1 เดือนต่อมา
ณ โรงพยาบาลเอกชน ฝูต้า “คุณหนูใหญ่ ไม่ลองทบทวนเรื่องกลับไปพักที่บ้านสักอาทิตย์อีกรอบหรือครับ” คำเรียกขานพาให้มือที่กำลังสาละวนเปิดดูข้อความในโทรศัพท์มือถือชะงักไปชั่ววินาที “ลุงหย่งอันคะ อีก 2 อาทิตย์ก็ถึงวันเปิดเทอมแล้ว หนูยังไม่ได้ทำรายงานกับการบ้านเลยค่ะ ไปพักที่โรงเรียนน่าจะทำงานได้สะดวกกว่า” ฝูหย่งอัน มองคุณหนูน้อยที่ตนกับภรรยาช่วยกันดูแลมาตั้งแต่ยังเป็นทารกตัวแดงด้วยสายตาอึดอัดและสงสารเห็นใจ คนในบ้านหลี่มีใครไม่รู้บ้างว่าคุณหนูใหญ่รักครอบครัวขนาดไหน ปิดเทอมแต่ละครั้งก็ตั้งตารอที่จะได้กลับบ้าน ครืด! ประตูทางด้านหลังเปิดออก เสียงทรงพลังของหญิงวัยกลางคนดังมาก่อนเจ้าตัว “ตาแก่ ยืนนิ่งอยู่ทำไมไม่ช่วยคุณหนูเก็บของฮ๊า หลบไปไม่ต้องแล้วเดี๋ยวฉันทำเอง” ร่างท้วมกระฉับกระเฉงของหงหนิวอี หันไปขึงตาใส่พ่อบ้านตระกูลหลี่สามีของตนอย่างไม่พอใจ “คุณหนูเหม่ยถิง เดี๋ยวป้าเก็บให้เองค่ะ ไปไป นั่งพักก่อน ลุกขึ้นมาทำไมคะเนี่ย วันนี้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วก็จริง แต่ร่างกายยังผ่ายผอมขนาดนี้เดี๋ยวเกิดเป็นลมขึ้นมาจะทำยังไงคะ” เสียงอ่อนโยนแตกต่างกับเสียงคำรามก่อนหน้าเป็นคนละคน ไล่ต้อนหลี่เหม่ยถิงไปนั่งยังโซฟาในห้องพัก แล้วเดินกุลีกุจอรีบไปเก็บข้าวของบนเตียงใส่กระเป๋าเดินทาง หลี่เหม่ยถิงยกยิ้มบางเบาอย่างอ่อนใจ ใช้สายตาหลังแว่นสายตากรอบหนามองออร่าสีเขียวเรืองจากตัวของผู้สูงวัยกว่าทั้งคู่ด้วยสายตาอบอุ่น หลังจากฟื้นคืนสติเมื่อหนึ่งเดือนก่อน หลี่เหม่ยถิงค้นพบว่าความสามารถพิเศษของเจ้าตัวดูจะทรงพลังมากขึ้น ตั้งแต่เล็กเด็กสาวมักจะมองเห็นมวลพลังงานเปล่งออกมาจากสิ่งของและผู้คน เพียงแต่เมื่อก่อนจะเห็นเป็นเพียงมวลอากาศคล้ายหมอกขาว แต่มาตอนนี้เห็นสีที่แตกต่างชัดเจน หากเข้าไปใกล้ในระยะที่สัมผัสได้ความรู้สึกของเจ้าของจะถูกส่งผ่านมายังตัวเธอได้อีกด้วย ออร่าของผู้คนหากมีความรู้สึกดีหรือมีมิตรไมตรีจะเป็นสีเขียวเข้มอ่อนตามความล้ำลึกของความรู้สึก หากคนที่มุ่งร้ายหรือไม่เป็นมิตรจะมีสีแดง สำหรับคนที่ผ่านไปมาไม่มีความรู้สึกใดให้แก่กันออร่าจะเป็นสีใสรอบตัวเสมือนน้ำขังในอ่างแก้ว นอกจากออร่าของคนยังเห็นถึงความเจ็บป่วยที่ผิดแผกของร่างกายเป็นสีเหลืองอมส้ม อย่างในโรงพยาบาลนี้เธอเดินไปเจอคนที่เป็นโรคหัวใจก็จะมีออร่าสีเหลืองแสดงความผิดปกติบริเวณหน้าอก เพียงแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าป่วยเป็นอะไรเท่านั้น ความสามารถที่เพิ่มขึ้นนี้ได้รับช่วงต่อจากพี่เหม่ยถิงทั้งสองก่อนดวงจิตของเธอจะถูกดึงกลับมาห้วงเวลาและมิติต้นกำเนิด “หวังว่าพี่ทั้งสองจะได้ไปเกิดใหม่มีชะตาชีวิตที่ดีกว่าเดิม ไม่ต้องห่วง ฉันจะใช้ชีวิตให้ดี ไม่ให้โศกนาฏกรรมของพวกพี่เกิดขึ้นกับฉันได้แน่” “คุณหนูคะแวะไปบอกลาคุณผู้ชายก่อนเถอะนะคะ ทางนี้เดี๋ยวป้าจัดการให้เอง” ป้าหนิวอีหันมาพูดก่อนที่จะเดินวนสำรวจความเรียบร้อยเผื่อหลงลืมอะไรไว้ในห้องพักพิเศษนี้ เฮ้อ! ถอนหายใจยืดยาวแล้วสูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่ แม้อยากจะหลีกเลี่ยงเพียงใด แต่ที่สุดแล้วก็คงหนีความจริงไม่พ้น สู้เผชิญหน้าให้มันจบ ๆ ไปดีกว่า “คุณ…แม่กับน้องรองอยู่กับคุณพ่อหรือเปล่าคะ” หลี่เหม่ยถิงเอ่ยถามลอย ๆ เหมือนไม่ได้ตั้งใจมากนัก คำเรียกขานคนเป็นแม่แผ่วเบา “อยู่ครับ คุณนายกับคุณหนูรองมาพร้อมเหล่า หลิวเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนครับคุณหนูใหญ่” “อืม…ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวหนูกลับมาแล้วเราออกเดินทางทันทีเลยแล้วกันนะคะ” ขาเรียวยาวก้าวออกเดินออกจากห้องไม่ถึง 20 เมตร ก็ถึงห้องพิเศษที่คุณพ่อหลี่ซีซวนกำลังเข้าพักรักษาตัวนานกว่า 3เดือนอยู่ “คิก คิก หนูกำลังจะเปิดเทอมแล้วนะคะ ต่อไปก็มาอยู่กับคุณพ่อทั้งวันไม่ได้แล้ว คิดถึงคุณพ่อแย่เลยค่ะ” เสียงหวานดุจนกขมิ้นของหลี่เหม่ยหลินเอ่ยอ้อนดังมาจากในห้อง “หลินเออร์ อ้อนพ่อจะขออะไรอีกใช่ไหมเราน่ะ ใช้เงินให้มันเพลา ๆ หน่อย คุณก็อย่าตามใจลูกรองให้มากนักดูอย่างถิงเออร์สิรู้จักใช้เงินไม่ฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ” เสียงทุ้มแหบเอ่ยตำหนิภรรยาที่ยืนอยู่ข้างเตียง “ค่ะ…เดี๋ยวกลับไปฉันจะอบรมลูกของเราให้ดี” ตงหรูอี้ขบฟันลงด้านในกระพุ้งแก้ม มือกำสายกระเป๋าแน่นขึ้นจนเล็บมือจิกลงด้านในอุ้งมือ หึ...ไม่ว่าลูกของฉันทำอะไร ไม่มีทางสู้ลูกนังแพศยาในสายตาคุณได้เลยรึไง ดวงตาคมเฉี่ยวหรุบต่ำปกปิดแววตาขึ้งโกรธไว้มิดชิด “คุณพ่ออย่าตำหนิคุณแม่เลยค่ะ หลินเออร์ไม่ได้จะขออะไรจริง ๆ นะคะ เพราะพี่ใหญ่กำลังจะกลับไปเรียนแล้ว โรงเรียนหนูก็กำลังจะเปิดเทอม หนูก็แค่รู้นึกเหงาน่ะค่ะ” หลี่เหม่ยหลินก้มหน้าลงต่ำ แพขนตากระพือถี่เหมือนพยายามระงับหยาดน้ำทางหางตา ไหล่ลู่ห่อตัวดูน่าสงสารทำให้หลี่ซีซวนใจอ่อนยวบลง เอื้อมมือออกไปตบลงบนหลังมือลูกสาวคนเล็กปลอบใจ “เอาเถอะ พวกลูกก็โตแล้วทำอะไรก็ต้องรู้จักคิดให้รอบคอบ เงินทองนั้นหายาก แม้บ้านเราจะมีเหลือใช้แต่ถ้าไม่รู้จักหาให้เพิ่มพูนมันจะมีวันหมดได้” “คุณพ่อคะ” หลี่เหม่ยถิงร้องเรียกออกไปพร้อมก้าวขาเข้าไปในห้อง หลังจากคิดว่าชมดูฉากละครครอบครัวสุขสันต์ของสองแม่ลูกมาพอควรแล้ว พอได้ลอบสังเกตดูกิริยาท่าทางของน้องสาวร่วมบิดาแต่ที่ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ได้ร่วมมารดาอย่างหลี่เหม่ยหลินโดยตัดความรักของพี่สาวที่เคยบดบังสายตาออก ต้องลอบอุทานในใจ ‘นี่มันนังดอกบัวขาว ที่มีกลิ่นชาเขียว “อ้าว ถิงเออร์มาหาพ่อแล้วเหรอลูก ทำไมไม่มาเยี่ยมพ่อบ้างเลย” คุณพ่อพูดเหมือนไม่รู้ว่าหลี่เหม่ยถิงประสบอุบัติเหตุ เธอจึงหันไปมองน้องสาวและคุณแม่ ใช้สายตาสื่อความไม่เข้าใจไถ่ถาม “ลูกใหญ่รายงานและการบ้านเยอะน่ะค่ะคุณ ไหนจะงานของสภานักเรียนที่บรรดาอาจารย์มอบหมายมาให้ ฉันเลยให้ลูกจัดการงานอยู่ที่บ้าน” คุณแม่ทำท่าลุกลี้ลุกลนพูดเหมือนออกตัวแทนหลี่เหม่ยถิง คงไม่อยากให้คุณพ่อกังวลเรื่องเกิดอุบัติเหตุจนนอนโคม่า หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงคิดเช่นนั้นและคงอดดีใจไม่ได้ แต่ลองพิจารณาให้ดีมันเหมือนกับคุณแม่คนดีกำลังบอกว่าขนาดพ่อป่วยหลี่เหม่ยถิงยังไม่สนใจจะมาเยี่ยม แต่มัวสนใจแต่เรื่องของตัวเอง บราโว! นี่มันยอดเยี่ยมจริง ๆ ดอกบัวขาวรุ่นใหญ่ ได้เปิดหูเปิดตาเรียนรู้เข้าให้แล้ว “ถึงหนูไม่ได้มาเยี่ยม แต่หนูก็ฝากน้องรองกับคุณแม่มาดูแลคุณพ่อตลอดนะคะ ปลาหลีฮื้อผัดเปรี้ยวหวานของโปรดของคุณพ่อหนูก็ฝากป้าหนิวอีทำมาให้ ใช่ไหมคะคุณแม่” หลี่เหม่ยถิงพูดปดหน้าตายชนิดหนังตาไม่กระตุกปากไม่เบ้ ลมหายใจยังลื่นไหล เน้นคำว่าแม่ในลำคอหนัก ๆ ฮึ! คิดว่าเล่นงิ้วเป็นกันแค่สองคนแม่ลูกรึไง อย่างน้อยอายุดวงจิตของเธอรวมเวลาที่ท่องมิติก็เท่ากับอายุ 30ปีแล้ว รอยยิ้มแข็งค้างบนใบหน้าของติงหรูอี้กับหลี่เหม่ยหลินเกือบทำเธอหลุดเสียงหัวเราะออกมา สองแม่ลูกมองหน้ากันด้วยความคาดไม่ถึง “นี่นังงะ…โอ๊ย” ยังคงเป็นขิงแก่ที่เผ็ดร้อนกว่า ก่อนหลี่เหม่ยหลินจะหลุดคำพูดไม่น่าฟัง มือขวาของติงหรูอี้ก็หยิกเข้าที่เอวด้านหลังจนสาวน้อยวัย 15 ปีหลุดอุทานออกมาด้วยความเจ็บ ‘นี่คงคิดจะเรียกเธอว่านังโง่สินะ แสดงว่าน้องสาวที่รักคนนี้รู้ดีมาตั้งนานแล้วว่าเธอไม่ใช่ลูกของติงหรูอี้’ “ใช่แล้วค่ะคุณ ลูกใหญ่คอยให้แม่นมหงทำของโปรดมาให้คุณอยู่ตลอด ส่วนลูกรองก็เป็นห่วงคุณมากเลยพยายามเรียนรู้วิธีทำน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมมาบำรุงร่างกายคุณพ่อ ลองชิมดูสิคะ” มือเรียวขาวผ่องดันเอวคอดเล็กในชุดกระโปรงแขนพองสีแดงสดใสทันสมัยไปด้านหน้า “คุณพ่อลองชิมดูสิคะ หลินเออร์เคี่ยวอยู่หน้าเตานานเลยนะคะกว่าจะพอกินได้น่ะค่ะ ถึงไม่อร่อยแต่คุณพ่อต้องชมว่าอร่อยนะคะ คิกคิก…พี่ใหญ่ก็ลองชิมดูสิคะ” หลี่เหม่ยถิงที่เลือกจุดยืนเยื้องไปทางปลายเท้าของเตียง เพราะอยากมองเห็นทุกคนได้โดยไม่ต้องกวาดสายตา เห็นทั้งการแลกเปลี่ยนสายตาของแม่ลูก น้องสาวที่ขึงตาแข็งแต่ปากกลับพูดจาอ่อนหวานเรียกเธอไปกินน้ำแกง พูดจบก็กลอกตาเบะปากแล้วกลับมาพยายามตีหน้าใสซื่อ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเธอที่ไม่เคยเห็น ไม่สิก็เห็นแต่ไม่เคยนำมาใส่ใจเพราะไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับน้องสาว พอม่านหมอกที่บังตาเปิดออกทุกอย่างมันดูชัดเจน หลี่เหม่ยหลินนั้นยังเด็กจึงเก็บอาการหลบซ่อนไม่ได้ดีเท่าติงหรูอี้ รายหลังนี้ทำความหนักใจให้เธอไม่น้อยเพราะตอนนี้เธอยังเด็กยังหักกับอีกฝ่ายไม่ได้ เป็นเธอที่จะเสียเปรียบเอง ‘คงต้องทำตัวเชื่องเชื่อเหมือนเดิมไปก่อน’ แค่คิดก็หน่ายใจปนขยะแขยงแล้ว ‘หึ อยากได้พี่สาวที่รัก ลูกสาวที่เชื่อฟังนักใช่ไหม หวังว่าในอนาคตจะรับความรักสุดซึ้งจากเธอไหวก็แล้วกัน’ รอยยิ้มแสยะยกขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ส่วนแววตาแค้นเคืองภายใต้กรอบแว่นสายตาสีดำหนาแถมยังมีผมหน้าม้ายาวบดบังดวงตาคู่สวยยิ่งไม่มีใครมองเห็น ความจริงหากจากนี้ต่อไปสองแม่ลูกนี่จะไม่มาวุ่นวายคิดร้ายกับเธอ หลี่เหม่ยถิงคงจะยอมปล่อยให้เรื่องราวที่ผ่านไปแล้วผ่านเลยไป เพราะถึงอย่างไรก็ถือว่ามีบุญคุณเลี้ยงดูอุ้มชูกันมา แต่ถ้ายังคิดร้ายกันไม่หยุดก็อย่าหาว่าเธออกตัญญู!“คุณหนูใหญ่ครับถึงสนามบินแล้ว” เสียงลุงหย่งอันเรียกหลังจากลงไปเปิดประตูรถให้ หลี่เหม่ยถิงที่กำลังเช็กข้อความในโทรศัพท์ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ก้มดูนาฬิกาข้อมือ คำนวณระยะเวลาเช็กอินคิดว่าจะเดินไปซื้อชาร้อนดื่มสักแก้ว“ลุงหย่งอันกับอาฉีกลับกันได้เลยนะคะ” “เรียบร้อยแล้วครับคุณหนูใหญ่” เสียงเข้มตอบมาจากทางด้านหลังของพ่อบ้านของตระกูล ร่างสูงอุดมไปด้วยมัดกล้ามที่แทบจะปริออกมาจากชุดสูทสากลสีดำเดินมายืนข้างลุงหย่งอันฉีฟ่านเป็นบอดี้การ์ดของคุณพ่อมานานหลายปี ชายร่างใหญ่หน้าเหลี่ยม คิ้วและปากหนา ตาคมปีกจมูกบานออก หูด้านขวามีรอยแหว่งจากรอยแผลสมัยที่ยังคงอยู่ในกองทัพ โดยรวมภาพลักษณ์ดูดุดันแตกต่างชัดเจนกับคนเป็นพ่อบ้านชนิดคนละขั้วลุงหย่งอันผอมเพรียว ยืนเหยียดหลังตรงในชุดสูท 5 ชิ้นดูน่าอึดอัดท่ามกลางอากาศอบอ้าวในช่วงฤดูร้อน แก้มตอบเข้าทำให้โหนกแก้มดูสูง หางตาตกแต่มีประกายฉลาดเฉลียว สองคนนี้คนหนึ่งดูเป็นคนใช้เรี่ยวแรงในการทำงาน อีกคนดูทรงภูมิท่วงท่าคล้ายบัณฑิตไม่มีแม้แรงจะมัดไก่ทำให้คิดถึงรูปร่างอวบท้วมใบหน้ากลมมน หน้าผากกว้างแต่เรียวปากบางของป้าหนิวอี หากจับทั้งสามยืนรวมกันคงเกิดเป็นทัศนียภา
ตึกหัวใจเต้นผิดจังหวะกับคำชมแสนสั้นแต่น้ำเสียงหนักแน่นหลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงพูดคุยระหว่างคนทั้งสอง มีเพียงเสียงย่ำเท้ากับเสียงหายใจที่ดังชัดเจนในยามค่ำคืน“คุณ…นั่งหลบตรงนี้ก่อน เดี๋ยวฉันขอไปดูลาดเลาตรงทางเข้าก่อน”เสียงกระซิบแผ่วเบาไม่ทันจะพูดจบก็มีเสียงตะโกนแทรกขึ้นมาเสียก่อน“ใครอยู่ตรงนั้น? ออกมาเดี๋ยวนี้!”เฮ้ย!! จู่ ๆ หลี่เหม่ยถิงก็ยื่นหน้าถลำออกไปจากหลังต้นไม้ ทำเอาเจ้าของเสียงขึงขังตกใจจนแทบจะหงายหลังหน้าขาวซีดในป่าตอนกลางคืน มันสยองน้อยเสียเมื่อไหร่“ประธานนักเรียนหลี่นี่เอง ลุงตกใจหมด”‘ถงกวงต๋า’ พนักงานรักษาความปลอดภัยกะดึกของโรงเรียนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับประธานนักเรียน เพราะเด็กสาวมักจะออกตรวจตรารอบบริเวณทางออกด้านหลังเป็นประจำทุกสัปดาห์ ตั้งแต่ขึ้นแท่นเป็นประธานนักเรียนเมื่อ 2 ปีก่อน“ฉันเองค่ะลุงถง ขออภัยที่ทำให้ตกใจนะคะ พอดีทำของตกกำลังมองหาน่ะค่ะ“หลี่เหม่ยถิงแก้ตัวออกไปด้วยมาดนิ่งขรึมทรงภูมิ ดูน่าเชื่อถือเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด เธอเป็นนักเรียนที่ได้ชื่อเป็นสารานุกรมกฎระเบียบเคลื่อนที่ ไม่เคยแหกกฎ เที่ยงตรง ทรงธรรมมากที่สุด สำหรับทำให้คนภายนอกดูน่ะนะ
โรงเรียนไท่หรงฮุ่ยเหวิน เป็นโรงเรียนประจำหญิงล้วนที่เปิดรับนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย หลี่เหม่ยถิงนับว่าเป็นนักเรียนเก่าแก่คนหนึ่ง เธอถูกส่งเข้ามาเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อยู่มา 10 ปีแทบจะหลับตาเดินได้ทั่วแคมปัส ถนนหนทาง ตรอกเล็ก ทางลัด ซอกซอยถูกจดจำได้อย่างแม่นยำกว่าบ้านตระกูลหลี่เสียอีก การพาคนบาดเจ็บแอบเข้าไปซ่อนจึงถือว่าเป็นเรื่องง่าย‘ฉันก็ทำเท่าที่จะช่วยได้แล้ว หวังว่าคุณคงผ่านพ้นคืนนี้ไปได้นะ’ เธอมีความเสียใจปนเสียดายเล็กน้อย เราทั้งคู่ไม่มีการแนะนำตัวไม่มีการเรียกขานชื่อ เหมือนคนแปลกหน้าที่แค่เดินสวนทาง ใช้เวลาร่วมกันเพียงเสี้ยวนาทีหนึ่งจึงไม่ควรเก็บมาจดจำ“มาแล้ว ๆ ปิดไฟด่วน”“กรี๊ด! กู่เฟิงหลี่มาแล้ว”“เก็บของซ่อนใต้ผ้าห่มเร็ว”ขณะที่จมอยู่กับความคิดตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็กำลังก้าวขึ้นบันไดหอพักนักเรียนตึกหนึ่ง มีเสียงโหวกเหวกวุ่นวายแบบไก่บินสุนัขกระโดด “เจ้าพวกนี้ นี่ก็ปีที่ 3 แล้วยังไม่จำเป็นบทเรียนกันอีกหรือไง” “ประธานหลี่ ถ้าจำกันได้คงไม่มีใครถูกลงโทษแล้วล่ะค่ะ วันนี้ใช้รูปแบบไหนดีคะ” จ้าวลี่จู เลขาสภานักเรียน อันเหิงเย่
พรึ่บ!หลี่เหม่ยถิงยกมือเป็นสัญญาณเงียบเสียง ในโรงเรียนนี้ยังมีใครกล้าไม่เชื่อฟังบ้าง? คำตอบคือไม่มี สถานที่นี้เป็นเหมือนแหล่งพักพิงระบายความกดดันจากที่บ้าน เธอเปรียบเสมือนจักรพรรดินีในโลกของเด็กวัยรุ่น“ไหนดูสิ เหอจูอิ๋ง เหอจูอิ๋ง ห้อง 304 เกิดที่ซานตง พ่อแม่ อืม…ข้ามไปก่อน อันนี้น่าสนใจเป็นตกขาวเพราะล้างทำความสะอาดน้องสาวไม่ดี” หนังสือในมือลดต่ำ เหลือบตามองทางเบื้องล่าง จุปากส่ายหน้าไปมา“กรี๊ดดดดด อ๊ายยยย อย่าไปฟังมันนะ มันโกหก อีบ้าแกอย่ามาใส่ร้ายฉัน” เหอจูอิ๋งตกใจจนแทบจะฉี่ราด แม้แต่เรื่องแบบนี้มันรู้ได้ยังไง เธอไม่ได้เป็นตกขาวเพราะว่าทำความสะอาดไม่ดีแต่เธอเป็นเพราะเกิดจากสาเหตุอื่นต่างหากปึก!“เซี่ยวเฉ่า ” เสียงเอ่ยพร้อมแสยะยิ้ม บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใช่ว่าหลี่เหม่ยถิงไม่รู้สาเหตุแต่แค่ยังไม่ได้พูดออกมาเหอจูอิ๋ง แข้งขาอ่อนแรงไถลลงไปนั่งแหมะกับพื้นหมดมาดดอกไม้งามประจำโรงเรียน เด็กสาวรีบกระถดตัวยื่นมือไปข้างหน้า“ประธานหลี่ พี่ใหญ่หลี่ ไม่ใช่สิ ย่าหลี่!!!… ต่อไปฉันไม่กล้าอีกแล้ว ท่านผู้ยิ่งใหญ่ปล่อยฉันไปสักครั้งเถอะนะ”โฮฮฮฮเหอจู่อิ๋งตกใจจนไม่เหลือสติจริง ๆ แล้ว ใช่สาเหตุ
ทางฝั่งชายปริศนา หลังจากเด็กสาวที่ช่วยเขาไว้เดินจากไป เขาสังหรณ์ใจว่านี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันอย่างแน่นอนติ๊ด ติ๊ดนิ้วยาวเรียวมีความสากระคายกดปุ่มบนมือถืออีกเครื่องที่ปิดเครื่องไว้ป้องกันแบตหมดตอนเกิดเรื่อง แต่ตอนนี้ซิมที่ใส่เป็นอันที่สาวน้อยให้มา“เจ้านายครับ”“ประธานครับ” หลังส่งข้อความไปไม่ถึง 15 นาที คนของเขาก็มาถึง ชายหนุ่มเดินออกมาจากที่ซ่อนพยักหน้าให้ผู้ช่วยแและเลขาส่วนตัวทำตัวตามสบาย สองคนนี้แทบจะลงไปคุกเข่าสำนึกผิดที่ตามหาตัวเขาได้ล่าช้าจนเขาต้องติดต่อไปด้วยตนเอง“กลับกันคืนนี้เลย ทางนี้รอให้โครงการที่เซี่ยงไฮ้เรียบร้อยค่อยกลับมาจัดการ”“ท่านประธาน! แต่บาดแผล…” “หมิงเจี่ย ทำตามที่ฉันสั่ง”“ครับ”เสียงเย็นชาไร้อารมณ์เอ่ยสั้น แต่ความหมายในตัวคือห้ามขัดขืน มีแต่ต้องทำตามเท่านั้น คำสั่งเจ้านายถือเป็นคำขาดโจวหมิงเจี่ย ค้อมตัวเตรียมเดินจากไปสั่งการทีมบอดี้การ์ดที่รออยู่นอกรั้วโรงเรียน ท่านประธานบาดเจ็บจนใบหน้าขาวซีดแทบจะไม่มีสีเลือด แต่ดวงตาขาวกลับแดงก่ำจากการฝืนร่างกาย ดีไม่ดีระหว่างเดินทางกลับอาจจะมีไข้ เขาได้แต่ทอดถอนใจกับการปล่อยประละเลยไม่ดูแลตัวเองขอ
เซี่ยงไฮ้ ตึกเทียนอวิ๋น ชั้น 88ก๊อก ก๊อก“ท่านประธานเป็นยังไงบ้างเหล่าลั่ว” เสียงของโจวหมิงเจี่ยถามบุคคลที่นั่งอยู่โซนรับแขกของเพนต์เฮาส์ลั่วเว่ยฉี หมอหนุ่มจากหยวนเซี่ยงฉางเซ็ง โรงพยาบาลเอกชนที่ร่วมลงทุนกับรัฐบาล ใบหน้าขาวซีดตาดำคล้ำ นิ้วที่คีบบุหรี่เตรียมส่งเข้าปากชะงักเหลือบสายตามองคนถาม“ทำแผลเสร็จ ให้เลือดให้น้ำเกลือ ฉีดยาเรียบร้อยบาดแผลไม่ถูกจุดสำคัญ สักพักใหญ่คงฟื้น”โจวหมิงเจี่ยกดคางลงเป็นเชิงรับรู้ ยื่นมือไปรับบุหรี่ที่เหล่าลั่วยื่นส่งให้มาจุดสูบอย่างเคย เพนต์เฮาส์ของท่านประธานไม่เคยหวงห้ามลูกน้องให้สูบบุหรี่ได้ เพราะตัวท่านประธานนับได้ว่าสูบจัดมากคนหนึ่ง เพียงแต่จำกัดให้สูบเฉพาะในห้องนี้และห้องทำงานเท่านั้น“แล้วเรื่องตรวจร่างกาย?” “ถ้าท่านประธานไม่เปลี่ยนใจ เดี๋ยวฉันแจ้งทางเซี่ยเซ็งให้เตรียมสถานที่ให้ทำ Full Body เช็กอัปเป็นการส่วนตัว รับรองเก็บเงียบไม่มีใครกล้าปากมาก”“นายจะกลับก่อนหรือรอท่านประธานตื่น นอนห้องพักแขกชั้นล่างก็ได้ สภาพนายไม่น่าจะไหว” โจวหมิงเจี่ยแนะนำหมอหนุ่มรุ่นน้อง ดูจากหน้าตาถ้าให้ขับรถกลับเองคงได้ยินข่าวร้ายแน่“ยังมีหน้ามาพูดนะเหล่าโจว ก็ใครล
“ประธานนักเรียนหลี่ เข้าพบผู้อำนวยการที่ห้องผู้อำนวยการตึก A ด้วยค่ะ”เสียงประกาศเรียกตัวมาทางวิทยุกระจายเสียงของโรงเรียน ทำให้หลี่เหม่ยถิงต้องปิดหนังสือที่กำลังนั่งอ่านในห้องสมุดของโรงเรียนลง “สารานุกรมสมุนไพร” เล่มหนาปึกถูกหยิบขึ้นมาเพื่อเดินไปลงชื่อยืมที่ผู้ช่วยบรรณารักษ์“ประธานหลี่ ยืมเล่มนี้เหรอคะเดี๋ยวฉันเขียนบันทึกรายการให้ค่ะ” นักเรียนผู้ช่วยปีสองรีบยื่นมาออกมารับหนังสือทันทีที่เห็นหน้าคนเดินมา“ขอฝากไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวกลับจากห้องผู้อำนวยการแล้วจะแวะมารับ”“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา”“ขอบคุณค่ะ”การมีสิทธิมีเสียงมีอำนาจในมือ มันทำให้ได้รับความสะดวกสบายในหลายด้าน ดูเธอเป็นตัวอย่างสิ ตอนเป็นนักเรียนธรรมดากับตอนเป็นประธานนักเรียนผู้คนปฏิบัติตัวต่างกันลิบลับ“ขออนุญาตค่ะผู้อำนวยการ”“อ้าว ประธานหลี่มาแล้วเหรอ ดี ดี นั่งก่อนสิ”หลี่เหม่ยถิงนั่งลงตรงหน้าโต๊ะทำงานของผู้อำนวยการโรงเรียนอย่างคุ้นเคย รอหัวข้อสนทนาจากอาจารย์สูงวัยตรงหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าเรียกเธอมาตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอมทำไม“อาจารย์ได้รับแจ้งจากทางโรงพยาบาลว่านักเรียนประสบอุบัติเหตุ หายดีแล้วหรือยัง”“หายดีแล้วค่ะ ขอบคุณอา
พูดจบก็เอื้อมมือปิดปุ่มกระจายเสียง สวมฮู้ดคลุมหัวแล้วเดินมุ่งหน้าออกไปทางประตูหน้าของโรงเรียน ไม่สนใจเสียงร่ำไห้ โหยหวน ก่นด่าตามหลัง“เริ่มจากตรงไหนก่อนดีนะ อุบัติเหตุผ่านมา 3 เดือน เกรงว่าร่องรอยให้ตามต่อน่าจะยากเต็มที”3 เดือนที่แล้ว หลี่เหม่ยถิงประสบอุบัติเหตุรถชนขณะกำลังนั่งรถแท็กซี่เพื่อไปยังสนามบินไท่หยวน เหตุเกิดบนถนนใกล้กับทะเลสาบจินหยวนคนขับรถแท็กซี่บาดเจ็บพอประมาณ ขาหัก กระดูกแขนร้าว ส่วนตัวเธอที่นั่งอยู่เบาะหลังบาดเจ็บไม่ได้สตินอนโคม่าเกือบเดือน คนขับรถมาชนพวกเธอมอบตัวในที่เกิดเหตุ สาเหตุคือรถมีปัญหาเบรคแตกควบคุมรถไม่ได้ ตอนนี้เขาติดคุกอยู่ในเรือนจำรับโทษนาน 5 ปี คดีถึงชั้นศาล ตัดสินอย่างรวดเร็ว และปิดคดีอย่างง่ายดาย “ชีวิตของเธอมันราคาถูกเสียจริง ทุกสิ่งถูกติงหรูอี้จัดการให้ผ่านไปง่าย ๆ” แค่นเสียงพูดใส่ตัวเอง จดบัญชีที่ต้องชำระความไว้ในเซลล์สมองตอนนี้เธอเป็นเพียงผู้เยาว์มือเธอไม่สามารถยื่นยาวไปได้ไกล ไร้เส้นสายไร้อำนาจ แต่จะให้ปล่อยผ่านเธอกลับไม่ยินยอม“หลี่เหม่ยถิง เธอมันเก่งได้แค่ในรั้วโรงเรียนเล็ก ๆ โลกความเป็นจริงนี้ เธอทำสิ่งใดได้บ้าง ตอนนี้เงินและทรัพย์สิน
12.00 น. วันต่อมา ติ๊ด ติ๊ดเสียงเตือนข้อความเข้าทำเอาหลี่เหม่ยถิงตะครุบโทรศัพท์อย่างเสียอาการนิ่งสงบ‘มีเบาะแสเพิ่ม มีแนวโน้มว่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุ’หลี่เหม่ยถิงถอนใจกับตัวเองด้วยความผิดหวัง ไม่ใช่ข้อความจากพี่ใหญ่ฉิน แต่อย่างน้อยข้อความนี้ก็เรียกสีหน้าตื่นตัวจากความเฉื่อยชาเรื่องงานของสภานักเรียนได้“ประธานรอข้อความสำคัญเหรอคะ” จ้าวลี่จูผู้กำลังรายงานข้อเรียกร้องการจัดสรรงบชมรมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ไม่บ่อยนักที่ประธานจะออกท่าทางลุกลน“อือ” พยักหน้าแบบผ่าน ๆ ขณะกำลังเท้าคาง ในสมองก็เริ่มนึกถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ ของอุบัติเหตุ เบาะแสเพิ่งเริ่มปรากฏ ยังยืนยันไม่ได้ว่ามีคนจงใจจัดฉาก เธอควรใจเย็นรอหวางอู๋ซวนมีข้อมูลมากกว่านี้เฮ้อ!“การได้แต่นั่งรอเพราะทำอะไรไม่ได้นี่มันอึดอัดใจจริงเชียว” บ่นเสร็จก็ลุกขึ้นจากหลังโต๊ะทำงาน ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ดหลี่เหม่ยถิงที่ทำเป็นลืมโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ หันตัวกลับไปคว้ามันขึ้นมาแล้วก้มหน้าเช็กข้อความ‘เพ้ย! ใครมันเล่นตลกกับฉันหรือไง ส่งข้อความที่ไม่ได้รอมาแทรกอะไรกันนัก!’ หลี่เหม่ยถิงที่เริ่มหงุดหงิด ยกมือทำท่าจะปาโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ“ประธานอย่าปาน
เวลา 14.10 น. วันต่อมาป้อมยามหน้าโรงเรียน“สวัสดีค่ะลุงเหมา หนูมารับของค่ะ”“อ้า…ประธานนักเรียนมาพอดีเลย เข้ามารอก่อนครับ เดี๋ยวลุงหยิบให้”ไม่นานลุงเหมาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยกะบ่ายก็ส่งซองเอกสารให้ 2 ซอง‘หืม?’ หลังขอบคุณหลี่เหม่ยถิงรับซองเอกสารมาดู มีลายมือหนักแน่นทรงพลังบนซองปิดผนึกเขียนชื่อของเธอไว้‘พี่ชายคนนั้นทำอย่างที่พูดจริงเสียด้วย’ เธอลองกะความหนาของเอกสารอย่างน้อยน่าจะมี 10 แผ่นขึ้นไป ควรจะขอบคุณเขาเสียหน่อย‘ขอบคุณสำหรับประวัติค่ะ จะตั้งใจอ่านอย่างดี :)’ติ๊ด ติ๊ด‘ไม่เป็นไรครับ ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถาม‘พรืด! คิกคิก‘ประวัติส่วนตัวนะคะ ไม่ใช่รายงานที่ไม่เข้าใจตรงไหนแล้วจะให้ถามน่ะ’หลี่เหม่ยถิงเดินกลับเข้าแคมปัสไปก็ส่งข้อความโต้ตอบกับคนไกลไปด้วย ไม่สนเลยว่าจะมีข่าวลืออะไรบ้างจากท่าทางแปลกประหลาดที่นักเรียนไม่เคยเห็นจากประธานผู้เคร่งขรึม“นักเรียนเหอจูอิ๋ง เข้าพบประธานนักเรียนที่ห้องประธานสภานักเรียนด่วนค่ะ“เสียงประกาศเรียกชื่อเข้าพบประธานนักเรียน ผู้โชคร้ายรายแรกของปีการศึกษาปรากฏตัวขึ้นมาก่อนหน้าจะเปิดภาคการศึกษาแค่ 3 วันจริงแล้วการลงโทษจากสภานักเรียน
10 นาทีต่อมาแกร๊ก“เหม่ยถิงงงงงง ช่วยด้วย!”แค่เปิดประตูเข้ามาในห้องพัก เฉินซินหยานที่คงคอยท่าอยู่นานแล้วรีบพุ่งเข้าหา หลี่เหม่ยถิงเบี่ยงตัวหลบออกด้านข้าง ตัวของเพื่อนสาวจึงพุ่งเข้าชนกับประตูดังโครม“เหม่ยถิงอ่ะ ทำไมทำกับเพื่อนรักแบบนี้ เพื่อเป็นการไถ่โทษมาช่วยทำการบ้านเลยนะ”เฉินซินหยานร้องทุกข์แต่เอาดีเข้าตัว พ่วงด้วยแบล็กเมลกันเสร็จสรรพ“ไม่ได้อาจารย์อู๋จำลายมือพวกเราได้ อาจารย์คาดโทษเธอไว้นะลืมแล้วเหรอ หรืออยากไปช่วยล้างห้องน้ำตึกพักอาจารย์”“แต่มันไม่เข้าใจนี่” เฉินซินหยานยังพยายามขอความเห็นใจ“เฉินซินหยาน!!!”“อะไรเล่า ทำไมต้องเสียงดังด้วย”“เธอไม่ได้โง่เธอแค่ขี้เกียจ ฉันบอกไว้ก่อนนะฉันเลือกมหาวิทยาลัยปักกิ่ง อีก 10 เดือนจะสอบเกาเข่าเธอจะทำตัวขี้เกียจเหมือนเดิม หรือจะทุ่มเทกับการเรียนแล้วไปปักกิ่งด้วยกัน เธอเลือกเอาเอง”ในภาพฝันที่ไปเยือนอีกมิติ เฉินซินหยานยังคงทำตัวเอ้อระเหยจนจบการศึกษา สุดท้ายสอบเกาเข่าได้ผลลัพธ์ไม่ดี ครอบครัวจึงส่งไปเรียนเมืองนอก แล้วก็ไม่ได้กลับมาจีนอีกเลย ทั้งยังมีจุดจบที่ไม่สวยนักเช่นเดียวกันกับเธอ“ถึงฉันจะไม่ได้โง่ แต่ฉันไม่ชอบพวกวิชาคำนวณเล
“ฉันสามารถเรียกคุณว่าอะไรได้”หลี่เหม่ยถิงเดินมาถึงก็หันไปถามชายแปลกหน้า“ฮ่า ฮ่า ขออภัยครับคุณหนู ผมชื่อหวางอู๋ซวน”“ลุงคือหวางอู๋ซวนจริงเหรอ!!?!”เสี่ยวโกวพูดแทรกอย่างตื่นตกใจ หลังจากได้รู้ชื่อของชายคนนั้น เขาพิจารณาหวางอู๋ซวนอย่างละเอียด คนบนท้องถนนของไท่หยวนไม่มีใครไม่รู้จัก “หมาล่าเนื้อหวางอู๋ซวน”แต่ไม่คิดว่าเทพลมไร้หลักแหล่งหาตัวจับยากจะดูเป็นชายหน้าตาท่าทางธรรมดาแบบนี้“หมาล่าเนื้อ” เป็นฉายาน่าเกรงขามที่เป้าหมายของหวางอู๋ซวนเรียกขาน เขาตามดมกลิ่นไปทั่่วแม้แต่กลิ่นผายลมเขายังไม่ปล่อยผ่าน กัดไม่ปล่อยจนกว่าจะขุดคุ้ยเรื่องราวของคนที่เขาติดตามออกมาทุกซอกทุกมุม และจะตามล่าไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวจนกว่าจะจับได้“ตัวจริงน่ะสิ หวางอู๋ซวนในไท่หยวนนี่มีใครกล้าแอบอ้างชื่อบ้างไอ้น้อง”หวางอู๋ซวนคาดหวังสายตาชื่นชมจากเด็กชายก็ให้ผิดหวัง เพราะเขาได้สายตาคลางแคลงแกมดูถูกมาแทน แถมยังพ่นลมขึ้นจมูกใส่เสียอีก‘เด็กเวร ถ้าคุณหนูไม่อยู่น่าจับมาสั่งสอน’“พี่สาวหลี่ ถ้าอย่างนั้นคงไม่ได้เรื่องแล้วล่ะ ลืมที่ผมพูดไปเสียเถอะ เขาโดนเราจับได้ง่ายขนาดนี้ เรื่องเล่านั่นคงพูดกันเกินจริง“หลี่เหม่ยถิงเป็น
พูดจบก็เอื้อมมือปิดปุ่มกระจายเสียง สวมฮู้ดคลุมหัวแล้วเดินมุ่งหน้าออกไปทางประตูหน้าของโรงเรียน ไม่สนใจเสียงร่ำไห้ โหยหวน ก่นด่าตามหลัง“เริ่มจากตรงไหนก่อนดีนะ อุบัติเหตุผ่านมา 3 เดือน เกรงว่าร่องรอยให้ตามต่อน่าจะยากเต็มที”3 เดือนที่แล้ว หลี่เหม่ยถิงประสบอุบัติเหตุรถชนขณะกำลังนั่งรถแท็กซี่เพื่อไปยังสนามบินไท่หยวน เหตุเกิดบนถนนใกล้กับทะเลสาบจินหยวนคนขับรถแท็กซี่บาดเจ็บพอประมาณ ขาหัก กระดูกแขนร้าว ส่วนตัวเธอที่นั่งอยู่เบาะหลังบาดเจ็บไม่ได้สตินอนโคม่าเกือบเดือน คนขับรถมาชนพวกเธอมอบตัวในที่เกิดเหตุ สาเหตุคือรถมีปัญหาเบรคแตกควบคุมรถไม่ได้ ตอนนี้เขาติดคุกอยู่ในเรือนจำรับโทษนาน 5 ปี คดีถึงชั้นศาล ตัดสินอย่างรวดเร็ว และปิดคดีอย่างง่ายดาย “ชีวิตของเธอมันราคาถูกเสียจริง ทุกสิ่งถูกติงหรูอี้จัดการให้ผ่านไปง่าย ๆ” แค่นเสียงพูดใส่ตัวเอง จดบัญชีที่ต้องชำระความไว้ในเซลล์สมองตอนนี้เธอเป็นเพียงผู้เยาว์มือเธอไม่สามารถยื่นยาวไปได้ไกล ไร้เส้นสายไร้อำนาจ แต่จะให้ปล่อยผ่านเธอกลับไม่ยินยอม“หลี่เหม่ยถิง เธอมันเก่งได้แค่ในรั้วโรงเรียนเล็ก ๆ โลกความเป็นจริงนี้ เธอทำสิ่งใดได้บ้าง ตอนนี้เงินและทรัพย์สิน
“ประธานนักเรียนหลี่ เข้าพบผู้อำนวยการที่ห้องผู้อำนวยการตึก A ด้วยค่ะ”เสียงประกาศเรียกตัวมาทางวิทยุกระจายเสียงของโรงเรียน ทำให้หลี่เหม่ยถิงต้องปิดหนังสือที่กำลังนั่งอ่านในห้องสมุดของโรงเรียนลง “สารานุกรมสมุนไพร” เล่มหนาปึกถูกหยิบขึ้นมาเพื่อเดินไปลงชื่อยืมที่ผู้ช่วยบรรณารักษ์“ประธานหลี่ ยืมเล่มนี้เหรอคะเดี๋ยวฉันเขียนบันทึกรายการให้ค่ะ” นักเรียนผู้ช่วยปีสองรีบยื่นมาออกมารับหนังสือทันทีที่เห็นหน้าคนเดินมา“ขอฝากไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวกลับจากห้องผู้อำนวยการแล้วจะแวะมารับ”“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา”“ขอบคุณค่ะ”การมีสิทธิมีเสียงมีอำนาจในมือ มันทำให้ได้รับความสะดวกสบายในหลายด้าน ดูเธอเป็นตัวอย่างสิ ตอนเป็นนักเรียนธรรมดากับตอนเป็นประธานนักเรียนผู้คนปฏิบัติตัวต่างกันลิบลับ“ขออนุญาตค่ะผู้อำนวยการ”“อ้าว ประธานหลี่มาแล้วเหรอ ดี ดี นั่งก่อนสิ”หลี่เหม่ยถิงนั่งลงตรงหน้าโต๊ะทำงานของผู้อำนวยการโรงเรียนอย่างคุ้นเคย รอหัวข้อสนทนาจากอาจารย์สูงวัยตรงหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าเรียกเธอมาตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอมทำไม“อาจารย์ได้รับแจ้งจากทางโรงพยาบาลว่านักเรียนประสบอุบัติเหตุ หายดีแล้วหรือยัง”“หายดีแล้วค่ะ ขอบคุณอา
เซี่ยงไฮ้ ตึกเทียนอวิ๋น ชั้น 88ก๊อก ก๊อก“ท่านประธานเป็นยังไงบ้างเหล่าลั่ว” เสียงของโจวหมิงเจี่ยถามบุคคลที่นั่งอยู่โซนรับแขกของเพนต์เฮาส์ลั่วเว่ยฉี หมอหนุ่มจากหยวนเซี่ยงฉางเซ็ง โรงพยาบาลเอกชนที่ร่วมลงทุนกับรัฐบาล ใบหน้าขาวซีดตาดำคล้ำ นิ้วที่คีบบุหรี่เตรียมส่งเข้าปากชะงักเหลือบสายตามองคนถาม“ทำแผลเสร็จ ให้เลือดให้น้ำเกลือ ฉีดยาเรียบร้อยบาดแผลไม่ถูกจุดสำคัญ สักพักใหญ่คงฟื้น”โจวหมิงเจี่ยกดคางลงเป็นเชิงรับรู้ ยื่นมือไปรับบุหรี่ที่เหล่าลั่วยื่นส่งให้มาจุดสูบอย่างเคย เพนต์เฮาส์ของท่านประธานไม่เคยหวงห้ามลูกน้องให้สูบบุหรี่ได้ เพราะตัวท่านประธานนับได้ว่าสูบจัดมากคนหนึ่ง เพียงแต่จำกัดให้สูบเฉพาะในห้องนี้และห้องทำงานเท่านั้น“แล้วเรื่องตรวจร่างกาย?” “ถ้าท่านประธานไม่เปลี่ยนใจ เดี๋ยวฉันแจ้งทางเซี่ยเซ็งให้เตรียมสถานที่ให้ทำ Full Body เช็กอัปเป็นการส่วนตัว รับรองเก็บเงียบไม่มีใครกล้าปากมาก”“นายจะกลับก่อนหรือรอท่านประธานตื่น นอนห้องพักแขกชั้นล่างก็ได้ สภาพนายไม่น่าจะไหว” โจวหมิงเจี่ยแนะนำหมอหนุ่มรุ่นน้อง ดูจากหน้าตาถ้าให้ขับรถกลับเองคงได้ยินข่าวร้ายแน่“ยังมีหน้ามาพูดนะเหล่าโจว ก็ใครล
ทางฝั่งชายปริศนา หลังจากเด็กสาวที่ช่วยเขาไว้เดินจากไป เขาสังหรณ์ใจว่านี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันอย่างแน่นอนติ๊ด ติ๊ดนิ้วยาวเรียวมีความสากระคายกดปุ่มบนมือถืออีกเครื่องที่ปิดเครื่องไว้ป้องกันแบตหมดตอนเกิดเรื่อง แต่ตอนนี้ซิมที่ใส่เป็นอันที่สาวน้อยให้มา“เจ้านายครับ”“ประธานครับ” หลังส่งข้อความไปไม่ถึง 15 นาที คนของเขาก็มาถึง ชายหนุ่มเดินออกมาจากที่ซ่อนพยักหน้าให้ผู้ช่วยแและเลขาส่วนตัวทำตัวตามสบาย สองคนนี้แทบจะลงไปคุกเข่าสำนึกผิดที่ตามหาตัวเขาได้ล่าช้าจนเขาต้องติดต่อไปด้วยตนเอง“กลับกันคืนนี้เลย ทางนี้รอให้โครงการที่เซี่ยงไฮ้เรียบร้อยค่อยกลับมาจัดการ”“ท่านประธาน! แต่บาดแผล…” “หมิงเจี่ย ทำตามที่ฉันสั่ง”“ครับ”เสียงเย็นชาไร้อารมณ์เอ่ยสั้น แต่ความหมายในตัวคือห้ามขัดขืน มีแต่ต้องทำตามเท่านั้น คำสั่งเจ้านายถือเป็นคำขาดโจวหมิงเจี่ย ค้อมตัวเตรียมเดินจากไปสั่งการทีมบอดี้การ์ดที่รออยู่นอกรั้วโรงเรียน ท่านประธานบาดเจ็บจนใบหน้าขาวซีดแทบจะไม่มีสีเลือด แต่ดวงตาขาวกลับแดงก่ำจากการฝืนร่างกาย ดีไม่ดีระหว่างเดินทางกลับอาจจะมีไข้ เขาได้แต่ทอดถอนใจกับการปล่อยประละเลยไม่ดูแลตัวเองขอ
พรึ่บ!หลี่เหม่ยถิงยกมือเป็นสัญญาณเงียบเสียง ในโรงเรียนนี้ยังมีใครกล้าไม่เชื่อฟังบ้าง? คำตอบคือไม่มี สถานที่นี้เป็นเหมือนแหล่งพักพิงระบายความกดดันจากที่บ้าน เธอเปรียบเสมือนจักรพรรดินีในโลกของเด็กวัยรุ่น“ไหนดูสิ เหอจูอิ๋ง เหอจูอิ๋ง ห้อง 304 เกิดที่ซานตง พ่อแม่ อืม…ข้ามไปก่อน อันนี้น่าสนใจเป็นตกขาวเพราะล้างทำความสะอาดน้องสาวไม่ดี” หนังสือในมือลดต่ำ เหลือบตามองทางเบื้องล่าง จุปากส่ายหน้าไปมา“กรี๊ดดดดด อ๊ายยยย อย่าไปฟังมันนะ มันโกหก อีบ้าแกอย่ามาใส่ร้ายฉัน” เหอจูอิ๋งตกใจจนแทบจะฉี่ราด แม้แต่เรื่องแบบนี้มันรู้ได้ยังไง เธอไม่ได้เป็นตกขาวเพราะว่าทำความสะอาดไม่ดีแต่เธอเป็นเพราะเกิดจากสาเหตุอื่นต่างหากปึก!“เซี่ยวเฉ่า ” เสียงเอ่ยพร้อมแสยะยิ้ม บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใช่ว่าหลี่เหม่ยถิงไม่รู้สาเหตุแต่แค่ยังไม่ได้พูดออกมาเหอจูอิ๋ง แข้งขาอ่อนแรงไถลลงไปนั่งแหมะกับพื้นหมดมาดดอกไม้งามประจำโรงเรียน เด็กสาวรีบกระถดตัวยื่นมือไปข้างหน้า“ประธานหลี่ พี่ใหญ่หลี่ ไม่ใช่สิ ย่าหลี่!!!… ต่อไปฉันไม่กล้าอีกแล้ว ท่านผู้ยิ่งใหญ่ปล่อยฉันไปสักครั้งเถอะนะ”โฮฮฮฮเหอจู่อิ๋งตกใจจนไม่เหลือสติจริง ๆ แล้ว ใช่สาเหตุ