หน้าหลัก / แฟนตาซี / วิถีสุริยะพิชิตเวหา / บทที่ 3 พร้อมหน้าพร้อมตาในห้องอาหาร

แชร์

บทที่ 3 พร้อมหน้าพร้อมตาในห้องอาหาร

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-01-21 19:30:15

ประตูห้องของจางอี้หมิงเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงผอมของชายวัยกลางคนที่สวมอาภรณ์งดงามดูสูงศักดิ์ ใบหน้าเรียวมีเคราบางๆ ดูสง่างาม ทว่าดวงตาแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า ท่านอ๋องจางส่วง ผู้เป็นบิดาของจางอี้หมิง เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายินดี

“หมิงเอ๋อร์! ลูกพ่อฟื้นแล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโล่งใจ

จางอี้หมิงค้อมศีรษะให้บิดา “ขออภัยที่ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วง ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว”

ท่านอ๋องจางส่วงนั่งลงข้างเตียง สังเกตบุตรชายของตนอย่างใกล้ชิด แม้จะเห็นสีหน้าซีดเซียว แต่ก็โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่

จางส่วง ในฐานะบุตรชายคนที่ยี่สิบสี่ของอดีตฮ่องเต้เจ้าสำราญราชวงศ์ก่อน แต่ด้วยความที่เขาเป็นลูกคนเล็กที่เด็กมากเกินไป ปฐมฮ่องเต้ของราชวงศ์ปัจจุบันจึงเมตตาไว้ชีวิต และให้เป็นอ๋องเพื่อประดับไว้เฉยๆ ไม่มีอำนาจอื่นใดพิเศษ จางส่วงจึงเลือกใช้ชีวิตเงียบสงบ เขียนภาพวาดขายเลี้ยงชีพไปวันๆ พร้อมด้วยสมบัติอีกมากมาย

ท่านอ๋องหันไปเรียกซงเอ๋อร์ที่ยืนรออยู่ด้านนอก “ซงเอ๋อร์ นำยาบำรุงเข้ามา”

ซงเอ๋อร์รีบเดินเข้ามาพร้อมถ้วยยาสมุนไพรสีเข้ม กลิ่นฉุนแผ่กระจายไปทั่วห้อง นางวางถ้วยไว้ข้างเตียงก่อนค้อมตัวถอยออกไป

“อี้หมิง พรุ่งนี้เจ้าต้องกลับไปที่สำนักเทียนหยางแล้ว” จางส่วงกล่าวเสียงเข้ม

จางอี้หมิงรับถ้วยยามา แต่เมื่อได้ยินคำว่า กลับสำนัก เขากลับวางถ้วยลงพลางถอนหายใจยาว “ท่านพ่อ ตอนนี้ข้าไม่มีพลังแล้ว ข้าขอกลับมาใช้ชีวิตเรียบง่ายเถิด ข้าจะหาภรรยาสักสามสี่คน ใช้ชีวิตสุขสบายจะไม่ดีกว่าหรือ?”

จางส่วงหัวเราะเบาๆ “เจ้าคิดว่าง่ายเพียงนั้นหรือ? ฟังพ่อให้ดี…”

เขาเดินไปยืนข้างหน้าต่าง มองออกไปไกล “ตอนนี้ ฮ่องเต้ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนจัดการปักษาอัคคีที่โจมตีอาณาจักร รู้เพียงว่าเป็นคนของสำนักเทียนหยางเท่านั้น”

จางอี้หมิงขมวดคิ้ว “ทำไมท่านไม่รายงานไปว่าเป็นผลงานของข้าเล่า? หากฮ่องเต้รู้ เขาคงประทานรางวัลมากมายให้เรา”

จางส่วงหันกลับมามองบุตรชายด้วยแววตาเคร่งขรึม “ไม่ได้เด็ดขาด!”

“จะให้ฮ่องเต้รู้ไม่ได้ว่าเจ้าเป็นผู้กระทำ หากรู้ก็ควรรู้ว่าเจ้าเป็นคนของสำนักเทียนหยางผู้สูงส่ง หากเจ้าใช้ชีวิตที่นี่เป็นบุตรชายของข้าแล้ววันนึงฮ่องเต้รู้เข้าจะไม่เป็นผลดี”

บิดายังคงเคร่งขรึมต่อ

“แม้ข้าจะเป็นบุตรที่ถูกลืมของอดีตฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อน อย่างไรเสียก็ถือว่าเจ้ามีสายเลือดของอดีตราชวงศ์ไหลเวียนอยู่ในตัวเช่นกัน หากฮ่องเต้รู้ว่าเจ้าเป็นผู้กอบกู้ เขาจะมองว่าเจ้าคือภัยต่อบัลลังก์ของเขา เจ้าอาจได้รับรางวัลเป็นเครื่องประหารหัวมังกรแทนที่จะเป็นทรัพย์สมบัติ”

คำพูดนั้นทำให้จางอี้หมิงนิ่งไป เขาเข้าใจดีถึงความซับซ้อนในราชสำนัก บัดนี้เขาอยู่ในสำนักเทียนหยางผู้อยู่เหนือการเมืองแล้ว ไม่ควรเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้อีก แต่ในใจก็อดเสียดายไม่ได้

“น่าเสียดายยิ่งนัก นึกว่าจะได้รับบุตรสาวฮ่องเต้เป็นภรรยาสักสองสามคนพร้อมตำลึงทองนับหมื่น” เขาพึมพำในใจ

จางส่วงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พลางตบบ่าบุตรชายเบาๆ “เจ้าไม่ต้องกังวล ถึงอย่างไรสำนักเทียนหยางก็ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องพรหมจรรย์เฉกเช่นผู้ฝึกตนของลัทธิอื่น ครั้งนี้พ่อจะส่งซงเอ๋อร์เข้าไปปรนนิบัติเจ้าในสำนักด้วย นางจะดูแลเจ้าอย่างใกล้ชิดเป็นไง”

จางอี้หมิงนิ่วหน้าเล็กน้อย “ท่านพ่อ การจะบังคับนางไปแบบนั้นมันไม่ถูก ควรต้องถามความสมัครใจของนางก่อน”

จางส่วงหัวเราะเบาๆ “เจ้ากับซงเอ๋อร์เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เรื่องแค่นี้นางไม่น่ามีปัญหา”

จางอี้หมิงหันมองซงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง นางก้มหน้าลง บิดตัวเล็กน้อยอย่างขัดเขิน แต่ในแววตาของนางไม่มีวี่แววของการต่อต้าน มีเพียงความเขินอายเล็กๆ ก่อนรีบเดินออกไปอย่างเขินอาย

บนโต๊ะอาหารค่ำนั้น

จางส่วงนั่งอยู่หัวโต๊ะ ด้านข้างเขาคือชายาคนใหม่ของเขา นางเป็นสตรีวัยกลางคนที่ยังคงความงามไว้ แม้ไม่อ่อนเยาว์เช่นเดิม แต่ก็มีเสน่ห์ในแบบของผู้หญิงที่ผ่านประสบการณ์ชีวิต นางยิ้มเล็กน้อยเมื่อมองมาที่จางอี้หมิง

“กินเยอะๆ ลูก เจ้าเพิ่งฟื้นตัว” ชายาคนใหม่กล่าว น้ำเสียงนุ่มนวลแต่แฝงด้วยระยะห่าง

จางอี้หมิงเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางไม่ได้มีปัญหาใดๆ แต่ก็ไม่ได้ผูกพันสักเท่าไหร่ เขาถูกส่งตัวไปยังสำนักเทียนหยางตั้งแต่อายุ 8 ปี เวลาก็ผ่านมาถึง 12 ปีเต็ม ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับมารดาใหม่นั้นจึงยังคงห่างไกลกับคำว่า ครอบครัว ส่วนมารดาที่แท้จริงของเขานั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเด็กเกินกว่าจะจำความได้

ทันใดนั้นเอง เสียงประตูเลื่อนเปิดออก คนสองคนเดินเข้ามา

คนแรกแต่งตัวในชุดของจอมยุทธ์แบบบุรุษ แต่ดูยังไงก็เห็นชัดว่าเป็นสตรี นางมีใบหน้าสะสวย ดวงตาคมดุ ใบหน้าตึงขรึมเหมือนจงใจไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

อีกคนคือสตรีในชุดงดงามเรียบหรู ใบหน้าอ่อนหวานและสุภาพ เผยให้เห็นถึงความสูงศักดิ์ของนาง นางคือ จางหลันซือ น้องสาวต่างมารดาของจางอี้หมิง

“พี่ใหญ่ ท่านฟื้นตัวแล้วหรือ?” นางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ก่อนนั่งลงข้างโต๊ะ ขณะที่สตรีในชุดจอมยุทธ์ยืนอยู่ด้านหลังอย่างระวัง

จางอี้หมิงมองไปที่น้องสาว รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏบนใบหน้า "ข้าสบายดีแล้ว ขอบคุณเจ้าที่เป็นห่วง"

จากนั้นจางอี้หมิงก็หันไปสบตากับสตรีในชุดของจอมยุทธ์ที่ดูเหมือนบุรุษ ทั้งท่าทางและชุดทำให้คนทั่วไปคิดว่านางเป็นชาย แต่เมื่อเขามองดีๆ ก็รู้สึกคุ้นตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

“นั่นใคร?” จางอี้หมิงถามน้องสาวของเขาอย่างเงียบๆ

จางหลันซือหันไปมองทางสตรีคล้ายบุรุษที่เขาถามถึง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ “หวงจื่อรั่ว เป็นองครักษ์ประจำตัวของข้าเอง”

“องครักษ์?” จางอี้หมิงถามกลับ แต่ยังคงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับใบหน้าของนาง

จางหลันซือยิ้มเล็กน้อย “พี่ใหญ่จำไม่ได้หรือ? ตอนเด็กพวกเราก็เคยเล่นด้วยกันนะ”

จางอี้หมิงขมวดคิ้วมองไปที่หวงจื่อรั่ว ใบหน้าของนางยังคงนิ่งและไม่แสดงอารมณ์อะไรมากนัก ท่าทางนั้นดูคลับคล้ายคลับคลา แต่ก็ไม่สามารถจำได้

ในช่วงชีวิตของเขาในวัยเด็กช่วงเวลาที่ได้เล่นร่วมกับน้องสาวต่างมารดาของตนมีไม่มาก แม้เมื่อโตขึ้นจะกลับมาเยี่ยมบ้านหลายครั้งแต่ก็จดจำเพื่อนเล่นในวัยเด็กได้เพียงแค่ซงเอ๋อร์ที่เขาพบนางเป็นประจำเมื่อเยี่ยมบ้าน

“อืม...นึกไม่ออก” จางอี้หมิงพยักหน้าเบาๆ ตอบไป

ยามค่ำคืนของจวนอ๋องจาง

ในยามค่ำคืนแสนเงียบเชียบ เสียงแมลงรอบๆ ดังขึ้นคลอไปกับลมเย็นๆ ที่พัดผ่านมา จางอี้หมิงเดินออกจากห้องและมุ่งหน้าสู่หลังคาของจวนอ๋อง เขารู้สึกคุ้นเคยกับการขึ้นไปนั่งบนหลังคาชมดวงจันทร์เป็นอย่างดี หลังจากฝึกฝนวิชามามากมายในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่คืนนี้กลับรู้สึกแตกต่างจากทุกครั้ง เขาลืมไปว่าในตอนนี้เขาไม่มีพลังปราณเหลืออยู่แล้ว

เขาพยายามกระโดดขึ้นไปบนหลังคาอย่างรวดเร็ว แต่ร่างกายกลับไม่สามารถทำตามที่คิดได้ ขาเขาอ่อนแรงและกระโดดเพียงสองสามครั้ง ก่อนจะล้มตัวลงบนพื้นดินเบาๆ เขาหัวเราะในใจ “ลืมตัวไป...พลังปราณหายไปหมดแล้ว”

หลังจากนั้นเขาหยิบบันไดไม้ขึ้นมาและพาดลงไปบนกำแพงก่อนจะค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนหลังคา เขานั่งลงที่มุมหนึ่งของหลังคาและเริ่มเปิดขวดสุราที่เขานำติดตัวไป ดื่มทีละคำ ขณะที่ดวงจันทร์ส่องแสงในยามค่ำคืน

เสียงของลมดังขึ้นและเขาเริ่มจมดิ่งลงไปในความคิดส่วนตัว ความรู้สึกถึงพลังที่เขาเคยมีบัดนี้กลับเลือนหาย

แต่แล้ว…

ทันใดนั้นเอง เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบของคมกระบี่ที่ทาบอยู่บนบ่าของเขา ร่างกายของเขาสะท้านไปทั้งร่าง

“ใครกัน...?” เสียงของคนผู้นั้นถามขึ้นด้วยน้ำเสียงคาดคั้น “มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ที่จวนท่านอ๋อง?”

จางอี้หมิงยังคงนั่งนิ่ง เสียงของคนผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นคำถามจากบ่าวในบ้าน เขาคิดในใจ “สงสัยไม่อยู่นานแล้วบ่าวไพร่จึงจำข้าไม่ได้”

เขาค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างช้าๆ หยิบกระบี่ที่อยู่บนบ่าของเขาแล้วพลิกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว กระบวนท่าที่ฝึกฝนมาไม่เคยหายไป แม้พลังปราณภายในจะไม่มี เขาช่วงชิงกระบี่ของอีกฝ่ายมาไว้ในมือของตนอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้เขาหันกลับไปมองตรงไปที่บุคคลนั้น และพบว่า… คนที่ถือกระบี่ไม่ใช่ใครที่ไหน หวงจื่อรั่ว องครักษ์ของจางหลันซือเอง

บทที่เกี่ยวข้อง

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 4 กลับสู่เทียนหยาง

    จางอี้หมิงยืนอยู่ในท่าจับกระบี่ไว้ในมือ มองหวงจื่อรั่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทางเย็นชา ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของนางในระยะประชิด ใจหนึ่งเขารู้สึกคุ้นเคยกับนางแต่ยังคงนึกไม่ออกเสียทีจากนั้นเขาดึงตัวนางเข้ามาใกล้เพื่อชิงกระบี่ ทันใดนั้น หน้าอกนิ่มๆ ของหวงจื่อรั่วสัมผัสกับแผ่นอกของเขาเล็กน้อย เขารู้สึกถึงกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ของร่างกายนางที่ลอยมาท่ามกลางลมเย็นๆ ในยามค่ำคืน ความรู้สึกนี้ทำให้เขาเผลอสูดกลิ่นเข้าไปในปอดเล็กน้อย“ชัดเจนแล้ว นางเป็นสตรี”จางอี้หมิงซ่อนความคิดนี้ไว้ในใจไม่อาจเปิดโปงออกไปให้นางอับอายเมื่อได้จังหวะที่เหมาะสม เขาผลักนางออกไปเบาๆ โดยไม่แรงนัก หวงจื่อรั่วสะบัดตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่เคยสัมผัสกันก่อนหน้านี้ห่างออกไปด้วยความเงียบ เขามองนางจากด้านหลังขณะที่นางถามเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มาทำอะไรบนนี้?” จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อยและยักไหล่ “มาดื่มสุราชมพระจันทร์... อยากมานั่งดื่มด้วยหรือไม่?” หวงจื่อรั่วไม่ตอบ แต่เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างเย็นชาแล้วพูดออกไป “ไม่ต้อง…” เสียงของนางเย็นชาดู

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-01-21
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 1 การลืมตาของจางอี้หมิง

    เสียงนกร้องแว่วมาเข้าหูเป็นสัญญาณแห่งยามเช้า จางอี้หมิงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อสายตาปรับให้เข้ากับแสงสว่างรอบตัว เขาพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้หลังหนึ่ง ภายในห้องนอนที่แปลกตาแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยผนังห้องถูกประดับด้วยภาพวาดภูเขาและสายน้ำ ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นผลงานวาดภาพของบิดา มุมหนึ่งของห้องมีตู้หนังสือเก่าที่เขาเคยอ่านในวัยเด็ก และบนโต๊ะไม้ใกล้เตียง มีโถยาที่ส่งกลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ ลอยมากระทบจมูกนี่คือห้องของเขาในจวนสกุลจาง บ้านเดิมของเขา แต่เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่?จางอี้หมิงพยายามลุกขึ้น แต่ความปวดร้าวที่หน้าอกทำให้เขาต้องนิ่งอยู่กับที่ เขาก้มลงมองร่างกายตนเองและพบว่ามีผ้าพันแผลขนาดใหญ่พันรอบหน้าอก บ่งบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส“เหตุใดข้าถึงเป็นเช่นนี้?” เขาพึมพำทันใดนั้น สายตาของเขาหันไปเห็นสตรีร่างเล็กนางหนึ่ง นาง

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-01-20
  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 2 พลังปราณที่เลือนหาย

    ซงเอ๋อร์ขยับตัวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง นางลืมตาขึ้นช้าๆ ท่าทางงัวเงียเล็กน้อย แต่ยังคงความงดงามอ่อนโยนอย่างเรียบง่าย เมื่อเห็นจางอี้หมิงนั่งพิงหัวเตียงอยู่ นางตื่นเต็มตาในทันที รอยยิ้มอ่อนปรากฏบนใบหน้า“คุณชายใหญ่! ท่านตื่นแล้ว!” เสียงของซงเอ๋อร์เต็มไปด้วยความดีใจจางอี้หมิงหันมองตามเสียง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยให้ “ใช่ ข้าตื่นแล้ว”ซงเอ๋อร์ยิ้มกว้างขึ้นด้วยความปิติ ก่อนจะโผเข้ากอดเขาแน่น น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่“อ๊ะ! เจ็บ…”ซงเอ๋อร์สะดุ้งรีบผละตัวออก ท่าทางของนางช่างน่าเอ็นดู “ข้าขอโทษคุณชาย! ข้าไม่ได้ตั้งใจ!”จางอี้หมิงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “ไม่เป็นไร เจ้าดีใจจนลืมตัว ข้าเข้าใจ”นางเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณชายต้องการดื่มน้ำหรือไม่?”“อืม…” เขาพยักหน้าเมื่อซงเอ๋อร์รินน้ำใส่ถ้วยและส่งให้ จางอี้หมิงรับมาดื่มพลางมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน เขาพลันนึกถึงชีวิตที่เรียบง่าย หากเขาสูญเสียพลังปราณไปอย่างถาวร การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในฐานะบุตรชายของอ๋องสกุลจาง มีซงเอ๋อร์เป็นภรรยา

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-01-21

บทล่าสุด

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 4 กลับสู่เทียนหยาง

    จางอี้หมิงยืนอยู่ในท่าจับกระบี่ไว้ในมือ มองหวงจื่อรั่วที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยท่าทางเย็นชา ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของนางในระยะประชิด ใจหนึ่งเขารู้สึกคุ้นเคยกับนางแต่ยังคงนึกไม่ออกเสียทีจากนั้นเขาดึงตัวนางเข้ามาใกล้เพื่อชิงกระบี่ ทันใดนั้น หน้าอกนิ่มๆ ของหวงจื่อรั่วสัมผัสกับแผ่นอกของเขาเล็กน้อย เขารู้สึกถึงกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ของร่างกายนางที่ลอยมาท่ามกลางลมเย็นๆ ในยามค่ำคืน ความรู้สึกนี้ทำให้เขาเผลอสูดกลิ่นเข้าไปในปอดเล็กน้อย“ชัดเจนแล้ว นางเป็นสตรี”จางอี้หมิงซ่อนความคิดนี้ไว้ในใจไม่อาจเปิดโปงออกไปให้นางอับอายเมื่อได้จังหวะที่เหมาะสม เขาผลักนางออกไปเบาๆ โดยไม่แรงนัก หวงจื่อรั่วสะบัดตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายที่เคยสัมผัสกันก่อนหน้านี้ห่างออกไปด้วยความเงียบ เขามองนางจากด้านหลังขณะที่นางถามเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มาทำอะไรบนนี้?” จางอี้หมิงยิ้มเล็กน้อยและยักไหล่ “มาดื่มสุราชมพระจันทร์... อยากมานั่งดื่มด้วยหรือไม่?” หวงจื่อรั่วไม่ตอบ แต่เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างเย็นชาแล้วพูดออกไป “ไม่ต้อง…” เสียงของนางเย็นชาดู

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 3 พร้อมหน้าพร้อมตาในห้องอาหาร

    ประตูห้องของจางอี้หมิงเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงผอมของชายวัยกลางคนที่สวมอาภรณ์งดงามดูสูงศักดิ์ ใบหน้าเรียวมีเคราบางๆ ดูสง่างาม ทว่าดวงตาแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า ท่านอ๋องจางส่วง ผู้เป็นบิดาของจางอี้หมิง เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายินดี“หมิงเอ๋อร์! ลูกพ่อฟื้นแล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโล่งใจจางอี้หมิงค้อมศีรษะให้บิดา “ขออภัยที่ทำให้ท่านพ่อเป็นห่วง ตอนนี้ข้าดีขึ้นมากแล้ว”ท่านอ๋องจางส่วงนั่งลงข้างเตียง สังเกตบุตรชายของตนอย่างใกล้ชิด แม้จะเห็นสีหน้าซีดเซียว แต่ก็โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่จางส่วง ในฐานะบุตรชายคนที่ยี่สิบสี่ของอดีตฮ่องเต้เจ้าสำราญราชวงศ์ก่อน แต่ด้วยความที่เขาเป็นลูกคนเล็กที่เด็กมากเกินไป ปฐมฮ่องเต้ของราชวงศ์ปัจจุบันจึงเมตตาไว้ชีวิต และให้เป็นอ๋องเพื่อประดับไว้เฉยๆ ไม่มีอำนาจอื่นใดพิเศษ จางส่วงจึงเลือกใช้ชีวิตเงียบสงบ เขียนภาพวาดขายเลี้ยงชีพไปวันๆ พร้อมด้วยสมบัติอีกมากมาย ท่านอ๋องหันไปเรียกซงเอ๋อร์ที่ยืนรออยู่ด้านนอก “ซงเอ๋อร์ นำยาบำรุงเข้ามา”ซงเอ๋อร์รีบเดินเข้ามาพร้อมถ้วยยาสมุนไพรสีเข้ม กลิ่นฉุนแ

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 2 พลังปราณที่เลือนหาย

    ซงเอ๋อร์ขยับตัวเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้อง นางลืมตาขึ้นช้าๆ ท่าทางงัวเงียเล็กน้อย แต่ยังคงความงดงามอ่อนโยนอย่างเรียบง่าย เมื่อเห็นจางอี้หมิงนั่งพิงหัวเตียงอยู่ นางตื่นเต็มตาในทันที รอยยิ้มอ่อนปรากฏบนใบหน้า“คุณชายใหญ่! ท่านตื่นแล้ว!” เสียงของซงเอ๋อร์เต็มไปด้วยความดีใจจางอี้หมิงหันมองตามเสียง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยให้ “ใช่ ข้าตื่นแล้ว”ซงเอ๋อร์ยิ้มกว้างขึ้นด้วยความปิติ ก่อนจะโผเข้ากอดเขาแน่น น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่“อ๊ะ! เจ็บ…”ซงเอ๋อร์สะดุ้งรีบผละตัวออก ท่าทางของนางช่างน่าเอ็นดู “ข้าขอโทษคุณชาย! ข้าไม่ได้ตั้งใจ!”จางอี้หมิงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “ไม่เป็นไร เจ้าดีใจจนลืมตัว ข้าเข้าใจ”นางเช็ดน้ำตาลวกๆ ก่อนถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณชายต้องการดื่มน้ำหรือไม่?”“อืม…” เขาพยักหน้าเมื่อซงเอ๋อร์รินน้ำใส่ถ้วยและส่งให้ จางอี้หมิงรับมาดื่มพลางมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน เขาพลันนึกถึงชีวิตที่เรียบง่าย หากเขาสูญเสียพลังปราณไปอย่างถาวร การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในฐานะบุตรชายของอ๋องสกุลจาง มีซงเอ๋อร์เป็นภรรยา

  • วิถีสุริยะพิชิตเวหา   บทที่ 1 การลืมตาของจางอี้หมิง

    เสียงนกร้องแว่วมาเข้าหูเป็นสัญญาณแห่งยามเช้า จางอี้หมิงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อสายตาปรับให้เข้ากับแสงสว่างรอบตัว เขาพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้หลังหนึ่ง ภายในห้องนอนที่แปลกตาแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยผนังห้องถูกประดับด้วยภาพวาดภูเขาและสายน้ำ ซึ่งเขาจำได้ว่าเป็นผลงานวาดภาพของบิดา มุมหนึ่งของห้องมีตู้หนังสือเก่าที่เขาเคยอ่านในวัยเด็ก และบนโต๊ะไม้ใกล้เตียง มีโถยาที่ส่งกลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ ลอยมากระทบจมูกนี่คือห้องของเขาในจวนสกุลจาง บ้านเดิมของเขา แต่เหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่?จางอี้หมิงพยายามลุกขึ้น แต่ความปวดร้าวที่หน้าอกทำให้เขาต้องนิ่งอยู่กับที่ เขาก้มลงมองร่างกายตนเองและพบว่ามีผ้าพันแผลขนาดใหญ่พันรอบหน้าอก บ่งบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส“เหตุใดข้าถึงเป็นเช่นนี้?” เขาพึมพำทันใดนั้น สายตาของเขาหันไปเห็นสตรีร่างเล็กนางหนึ่ง นาง

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status