ในยามค่ำคืนก่อนวันสอบ จางอี้หมิงนอนหลับอยู่ในห้องพักเรียบง่าย แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างลงบนใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของเขา ท่ามกลางความเงียบสงัด ความฝันได้พาเขาย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่เขาแทบจะลืมเลือนไปแล้ว
ในความฝันนั้น เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กกำลังวิ่งเล่นในสวนดอกไม้กับมารดาผู้ให้กำเนิด ใบหน้าของนางอ่อนโยนและงดงามยิ่งนัก เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังขึ้นท่ามกลางสายลมเบาๆ ขณะนั้นบิดาของเขานั่งมองอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของบิดาเต็มไปด้วยความภูมิใจและอบอุ่น
แต่แล้วภาพแห่งความสุขก็เลือนหายไป กลายเป็นภาพงานศพของมารดา เขาเห็นตัวเองในวัยเด็กนั่งร้องไห้เสียงดัง สองแขนโอบร่างไร้วิญญาณของนางไว้แน่น ภาพนี้แทงลึกลงในจิตใจของเขาเหมือนหอกที่ทิ่มแทงไม่จบสิ้น
จากนั้นความฝันเปลี่ยนไปเป็นภาพช่วงเวลาที่เขาเติบโต ฝึกฝนวิชาอย่างหนัก ภาพหอกเล่มหนึ่งพุ่งใส่เขาในสนามประลองและเขาต่อสู้กลับอย่างดุดัน ภาพเหล่านี้วนเวียนไปมาราวกับต้องการตอกย้ำอดีตของเขา
แต่แล้วก็มีภาพที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ปรากฏขึ้นในห้วงฝัน เขาเห็นครอบครัวของตน ท่านพ่อ มารดาเลี้ยง น้องสาว ซงเอ๋อร์ องครักษ์หญิงของน้องสาว รวมถึงคนอื่นๆ ในบ้าน ทุกคนถูกกำจัดอย่างโหดเหี้ยม ภาพเลือดและเสียงกรีดร้องดังสะท้อนในหัวเขา ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น เสียงเรียกแผ่วเบาดังขึ้น “เสี่ยวอี้”
จางอี้หมิงสะดุ้งตื่น ลมหายใจของเขาแรงและถี่ มองไปรอบๆ ห้องที่เงียบสนิท ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น เขาขมวดคิ้วพลางพึมพำเบาๆ “นี่มันอะไรกัน…”
“นี่ไม่ใช่เวทจันทราของศิษย์พี่!”
เขานั่งนิ่งสักพักก่อนจะจุดตะเกียง แสงสว่างจากเปลวไฟเล็กๆ ทำให้ห้องดูอบอุ่นขึ้น เขาลุกขึ้นเดินไปที่มุมหนังสือ หยิบตำราเล่มหนึ่งออกมา บนหน้าปกมีอักษรเขียนไว้ว่า “พื้นฐานแห่งลมปราณ”
จางอี้หมิงเปิดตำราพลิกดูอย่างตั้งใจ ดวงตาจับจ้องไปยังตัวอักษรพลางอ่านอย่างละเอียด เขาตั้งใจศึกษาอย่างหนักในคืนนี้เพื่อจุดหมายเดียว นั่นคือ การฟื้นฟูพลังของตนให้ได้ เสียงพลิกหน้ากระดาษดังเบาๆ เคล้าคลอไปกับเสียงลมยามดึก ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเอง
จางอี้หมิงอ่านตำราทั้งคืนยันหน้าสุดท้าย ตาเหลือบไปเห็นบรรทัดสุดท้ายเขียนว่า
“ตำรานี้ใช้ไม่ได้กับผู้ที่สูญเสียพลังปราณ”
“มารดามันเถอะ! ทำไมไม่เขียนตั้งแต่หน้าแรก”
เขาปิดตำราดังปัง แล้วเก็บมันกลับไปบนชั้นหนังสือด้วยท่าทางหงุดหงิด
เมื่อมองดูชั้นหนังสือทั้งหมดในบ้าน พบว่าที่นี่ไม่มีตำราใดที่เกี่ยวกับผู้สูญเสียพลังปราณเลย เขาทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้อย่างหมดกำลังใจ สายตามองออกไปยังหน้าต่างที่เห็นดวงจันทร์ลอยอยู่กลางท้องฟ้ายามค่ำคืน
หลังจากเงียบงันไปครู่ใหญ่ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว “ที่หอเทียนหยางยังมีคนหนึ่งที่รู้เรื่องตำราดี…”
จางอี้หมิงลุกขึ้นด้วยความหวังใหม่ เขาหันไปหาคันฉ่องวิเศษที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนเรียกชื่อ ศิษย์พี่เฉินเจิ้ง บุรุษร่างท้วมผู้เป็นที่รู้จักในฐานะ “หนอนหนังสือแห่งหอเทียนหยาง”
ไม่นานนัก ภาพของศิษย์พี่เฉินเจิ้งก็ปรากฏขึ้นบนคันฉ่อง ใบหน้าของเขาดูงัวเงีย ผมยุ่งเหยิง ขณะที่เขาขยี้ตาและพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า “เจ้ามีธุระอะไรถึงปลุกข้ากลางดึกเช่นนี้ เจ้าสุนัขน้อย!”
จางอี้หมิงยิ้มแห้งๆ ก่อนตอบอย่างรวดเร็ว “ข้ามีเรื่องสำคัญ! ศิษย์พี่ ข้ากำลังหาตำราที่เกี่ยวกับผู้สูญเสียพลังปราณ ท่านรู้หรือไม่ว่ามีเล่มใดบ้าง?”
เฉินเจิ้งนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าของคนที่นึกอะไรออก “อืม… จะว่าไปก็มีอยู่เล่มหนึ่ง จำได้ว่าข้าเคยเห็นในคลังหนังสือ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าข้าจะไปนำมาให้เจ้า”
จางอี้หมิงยิ้มกว้างด้วยความโล่งอก “ขอบคุณท่านมาก ศิษย์พี่!”
เฉินเจิ้งยกมือขึ้นห้ามพลางพูดเสียงหงุดหงิด “เอาเถอะ! แต่คราวหน้าอย่าปลุกข้ากลางดึกเช่นนี้อีก!” ก่อนที่ภาพในคันฉ่องจะตัดหายไป
จางอี้หมิงถอนหายใจเบาๆ แล้วเอนตัวพิงเตียงนอนหลับไป
ยามเช้าตรู่
ศิษย์พี่เฉินเจิ้งร่างท้วมมาหาจางอี้หมิงถึงเรือนพัก เขาถือหนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่งในมือ พลางเอ่ยด้วยเสียงงัวเงียเล็กน้อย
“นี่ตำราที่เจ้าต้องการ ข้ารู้มาว่าผู้ที่สูญเสียพลังปราณจะมีปัญหาด้านสมดุลพลังภายใน การฝึกตามวิธีปกติไม่ได้ผล ต้องปรับสมดุลก่อน ถึงจะเริ่มฝึกใหม่ได้”
จางอี้หมิงยื่นมือรับตำรา พร้อมถามด้วยความสงสัย “แล้ววิธีปรับสมดุลต้องทำอย่างไรหรือ ศิษย์พี่?”
เฉินเจิ้งส่ายหน้าช้าๆ “ข้าไม่อยากพูดมากหรอก เจ้าอ่านเองเถอะ” ก่อนจะถอนหายใจและกล่าวเสริม “อย่าลืมว่าเช้านี้เจ้ายังมีหน้าที่ต้องไปสังเกตการณ์งานสอบเข้าของศิษย์ใหม่ที่ห้องทำงานเจ้าสำนัก เตรียมตัวให้ดีล่ะ”
จางอี้หมิงรับคำ “ขอบคุณศิษย์พี่ ข้าจะไปตามเวลาที่กำหนด”
เมื่อเฉินเจิ้งเดินจากไปแล้ว จางอี้หมิงมองตำราในมือ แล้วคิดว่าเวลายังพอมี เขาจึงนั่งลงที่โต๊ะ จุดตะเกียง อ่านตำราอย่างตั้งใจ
ตำราเล่มนั้นอธิบายวิธีปรับสมดุลพลังปราณไว้ 3 วิธีหลัก:
วิธีแรก การใช้สมุนไพรหายาก 18 ชนิด
ตำราให้รายชื่อสมุนไพรแต่ละชนิด พร้อมวิธีปรุงยา จางอี้หมิงอ่านแล้วส่ายหน้า “สมุนไพรพวกนี้หายากเกินไป หากข้าต้องเสียเวลาหาทั้งหมดคงต้องรอกันไปอีกหลายปี” เขาตัดสินใจข้ามวิธีนี้ไปทันที
วิธีสอง การฝึกฝนด้วยวิธีพื้นฐานแต่ต้องสลับด้าน
ตำราระบุว่าผู้ฝึกต้องเปลี่ยนการฝึกจากด้านซ้ายเป็นขวา และจากหน้าเป็นหลัง เพื่อให้สมดุลพลังที่เสียไปกลับคืนมา จางอี้หมิงขมวดคิ้ว “ยุ่งยากชะมัด แต่ก็ดูมีความเป็นไปได้มากกว่าแบบแรก” เขาเก็บวิธีนี้ไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือก
วิธีที่สาม การร่วมรักกับผู้บริสุทธิ์
ตำราเขียนอธิบายว่า การรวมพลังหยินหยางของชายและหญิงบริสุทธิ์จะช่วยปรับสมดุลพลังปราณได้เร็วที่สุด แต่เป็นวิธีที่มักขัดต่อจิตใจผู้ฝึกตน จางอี้หมิงอ่านแล้วถึงกับหัวเราะเบาๆ “ง่ายที่สุดสำหรับข้า แต่ปัญหาคือ ใครจะยอมให้ข้าทำเช่นนั้น…ยอดคณิกาสาวจากสำนักสังคีตก็คงไม่ถูกนับ” เขาพึมพำอย่างท้อแท้
เมื่ออ่านจบ เขาปิดตำราแล้วถอนหายใจ “ข้าคงต้องลองวิธีที่สองก่อน ส่วนวิธีที่สาม… ไว้คิดอีกทีถ้าไม่มีทางเลือก”
เขาเก็บตำราเข้าชั้นหนังสือ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดทางการ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานเจ้าสำนัก ที่ตั้งอยู่บนชั้นเก้าของหอเทียนหยาง
ณ ลานหน้าประตูสำนักเทียนหยาง
ผู้คนมากมายหลั่งไหลเข้ามาเพื่อเข้าร่วมการสอบคัดเลือก ทุกคนต่างมีความหวังที่จะเป็นศิษย์ของสำนักชื่อดังแห่งนี้
หลินหนิง สาวน้อยหน้าตางดงาม ผู้มีดวงตากลมโตเป็นประกาย มาพร้อมกับชุดเรียบง่ายที่แม้จะดูธรรมดา แต่กลับยิ่งขับเน้นความงามของนาง
นางยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน พลางมองไปที่ หอคอยสูงตระหง่าน บนยอดภูเขาด้วยความตะลึง ดวงตาเต็มไปด้วยความใฝ่ฝันและตื่นเต้น นางมองไปรอบๆ เห็นผู้คนต่างกันออกไป บางคนจับกลุ่มพูดคุยถึงบททดสอบที่กำลังจะมาถึง บ้างก็ปลีกตัวทำสมาธิเพียงลำพัง
หลินหนิงผู้มีนิสัยชอบพบปะและทำความรู้จักกับผู้คน มองหาคนที่จะเข้าไปทักทาย จนสายตาของนางสะดุดเข้ากับบุคคลผู้หนึ่ง รูปร่างสูงโปร่ง แต่งกายเหมือนบุรุษ แต่ใบหน้าและรูปร่างกลับงดงามราวสตรี
คนผู้นั้นเดินวนเวียนไปมา ดูเหมือนกำลังสังเกตบางสิ่ง หลินหนิงตัดสินใจเดินเข้าไปหา พร้อมกับรอยยิ้มสดใส
“ข้าชื่อหลินหนิง วันนี้ข้ามาสอบ ท่านล่ะเป็นใครหรือ?”
บุคคลนั้นหันมามองหลินหนิงด้วยแววตาที่แฝงความเฉลียวฉลาด ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าชื่อหวงจื่อรั่ว”
หลินหนิงเอียงคอนิดๆ พร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตร “ท่านมาสอบเหมือนกันหรือ?”
“ใช่” หวงจื่อรั่วตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ยังไม่ทันได้ถามอะไรเพิ่มเติม เสียงระฆังจากสำนักดังขึ้นเป็นสัญญาณว่า การสอบคัดเลือกกำลังจะเริ่มต้น
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง จางอี้หมิงเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เขาเดินตรงไปที่โต๊ะตัวสุดท้ายตามธรรมเนียม เนื่องจากเขาเป็นศิษย์คนเล็กของเจ้าสำนักเมื่อเขานั่งลงได้ไม่นาน ศิษย์พี่ฟางหรง ก็เดินเข้ามาพร้อมกับน้ำชากาหนึ่ง วางลงตรงหน้าเขา พลางกล่าวสั้นๆ ว่า “ใกล้ได้เวลาแล้ว” ก่อนจะเดินจากไปจางอี้หมิงมองตามศิษย์พี่ฟางหรง พลางชื่นชมรูปร่างเพรียวบางของนางที่ดูงดงามอย่างไร้ที่ติ เมื่อฟางหรงนั่งลงตรงมุมหนึ่งของห้อง เขาเห็นใบหน้างดงามราวเทพธิดาของนางชัดเจนยิ่งขึ้น“งดงามยิ่งนัก” จางอี้หมิงนึกในใจจู่ๆ ฟางหรงหันมาสบตาเขาด้วยสายตาแฝงความสงสัย จางอี้หมิงรีบส่ายหน้าพลางสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป“ศิษย์พี่ฟางหรงสูงส่งและห่างไกลเกินไป นางไม่มีทางสละพรหมจรรย์ให้ข้าแน่”จางอี้หมิงยอมรับในใจว่าไม่คู
ภายในห้องประชุมของชั้นเก้า บรรยากาศเงียบสงบ ศิษย์ระดับสูงและเจ้าสำนักต่างจับจ้องภาพจากคันฉ่องวิเศษที่ฉายให้เห็นการทดสอบด้านล่าง จางอี้หมิง ที่กำลังครึ้มอกครึ้มใจได้เอ่ยขึ้นมาว่า "ท่านศิษย์พี่ฟ่านหวง ข้าขอเดิมพันว่า ผู้ที่หลุดจากภวังค์คนแรกจะเป็นสตรี ท่านว่าอย่างไร?"ฟ่านหวง หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าว่าจะต้องเป็นบุรุษ หากข้าผิด ข้ายินดีวาง 20 อีแปะเป็นเดิมพัน”จางอี้หมิงหัวเราะพลางโยนเหรียญ 20 อีแปะลงบนโต๊ะ “เช่นนั้นข้าขอพนันว่าเป็นสตรี!”เจียงเยว่ ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ทำหน้าหงุดหงิดพลางกล่าวลอยๆ “ไร้สาระนัก!”เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ยิ้มขำพลางโบกมือให้สงบ “ตั้งใจดูกันหน่อย!”เบื้องล่าง ผู้เข้าสอบทั้งหลายต่างตกอยู่ในภวังค์แห่ง เพลงพฤกษาเหมันต์สะท้านจันทรา ของศิษย์พี่ชิงซิ่ว ภาพต่างๆ ในใจของพวกเขาค่อยๆ ฉายออกมา รวมถึงหล
หวงจื่อรั่วค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อมองไปรอบๆ ทุกคนยังคงยืนนิ่ง หลับตาอยู่ในภวังค์ หวงจื่อรั่วสังเกตว่าตัวนางเป็นคนเดียวที่หลุดออกมาก่อน“เหตุใดข้าถึงหลุดออกมาก่อน บทเพลงยังคงบรรเลง นี่เป็นการทดสอบอะไรกัน ข้าผ่านแล้วงั้นหรือ”หวงจื่อรั่วหันไปมองหลินหนิงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และยังคงหลับตาแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน“หลินหนิง!” หวงจื่อรั่วรีบก้าวเข้าไปใกล้ นางเขย่าตัวอีกฝ่ายเบาๆหลินหนิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เสียงสะอื้นเล็กๆ ดังออกมาจากริมฝีปากของนาง ดวงตาของหลินหนิงเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอหน่วย ก่อนจะไหลรินลงมาอย่างเงียบงัน นางก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อของตัวเองแน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้น“เจ้าเป็นอะไร?” หวงจื่อรั่วถามหลินหนิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนตอบเสียงสั่นเครือ “ในภวังค์… ข
เมื่อการสอบสิ้นสุดลง จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่ในห้องประชุม จากนั้นศิษย์พี่ฟางหรงในชุดยาวปักลวดลายประณีต รูปร่างโปร่งบาง งดงามราวกับภาพวาดบนม้วนกระดาษโบราณ ใบหน้าของนางเรียบเฉย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอบอุ่นดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิฟางหรงหันมาทางจางอี้หมิง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่มีเสน่ห์ “จางอี้หมิง เดี๋ยวเจ้าตามข้ามา ข้ามียาฟื้นฟูที่บ่มไว้นานแล้ว คาดว่าน่าจะเสร็จพอดี เดี๋ยวเจ้าไปเอายาที่บ้านข้า”จางอี้หมิงที่นั่งเอกเขนกอยู่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียก เขามองศิษย์พี่ฟางหรงด้วยสายตาชื่นชม ก่อนพึมพำในใจว่า "ศิษย์พี่ฟางหรงของข้าผู้นี้ มองยังไงก็งดงาม น่าจะงามสุดในสำนักแล้ว"เขาลุกขึ้นยืน ยิ้มพลางตอบนาง “ขอบคุณศิษย์พี่ฟางหรง ข้าจะรีบไปตามคำสั่งของท่าน”ฟางหรง ผู้มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์การรักษาและฟื้นฟู เป็นหนึ่งในศิษ
วันที่สำนักเทียนหยางกลับมาเปิดการฝึกฝนใหม่อีกครั้ง ยามนี้ศิษย์ระดับสูงอย่างชิงซิ่วและลิ่วเฉียงที่อยู่ในระดับแปดซึ่งตอนนี้ก็ต่างแยกย้ายกันไปเก็บตัวเพื่อฝึกฝนพลังปราณให้แข็งแกร่งกว่าเดิม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครจะทะลวงเข้าสู่ระดับเก้าก่อนกัน ฟางหรงคนงามตอนนี้ก็ออกเดินทางไปรวบรวมสมุนไพรที่เหลืออยู่อีกสิบเจ็ดชนิด เมื่อมีเหตุด่วนเหตุร้ายเมื่อไหร่จึงค่อยกลับมายังสำนักเทียนหยาง ส่วนเรื่องการฟื้นฟูรักษาก็เป็นหน้าที่ของศิษย์สายตรงของนางที่รับไว้ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในระดับสองและระดับหนึ่งเป็นผู้ดูแลศิษย์ที่บาดเจ็บหรือเจ็บป่วย ในเวลานี้ศิษย์ระดับเจ็ดอย่างเฉินเจิ้งเป็นผู้มีระดับปราณสูงสุดในสำนักส่วนเจ้าสำนักกู่เจิ้งไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน หากเขาอยากมาก็จะมาเอง
จางอี้หมิงมองตามถัวเค่อชีผู้นั้น เขารู้ดีว่าศิษย์ระดับสามผู้นั้นริษยาเขามาตลอด เหตุที่อายุเท่ากัน แต่จางอี้หมิงเข้าสำนักก่อน ได้เป็นศิษย์สายตรงของกู่เจิ้ง และทะลวงด่านขึ้นสู่ระดับสูงสำเร็จ แต่ถั่วเค่อชีผู้นั้นทำได้เพียงระดับสามเท่านั้น “หากข้าได้พลังปราณกลับคืนเพียงนิด เจ้าจะเป็นคนแรกที่บิดาจะสั่งสอน!” จางอี้หมิงลอบคิดในใจ ก่อนจะเดินนำหลินหนิงและหวงจื่อรั่วไปเพื่อรับฟังคำชี้แจงจางอี้หมิงยืนข้างหวงจื่อรั่ว ลอบมองใบหน้างดงามหมดจดของนาง ก่อนจะกระซิบกับนางเบาๆ “ที่นี่ศิษย์ระดับศูนย์จะต้องนอนร่วมกัน แต่แบ่งแยกชายหญิง เจ้าควรเลิกปลอมเป็นชายได้แล้ว”หวงจื่อรั่วมองเขาตอบด้วยสายตาเย็นชา “ข้าไม่ได้ปลอม”“เห็นชั
เสียงระฆังดังเป็นสัญญาณเริ่มต้นวันเรียนแรกของเหล่าผู้ฝึกตนหน้าใหม่ ศิษย์ใหม่ต่างทยอยกันเข้ามานั่งประจำโต๊ะกันอย่างเร่งรีบ เนื่องจากเป็นวันแรกที่ไม่มีใครอยากถูกเพ่งเล็งมากนักนี่เป็นสิ่งที่จางอี้หมิงเห็นเป็นประจำในทุกครั้ง แต่หลังจากศิษย์หน้าใหม่เหล่านี้ สามารถจับทิศทางของอาจารย์ผู้สอนได้แล้ว ก็มักจะนอกลู่นอกทางกันบ้างแต่ยังอยู่ในขอบเขตท่ามกลางบรรยากาศของห้องเรียนที่โปร่งโล่ง ผนังแกะสลักลวดลายวิจิตรและหน้าต่างเปิดรับแสง สองดรุณีสาวผู้งดงามเหนือใครในสายตาของจางอี้หมิงรวมถึงสายตาใครอีกหลายคน พลันปรากฏตัวขึ้นในห้องเรียนนี้หลินหนิง ดรุณีสาววัยสิบหก ผู้มีดวงตากลมโตแวววาวเหมือนหยาดน้ำค้าง ผิวขาวอมชมพูเปล่งประกายราวหิมะ นางเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสดใสที่ทำให้ทั้งห้องเหมือนสว่างขึ้น ข้างกายนางคือ หวงจื่อรั่ว ผู้มีโฉมงามหมดจดราวนางในภาพวาด แต่มักทำหน้านิ่งขรึมจนดูเย็นชา ทั้งสองเลือกโต๊ะคู่อยู่กลางห้อง และนั่งลงอย่างสงบ
ซ่งอินเดินวนไปมาหน้าห้องเรียนด้วยท่าทางสง่างาม เขามองเหล่าผู้ฝึกตนหน้าใหม่ที่นั่งเรียงกันในท่าฝึกสมาธิอย่างเงียบงัน ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบแต่ทรงพลัง“หน้าที่ของพวกเจ้าในวันนี้คือโคจรลมปราณและใช้พลังของเจ้า ทำให้แผ่นไม้เล็กเรียวยาวตรงหน้าลอยอยู่กลางอากาศให้ได้”ทุกคนต่างหันมามองแผ่นไม้ที่วางอยู่ตรงหน้าของตัวเอง ด้วยแววตาที่ผสมผสานระหว่างความมุ่งมั่นและกังวลซ่งอินอธิบายเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“การควบคุมลมปราณในระดับนี้เป็นพื้นฐานของการฝึกขี่อาวุธในอนาคต หากพวกเจ้าทำไม่ได้ แม้แต่เหาะเหินเดินอากาศก็คงเป็นไปไม่ได้ จงตั้งสมาธิ หายใจให้ช้า และดึงพลังปราณจากภายในตัวเจ้าออกมา!”ศิษย์แต่ละคนพยายามทำตามคำแนะนำ บางคนหลับตา บางคนจ้องแผ่นไม้ด้วยความตั้งใจสุดกำลัง เสียงลมหายใจดังสลับกับเสียงพึมพำเบาๆ ของบางคนที่พยายามรวบรวมสมาธิ
ที่ชั้นเก้าของหอเทียนหยาง ศิษย์สายตรงทั้งเจ็ดคนของสำนักกู่เจิ้งมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา บรรยากาศในห้องสงบเงียบ ทว่าครุกรุ่นไปด้วยแรงกดดันทุกคนล้วนเป็นศิษย์ระดับสูง ผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ทุกคนคุกเข่าคารวะอาจารย์เจ้าสำนักกู่เจิ้ง ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับสายตาที่ล้ำลึกเกินหยั่งถึงเจ้าสำนักโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขามองพวกเขาอย่างเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่นว่า“ปีที่แล้ว ลัทธิมารแดนปีศาจเคลื่อนไหว ครั้งนี้ ลัทธิมารแดนสวรรค์เคลื่อนไหว เป็นข้าเองที่หละหลวมในการป้องกัน… หลังจากนี้ จะไม่มีครั้งที่สาม”แววตาของเจ้าสำนักฉายประกายแน่วแน่ เขาโบกมือให้ทุกคนลุกขึ้นนั่งลงบนเบาะของตนเอง จากนั้นเขาเองก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะกลางห้อง หยิบใบชามาบดด้วยมืออย่างประณีต ก่อนจะเทน้ำร้อนลงในถ้วย เสียงไอร้อนพวยพุ่งขึ้นแตะจมูก กลิ่นหอมอ่อนๆ ของชาแผ่ซ่านไปทั่วห้อง เจ้าสำนักสูดกลิ่นหอมของชาเบาๆ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสงบ“เห็นที พวกเราคงต้องจริงจังกับเรื่องศิลาเฝิ่นเหิงกันบ้างแล้ว นี่อาจไม่ใช่เพียงแค่เรื่อ
จางอี้หมิงนั่งนิ่งตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองนัยน์ตาของศิษย์พี่คนงาม ที่ฉายแววความร้อนฉ่า ริมฝีปากสีแดงเรื่อยังคงหลงเหลือรสชาติของสุรา นางจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก“เจ้ารู้จักการบำเพ็ญคู่หรือไม่?” นางกระซิบถามด้วยเสียงแผ่วเบา ราวกับเสียงลมพัดผ่านในค่ำคืน จางอี้หมิงรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากปลายนิ้วของนางที่ลากไล้เบาๆ บนแผ่นอกของเขา“ท่านเมาแล้ว” จางอี้หมิงพยายามตั้งสติ แต่เสียงของเขากลับสั่นไหว เจียงเยว่ยิ้มมุมปาก ก่อนจะยกมือเรียวขึ้นปิดริมฝีปากเขา“ข้าตั้งใจเมา” นางตอบเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานใช่สิ หากไม่เมาท่านจะกล้าเช่นนี้หรือจางอี้หมิงมองดูนางอย่างหลงใหล มือของเจียงเยว่วางแนบลงบนแผ่นอกของเขา หัวใจของเขาเต้นรัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เสียงกระซิบของนางจะดังขึ้นอีกครั้ง“หรือว่าเจ้าไม่ต้องการ?”เขาสูดหายใจเข้าลึก สบตากับนางก่อนจะตอบเสียงพร่า “ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับท่าน”ข้าหมายตาท่านมาตลอด!จากนั้น จางอี้หมิงก็รวบตัวเจียงเยว่เข้ามาอุ้มขึ้น นางแนบตัวเข้าหาเขาโดยไม
จางอี้หมิงยืนนิ่งอยู่กลางสมรภูมิ ดวงตาเรียบเฉยจ้องมองร่างไร้วิญญาณของถัวเค่อชีที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีเข้มค่อย ๆ ไหลซึมไปตามพื้นดิน กลิ่นคาวโชยขึ้นมาปะปนกับไอเย็นของค่ำคืนเขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเก็บดาบประจำกายเข้าฝัก เสียง “แกร๊ก” ของดาบที่เลื่อนเข้า ที่ฟังดูดังก้องกังวาลท่ามกลางความเงียบงันเขาหันกลับไปทางศิษย์พี่หญิงเจียงเยว่ที่ยังนอนอ่อนล้าอยู่บนพื้น หญิงสาวมีใบหน้าซีดเซียว เหงื่อเย็นชื้นบนหน้าผาก ผมดำยาวหลุดรุ่ยออกจากปิ่นปักบางส่วน ดวงตาของนางยังคงสั่นไหวด้วยความเหนื่อยล้าและความตึงเครียดจางอี้หมิงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ นาง แล้วเหลียวหันไปมองหน้านางเบา ๆ“เป็นข้าที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…” เสียงของเจียงเยว่แผ่วเบาราวสายลมของนางเอ่ยขึ้นจางอี้หมิงส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“เป็นข้าที่ตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับท่าน”แววตาของศิษย์พี่เจียงเยว่อันแน่นไปด้วยความสับสนความซึ้งใจ กับความกังวล แม้นี่จะเป็นสิ่งที่สมควรจะทำ แต่ก็นับว่าขัดต่อกฎของสำนักเช่นกันเสียงฝีเท้าหลายคู่ดังขึ้นจากด้านหลัง ศิษย์พี่ของสำนักเร่งร
ท่ามกลางป่าทึบยามราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ไม่มีแม้แต่แสงจันทร์หรือประกายดาว มีเพียงเสียงลมพัดเอื่อยๆ ราวกับเสียงกระซิบจากธรรมชาติเพียงเท่านั้นถัวเค่อชี ค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขานั่งพิงต้นไม้ใหญ่ เรือนผมยุ่งเหยิง เสื้อคลุมหลุดลุ่ยจากร่องรอยการดิ้นรนทรมานจากฤทธิ์ยา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ผิวหนังแดงก่ำ ราวกับมีเปลวไฟกำลังเผาผลาญจากภายในความเจ็บปวดจากพิษของยาเสริมพลังที่ เชียนหวง มอบให้เขา ตอนนี้ค่อยๆ สลายไปแล้ว“ฮ่า... ฮ่า... ฮ่า!”เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ทันทีที่ขยับตัว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ในร่าง ราวกับสายธารปราณที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเขาหลับตา โคจรลมปราณทั่วร่าง และสิ่งที่ค้นพบก็ทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกาย“พลังของข้า... เพิ่มขึ้นแล้ว!”เขาเผยรอยยิ้มสะใจ ก่อนจะกระชากกระบี่ออกจากฝัก แสงเย็นเยียบสะท้อนจากใบกระบี่ เขารวบรวมพลังลงไปในคมดาบ จากนั้นฟาดมันออกไปเต็มแรงฉัวะ!เสียงกระบี่เฉือนอากาศดังก้อง ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าถูกฟันขาดสะบั้นเป็นสองท่อน เศษไม้ปลิวกระจายไปทั่ว
“หากพวกเจ้าไม่อยากตายเป็นผีเฝ้าสำนัก จงบอกที่ซ่อนของศิลาเฝิ่นเหิงมาเดี๋ยวนี้!”เสียงของเชียนหวงก้องกังวาน แรงกดดันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่ว บรรยากาศรอบข้างเหมือนถูกบีบอัดจนหนักอึ้งลิ่วเฉียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ศิลาเฝิ่นเหิง?”จางอี้หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ยกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ข้าเคยอ่านเจอในนิยาย ตำนานเซียนไท่ซวิน ไม่คิดว่าจะมีคนที่เชื่อว่าเป็นของจริงด้วย”ลิ่วเฉียงหันไปมองหน้าเชียนหวง ก่อนจะยิ้มเยาะ “เจ้าก็ไปถามผู้เขียนนิยายสิ!”“หุบปาก!” เชียนหวงตะโกนลั่น ‘ปากแข็งหรือเบาปัญญาก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก!’ รังสีอำมหิตระเบิดออกมาจากร่าง พลังสีดำมืดหม่นหมุนวนไปรอบตัวเขา ราวกับเป็นพายุวิญญาณอาฆาต“เช่นนั้น ข้าคงต้องกำจัดพวกเจ้าให้หมดแล้วค่อยค้นหาด้วยตัวเอง!”ซ่าาา!พลังอาฆาตสีดำแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเชียนหวง พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาแตกร้าว เปลวพลังสีดำคุกรุ่นรอบตัวลิ่วเฉียงยังคงยืนสงบนิ่ง มองดูศัตรูตรงหน้าด้วยสายตาเฉยชา ก่อนจะหันไปถามเฉินเจิ้ง “แค่ระดับเจ็ด เจ้าสู้ไม่ได้รึ?”เฉินเจิ้งกำหมัดแน่นก่อนจะตอบด้วยเสียงเจ็บใจ “น่าอ
สายลมพัดเอื่อย สะบัดผ่านร่างของสองศิษย์พี่น้องที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้ใหญ่ ฟ่านหวงและเฉินเจิ้งต่างจมอยู่ในสมาธิ โคจรลมปราณเพื่อฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อรอบกายเต็มไปด้วยซากอสูรดินเหนียวแตกกระจายเป็นเศษดิน เศษหิน เสียงลมหายใจของทั้งสองเริ่มกลับมาเป็นปกติ บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงชั่วขณะ“ตรวจสอบหาผู้นำพวกมันได้หรือยัง?” เฉินเจิ้งถามเสียงเรียบ ทว่าสายตากลับเต็มไปด้วยความระแวดระวังฟ่านหวงมองไปรอบๆ “ยัง”เฉินเจิ้งแค่นเสียงหัวเราะเย็น “ระหว่างที่ข้ากำจัดพวกมัน เจ้าไม่ได้อู้ใช่หรือไม่?”ฟ่านหวงหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงยียวน “ศิษย์พี่เอ๋ย หากข้าตอบว่าใช่ ท่านจะทำอะไรข้า?”“เจ้ามันตัวบัดซบ กินแรงผู้อื่น!”เสียงหัวเราะของฟ่านหวงดังขึ้น ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะต่อปากต่อคำต่อไป บรรยากาศรอบกายพลันเย็นยะเยือกลงจนขนลุกชันวูบบบ!“ศิษย์พี่…ท่านหายเหนื่อยแล้วหรือยัง?”เฉินเจิ้งยืดเส้นยืดสาย พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าพร้อมตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“ถ้าเช่นนั้นก็… 5… 4… 3… 2… 1…”วูบบบ!!!
ทางด้านลานกว้างหน้าหอเทียนหยางจางอี้หมิยังคงยืนหยัดอยู่ท่ามกลางลานกว้างหน้าหอเทียนหยาง ท่ามกลางหมอกฝุ่นและเสียงคำรามของเหล่าอสูรดินเหนียว ดาบในมือของเขาเปื้อนเศษดินและคราบอสูร แต่มือทั้งสองข้างยังคงจับกระชับแน่น แม้ไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ด้วยร่างกายที่ฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงและกระบวนท่าอันเฉียบคม เขาก็ยังคงยืนหยัดต้านศัตรูได้อย่างไม่ลดละเมื่ออสูรตนหนึ่งพุ่งเข้ามาทางด้านซ้าย จางอี้หมิงใช้แรงบิดเอว เหวี่ยงดาบออกไปเป็นแนวโค้งคมกริบ ปลายดาบฟันทะลุไหล่อสูรดินเหนียวเสียงดังฉึบ! เศษดินกระจายตัวออกเป็นฝุ่นสีดำ อสูรตัวนั้นเซถลาไปด้านหลังก่อนที่ร่างจะถูกแรงฟันฉีกออกเป็นสองซีก ฉึบ! ฉึบ! ฉึบ! โฮกกก!!!!เสียงคำรามจากอสูรตัวอื่นดังก้อง มันพุ่งเข้ามารุมล้อมจากทุกทิศทาง จางอี้หมิงย่อกายลงเล็กน้อยก่อนพุ่งตัวไปข้างหน้า ใช้ดาบแทงทะลุอกของตัวหนึ่ง จากนั้นดึงกลับแล้วฟาดดาบฟันเข้าที่คอของอีกตัว เศษดินและโคล
ศิษย์ระดับสามและศิษย์ระดับต่ำกว่านั้นบางกลุ่มก็ออกไปจัดการกับอสูรดินเหนียวในจุดต่างๆ ถัวเค่อชีเองก็เช่นกัน ที่มีหน้าที่จัดการกับเหล่าอสูรดินเหนียวที่บุกโจมตีสำนักจากนั้นถัวเค่อชีก็แยกตัวออกจากกลุ่มศิษย์ที่กำลังต่อสู้กับอสูรดินเหนียว โดยอ้างว่าจะจัดการพวกมันด้วยตัวคนเดียว ทว่าแท้จริงแล้วเขารู้ดีว่าตัวเองกำลังถูกบางสิ่งบางอย่างเรียกหาอยู่กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!เสียงกระดิ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาท ขณะที่ถัวเค่อชีเดินเข้าไปในเงามืดของป่า เสียงนั้นไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวของเขาเอง และไม่อาจสลัดเสียงเหล่านั้นออกไปจากร่างกายได้แม้แต่น้อยร่างกายของถัวเค่อชีเริ่มหนักอึ้งขึ้นทุกย่างก้าว จนกระทั่งเขามาถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีเงาร่มครึ้มปกคลุมทั่วทั้งบริเวณทันใดนั้นเอง ความเจ็บปวดรุนแรงก็แล่นขึ้นมาจากกลางศีรษะ ทะลวงไปถึงไขสันหลัง ถัวเค่อชีทรุดตัวลงกับพื้น มือทั้งสองข้างกุมหัวแน่นราวกับจะป้องกันมิให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ลมหายใจของเขาหนักหน่วง ร่างกายสั่นสะท้านจากความทุกข์ทรมาน ดวงตาพร่าเลือน เหมือนมีเงามืดแทรกซึมเข้ามาในจิตใจ“อ๊ากกก!!”ถัวเค่อชีส่งเสี
เจียงเยว่และหลี่เกอซินยืนอยู่บนระเบียงชั้นสามของหอเทียนหยาง สายลมพัดเอื่อย ผมยาวสลวยของทั้งคู่ปลิวไสวไปตามสายลมดวงตาของเจียงเยว่จับจ้องไปยังท้องฟ้า และพื้นเบื้องล่าง ที่มีกองทัพอสูรดินเหนียวเข้ามาไม่พักหลี่เกอซิน ศิษย์น้องผู้ชำนาญวิชาตรวจจับ ยืนนิ่งข้างๆ นางหลับตาลงเล็กน้อย ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วรายงานด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ที่อารามทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีปัญหา ทำให้ม่านพลังป้องกันเกิดรอยรั่ว”“แล้วอย่างไร?”“พวกเราต้องไปซ่อมแซมจุดนั้นโดยด่วน เพียงแต่ทางด้านนั้นมีศัตรูเข้ามามากเกินไป ข้าเกรงว่าหากไปตอนนี้จะไม่ปลอดภัย”เจียงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ นางคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น “ก่อนอื่นต้องระงับศัตรูไม่ให้เข้ามาชั่วคราว แล้วค่อยเข้าไปซ่อมแซมม่านพลัง”“แล้วควรทำอย่างไรดีศิษย์พี่?”“เจ้ารอที่นี่ก่อน”เจียงเยว่เหลือบตามองลงไปด้านล่าง ราวกับกำลังมองหาบางคน ดวงตาของนางสะท้อนเงาร่างหนึ่งที่กำลังต่อสู้