังปราณ
จางอี้หมิงมองดูผ่านคันฉ่องอย่างตั้งใจ พลางหยิบเงินในกระเป๋าขึ้นมา 10 อีแปะ แล้วหันไปมองศิษย์พี่ฟ่านหวง “กล้าพนันกับข้าหรือไม่ ผู้ที่ลืมตาออกมาก่อนเป็นสตรีหรือบุรุษ!”
ภายในห้องประชุมของชั้นเก้า บรรยากาศเงียบสงบ ศิษย์ระดับสูงและเจ้าสำนักต่างจับจ้องภาพจากคันฉ่องวิเศษที่ฉายให้เห็นการทดสอบด้านล่าง จางอี้หมิง ที่กำลังครึ้มอกครึ้มใจได้เอ่ยขึ้นมาว่า "ท่านศิษย์พี่ฟ่านหวง ข้าขอเดิมพันว่า ผู้ที่หลุดจากภวังค์คนแรกจะเป็นสตรี ท่านว่าอย่างไร?"ฟ่านหวง หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าว่าจะต้องเป็นบุรุษ หากข้าผิด ข้ายินดีวาง 20 อีแปะเป็นเดิมพัน”จางอี้หมิงหัวเราะพลางโยนเหรียญ 20 อีแปะลงบนโต๊ะ “เช่นนั้นข้าขอพนันว่าเป็นสตรี!”เจียงเยว่ ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ทำหน้าหงุดหงิดพลางกล่าวลอยๆ “ไร้สาระนัก!”เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ยิ้มขำพลางโบกมือให้สงบ “ตั้งใจดูกันหน่อย!”เบื้องล่าง ผู้เข้าสอบทั้งหลายต่างตกอยู่ในภวังค์แห่ง เพลงพฤกษาเหมันต์สะท้านจันทรา ของศิษย์พี่ชิงซิ่ว ภาพต่างๆ ในใจของพวกเขาค่อยๆ ฉายออกมา รวมถึงหล
หวงจื่อรั่วค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อมองไปรอบๆ ทุกคนยังคงยืนนิ่ง หลับตาอยู่ในภวังค์ หวงจื่อรั่วสังเกตว่าตัวนางเป็นคนเดียวที่หลุดออกมาก่อน“เหตุใดข้าถึงหลุดออกมาก่อน บทเพลงยังคงบรรเลง นี่เป็นการทดสอบอะไรกัน ข้าผ่านแล้วงั้นหรือ”หวงจื่อรั่วหันไปมองหลินหนิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และยังคงหลับตาแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน“หลินหนิง!” หวงจื่อรั่วรีบก้าวเข้าไปใกล้ นางเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆหลินหนิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เสียงสะอื้นเล็กๆ ดังออกมาจากริมฝีปากของนาง ดวงตาของหลินหนิงเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอหน่วย ก่อนจะไหลรินลงมาอย่างเงียบงัน นางก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อของตัวเองแน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้น“เจ้าเป็นอะไร?” หวงจื่อรั่วถามหลินหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนตอบเสียงสั่นเครือ “ในภวังค์… ข
เมื่อการสอบสิ้นสุดลง จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่ในห้องประชุม จากนั้นศิษย์พี่ฟางหรงในชุดยาวปักลวดลายประณีต รูปร่างโปร่งบาง งดงามราวกับภาพวาดบนม้วนกระดาษโบราณ ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิฟางหรงหันมาทางจางอี้หมิง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่มีเสน่ห์ “จางอี้หมิง เดี๋ยวเจ้าตามข้ามา ข้ามียาฟื้นฟูที่บ่มไว้นานแล้ว คาดว่าน่าจะเสร็จพอดี เดี๋ยวเจ้าไปเอายาที่บ้านข้า”จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขามองศิษย์พี่ฟางหรงด้วยสายตาชื่นชม ก่อนพึมพำในใจว่า "ศิษย์พี่ฟางหรงของข้าผู้นี้ มองยังไงก็งดงาม น่าจะงามสุดในสำนักแล้ว"เขาลุกขึ้นยืน ยิ้มพลางตอบนาง “ขอบคุณศิษย์พี่ฟางหรง ข้าจะรีบไปตามคำสั่งของท่าน”ฟางหรง ผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์การรักษาและฟื้นฟู เป็นหนึ่งในศิษ
วันที่สำนักเทียนหยางกลับมาเปิดการฝึกฝนใหม่อีกครั้ง ยามนี้ศิษย์ระดับสูงอย่างชิงซิ่วและลิ่วเฉียงที่อยู่ในระดับแปดซึ่งตอนนี้ก็ต่างแยกย้ายกันไปเก็บตัวเพื่อฝึกฝนพลังปราณให้แข็งแกร่งกว่าเดิม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครจะทะลวงเข้าสู่ระดับเก้าก่อนกัน ฟางหรงคนงามตอนนี้ก็ออกเดินทางไปรวบรวมสมุนไพรที่เหลืออยู่อีกสิบเจ็ดชนิด เมื่อมีเหตุด่วนเหตุร้ายเมื่อไหร่จึงค่อยกลับมายังสำนักเทียนหยาง ส่วนเรื่องการฟื้นฟูรักษาก็เป็นหน้าที่ของศิษย์สายตรงของนางที่รับไว้ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในระดับสองและระดับหนึ่งเป็นผู้ดูแลศิษย์ที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วย ในเวลานี้ศิษย์ระดับเจ็ดอย่างเฉินเจิ้งเป็นผู้มีระดับปราณสูงสุดในสำนักส่วนเจ้าสำนักกู่เจิ้งไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน หากเขาอยากมาก็จะมาเอง
จางอี้หมิงมองตามถัวเค่อชีผู้นั้น เขารู้ดีว่าศิษย์ระดับสามผู้นั้นริษยาเขามาตลอด เหตุที่อายุเท่ากัน แต่จางอี้หมิงเข้าสำนักก่อน ได้เป็นศิษย์สายตรงของกู่เจิ้ง และทะลวงด่านขึ้นสู่ระดับสูงสำเร็จ แต่ถั่วเค่อชีผู้นั้นทำได้เพียงระดับสามเท่านั้น “หากข้าได้พลังปราณกลับคืนเพียงนิด เจ้าจะเป็นคนแรกที่บิดาจะสั่งสอน!” จางอี้หมิงลอบคิดในใจ ก่อนจะเดินนำหลินหนิงและหวงจื่อรั่วไปเพื่อรับฟังคำชี้แจงจางอี้หมิงยืนข้างหวงจื่อรั่ว ลอบมองใบหน้างดงามหมดจดของนาง ก่อนจะกระซิบกับนางเบาๆ “ที่นี่ศิษย์ระดับศูนย์จะต้องนอนร่วมกัน แต่แบ่งแยกชายหญิง เจ้าควรเลิกปลอมเป็นชายได้แล้ว”หวงจื่อรั่วมองเขาตอบด้วยสายตาเย็นชา “ข้าไม่ได้ปลอม”“เห็นชั
เสียงระฆังดังเป็นสัญญาณเริ่มต้นวันเรียนแรกของเหล่าผู้ฝึกตนหน้าใหม่ ศิษย์ใหม่ต่างทยอยกันเข้ามานั่งประจำโต๊ะกันอย่างเร่งรีบ เนื่องจากเป็นวันแรกที่ไม่มีใครอยากถูกเพ่งเล็งมากนักนี่เป็นสิ่งที่จางอี้หมิงเห็นเป็นประจำในทุกครั้ง แต่หลังจากศิษย์หน้าใหม่เหล่านี้ สามารถจับทิศทางของอาจารย์ผู้สอนได้แล้ว ก็มักจะนอกลู่นอกทางกันบ้างแต่ยังอยู่ในขอบเขตท่ามกลางบรรยากาศของห้องเรียนที่โปร่งโล่ง ผนังแกะสลักลวดลายวิจิตรและหน้าต่างเปิดรับแสง สองดรุณีสาวผู้งดงามเหนือใครในสายตาของจางอี้หมิงรวมถึงสายตาใครอีกหลายคน พลันปรากฏตัวขึ้นในห้องเรียนนี้หลินหนิง ดรุณีสาววัยสิบหก ผู้มีดวงตากลมโตแวววาวเหมือนหยาดน้ำค้าง ผิวขาวอมชมพูเปล่งประกายราวหิมะ นางเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใสที่ทำให้ทั้งห้องเหมือนสว่างขึ้น ข้างกายนางคือ หวงจื่อรั่ว ผู้มีโฉมงามหมดจดราวนางในภาพวาด แต่มักทำหน้านิ่งขรึมจนดูเย็นชา ทั้งสองเลือกโต๊ะคู่อยู่กลางห้อง และนั่งลงอย่างสงบ
ซ่งอินเดินวนไปมาหน้าห้องเรียนด้วยท่าทางสง่างาม เขามองเหล่าผู้ฝึกตนหน้าใหม่ที่นั่งเรียงกันในท่าฝึกสมาธิอย่างเงียบงัน ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่ทรงพลัง“หน้าที่ของพวกเจ้าในวันนี้คือโคจรลมปราณและใช้พลังของเจ้า ทำให้แผ่นไม้เล็กเรียวยาวตรงหน้าลอยอยู่กลางอากาศให้ได้”ทุกคนต่างหันมามองแผ่นไม้ที่วางอยู่ตรงหน้าของตัวเอง ด้วยแววตาที่ผสมผสานระหว่างความมุ่งมั่นและกังวลซ่งอินอธิบายเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“การควบคุมลมปราณในระดับนี้เป็นพื้นฐานของการฝึกขี่อาวุธในอนาคต หากพวกเจ้าทำไม่ได้ แม้แต่เหาะเหินเดินอากาศก็คงเป็นไปไม่ได้ จงตั้งสมาธิ หายใจให้ช้า และดึงพลังปราณจากภายในตัวเจ้าออกมา!”ศิษย์แต่ละคนพยายามทำตามคำแนะนำ บางคนหลับตา บางคนจ้องแผ่นไม้ด้วยความตั้งใจสุดกำลัง เสียงลมหายใจดังสลับกับเสียงพึมพำเบาๆ ของบางคนที่พยายามรวบรวมสมาธิ
หลังจากการฝึกฝนเสร็จสิ้น ศิษย์ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับไปยังเรือนพักของตน หลินหนิงและหวงจื่อรั่ว เดินกลับเรือนของพวกนางด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อถึงเรือนพัก หลินหนิง ทิ้งร่างอันบอบบางลงบนเตียงนุ่มอย่างหมดแรง นางเอนตัวพลางบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า“วันนี้ช่างเหนื่อยยิ่งนัก...”หวงจื่อรั่ว ที่นั่งลงบนเตียงอีกฟากหนึ่งอย่างสำรวมและสง่างาม แม้จะแต่งกายคล้ายชายหนุ่ม แต่รูปร่างของนางยังคงเผยความเป็นสตรีด้วยแผ่นอกที่ดูเด่นสะดุดตา นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ“เจ้าช่างเรียนรู้ได้ไวยิ่งนัก น่าชื่นชม”หลินหนิง พลิกตัวมองไปทางหวงจื่อรั่วแล้วเผยรอยยิ้มบาง“ข้าไม่ได้เก่งอะไรหรอก เพียงแต่…ตัวข้าตั้งใจมาเป็นผู้ฝึกตน เพราะอยากให้ครอบครัวของข้าอยู่สุขสบายขึ้น เลยตั้งใจมากเป็นพิเศษเท่านั้น”
สายลมเย็นพัดผ่านยอดไม้ใหญ่ กิ่งไม้เสียดสีกันดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดบนก้านต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน ร่างสตรีปริศนาผู้หนึ่งยืนอยู่ นางสวมชุดคลุมสีเทาหม่น สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าสายตาของนางจ้องมองไปยังที่ตั้งของสำนักเทียนหยาง ราวกับกำลังเฝ้ารอเวลาอะไรบางอย่าง“เป็นอย่างไรบ้าง?”เสียงแหบห้าวดังขึ้นจากด้านหลังร่างชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทา สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าเช่นกัน เขาก้าวเข้ามาใกล้อย่างเงียบงันสตรีในชุดคลุมไม่หันกลับมา นางเอ่ยเสียงเย็นชา“ข้าใส่จิตวิญญาณมารให้แก่ศิษย์คนนึงในสำนักเทียนหยางแล้ว ตอนนี้... ม่านพลังป้องกันมีรอยรั่วเล็กน้อย หน้าที่ของข้ามีเพียงเท่านี้”นางเหลือบตามองชายผู้นั้นเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว เชียนหวง”“อย่าทำให้เจ้าตำหนักพิโรธอีกรอบล่ะ”ดวงตาภายใต้หน้ากากของเชียนหวงเป็นประกายวาวโรจน์ เขายกคางขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งผยองทะนงตน “เรื่องนั้นไม่ต้องให้เจ้ามาสอน”“แน่ใจใช่ไหมว่าศิลาเฝิ่นเหิงอยู่ในสำนักเทียนหยาง?” เชียนหวงเอ่ยถาม น
แสงอรุณแรกสาดส่องผ่านบานหน้าต่าง ลำแสงสีทองกระทบใบหน้าของจางอี้หมิง เขาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย แต่เมื่อขยับตัวจึงพบว่า…“พื้นหน้าประตูบ้าน... ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้?”เขากวาดสายตามองรอบๆ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้ ศิษย์พี่เจียงเยว่ บุกมายึดเตียงของเขาและบังคับให้เขานอนเฝ้าประตูแทน“ช่างไร้น้ำใจเสียจริง! แย่งที่นอนข้าแล้วยังไม่คิดจะปลุกกันบ้างเลย”จางอี้หมิงบ่นอุบอิบพร้อมทั้งลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เส้นผมยุ่งเหยิง เขาขยี้ตาเบาๆ แล้วหันไปมองเตียงนอน…เตียงว่างเปล่า ไม่มีเงาของศิษย์พี่เจียงเยว่“ไว้วันหนึ่งท่านร่วมเตียงกับข้าเมื่อไหร่ ข้าจะปลุกขึ้นมาเสพสุขแต่เช้า”แม้จะบ่น แต่ใบหน้าของจางอี้หมิงกลับเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเล็กน้อยจากนั้น จางอี้หมิงก็จัดการตัวเอง ล้างหน้า แปรงฟัน และเปลี่ยนชุดเรียบร้อย จางอี้หมิงเดินทอดน่องไปยังลานฝึกเบื้องล่างของสำนักวันนี้ก็เหมือนทุกวัน ไม่มีอันใดพิเศษเขาเข้าร่วมชั้นเรียนอย่างขอไปที ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ยังคงแสร้งทำเป็นตั้งใจต่อหน้าผู้สอนระหว่างพักการฝึก…
กริ๊ง!กริ๊ง!กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังขึ้น ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัด ถัวเค่อชีสะดุ้งตื่น ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เป็นเพราะแรงบางอย่างที่กำลังเรียกหาเขาวาบ!แสงสีม่วงสว่างวาบขึ้นตรงกลางหน้าผากของถัวเค่อชีลูกตาดำของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นราวกับวิญญาณไร้ชีวิต ก่อนจะค่อยๆ กลับคืนสู่สีดำ เสียงกระดิ่งยังคงดังต่อเนื่อง ดังก้องเข้าไปในห้วงจิตใจของเขากริ๊ง!อึก...!ถัวเค่อชีขบกรามแน่น พยายามดึงสติกลับคืนมา เขากุมศีรษะ ใช้กำปั้นทุบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ออกไป! ข้าไม่ต้องการเจ้า!”ถัวเค่อชียังคงทุกข์ทรมาน แต่แล้ว…เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเขา“จงลืมตาขึ้น... ความแข็งแกร่งที่แท้จริงกำลังรอเจ้าอยู่…”ดวงตาของถัวเค่อชีสั่นไหว มือของเขาสั่นระริก เสียงกระดิ่งยังคงดังไม่หยุด“เจ้าจำไม่ได้เหรอ... ว่าจางอี้หมิงน่าแค้นใจเพียงไร?”ทันใดนั้น ภาพแห่งความทรงจำในอดีตก็ไหลทะลักเข้ามาในหัวของเขาสิบปีก่อน…เด็กชายวัยสิบขวบเดินทางมาย
จางอี้หมิงเดินทางมาถึงบ้านของศิษย์พี่เฉินเจิ้ง บ้านของเฉินเจิ้งเต็มไปด้วยเศษโลหะกระจัดกระจายทั่วบริเวณ บางชิ้นเป็นแผ่นเหล็ก บางชิ้นเป็นเศษดาบที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และบางชิ้นก็เป็นเพียงเศษเหล็กที่ขึ้นสนิมไปแล้ว ที่หน้าบ้านมีเตาหลอมขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ เปลวไฟที่มอดลงไปแล้วทำให้รู้ว่าเฉินเจิ้งคงเพิ่งทำงานเสร็จไม่นานจางอี้หมิงมองสภาพบ้านแล้วอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “เพ่ย! ศิษย์พี่เฉินเจิ้ง ช่างโสโครกยิ่งนัก!”ทันใดนั้น เสียงจากในบ้านก็ดังขึ้นมาทันที “เจ้าพูดอะไรข้าได้ยินนะ!”จางอี้หมิงยิ้มมุมปาก ก่อนจะตอบกลับไป “ข้าตั้งใจให้ท่านได้ยิน” แล้วเดินเข้าไปในบ้านภายในบ้านรกไม่แพ้ด้านนอก หากแต่สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่ในนี้ไม่ใช่เศษโลหะ แต่เป็นกองหนังสือที่กองระเกะระกะจนแทบไม่มีทางเดิน พื้นบางส่วนมีรอยหมึกเปรอะเปื้อน บางจุดมีม้วนตำราวางซ้อนกันจนสูงท่วมหัวเฉินเจิ้งคือผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ค้อนและหลอมโลหะ แถมยังเป็นผู้ชำนาญการอ่านตำราตอนกลางวันเขามักหมกมุ่นอยู่กับเตาหลอมโลหะ ส่วนกลางคืนจะหมกมุ่นอยู่กับตำราในบ้านจางอี้หมิงลัดเ
วันนี้เหล่าศิษย์ระดับศูนย์ ซึ่งเป็นระดับฐานของสำนักเทียนหยาง ต้องกลับสู่การฝึกฝนอีกครั้งจางอี้หมิงเดินผ่านประตูห้องเรียนเข้ามาด้วยท่าทางผ่อนคลาย สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะสะดุดเข้ากับสองดรุณีงามหลินหนิงและหวงจื่อรั่ว สองสาวที่งามหยดย้อยในอาภรณ์ที่สะอาดตาแต่แนบเน้นรูปร่างพองาม สัดส่วนอ่อนช้อยของพวกนางช่างเย้ายวนจนเขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง พลางโบกพัดในมือราวกับเป็นบัณฑิตเจ้าสำราญ แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาพวกนางอย่างไม่เร่งรีบทว่า ก่อนที่เขาจะไปถึงเป้าหมาย ชายหนุ่มสองคนก็ขวางทางไว้ คนหนึ่งแซ่หม่า อีกคนแซ่เจียง ทั้งสองเป็นสมุนของซุนสีห่าว บุตรชายของขุนนางใหญ่ แต่กลับเป็นคุณชายไม่เอาไหน ที่ฟ้าดินกลั่นแกล้งให้มาเป็นว่าที่เจ้าบ่าวของน้องสาวจางอี้หมิงสมุนทั้งสองของซุนสีห่าวกอดอก ยืดอกทำท่าโอหัง ก่อนที่ผู้แซ่หม่าจะชี้นิ้วมาที่จางอี้หมิง“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” ผู้แซ่หม่ากล่าวเสียงดัง “วันนี้พวกข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าจากเหตุการณ์วันนั้น ที่เจ้าทำให้พวกข้าอับอายที่หน้าสำนักบ่อนเบี้ย!”จางอี้หมิงเหลือบตามองพวกเขาเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความเฉยเมย ก่อนจ
เช้าของวันใหม่ วันนี้เป็นวันที่ต้องเดินทางกลับสำนักเทียนหยางเพื่อไปฝึกฝนวิชาต่อ เหล่าศิษย์ระดับล่างที่หยุดผักผ่อนด้านนอก จะต้องกลับไปยังสำนักความจริงแล้วแม้ว่าจางอี้หมิงจะเป็นศิษย์ระดับสูง แต่ก็ต้องปฏิบัติถามกฎนี้ด้วยเช่นกัน เว้นแต่ว่าจะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจด้านนอก ก็สามารถแวะพักผ่อนตามทางได้เช่นกัน ขอแค่ภารกิจไม่เสียหายอาจจะมีบางครั้งที่เขาหรือศิษย์แอบหนีเที่ยวออกมา ซึ่งทางสำนักก็หลับตาข้างเดียวอนุโลมให้ หากหลบมาเพียงแค่คืนเดียว เพราะเป็นที่รู้กันว่าเป็นการออกไปหาความสุขชั่วคราวเท่านั้นจางอี้หมิง และ หวงจื่อรั่ว ควบม้าคู่กันออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน สายลมยามเช้าพัดจางๆ เย็นสบายยิ่งนัก ท้องฟ้าสีครามสดใส อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การเดินทางทั้งสองคนควบม้าเคียงกัน จางอี้หมิงมีธัญพืชขบเคียวตลอดทาง ส่วนหวงจื่อรั่วรักษาท่าทีได้ดี จนกระทั่งออกจากเขตเมืองหลวงชั้นใน เมื่อถึงบริเวณเขตชั้นนอก พวกเขาพบ แม่นางหลินหนิง กำลังยืนรออยู่ข้างทาง หลินหนิงทักทายทั้งสองก่อนจะขี่ม้าเดินต
เมื่อจางอี้หมิงก้าวเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และเครื่องหอม ลอยอบอวลในอากาศ เทียนไขบนโต๊ะเล็กส่องแสงวูบไหวเป็นประกายอ่อนโยน เงาสะท้อนของเปลวไฟเต้นระยิบระยับบนผ้าม่านโปร่งบาง ราวกับกำลังเต้นรำอยู่ในค่ำคืนที่เงียบสงบกลางห้อง มีร่างของดรุณีสาวผู้หนึ่ง ในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ เนื้อผ้าบางเบาพริ้วไหวไปตามลมอ่อน ซงเอ๋อร์ สาวใช้คู่ใจและว่าที่อนุภรรยาของจางอี้หมิง หันกลับมามองเขาแววตาอ่อนโยนคู่นั้นเต็มไปด้วยความใส่ใจ แก้มของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ ราวกับกลีบดอกท้อแรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ“คุณชายฝึกซ้อมเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ?” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ข้าจัดเตรียมน้ำอุ่นไว้ให้ท่านแล้ว”จางอี้หมิงยิ้มบางๆ สายตาคมคายทอดมองหญิงสาวตรงหน้า “เจ้าช่างดีเหลือเกิน” เขากล่าวเบาๆซงเอ๋อร์เดินเข้ามาใกล้ นางช่วยปลดเสื้อคลุมของเขาออกอย่างนุ่มนวล มือเรียวของนางสัมผัสโดนปลายแขนของเขาเพียงแผ่วเบาทว่ากลับทำให้หัวใจของจางอี้หมิงเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัวหลังจากปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกแล้ว เขาก้าวลงไปในอ่างไม้ขนาดใหญ่ ไอน้ำอุ่นโอบล้อมร่างกายช่างผ่อนคลา
“พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วย! ไอ้โรคจิตนี่จะขืนใจข้า!”“หา!?” จางอี้หมิงขมวดคิ้วทันใดนั้น ซุนสีห่าวที่กำลังวิ่งมาตามมา ก็ชะงักฝีเท้ากะทันหัน เมื่อเห็น ใบหน้าของจางอี้หมิงจากนั้น เข่าทรุดลงแทบพื้น!“พี่เขย!!”“...”“ข้าเคยล่วงเกินท่าน โปรดให้อภัยข้าด้วยเถิด!!!”จางอี้หมิงกระพริบตาสองสามที ก่อนจะหันไปมองน้องสาวที่ยังยืนหลบอยู่ด้านหลังเขา จากนั้นรีบคว้ามือจางหลันซือขึ้นรถม้า แล้วควบรถม้าออกไปทันที!!เมื่อรถม้ากลับมาถึง จวนสกุลจาง จางหลันซือถอดปิ่นปักผมออก ผมสยายกระทบแสงอาทิตย์งดงาม ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ“เกิดอะไรขึ้น?”
ภายในห้องอาหารของจวนสกุลจาง ทุกคนในครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา จางส่วง ผู้เป็นบิดา นั่งอยู่หัวโต๊ะ ด้านข้างมี หลี่เอ้อเหมียว ภรรยาของเขาและเป็นมารดาเลี้ยงของ จางอี้หมิง ส่วน จางหลันซือ บุตรีของหลี่เอ้อเหมียว และ จางอี้หมิง พี่ชายต่างมารดา ก็นั่งร่วมโต๊ะพร้อมกันบรรยากาศเป็นไปอย่างสงบ ทุกคนเพลิดเพลินกับอาหารถูกจัดเตรียมมาอย่างดีจางอี้หมิงคีบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งอย่างใจเย็น และสูดกลิ่นหอมของอาหารเบาๆ ขณะที่หลี่เอ้อเหมียวรินน้ำชาให้สามีจางหลันซือที่เงียบมานานจ้องมองพี่ชายต่างมารดาของตน ก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“พี่ใหญ่มีเรื่องใดสารภาพหรือไม่?”จางอี้หมิงชะงักมือที่กำลังคีบอาหาร ดวงตาคมเข้มเหลือบมองน้องสาวแล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เข้าใจหลี่เอ้อเหมียววางกาน้ำชาลงแล้วหันมามองด้วยความสนใจ ขณะที่ จางส่วง ผู้เป็นบิดา ชะงักไปเพียงอึดใจ ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดังแล้วกล่าวขึ้น“เจ้าไปทำนางคณิกาคนใดท้อง?”เสียงคำถามนั้นทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่พลันชะงักไปชั่วขณะ แม้แต่นางรับใช้ที่กำลังรินน้ำแกงยังเผลอมือสั่นเล็กน้อยจางอี้หมิงถอนหายใจแล้