ปี 1997
ณ โรงพยาบาลเอกชน ฝูต้า “อย่ามาเรียกฉันว่าแม่!! แกไม่ใช่ลูกของฉัน!!” “แกมันก็แค่มารหัวขน ลูกชู้ที่พ่อแกอุ้มกลับมาให้ฉันเลี้ยงดู” “จุ๊ ๆ คุณแม่ดูสิคะ สารรูปนังเหม่ยถิงดูไม่ได้เลย นี่คงใกล้จะตายเต็มทีทางแพทย์เจ้าของไข้ถึงโทรไปตามให้เรามาดูใจมันนะคะ” “ดูสิเสื้อผ้าหน้าผมสารรูปผีไม่ใช่คนไม่เชิงนี่ก็ผลงานชิ้นเอกของฉันทั้งนั้น” ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ถ้อยคำเสียดแทง เสียงหัวเราะเย้ยหยันสะใจดังก้องสะท้อนไปมาภายในจิตใต้สำนึกที่หลับไหลของผู้ป่วยอาการโคม่า มีหยาดน้ำสีใสก่อตัวที่หางตา ร่างผอมบางขาวซีดที่นอนแน่นิ่งมากว่า 1 เดือนเกร็งกระตุก “คนไข้วิกฤติ เตียง 1 มีการตอบสนอง โทรตามอาจารย์เย่เร็วเข้า!!!” เสียงพูดรัวเร็วเป็นจังหวะทะลุผ่านโสตประสาทของร่างขาวบอบบางที่กำลังอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น สติและความรับรู้ภายนอกยังไม่กลับมาสมบูรณ์ เพียงรู้สึกได้ลาง ๆ เหมือนเปลือกตาถูกแยกออก มีแสงสว่างจ้าส่องตรงเข้านัยน์ตาดอกท้อจนต้องพยายามกะพริบกั้นแสง ไม่นานสติสัมปชัญญะก็ดับวูบลงอีกครั้ง 3 วันผ่านไป “รุ่นพี่คะ คนไข้ห้องพิเศษ 3 ไม่มีคนทางบ้านมาเฝ้าไข้เลยเหรอคะ?“ “จุ๊ ๆ อย่าเอ็ดไปนะอาจือ นั่นคุณหนูหลี่ลูกสาวคนโตของท่านประธานหลี่” “ห๊า! เรื่องจริงเหรอเนี่ย ไม่ใช่ว่าประธานหลี่มีลูกสาวคนเดียวเหรอคะ เท่าที่ฉันเคยเห็นมีแค่คุณหนูหลี่เหม่ยหลินมากับคุณนายหลี่เท่านั้น แล้วคุณนายไม่มาเฝ้าลูกสาวคนโตเลยเหรอ เธอนอนโคม่าเกือบเดือนเลยนะคะพี่” “นี่…อย่าพูดไปล่ะ ฉันเห็นคุณนายกับคุณหนูรองเข้าไปเยี่ยมท่านประธานที่ห้องพิเศษ 1 ทุกวัน แต่ไม่แวะมาห้องนี้เลยน่ะสิ” “เฮ้อ…น่าสงสาร…ตลอดเดือนมานี้มีเพียงหญิงและชายสูงวัยมาเยี่ยม ฉันยังนึกเลยว่าเป็นปู่ย่าของคนไข้เสียอีกนะคะ” “ปู่ย่าอะไรกันล่ะ นั่นแม่นมของเธอกับพ่อบ้านของตระกูลหลี่ เธอเพิ่งมาทำงานที่นี่อาจจะไม่รู้จัก แต่คนในโรงพยาบาลนี้คุ้นหน้าคุ้นตา 2 คนนั้นดี” เสียงกระซิบกระซาบด้านนอกบานประตูห้อง ทำให้หลี่เหม่ยถิงที่กำลังนอนรวบรวมสติอยู่บนเตียงแคบของห้องพักพิเศษในโรงพยาบาลของครอบครัวตัวเองถึงกับชะงักงัน ‘ครอบครัว’ เธอยังมีสิทธิใช้คำนี้เรียกขานคุณแม่ผู้แสนเข้มงวดและน้องสาวผู้อ่อนหวานอยู่อีกหรือ บุคคลที่เธอคิดมาตลอดช่วงอายุ 17 ปีว่าทั้งสองคือคนในครอบครัวจึงทุ่มเทความรัก พยายามเอาอกเอาใจ ปล่อยผ่านความเมินเฉย ยินยอมให้ทุกอย่างตามที่น้องสาวร้องขอ “ลูกเป็นพี่ ต้องรักน้องให้มากมีอะไรก็ต้องคิดถึงน้อง เสียสละให้น้อง” นี่คือคำพูดติดปากของผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นคุณแม่ของเธอ คุณแม่มักพูดกรอกหูย้ำเตือนด้วยน้ำเสียงเข้มงวดเรียบเฉย “ลูกเป็นลูกสาวคนโตของตระกูล แม่ถึงต้องเข้มงวดกับลูก ถ้าเข้าใจแล้วก็เก็บข้าวของเตรียมไปเรียนโรงเรียนประจำที่ไท่หยวนเสีย” เหตุผลที่เด็กหญิงในวัย 7 ขวบได้รับจาก ‘คุณแม่’ หลังจากเดินร้องไห้น้ำตาอาบหน้าไปขอร้องไม่ให้ส่งเธอไปเรียนโรงเรียนประจำอันห่างไกล “ลูกเป็นลูกสาวตระกูลหลี่ ต้องรักษาภาพลักษณ์หน้าตาของตระกูลไม่ให้คนนอกมาดูถูกว่าแต่งตัวไม่เหมาะสมเอาได้ แม่ถึงต้องเลือกเสื้อผ้าที่ดูเรียบร้อยมิดชิดให้กับลูก” เธอไล่ทบทวนความทรงจำและคำพูดของคุณแม่ที่ผ่านมา หลังจากตัดความรักใคร่เทิดทูนที่มีต่อผู้เป็นบุพการีออกไป มองสิ่งเหล่านั้นจากมุมมองของคนนอก รอยยิ้มติดเศร้าให้ความรู้สึกกึ่งสมเพชกึ่งเย้ยหยันตัวเองขยับขยายกระจายบนใบหน้า จำได้ว่าครั้งนั้นคุณพ่อเพิ่งกลับมาจากงานสัมมนาที่ต่างประเทศ ประกอบกับลูกสาวคนโตปิดเทอมภาคฤดูร้อนกลับมาอยู่บ้าน 3 เดือน คุณพ่อที่งานยุ่งตลอดทั้งปีพอมีเวลาว่างเล็กน้อยจึงคิดพาครอบครัวออกไปเที่ยวเล่น ครอบครัวเราพากันมาที่ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในตัวเมือง น้องสาววัย 6 ขวบค่อนข้างดื้อรั้นและซุกซนคุณพ่อคุณแม่จึงต้องคอยจับจูงไม่ให้พลัดหลง ส่วนตัวเธอมีคนงานคนหนึ่งของบ้านคอยจูงมือเดินตามมาทางด้านหลัง ได้แต่เฝ้ามองมือของพ่อแม่ตัวเองทางด้านหน้าด้วยสีหน้าแววตาเหงาหงอยและโหยหา มองคุณแม่ที่กำลังเลือกซื้อชุดกระโปรงพองฟูสีหวานสวยให้น้องสาว เลือกแล้วเลือกอีกอยู่นานจึงตัดสินใจซื้อมาทั้งหมด ส่วนในมือของตัวเองมีชุดสีเทาเข้มแบบแขนยาวเรียบร้อยที่คุณแม่ใช้เวลาหยิบจับไม่ถึง 3 นาทีก็ยื่นส่งให้อย่างไม่ใส่ใจนักอยู่ 1 ชุด “คุณแม่คะ หนูขอซื้อชุดนี้ด้วยอีกชุดได้ไหมคะ” เสียงเล็กเบาแกมประหม่าเปล่งถามออกไป ดวงตาจดจ้องเว้าวอน คิก คิก ฮ่า ฮ่า เสียงหัวเราะขมขื่นหลุดรอดจากลำคอแห้งผาก ยังต้องคิดทบทวนอะไรอีก ภายในบ้านหลังนั้นหากเป็นสิ่งที่เธอร้องขอบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นคุณแม่ไม่เคยตอบตกลงแม้สักครั้ง มักจะมีเหตุผลกล่าวอ้างร้อยแปดเพื่อปฏิเสธ “โง่งม หลี่เหม่ยถิงหนอหลี่เหม่ยถิง เธอมันตัวตลกที่ถูกจับหมุนเล่นอยู่บนฝ่ามือของคนอื่น” “ฉันไม่ได้ว่าพี่นะคะ ฉันพูดถึงตัวเองนี่ล่ะ” เสียงหวานราบเรียบพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง แต่สายตากลับปรายจับไปยังเงาร่างโปร่งใสทางขวาของเตียง ร่างนั้นเป็นหญิงสาววัยสามสิบท่วงท่าหม่นเศร้า วงหน้ารูปไข่หวานสีเหลืองซีดมีเค้าความงามเป็นเอก หากแต่มีริ้วรอยแห่งการผ่านการใช้ชีวิตที่ไม่ราบรื่นให้เห็นประปราย ถ้าคนภายนอกสามารถมองเห็นคงได้ออกอุทานตื่นตกใจถึงความเหมือนกันของร่างบอบบางบนเตียงคนไข้กับหญิงวัยกลางคนคนนี้ เงานั้นขยับส่ายหัวเพียงเล็กน้อยพร้อมทั้งแย้มปากยิ้มบาง ขยับริมฝีปากพูดบางอย่างออกมา แม้ไร้เสียงหลี่เหม่ยถิงยังสามารถอ่านริมฝีปากเป็นคำได้ว่า ‘ใช้ชีวิตให้ดี พี่ต้องไปแล้ว’ อ่านได้ใจความแล้วทำให้จิตใจที่คิดว่าด้านชาไร้ระลอกคลื่นกลับวูบโหวง ความรู้สึกสูญเสียจุกแน่นอยู่ในอกจนหายใจไม่ออก มือบางผอมแห้งสั่นเทากดขย้ำบนอกซ้าย อ้าปากกอบโกยลมหายใจเข้าปอด “พี่เหม่ยถิง… ตะ… ต้องไปแล้วเหรอคะ” เสียงสั่นเครือแหบแห้งกว่าจะเค้นคำพูดจนจบประโยคก็เล่นเอาร่างเล็กของสาวน้อยวัย 17 สั่นไหวทั้งตัว ดวงตาดอกท้อดำขลับคลอขังด้วยหยาดน้ำสีใส ดวงหน้าหวานรูปไข่มองเหม่ออย่างไร้จุดหมายหวนนึกถึง ‘ความฝัน’ ไม่สิจะเรียกความฝันก็ไม่ถูกนัก เพราะพี่เหม่ยถิงมีตัวตนอยู่ตรงหน้านี่แล้ว ความฝันนั้นคือประสบการณ์ชีวิตตลอด 10 ปีของผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อ ‘หลี่เหม่ยถิง’ ไม่ใช่คนชื่อเหมือน แต่เป็นตัวตนของพวกเธอทั้งสองในต่างห้วงเวลาต่างมิติ พี่เหม่ยถิงจับจูงมือของเธอยามดวงจิตตกอยู่ในภวังค์ว่างเปล่าหลังอุบัติเหตุรถชนที่เกือบคร่าชีวิตของเธอเมื่อหนึ่งเดือนก่อน การมาถึงของดวงจิตที่แตกดับไปแล้วจากอีกห้วงมิติเวลา ผ่านพลังงานฟ้าดินของหยกจักพรรดิสีเลือด พี่เหม่ยถิงมาเพื่อแสดงให้เห็นชะตาชีวิตและจุดจบของพวกเราที่ในแต่ละมิติคงจะไม่แตกต่างกันมาก หากยังไม่ตาสว่างและหลงเชื่อไปกับคำลวงของบุคคลที่เธอเชื่อหมดใจว่าเป็นคนในครอบครัว การเดินทางนี้ใช้เวลาร่วม 10 ปี ดวงจิตของเธอได้แต่ติดตามเฝ้ามอง ‘หลี่เหม่ยถิง’ อีกคนใช้ชีวิตในแต่ละวันผ่านไปตามคำสั่งและคำแนะนำอันเข้มงวดของผู้เป็นแม่ ชีวิตถูกตีกรอบทั้งเรื่องการวางตัว เสื้อผ้า การทำงาน หรือแม้แต่การแต่งงานยังไม่มีสิทธิเลือก ชีวิตทั้งชีวิตเหมือนจะราบรื่น ‘หลี่เหม่ยถิง’ เกิดมาเป็นทายาทรุ่นสองของตระกูลหลี่ที่มีเครือกิจการโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในเฉิงตู คุณพ่อเป็นศัลยแพทย์สมองชื่อดังระดับประเทศ มีคุณแม่ที่ได้ชื่อเรื่องคุณธรรม ทำงานด้านสาธารณกุศลมากมาย น้องสาวผู้งดงามอ่อนหวานโด่งดังในวงสังคมชั้นสูง แท้จริงสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงภาพมายาในฟองสบู่ หลี่เหมยถิงหลังเรียนจบบริหารเข้ามาบริหารงานกิจการโรงพยาบาลฝูต้า เฝ้าต่อสู้กับพวกตาแก่หัวโบราณในโลกธุรกิจที่เชิดชูผู้ชายเป็นใหญ่กดข่มผู้หญิง ผ่านชีวิตการทำงานได้ 5 ปี ก็ต้องแต่งงานกับ ‘จ้าวอิงสง’ ตามคำสั่งของผู้เป็นแม่ สามีคนนี้คือจุดเริ่มต้นของความล้มเหลวในชีวิตและประตูสู่ความตายของ ‘หลี่เหม่ยถิง’ จ้าวอิงสง เป็นทายาทคนเล็กของตระกูลจ้าว ตระกูลนี้มีธุรกิจโรงแรมขนาดกลางหลายสิบแห่งครอบคลุมทั่วมณฑล เสฉวน เรียกได้ว่าเป็นการจับคู่ที่ดีหากดูเพียงฐานะทางสังคม ‘รู้ตัวซะบ้าง เธอมันจืดชืดไร้สเน่ห์ ใครมันจะอยากนอนกอดท่อนไม้’ จ้าวอิงสงโยนคำพูดมักง่ายใส่ภรรยาอย่างหลี่เหม่ยถิง ‘แต่งงานมา 3 ปี เธอยังไม่ท้องเลย แม่ไก่ที่ออกไข่ไม่ได้แบบเธอจะรอให้อิงสงของฉันไร้ทายาทหรือยังไง พอเด็กคลอดก็รับมาเลี้ยงในชื่อเธอก็ได้ เธอกับอิงสงจะได้มีทายาทมีคนคอยเลี้ยงดูยามแก่เฒ่า’ แม่สามีที่ดูใจดีพูดออกมาเรียบง่าย ไม่มีการกล่าวโทษคนทำผิดอย่างลูกชายตัวเอง ‘คุณนายเล็กเป็นหมันหรือเปล่า แต่งเข้าตั้งหลายปีไม่ยักกะท้อง คุณชายเล็กเหลวไหลนิดเดียว ดูสิเสี่ยวซาน ข้างนอกจะคลอดแล้ว’ เสียงพูดแผ่วเบาดังมาจากโถงรับแขกของบ้านตระกูลจ้าว คนพูดไม่ตั้งใจ แต่ทำเอาหลี่เหม่ยถิงสะอึกอึ้ง กำเอกสารทางการแพทย์ในมือจนยับยู่ เอกสารการตรวจร่างกายที่แสดงว่าเธอมีภาวะมีบุตรยาก ดวงหน้าซีดสีผิวค่อนไปทางเหลืองมีรอยยิ้มปลดปลงหมุนตัวเดินออกไป ตั้งใจกลับบ้านตระกูลหลี่ “ตายจริง…ลูกเป็นหมัน อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้ ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วอย่าเพิ่งหย่าเลยมันจะมีผลกระทบกับชื่อเสียงของโรงพยาบาลของเราได้ เชื่อแม่ แม่คิดเผื่อลูกเสมอ” “แต่แม่คะ…หนู หนูทนอยู่บ้านหลังนั้นไม่ไหว” “วันนี้ลูกก็นอนที่บ้านสักคืน พรุ่งนี้ค่อยกลับไป ลูกจะยอมให้ผู้หญิงหยำฉ่ามาทำให้พ่ายแพ้ไม่ได้ ลูกมีทะเบียนสมรสนะ เอาตามที่แม่ว่า ตอนนี้ขึ้นห้องของลูกไปก่อน” แต่เช้าวันรุ่งขึ้นกลับมีข่าวลือกระจายไปทั่วว่าทายาทคนโตของตระกูลหลี่เป็นหมัน “นี่เธอกล้าหลอกลวงตระกูลจ้าวของเรางั้นเหรอ นังแม่ไก่ไข่ไม่ออก นังตัวกาลกิณี คอยดูฉันจะฟ้องแก ไม่ต้องกลับมาเหยียบบ้านของฉันอีกนะ” โครม ตรู๊ด… ‘หลี่เหม่ยถิง’ ยกโทรศัพท์แนบหูค้างไว้อย่างมึนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก เธอไม่เข้าใจว่าเรื่องแดงออกไปได้ยังไงเพราะคนที่รู้เรื่องนี้มีเพียงเธอและ ‘คุณแม่’ เท่านั้น ไม่นานหมายศาลก็ถูกส่งตรงมายังบ้านตระกูลหลี่ เธอถูกฟ้องหย่าเหตุผลเพราะหลอกหลวงให้แต่งงานโดยไม่ยอมบอกว่าเป็นหมัน แทนที่เหยื่ออย่างเธอที่ถูกสามีนอกใจจะยื่นฟ้องกลับกลายเป็นจำเลยสังคมเสียเอง ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของดวงจิตของหลี่เหม่ยถิงและพี่เหม่ยถิง เธอติดตามชีวิตของหลี่เหม่ยถิงคนนี้จากสาวน้อยสู่วัยสาว จนตอนนี้เธอมายืนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยในห้องพักพิเศษของโรงพยาบาลฝูต้า มองดูใบหน้าซูบตอบ ผิวพรรณและนัยน์ตาเหลือง ใต้ตาดำคล้ำจากการนอนไม่หลับเพราะความทรมาน หลี่เหม่ยถิงคนนี้ เหมือนตะเกียงขาดน้ำมันที่เปลวไฟกำลังจะมอดดับ ลมหายใจผ่านออกมาแต่ละครั้งด้วยความยากลำบาก ‘มะเร็งตับ’ กำลังกัดกินชีวิตของเธอมันถูกส่งผ่านมาจากสามีที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบชนิดบี ครืด! ‘คุณ…แม่ หลินหลิน มาเยี่ยมหนูกันเหรอคะ’ เสียงแหบแห้งแต่บ่งบอกความยินดีเต็มเปี่ยมดังแแผ่วเบาจากร่างผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก กริ๊ก! มือขาวของหญิงสาวผู้มาใหม่ปิดประตูห้องทันที แล้วค่อย ๆ ก้าวเดินไม่รีบไม่ร้อนไปยังเตียงอีกด้าน “จุ๊ ๆ คุณแม่ดูสิคะ สารรูปนังเหม่ยถิงดูไม่ได้เลย นี่คงใกล้จะตายเต็มทีทางแพทย์เจ้าของไข้ถึงโทรไปตามให้เรามาดูใจมันนะคะ” เรียวปากสีชมพูยิ้มอ่อนหวาน แต่คำพูดที่พ่นออกมากลับเสียดแทง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเกลียดชังขยะแขยง “หลินหลิน! น้องพูดอะไร แค่ก ๆ” หลี่เหม่ยถิงไอหอบอย่างหนัก ร่างกระตุกเกร็งเพราะความเจ็บปวด ตกตะลึงจากคำพูดที่คาดไม่ถึงของน้องสาวที่เธอรักนักหนา “คุณแม่ พูด แค่ก แค่ก อะ…ไรหน่อยสิคะ” หลี่เหม่ยถิงหันกลับมาพูดกับมารดาด้วยแววตาสับสน แต่สิ่งที่เห็นบนใบหน้าที่ตกแต่งมาอย่างดีของคนเป็นแม่กลับเป็นรอยยิ้มยินดีกว้างขวางจนดวงตาเปล่งประกายความสุข ออร่ารอบตัวแทบจะดูสว่างจนตาพร่ามัว ไร้วี่แววของความเป็นห่วงของคนในครอบครัวบนใบหน้านั้น “คุณแม่...” “อย่ามาเรียกฉันว่าแม่!! แกไม่ใช่ลูกของฉัน!!” เสียงกระซิบเกรี้ยวกราดเยาะหยันกรอกเน้นทีละคำอยู่ข้างหมอน ดวงตาดอกท้อเบิกโต ร่างกายเกร็งกระตุก ปากอ้าค้างแบบคนตกใจสุดขีด ในดวงตามีแต่ความสับสนเศร้าโศก ความไม่เข้าใจฉายชัด ขอบตาและหางตาแดงระเรื่อ น้ำตารินรดลงบนแก้มตอบ “แกมันก็แค่มารหัวขน ลูกชู้ที่พ่อแกอุ้มกลับมาให้ฉันเลี้ยงดู” “มะ มะ ไม่ ไม่ ไม่จริง แม่รักหนู แม่เลี้ยงหนูอย่างดีมาตลอด” “ฮ่า ฮ่า ฮ่า แม่คะ ดูนังโง่นี่สิ มันยังพยายามหลอกตัวเอง มีผู้หญิงคนไหนจะรักลูกชู้บ้างฮะ!!! นังหน้าโง่ หนูไปนั่งรอที่โซฟานะคะเสียเวลาเสวนากับมันทำไมก็ไม่รู้” ‘ติงหรูอี้’ หรือคุณนายหลี่ที่คนในสังคมเรียกขาน ลดสายตาลงมองลูกเลี้ยงที่เลี้ยงดูมานานถึง 30 ปีด้วยสายตากดข่ม กวาดมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า รอยยิ้มยินดีประกายสุขสมใจไม่อาจปิดบังไว้ได้อีกต่อไป ฮ่า ฮ่า ฮ่า “ในที่สุด ฮ่า ฮ่า ในที่สุด ดี ดี ดี เหลือเกิน ผ่านมา 30 ปีวันที่ฉันรอคอยก็มาถึงจนได้” เสียงหัวเราะสะใจกึกก้องห้องพักผู้ป่วย หากคนผ่านมาได้ยินคงคิดว่าห้องนี้กำลังมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น “แกรู้หรือเปล่า ว่าฉันต้องลงมือลงแรงสมองไปกับแกขนาดไหน?” เสียงพึมพำพูดกับตัวเองอย่างไม่หวังคำตอบ “ต้องคอยสอนให้แกรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่เผยอหน้ามาเทียบชั้นลูกสาวที่แท้จริงของฉันได้ ดูสิเสื้อผ้าหน้าผมสารรูปผีไม่ใช่คนไม่เชิงนี่ก็ผลงานชิ้นเอกของฉันทั้งนั้น” “ฮึก… คุณแม่ หมายความว่าไงคะ” เสียงครางปนสะอื้นเอ่ยถาม “แกคิดว่าทั้งเสื้อผ้าไร้รสนิยมยังกับคนแก่ หน้าผมเฉิ่มเชย บุคลิกมืดมนของแกนี่มันเรื่องบังเอิญหรือไง หึ...แกมันโง่ว่าง่ายดีจริง จุ๊ จุ๊ จุ๊ ชั้นพูดอะไรก็เชื่อบอกอะไรก็ทำตาม มันสนุกมากเชียวล่ะ” “มันว่าง่าย เลี้ยงเชื่องยิ่งกว่าหมาบ้านเพื่อนหนูอีกค่ะแม่ คิกคิก” “จริงจ้ะ หลินหลิน ลูกรัก” ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า สองแม่ลูกในห้องหัวเราะออกมาไม่สนความรู้สึกคนบนเตียงที่เคยเรียกขานกันเป็นพี่หรือลูกแม้แต่น้อย หัวใจทั้งดวงของหลี่เหม่ยถิงแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี เจ็บปวดซ้ำซากจากการเฝ้ารอและร้องขอความรักจากแม่ พรวด! แค่ก แค่ก เลือดสีแดงสดพ่นออกมาจากริมฝีปากแห้งแตก ส่วนหนึ่งล่วงผ่านลำคอจนสำลักกระอักกระไอ “อ้ออออ ไหน ๆ แกก็ใกล้จะตายแล้ว ฉันจะบอกความจริงให้แกได้รับรู้ไว้ก่อนไปปรโลก เผื่อโลกหน้าจะได้ฉลาดขึ้นมาเสียบ้าง เรื่องที่แกเป็นหมันนั่นก็เพราะสมุนไพรบำรุงที่ฉันให้แกกินตลอด 5 ปีหลังเรียนจบ ส่วนจ้าวอิงสงนั่นฉันก็รู้ว่าเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี แต่ไม่คิดว่าแกจะโชคดีขนาดป่วยเป็นมะเร็งทั้งที่โอกาสเป็นก็ไม่ได้มาก ทุกอย่างมันเข้าทางฉันไปเสียหมด” “กลับกันเถอะลูกหลินหลิน ที่นี่ไม่มีค่าอะไรให้นึกถึงแล้ว ก็แค่ชีวิตของนังเด็กไร้ค่าไร้ราคากำลังจะตาย เรากลับไปใช้เงินที่มันขยันหามาให้เราถลุงตลอด 7-8 ปีนี่กันดีกว่า” “ไปค่ะแม่ หนูเบื่อจะแย่แล้วเราไปชอปปิ้งกันดีกว่า กระเป๋าที่หนูสั่งไว้เข้ามาพอดี ต้องขอบคุณความสามารถของนังสวะนี่ ถึงมันจะโง่แต่มันก็หาเงินเก่งจริง ๆ” หลี่เหม่ยหลินเดินมาเกาะแขนผู้เป็นแม่แล้วพากันเดินออกไปไม่แม้จะเหลียวหลังมามองอีก ปัง! เสียงประตูปิดลงพร้อมความสิ้นหวังกัดกินสติรับรู้ของหลี่เหม่ยถิง ม่านตาแตกสลายโลกทั้งใบพังทลาย แขนขาไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับเขยื้อน ผ่านไปเนิ่นนาน ตกดึกภายในห้องเงียบสงัดไร้สุ้มเสียงสิ่งมีชีวิตใด ๆ มีเพียงเสียงสัญญาณต่าง ๆ ของอุปกรณ์การแพทย์ในห้อง “คุณสองคนมองดูอยู่ตรงนั้นตลอดเลยหรือ” เสียงแผ่วเบาตัดผ่านความเงียบ หลี่เหม่ยถิงจดจ้องไปที่ปลายเท้าซึ่งมีเงาโปร่งแสงสองร่างยืนอยู่ !!! หลี่เหม่ยถิงและพี่เหม่ยถิงไม่คาดคิดว่า หลี่เหม่ยถิงของมิตินี้จะรู้สึกถึงตัวตนของพวกเธอ ไม่เคยมีสัญญาณบอกมาก่อน “แปลกใจหรือ? เมื่อก่อนเห็นเป็นเพียงกลุ่มพลังงานเบาบางที่คอยตามมา แต่มาวันนี้ไม่รู้ทำไมเห็นรูปร่างหน้าตาชัดเจน พวกเราเหมือนกันเหลือเกิน” … ภายในห้องยังคงสงัดเงียบ แม้เงาทั้งสองพยายามขยับปากแต่ไร้ผล เด็กสาวที่ดูอายุน้อยกว่าเหมือนนึกอะไรได้ ชี้นิ้วที่คอเกี่ยวสายสร้อยทองคำขาวห้อยด้วยหยกสีแดงใสมีรอยแตกภายในเนื้อหยกขึ้นมา “เป็นเพราะหยกนี้ พวกเธอถึงมาที่นี่ได้?” หยกชิ้นนี้พ่อให้เธอใส่ไว้ไม่ให้ถอดออกตั้งแต่ตอน 5 ขวบ และเพราะเนื้อหยกมีรอยร้าวน้องสาวถึงไม่ได้สนใจจะขอไปเหมือนของอื่น ๆ ที่พ่อมอบมันให้เธอ มือสั่นเทารวบรวมแรงทั้งหมดยกเกี่ยวสายสร้อยออกจากเสื้อคนป่วยสีฟ้า หยกแบบเดียวกัน 3 ชิ้นปรากฏสู่ครรลองสายตาของ 1 คนกับอีก 2 ดวงจิต ราวกับมีพลังงานดึงดูดหยกทั้งสามขยับเข้าหากันหลอมรวมเป็นหนึ่ง กระแสพลังงานพุ่งเข้าสู่ร่างของดวงจิตที่ดูอายุน้อยที่สุดด้วยแรงแห่งการอธิษฐานจากจิตใจอันมุ่งมั่น ‘ขอให้พลังและความสามารถที่มีถ่ายทอดไปสู่บุคคลที่สมควรได้รับ’ ‘พลังนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่พี่สามารถมอบให้ถิงเออร์ได้’ เสียง 2 เสียงที่เหมือนกันดังกึกก้องในห้วงสำนึกสุดท้าย เป็นการสิ้นสุดการเฝ้ามองอย่างยาวนานนับ 10 ปี พร้อมชีวิตและลมหายใจของผู้ถูกเฝ้ามองได้จบสิ้นลง1 เดือนต่อมา ณ โรงพยาบาลเอกชน ฝูต้า “คุณหนูใหญ่ ไม่ลองทบทวนเรื่องกลับไปพักที่บ้านสักอาทิตย์อีกรอบหรือครับ” คำเรียกขานพาให้มือที่กำลังสาละวนเปิดดูข้อความในโทรศัพท์มือถือชะงักไปชั่ววินาที “ลุงหย่งอันคะ อีก 2 อาทิตย์ก็ถึงวันเปิดเทอมแล้ว หนูยังไม่ได้ทำรายงานกับการบ้านเลยค่ะ ไปพักที่โรงเรียนน่าจะทำงานได้สะดวกกว่า” ฝูหย่งอัน มองคุณหนูน้อยที่ตนกับภรรยาช่วยกันดูแลมาตั้งแต่ยังเป็นทารกตัวแดงด้วยสายตาอึดอัดและสงสารเห็นใจ คนในบ้านหลี่มีใครไม่รู้บ้างว่าคุณหนูใหญ่รักครอบครัวขนาดไหน ปิดเทอมแต่ละครั้งก็ตั้งตารอที่จะได้กลับบ้าน ครืด! ประตูทางด้านหลังเปิดออก เสียงทรงพลังของหญิงวัยกลางคนดังมาก่อนเจ้าตัว “ตาแก่ ยืนนิ่งอยู่ทำไมไม่ช่วยคุณหนูเก็บของฮ๊า หลบไปไม่ต้องแล้วเดี๋ยวฉันทำเอง” ร่างท้วมกระฉับกระเฉงของหงหนิวอี หันไปขึงตาใส่พ่อบ้านตระกูลหลี่สามีของตนอย่างไม่พอใจ “คุณหนูเหม่ยถิง เดี๋ยวป้าเก็บให้เองค่ะ ไปไป นั่งพักก่อน ลุกขึ้นมาทำไมคะเนี่ย วันนี้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วก็จริง แต่ร่างกายยังผ่ายผอมขนาดนี้เดี๋ยวเกิดเป็นลมขึ้นมาจะทำยังไงคะ” เสียงอ่อนโยนแตกต่างกับเสียงคำรามก่อนหน้าเป็นคนละคน ไล
“คุณหนูใหญ่ครับถึงสนามบินแล้ว” เสียงลุงหย่งอันเรียกหลังจากลงไปเปิดประตูรถให้ หลี่เหม่ยถิงที่กำลังเช็กข้อความในโทรศัพท์ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ก้มดูนาฬิกาข้อมือ คำนวณระยะเวลาเช็กอินคิดว่าจะเดินไปซื้อชาร้อนดื่มสักแก้ว“ลุงหย่งอันกับอาฉีกลับกันได้เลยนะคะ” “เรียบร้อยแล้วครับคุณหนูใหญ่” เสียงเข้มตอบมาจากทางด้านหลังของพ่อบ้านของตระกูล ร่างสูงอุดมไปด้วยมัดกล้ามที่แทบจะปริออกมาจากชุดสูทสากลสีดำเดินมายืนข้างลุงหย่งอันฉีฟ่านเป็นบอดี้การ์ดของคุณพ่อมานานหลายปี ชายร่างใหญ่หน้าเหลี่ยม คิ้วและปากหนา ตาคมปีกจมูกบานออก หูด้านขวามีรอยแหว่งจากรอยแผลสมัยที่ยังคงอยู่ในกองทัพ โดยรวมภาพลักษณ์ดูดุดันแตกต่างชัดเจนกับคนเป็นพ่อบ้านชนิดคนละขั้วลุงหย่งอันผอมเพรียว ยืนเหยียดหลังตรงในชุดสูท 5 ชิ้นดูน่าอึดอัดท่ามกลางอากาศอบอ้าวในช่วงฤดูร้อน แก้มตอบเข้าทำให้โหนกแก้มดูสูง หางตาตกแต่มีประกายฉลาดเฉลียว สองคนนี้คนหนึ่งดูเป็นคนใช้เรี่ยวแรงในการทำงาน อีกคนดูทรงภูมิท่วงท่าคล้ายบัณฑิตไม่มีแม้แรงจะมัดไก่ทำให้คิดถึงรูปร่างอวบท้วมใบหน้ากลมมน หน้าผากกว้างแต่เรียวปากบางของป้าหนิวอี หากจับทั้งสามยืนรวมกันคงเกิดเป็นทัศนียภา
ตึกหัวใจเต้นผิดจังหวะกับคำชมแสนสั้นแต่น้ำเสียงหนักแน่นหลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงพูดคุยระหว่างคนทั้งสอง มีเพียงเสียงย่ำเท้ากับเสียงหายใจที่ดังชัดเจนในยามค่ำคืน“คุณ…นั่งหลบตรงนี้ก่อน เดี๋ยวฉันขอไปดูลาดเลาตรงทางเข้าก่อน”เสียงกระซิบแผ่วเบาไม่ทันจะพูดจบก็มีเสียงตะโกนแทรกขึ้นมาเสียก่อน“ใครอยู่ตรงนั้น? ออกมาเดี๋ยวนี้!”เฮ้ย!! จู่ ๆ หลี่เหม่ยถิงก็ยื่นหน้าถลำออกไปจากหลังต้นไม้ ทำเอาเจ้าของเสียงขึงขังตกใจจนแทบจะหงายหลังหน้าขาวซีดในป่าตอนกลางคืน มันสยองน้อยเสียเมื่อไหร่“ประธานนักเรียนหลี่นี่เอง ลุงตกใจหมด”‘ถงกวงต๋า’ พนักงานรักษาความปลอดภัยกะดึกของโรงเรียนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับประธานนักเรียน เพราะเด็กสาวมักจะออกตรวจตรารอบบริเวณทางออกด้านหลังเป็นประจำทุกสัปดาห์ ตั้งแต่ขึ้นแท่นเป็นประธานนักเรียนเมื่อ 2 ปีก่อน“ฉันเองค่ะลุงถง ขออภัยที่ทำให้ตกใจนะคะ พอดีทำของตกกำลังมองหาน่ะค่ะ“หลี่เหม่ยถิงแก้ตัวออกไปด้วยมาดนิ่งขรึมทรงภูมิ ดูน่าเชื่อถือเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด เธอเป็นนักเรียนที่ได้ชื่อเป็นสารานุกรมกฎระเบียบเคลื่อนที่ ไม่เคยแหกกฎ เที่ยงตรง ทรงธรรมมากที่สุด สำหรับทำให้คนภายนอกดูน่ะนะ
โรงเรียนไท่หรงฮุ่ยเหวิน เป็นโรงเรียนประจำหญิงล้วนที่เปิดรับนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย หลี่เหม่ยถิงนับว่าเป็นนักเรียนเก่าแก่คนหนึ่ง เธอถูกส่งเข้ามาเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อยู่มา 10 ปีแทบจะหลับตาเดินได้ทั่วแคมปัส ถนนหนทาง ตรอกเล็ก ทางลัด ซอกซอยถูกจดจำได้อย่างแม่นยำกว่าบ้านตระกูลหลี่เสียอีก การพาคนบาดเจ็บแอบเข้าไปซ่อนจึงถือว่าเป็นเรื่องง่าย‘ฉันก็ทำเท่าที่จะช่วยได้แล้ว หวังว่าคุณคงผ่านพ้นคืนนี้ไปได้นะ’ เธอมีความเสียใจปนเสียดายเล็กน้อย เราทั้งคู่ไม่มีการแนะนำตัวไม่มีการเรียกขานชื่อ เหมือนคนแปลกหน้าที่แค่เดินสวนทาง ใช้เวลาร่วมกันเพียงเสี้ยวนาทีหนึ่งจึงไม่ควรเก็บมาจดจำ“มาแล้ว ๆ ปิดไฟด่วน”“กรี๊ด! กู่เฟิงหลี่มาแล้ว”“เก็บของซ่อนใต้ผ้าห่มเร็ว”ขณะที่จมอยู่กับความคิดตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็กำลังก้าวขึ้นบันไดหอพักนักเรียนตึกหนึ่ง มีเสียงโหวกเหวกวุ่นวายแบบไก่บินสุนัขกระโดด “เจ้าพวกนี้ นี่ก็ปีที่ 3 แล้วยังไม่จำเป็นบทเรียนกันอีกหรือไง” “ประธานหลี่ ถ้าจำกันได้คงไม่มีใครถูกลงโทษแล้วล่ะค่ะ วันนี้ใช้รูปแบบไหนดีคะ” จ้าวลี่จู เลขาสภานักเรียน อันเหิงเย่
พรึ่บ!หลี่เหม่ยถิงยกมือเป็นสัญญาณเงียบเสียง ในโรงเรียนนี้ยังมีใครกล้าไม่เชื่อฟังบ้าง? คำตอบคือไม่มี สถานที่นี้เป็นเหมือนแหล่งพักพิงระบายความกดดันจากที่บ้าน เธอเปรียบเสมือนจักรพรรดินีในโลกของเด็กวัยรุ่น“ไหนดูสิ เหอจูอิ๋ง เหอจูอิ๋ง ห้อง 304 เกิดที่ซานตง พ่อแม่ อืม…ข้ามไปก่อน อันนี้น่าสนใจเป็นตกขาวเพราะล้างทำความสะอาดน้องสาวไม่ดี” หนังสือในมือลดต่ำ เหลือบตามองทางเบื้องล่าง จุปากส่ายหน้าไปมา“กรี๊ดดดดด อ๊ายยยย อย่าไปฟังมันนะ มันโกหก อีบ้าแกอย่ามาใส่ร้ายฉัน” เหอจูอิ๋งตกใจจนแทบจะฉี่ราด แม้แต่เรื่องแบบนี้มันรู้ได้ยังไง เธอไม่ได้เป็นตกขาวเพราะว่าทำความสะอาดไม่ดีแต่เธอเป็นเพราะเกิดจากสาเหตุอื่นต่างหากปึก!“เซี่ยวเฉ่า ” เสียงเอ่ยพร้อมแสยะยิ้ม บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใช่ว่าหลี่เหม่ยถิงไม่รู้สาเหตุแต่แค่ยังไม่ได้พูดออกมาเหอจูอิ๋ง แข้งขาอ่อนแรงไถลลงไปนั่งแหมะกับพื้นหมดมาดดอกไม้งามประจำโรงเรียน เด็กสาวรีบกระถดตัวยื่นมือไปข้างหน้า“ประธานหลี่ พี่ใหญ่หลี่ ไม่ใช่สิ ย่าหลี่!!!… ต่อไปฉันไม่กล้าอีกแล้ว ท่านผู้ยิ่งใหญ่ปล่อยฉันไปสักครั้งเถอะนะ”โฮฮฮฮเหอจู่อิ๋งตกใจจนไม่เหลือสติจริง ๆ แล้ว ใช่สาเหตุ
ทางฝั่งชายปริศนา หลังจากเด็กสาวที่ช่วยเขาไว้เดินจากไป เขาสังหรณ์ใจว่านี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันอย่างแน่นอนติ๊ด ติ๊ดนิ้วยาวเรียวมีความสากระคายกดปุ่มบนมือถืออีกเครื่องที่ปิดเครื่องไว้ป้องกันแบตหมดตอนเกิดเรื่อง แต่ตอนนี้ซิมที่ใส่เป็นอันที่สาวน้อยให้มา“เจ้านายครับ”“ประธานครับ” หลังส่งข้อความไปไม่ถึง 15 นาที คนของเขาก็มาถึง ชายหนุ่มเดินออกมาจากที่ซ่อนพยักหน้าให้ผู้ช่วยแและเลขาส่วนตัวทำตัวตามสบาย สองคนนี้แทบจะลงไปคุกเข่าสำนึกผิดที่ตามหาตัวเขาได้ล่าช้าจนเขาต้องติดต่อไปด้วยตนเอง“กลับกันคืนนี้เลย ทางนี้รอให้โครงการที่เซี่ยงไฮ้เรียบร้อยค่อยกลับมาจัดการ”“ท่านประธาน! แต่บาดแผล…” “หมิงเจี่ย ทำตามที่ฉันสั่ง”“ครับ”เสียงเย็นชาไร้อารมณ์เอ่ยสั้น แต่ความหมายในตัวคือห้ามขัดขืน มีแต่ต้องทำตามเท่านั้น คำสั่งเจ้านายถือเป็นคำขาดโจวหมิงเจี่ย ค้อมตัวเตรียมเดินจากไปสั่งการทีมบอดี้การ์ดที่รออยู่นอกรั้วโรงเรียน ท่านประธานบาดเจ็บจนใบหน้าขาวซีดแทบจะไม่มีสีเลือด แต่ดวงตาขาวกลับแดงก่ำจากการฝืนร่างกาย ดีไม่ดีระหว่างเดินทางกลับอาจจะมีไข้ เขาได้แต่ทอดถอนใจกับการปล่อยประละเลยไม่ดูแลตัวเองขอ
เซี่ยงไฮ้ ตึกเทียนอวิ๋น ชั้น 88ก๊อก ก๊อก“ท่านประธานเป็นยังไงบ้างเหล่าลั่ว” เสียงของโจวหมิงเจี่ยถามบุคคลที่นั่งอยู่โซนรับแขกของเพนต์เฮาส์ลั่วเว่ยฉี หมอหนุ่มจากหยวนเซี่ยงฉางเซ็ง โรงพยาบาลเอกชนที่ร่วมลงทุนกับรัฐบาล ใบหน้าขาวซีดตาดำคล้ำ นิ้วที่คีบบุหรี่เตรียมส่งเข้าปากชะงักเหลือบสายตามองคนถาม“ทำแผลเสร็จ ให้เลือดให้น้ำเกลือ ฉีดยาเรียบร้อยบาดแผลไม่ถูกจุดสำคัญ สักพักใหญ่คงฟื้น”โจวหมิงเจี่ยกดคางลงเป็นเชิงรับรู้ ยื่นมือไปรับบุหรี่ที่เหล่าลั่วยื่นส่งให้มาจุดสูบอย่างเคย เพนต์เฮาส์ของท่านประธานไม่เคยหวงห้ามลูกน้องให้สูบบุหรี่ได้ เพราะตัวท่านประธานนับได้ว่าสูบจัดมากคนหนึ่ง เพียงแต่จำกัดให้สูบเฉพาะในห้องนี้และห้องทำงานเท่านั้น“แล้วเรื่องตรวจร่างกาย?” “ถ้าท่านประธานไม่เปลี่ยนใจ เดี๋ยวฉันแจ้งทางเซี่ยเซ็งให้เตรียมสถานที่ให้ทำ Full Body เช็กอัปเป็นการส่วนตัว รับรองเก็บเงียบไม่มีใครกล้าปากมาก”“นายจะกลับก่อนหรือรอท่านประธานตื่น นอนห้องพักแขกชั้นล่างก็ได้ สภาพนายไม่น่าจะไหว” โจวหมิงเจี่ยแนะนำหมอหนุ่มรุ่นน้อง ดูจากหน้าตาถ้าให้ขับรถกลับเองคงได้ยินข่าวร้ายแน่“ยังมีหน้ามาพูดนะเหล่าโจว ก็ใครล
“ประธานนักเรียนหลี่ เข้าพบผู้อำนวยการที่ห้องผู้อำนวยการตึก A ด้วยค่ะ”เสียงประกาศเรียกตัวมาทางวิทยุกระจายเสียงของโรงเรียน ทำให้หลี่เหม่ยถิงต้องปิดหนังสือที่กำลังนั่งอ่านในห้องสมุดของโรงเรียนลง “สารานุกรมสมุนไพร” เล่มหนาปึกถูกหยิบขึ้นมาเพื่อเดินไปลงชื่อยืมที่ผู้ช่วยบรรณารักษ์“ประธานหลี่ ยืมเล่มนี้เหรอคะเดี๋ยวฉันเขียนบันทึกรายการให้ค่ะ” นักเรียนผู้ช่วยปีสองรีบยื่นมาออกมารับหนังสือทันทีที่เห็นหน้าคนเดินมา“ขอฝากไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวกลับจากห้องผู้อำนวยการแล้วจะแวะมารับ”“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา”“ขอบคุณค่ะ”การมีสิทธิมีเสียงมีอำนาจในมือ มันทำให้ได้รับความสะดวกสบายในหลายด้าน ดูเธอเป็นตัวอย่างสิ ตอนเป็นนักเรียนธรรมดากับตอนเป็นประธานนักเรียนผู้คนปฏิบัติตัวต่างกันลิบลับ“ขออนุญาตค่ะผู้อำนวยการ”“อ้าว ประธานหลี่มาแล้วเหรอ ดี ดี นั่งก่อนสิ”หลี่เหม่ยถิงนั่งลงตรงหน้าโต๊ะทำงานของผู้อำนวยการโรงเรียนอย่างคุ้นเคย รอหัวข้อสนทนาจากอาจารย์สูงวัยตรงหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าเรียกเธอมาตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอมทำไม“อาจารย์ได้รับแจ้งจากทางโรงพยาบาลว่านักเรียนประสบอุบัติเหตุ หายดีแล้วหรือยัง”“หายดีแล้วค่ะ ขอบคุณอา
ตอนนี้ความกระสันต์สูงเสียดฟ้าจนอยากจะพุ่งตัวตนเข้าฝากฝังในช่องทางรักหวานฉ่ำแล้วปลดปล่อยตัวตนไปกับความปรารถนาอันลิงโลดนี้“ภรรยา…ช้าหน่อยครับ เดี๋ยวสามีทนไม่ไหวน้องจะเจ็บ” เสียงกระซิบแหบพร้าทุ้มก้องอยู่ริมหูเล็ก คนฟังรู้สึกว่ามันเซ็กซี่ทั้งยังอ้อยอิ่งราวกับตั้งใจออดอ่อยใส่กันแทนที่จะช้าลง ดวงตาดอกท้อของคนตัวเล็กกลับร้อนผ่าว ฝ่ามือขาวกดลงกลางหน้าอกกว้างให้ชายหนุ่มเอนตัวลงเท้าแขนกับโต๊ะกรุกระจก สะโพกอวบตั้งใจบดขยี้ให้ส่วนอวบนูนของวัยสาวถูไถกับส่วนหัวมังกรแดงก่ำที่โผล่พ้นขอบกางเกงในผ้าไหมขึ้นมา“ซี๊ด...อาห์”ได้ยินเสียงสูดปากพร้อมครางกระเส่าของคนตัวโตยิ่งทำให้หญิงสาวฮึกเหิมลำตัวเล็กเอนลงต่ำใช้ใบหน้าซุกลงดอมดมผิวเนื้อเรียบตึง จูบบ้างเลียบ้าง มือก็ลูบวนกดไปทั่วผิวเนื้อท่อนบนมือหนึ่ง อีกมือกลัวจะว่างจึงใช้ท้องนิ้วสะกิดยอดอกสีน้ำตาลอ่อนจนมันหดเกร็งฝ่ามือหยาบกร้านของคนด้านล่างยกขึ้นนวดคลึงภูเขาหิมะที่มียอดอิงเถาปัดผ่านกล้ามท้อง หญิงชายทั้งสองต่างนวดคลึงฟอนเฟ้นเรือนร่างเกือบเปลือยของกันและกันน้ำหนักมือเคล้นแรงขึ้นตามแรงอารมณ์ที่เดือดพล่าน ผิวเนื้อสะโพกปลิ้นออกมาตามง่ามนิ้วเรียวยา
หลังบอกกล่าวกราบไหว้บรรพบุรุษของเจ้าสาว ยกน้ำชาให้กับผู้ใหญ่เริ่มจากพ่อ ปู่และอาจารย์ ฉินเฟยหลงก็อุ้มเจ้าสาวขึ้นรถท่ามกลางความเงียบ... พรืด... และเสียงสูดน้ำมูกของเกาอี้ “ฮึก...คุณหนูออกเรือนแล้ว” ไป๋จื้อหยางที่น้ำตาคลอมองขบวนรถขับออกไปจากบ้านตระกูลไป๋เก็บอารมณ์กลับแทบไม่ทัน มองสภาพบอดี้การ์ดร่างใหญ่ยักษ์กำลังยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาหัวไหล่สั่น ผ้าเช็ดหน้ามีคราบปริศนาเกาะหนึบ วงล้อมจึงแตกกระเจิงไปคนละทาง ทั้งผู้เฒ่าไป๋ ผู้เฒ่าติง ไป๋จื้อหยาง แม้แต่จ้าวลี่จูยังถอยเท้าเงียบ ๆ ส่วนเพื่อนอย่างหยางฝูเหว่ยเดินหนีไปนานแล้วตั้งแต่บอดี้การ์ดหนุ่มน้ำตาคลอ “เอ่อ...แต่อีกไม่กี่วันประธานก็กลับมาแล้วนะคะ” จ้าวลี่จูพูดความจริงที่ทุกคนลืมนึกไป ใช่... แต่งงานแล้วอย่างไร... อีกไม่กี่วันก็กลับมาอยู่ด้วยกัน เพียงแค่มีคนตามมาอยู่ด้วยอีกคน มีตะเกียบกับถ้วยข้าวเพิ่มมาอีกชุด เกาอี้เองที่ถูกอารมณ์อ่อนไหวพาไปก็หยุดร้องอ้าปากค้าง ฟืดดดดด... “นั่นสิ! เราก็ยังทำหน้าที่เดิม” คิดได้แล้วสั่งน้ำมูกที่เหลือเดินจากไปอย่างร่าเริง ไป๋จื้อหยางกับคนงานในบ้านถูกเบรกอารมณ์ก็แยกย้ายกันไป ทางด้านขบวนรั
3 วันต่อมา ลู่เจียจิ่วเป็นย่านเศรษฐกิจการเงินของเซี่ยงไฮ้ ทุกพื้นที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำ บริษัทข้ามชาติ ตึกสูงเสียดฟ้า บ่งบอกเม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดโดยปกติเวลาของผู้คนที่ทำงานในย่านนี้เป็นเงินเป็นทอง มีแต่ความเร่งรีบ วันนี้กลับต่างออกไปเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าการทำเงินเกิดขึ้นที่ตึกเฮยอวิ๋นทีมมหรสพ กลองและปี่พาทย์ในชุดถังจวงสีแดงตั้งขบวนหน้าตึก ดนตรีถูกบรรเลงอย่างคึกคักตลอดระยะที่เริ่มมีการยกหีบสิ่งของออกมาจากประตูใหญ่ของตึก ขึ้นไปยังรถบรรทุกสีขาวปิดทึบที่ผูกซิ่วฉิวหน้ารถ พนักงานออฟิศของบริษัทต่าง ๆ ยินยอมเข้างานสายแต่ไม่กล้าเดินเบียดแทรกแถวเข้าไปในตัวอาคาร ได้แต่ยืนรักษาระยะอยู่ด้านนอก“นายครับได้เวลาแล้ว” ฉินเฟยหลงเดินออกมาจากลิฟต์ส่วนตัวด้วยชุดพิธีการสีแดง ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับตลอดเวลาเจ้าบ่าวเดินนำขบวนไปขึ้นรถด้านนอก“เตรียมเคลื่อนขบวนไปรับเจ้าสาวได้!” ผู้นำพิธีการตะโกนเตือนเมื่อได้เวลาสมควร รถดนตรีที่มีเสาไม้ติดป้าย ‘ซวงสี่’ จึงกระหึ่มอีกระลอกขบวนรถหรูที่ถูกเปลี่ยนเป็นสีแดง 9 คัน เริ่มเคลื่อนตามออกไปติด ๆ คันนำหน้าเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนผูกซิ่วฉิวผ
รถของตระกูลไป๋ต้องเบรกกะทันหันเมื่อเลี้ยวเข้ามายังลานจอดรถ จู่ ๆ รถที่จอดอยู่หลายคันก็พร้อมใจกันถอยหลังจนมาล้อมกรอบรอบตัวรถของพวกเขาเป็นวงกลมปัง ปัง ปัง!สถานการณ์ยิ่งไม่ปกติเมื่อมีชายในชุดสูทนับรวมได้ 8 คน ลงมาจากที่นั่งข้างคนขับของรถที่ล้อมรถตระกูลไป๋อยู่กรี๊ด...“หลบเร็ว ตีกันแล้ว แจ้งตำรวจ!”“หนีเร็วเข้า อย่าไปยุ่ง”ไป๋จื้อหยางกอดลูกสาวแน่น“สืออิงติดต่อบอดี้การ์ดมาที่นี่ด่วน!”บอดี้การ์ดตระกูลไป๋ รวมถึงหยางฝูเหว่ยและเกาอี้ไม่ได้ตามมาเพราะเป็นเวลากลางวันและสถานที่อยู่ใจกลางเมือง ไป๋จื้อหยางจึงคิดว่าไม่น่าจะมีใครกล้าเล่นสกปรกไป๋เหม่ยถิงมองออร่าสีเขียวจากบุรุษบางคนที่ลงจากรถ ลองพิจารณาใบหน้าหลังแว่นกันแดดดี ๆ เหมือนจะเคยผ่านตามาบ้าง จึงนั่งนิ่งอยู่กับที่ใบหน้าเฉยเมย‘เฮียหลงกำลังจะทำอะไร?’“ถิงเออร์ลูกนั่งรอในรถ พอจะออกไปเจรจาดูสักหน่อยว่าผู้มาต้องการอะไร”ไม่ทันที่เธอจะห้ามคุณพ่อก็จับประตูรถเตรียมก้าวออกไป ประจวบเหมาะกับคนด้านนอกเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกันพรึ่บ! ปุ้ง ปุ้ง ปุ้ง!ท้ายรถที่ล้อมกรอบทั้งหมดเปิดออก มีเสียงพลุขนาดเล็กแตกกระจายพร้อมสายรุ้งและกระดาษสีปลิวว่อน กุหลาบหลากสีถู
3 วันต่อมาตึกเซี่ยอวิ๋น 8 โมงเช้า“ฮ้าว...เหล่าจงนายมาสักที ข้าจะได้กลับไปนอนยาว ๆ” พนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกกะกลางคืนทักเพื่อนที่มาเปลี่ยนกะแล้วเตรียมจะกลับเข้าไปตึกเซี่ยอวิ๋น“!!!”ตอนเปิดตาที่ปิดปากหาวยาว เขาตกใจจนขวัญเกือบกระเจิงเพราะบอดี้การ์ดในชุดฝึกสีดำราว 20 กว่าคนมายืนออกันเงียบ ๆ ตรงลานกว้าง แถมไฟของตึกก็ยังไม่เปิดจึงเห็นเป็นเงาตะคุ่ม“ตกใจหมดนึกว่าโจรปล้นตึก! พวกพี่ลงมาทำอะไรกันครับ” บอดี้การ์ดก็เป็นรุ่นพี่ที่ร่วมฝึกซ้อมกันทุกวัน ผลัดกันเปลี่ยนมาเฝ้าตึกกับออกไปทำภารกิจด้านนอกถ้าสังเกตดีต ๆ จะเห็นว่าเหล่าบอดี้การ์ดมีถุงใส่ของติดมือมาด้วย พอคนออกจากลิฟต์เที่ยวสุดท้ายครบก็กระจายกำลังกันเดินออกไปด้านนอกตึก‘ชุนเหลียน’ กลอนคู่มงคลแผ่นยาวสีแดง ที่เขียนด้วยมือจากปรมาจารย์ด้านการคัดอักษร ถูกติดตรงประตูทางเข้าตึกก่อนเป็นที่แรก ตามด้วยตัวอักษร ‘ฝู’ ที่แปลว่าความสุขติดกลับหัวตรงประตูกระจกสองด้านด้านนอกผ้าแดงและโคมกระดาษถูกนำไปห้อยประดับตามต้นไม้ตรงสวนหย่อมก่อนเข้าตัวตึกจนดูสดใสมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นซิ่วฉิวฮวามีชายยาวถูกนำไปแขวนอยู่เหนือประตูทางเข้าตึกด้านหน้า ด้านในมีทีมบอดี้การ
บ้านตระกูลไป๋ วันต่อมาอีก 1 อาทิตย์ ก็จะเป็นวันยกน้ำชาของทายาทตระกูลไป๋ ห้องนอนของไป๋เหม่ยถิงจะถูกปรับปรุงใหม่ สร้างตู้เก็บเสื้อผ้าเพิ่มเติมสำหรับฉินเฟยหลงห้องก็เปลี่ยนสีการตกแต่งใหม่ เป็นสีไม้กับครีม พรมเป็นสีน้ำตาลอ่อน เฟอร์นิเจอร์ใหม่ถูกสั่งเข้ามา วันนี้จะมีช่างกับทีมตกแต่งภายในเข้ามาทำในส่วนของบิวท์อิน“ประธานคะ มานั่งทำอะไรตรงนี้คะ แล้วดูแบบห้องที่ตกแต่งใหม่หรือยังคะ” จ้าวลี่จูเดินเข้าบ้านมาเห็นประธานสาวนั่งเท้าคางไร้ชีวิตชีวาอยู่ตรงโซฟารับแขก“ไม่ต้องดูหรอก ทำตามแบบไปนั่นล่ะ ฉันนั่งสะสมพลังอยู่น่ะไม่ต้องให้ใครมารบกวนนะ”ไป๋เหม่ยถิงโบกมือเอื่อย ๆ ตาปรือทำท่าจะปิด ไหนเลยสะสมพลังงานอะไร ทำท่าจะหลับอยู่เดี๋ยวนี้ที่เธอบอกว่าสะสมพลังนั้นพูดจริงแม้ลี่จูจะมองอย่างไม่เชื่อถือแล้วถอนหายใจ เลขาสาวไม่อยากต่อบทสนทนารีบไปดูช่างตกแต่งภายในต่อว่าที่เจ้าสาวปิดตาเอนหลังเข้ามุมพิงตัวกับแขนโซฟา รับรู้ถึงกระแสลมอุ่นจากหยกจักรพรรดิที่ค่อย ๆ ไหลผ่านจากต้นคอลงสู่ท้องน้อย เข้าสู่แสงสีขาวนวลขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวใบหน้าเรียบเฉยเปิดรอยยิ้มอ่อนโยน เมื่อรับรู้ความรู้สึกทั้งหมดนี้“คุณหนูครับ เจ้านายส่งช
นักข่าวสำนักหนึ่งตะโกนลั่น คนอื่นได้ยินก็รีบหันขวับไปทางต้นเสียงที่ฉินเฟยหลงเดินโอบเอวไป๋เหม่ยถิงแหวกฝูงนักข่าวพร้อมเหล่าบอดี้การ์ดตระกูลฉินกันที่ออกให้“นั่น!...นายท่านฉินกับคู่หมั้น?!”“ประธานไป๋!?”นักข่าวจากเซี่ยงไฮ้เดลี่คุ้นหน้าคุ้นตาผู้มาใหม่เป็นอย่างดี รวมทั้งสำนักข่าวอื่นที่มาจากปักกิ่งด้วยเช่นกัน“นายท่านฉินมาเป็นกำลังใจให้คู่หมั้นเหรอคะ พวกคุณมั่นใจมากแค่ไหนว่าจะชนะคดี”“ประธานไป๋พูดถึงคดีจ้างวานฆ่าหน่อยครับ”“นี่...ทำไมดูอย่างกับคนละคนที่ไปบ้านตระกูลหลินเลยล่ะเธอ”นักข่าวก็ดี คนทั่วไปก็ดีตอนนี้ส่งเสียงระงมกันอยู่ทางเข้าศาล จนเจ้าหน้าที่ต้องมาระงับเหตุ“สัมภาษณ์รอไว้หลังจากพิจารณาคดีวันนี้นะครับ” หยางฝูเหว่ยกับเกาอี้เดินประกบด้านข้างเจ้านายทั้งสองเป็นฝ่ายแจ้งนักข่าวพอได้รับการยืนยันจากปากกลุ่มเจ้าของคดีนักข่าวจึงค่อยสงบลงเพราะรู้ว่าวันนี้ไม่ได้มือเปล่ากลับไปภายในห้องพิจารณาคดี ที่เปิดให้เป็นการพิจารณาแบบสาธารณะมีคนเข้ามาชมได้ ไป๋เหม่ยถิงเดินแยกออกไปทางด้านหลังอัยการ เธอไม่แม้แต่ชำเลืองหางตามองหลินเหวินหลาน“เปิดศาล พิจารณาคดีเลขที่... นำตัวจำเลยเข้ามา”เจ้าหน้าที่เดินประกบ
หลังพูดคุยกันจนเข้าใจ ไป๋เหม่ยถิงกับฉินเฟยหลงก็เดินจูงมือกลับมาด้านในห้องโถงท่าทางชื่นมื่น อาจารย์กับพ่อของเจ้าตัวคนหนึ่งมองเบะปากด้วยความหมั่นไส้ อีกคนอยากจะปรี่เข้าไปสับมือหนา ๆ ทิ้ง“ตอนออกไปหน้าสลดเป็นหมาป่วย กลับมาหน้าตาคึกคักยิ่งอย่างกับหมาโดนยา ไม่ต้องถามผลแล้ว ให้ไอ้หนุ่มฉินมันส่งเกี้ยวมาพรุ่งนี้เลย?” ผู้เฒ่าติงอดไม่ไหวแขวะลูกศิษย์ที่ดูจะพร้อมออกเรือนเหลือเกิน“ได้เหรอคะอาจารย์ อย่างนั้นเฮียหลงจัดการเลยค่ะ”“ครับ ขอบคุณครับคุณปู่ คุณพ่อ อาจารย์”ไป๋เหม่ยถิงแสร้งตกใจจนตาโต หันไปขยิบตายิ้มแย้มกับคู่หมั้น แล้วหันไปแสยะยิ้มใส่จนท่านผู้เฒ่าติงเลือดลมขึ้น สุดท้ายได้แต่ทำตาโปนถลึงให้เหมือนทุกทีท่านผู้เฒ่าไป๋มองท่าทางแบบเมียร้องผัวรับของหลานสาวปากกระตุก คงได้แต่ปลงเท่านั้น‘ขนาดยังไม่ทันแต่ง ก็ตามใจกันขนาดนี้’“คุณปู่ คุณพ่อครับ อาจารย์ครับ ผมอยากขออนุญาตพาน้องไปจดทะเบียนสมรสกันก่อน เรื่องแต่งงานคงรอดูว่าถิงถิงจะมีน้องไหม ถ้าลูกยังไม่มาน้องขอเวลาผม 2 ปี แต่ถ้ามีก็จัดงานตามฤกษ์ใกล้ครับ”“วิธีนี้ก็ถือว่าไม่แย่ ถ้าจดทะเบียนได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว ต่อให้ยังไม่จัดงานแต่งงาน ภายหลั
“การแต่งงานมันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของคนสองคนรักกัน...ไม่ใช่เลย หากเรายังอยู่ในสังคมยังต้องคบค้าสมาคม ติดต่อการงานกับผู้อื่นหากถิงเออร์ท้องขึ้นมาก่อนแต่งงาน จะมั่นใจได้ไหมว่าจะไม่ทำให้หลานสาวปู่จมน้ำลายชาวบ้าน เหลนที่จะเกิดมาจะไม่ถูกคนนินทาว่ากล่าวลับหลังงานแต่งงานที่ควรจะได้จัดเมื่อทุกอย่างพรักพร้อมสมบูรณ์ที่สุด ก็ต้องมาเร่งรีบเร่งรัดการจะเป็นหัวหน้าครอบครัว จะคำนึงถึงความต้องการของตัวเป็นหลักไม่ได้ ต้องคิดถึงผลกระทบที่จะเกิดกับคนในครอบครัวให้รอบด้านด้วย”ผู้เฒ่าไป๋สอนสั่งด้วยความอ่อนโยน ไม่ได้กล่าวโทษหรือย้ำเตือนการกระทำไม่ยั้งคิดของคนหนุ่มสาว“ไอ้หนุ่มฉิน ความรู้สึกต้องการครอบครองอันแรงกล้าไม่ใช่สิ่งผิด แต่วิธีการที่ได้มามันไม่สง่างาม แน่ใจรึว่าไม่เสียใจภายหลัง”แม้แต่ผู้เฒ่าติงยังอดเอ่ยออกมาประโยคสองประโยคมิได้จักรพรรดิฉินที่ไม่มีญาติผู้ใหญ่คอยสอนสั่ง มีแต่เขาที่ต้องยืนหยัดด้วยตนเอง ทุกสิ่งอย่างที่ต้องการคว้ามาก็ใช้วิธีการที่รวดเร็วแข็งกร้าวยามนี้ได้รับการชี้แนะเหมือนลูกหลานที่กระทำผิด ทั้งละอายแก่ใจทั้งดีใจระคนกัน เหมือนได้รับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่สำคัญพอทบทวนแ