ตอนนี้ความกระสันต์สูงเสียดฟ้าจนอยากจะพุ่งตัวตนเข้าฝากฝังในช่องทางรักหวานฉ่ำแล้วปลดปล่อยตัวตนไปกับความปรารถนาอันลิงโลดนี้“ภรรยา…ช้าหน่อยครับ เดี๋ยวสามีทนไม่ไหวน้องจะเจ็บ” เสียงกระซิบแหบพร้าทุ้มก้องอยู่ริมหูเล็ก คนฟังรู้สึกว่ามันเซ็กซี่ทั้งยังอ้อยอิ่งราวกับตั้งใจออดอ่อยใส่กันแทนที่จะช้าลง ดวงตาดอกท้อของคนตัวเล็กกลับร้อนผ่าว ฝ่ามือขาวกดลงกลางหน้าอกกว้างให้ชายหนุ่มเอนตัวลงเท้าแขนกับโต๊ะกรุกระจก สะโพกอวบตั้งใจบดขยี้ให้ส่วนอวบนูนของวัยสาวถูไถกับส่วนหัวมังกรแดงก่ำที่โผล่พ้นขอบกางเกงในผ้าไหมขึ้นมา“ซี๊ด...อาห์”ได้ยินเสียงสูดปากพร้อมครางกระเส่าของคนตัวโตยิ่งทำให้หญิงสาวฮึกเหิมลำตัวเล็กเอนลงต่ำใช้ใบหน้าซุกลงดอมดมผิวเนื้อเรียบตึง จูบบ้างเลียบ้าง มือก็ลูบวนกดไปทั่วผิวเนื้อท่อนบนมือหนึ่ง อีกมือกลัวจะว่างจึงใช้ท้องนิ้วสะกิดยอดอกสีน้ำตาลอ่อนจนมันหดเกร็งฝ่ามือหยาบกร้านของคนด้านล่างยกขึ้นนวดคลึงภูเขาหิมะที่มียอดอิงเถาปัดผ่านกล้ามท้อง หญิงชายทั้งสองต่างนวดคลึงฟอนเฟ้นเรือนร่างเกือบเปลือยของกันและกันน้ำหนักมือเคล้นแรงขึ้นตามแรงอารมณ์ที่เดือดพล่าน ผิวเนื้อสะโพกปลิ้นออกมาตามง่ามนิ้วเรียวยา
ปี 1997ณ โรงพยาบาลเอกชน ฝูต้า“อย่ามาเรียกฉันว่าแม่!! แกไม่ใช่ลูกของฉัน!!”“แกมันก็แค่มารหัวขน ลูกชู้ที่พ่อแกอุ้มกลับมาให้ฉันเลี้ยงดู”“จุ๊ ๆ คุณแม่ดูสิคะ สารรูปนังเหม่ยถิงดูไม่ได้เลย นี่คงใกล้จะตายเต็มทีทางแพทย์เจ้าของไข้ถึงโทรไปตามให้เรามาดูใจมันนะคะ” “ดูสิเสื้อผ้าหน้าผมสารรูปผีไม่ใช่คนไม่เชิงนี่ก็ผลงานชิ้นเอกของฉันทั้งนั้น”ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่าถ้อยคำเสียดแทง เสียงหัวเราะเย้ยหยันสะใจดังก้องสะท้อนไปมาภายในจิตใต้สำนึกที่หลับไหลของผู้ป่วยอาการโคม่า มีหยาดน้ำสีใสก่อตัวที่หางตา ร่างผอมบางขาวซีดที่นอนแน่นิ่งมากว่า 1 เดือนเกร็งกระตุก“คนไข้วิกฤติ เตียง 1 มีการตอบสนอง โทรตามอาจารย์เย่เร็วเข้า!!!”เสียงพูดรัวเร็วเป็นจังหวะทะลุผ่านโสตประสาทของร่างขาวบอบบางที่กำลังอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น สติและความรับรู้ภายนอกยังไม่กลับมาสมบูรณ์ เพียงรู้สึกได้ลาง ๆ เหมือนเปลือกตาถูกแยกออก มีแสงสว่างจ้าส่องตรงเข้านัยน์ตาดอกท้อจนต้องพยายามกะพริบกั้นแสง ไม่นานสติสัมปชัญญะก็ดับวูบลงอีกครั้ง3 วันผ่านไป“รุ่นพี่คะ คนไข้ห้องพิเศษ 3 ไม่มีคนทางบ้านมาเฝ้าไข้เลยเหรอคะ?““จุ๊ ๆ อย่าเอ็ดไปนะอาจือ นั่นคุณหนูหล
1 เดือนต่อมา ณ โรงพยาบาลเอกชน ฝูต้า “คุณหนูใหญ่ ไม่ลองทบทวนเรื่องกลับไปพักที่บ้านสักอาทิตย์อีกรอบหรือครับ” คำเรียกขานพาให้มือที่กำลังสาละวนเปิดดูข้อความในโทรศัพท์มือถือชะงักไปชั่ววินาที “ลุงหย่งอันคะ อีก 2 อาทิตย์ก็ถึงวันเปิดเทอมแล้ว หนูยังไม่ได้ทำรายงานกับการบ้านเลยค่ะ ไปพักที่โรงเรียนน่าจะทำงานได้สะดวกกว่า” ฝูหย่งอัน มองคุณหนูน้อยที่ตนกับภรรยาช่วยกันดูแลมาตั้งแต่ยังเป็นทารกตัวแดงด้วยสายตาอึดอัดและสงสารเห็นใจ คนในบ้านหลี่มีใครไม่รู้บ้างว่าคุณหนูใหญ่รักครอบครัวขนาดไหน ปิดเทอมแต่ละครั้งก็ตั้งตารอที่จะได้กลับบ้าน ครืด! ประตูทางด้านหลังเปิดออก เสียงทรงพลังของหญิงวัยกลางคนดังมาก่อนเจ้าตัว “ตาแก่ ยืนนิ่งอยู่ทำไมไม่ช่วยคุณหนูเก็บของฮ๊า หลบไปไม่ต้องแล้วเดี๋ยวฉันทำเอง” ร่างท้วมกระฉับกระเฉงของหงหนิวอี หันไปขึงตาใส่พ่อบ้านตระกูลหลี่สามีของตนอย่างไม่พอใจ “คุณหนูเหม่ยถิง เดี๋ยวป้าเก็บให้เองค่ะ ไปไป นั่งพักก่อน ลุกขึ้นมาทำไมคะเนี่ย วันนี้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วก็จริง แต่ร่างกายยังผ่ายผอมขนาดนี้เดี๋ยวเกิดเป็นลมขึ้นมาจะทำยังไงคะ” เสียงอ่อนโยนแตกต่างกับเสียงคำรามก่อนหน้าเป็นคนละคน ไล
“คุณหนูใหญ่ครับถึงสนามบินแล้ว” เสียงลุงหย่งอันเรียกหลังจากลงไปเปิดประตูรถให้ หลี่เหม่ยถิงที่กำลังเช็กข้อความในโทรศัพท์ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ก้มดูนาฬิกาข้อมือ คำนวณระยะเวลาเช็กอินคิดว่าจะเดินไปซื้อชาร้อนดื่มสักแก้ว“ลุงหย่งอันกับอาฉีกลับกันได้เลยนะคะ” “เรียบร้อยแล้วครับคุณหนูใหญ่” เสียงเข้มตอบมาจากทางด้านหลังของพ่อบ้านของตระกูล ร่างสูงอุดมไปด้วยมัดกล้ามที่แทบจะปริออกมาจากชุดสูทสากลสีดำเดินมายืนข้างลุงหย่งอันฉีฟ่านเป็นบอดี้การ์ดของคุณพ่อมานานหลายปี ชายร่างใหญ่หน้าเหลี่ยม คิ้วและปากหนา ตาคมปีกจมูกบานออก หูด้านขวามีรอยแหว่งจากรอยแผลสมัยที่ยังคงอยู่ในกองทัพ โดยรวมภาพลักษณ์ดูดุดันแตกต่างชัดเจนกับคนเป็นพ่อบ้านชนิดคนละขั้วลุงหย่งอันผอมเพรียว ยืนเหยียดหลังตรงในชุดสูท 5 ชิ้นดูน่าอึดอัดท่ามกลางอากาศอบอ้าวในช่วงฤดูร้อน แก้มตอบเข้าทำให้โหนกแก้มดูสูง หางตาตกแต่มีประกายฉลาดเฉลียว สองคนนี้คนหนึ่งดูเป็นคนใช้เรี่ยวแรงในการทำงาน อีกคนดูทรงภูมิท่วงท่าคล้ายบัณฑิตไม่มีแม้แรงจะมัดไก่ทำให้คิดถึงรูปร่างอวบท้วมใบหน้ากลมมน หน้าผากกว้างแต่เรียวปากบางของป้าหนิวอี หากจับทั้งสามยืนรวมกันคงเกิดเป็นทัศนียภา
ตึกหัวใจเต้นผิดจังหวะกับคำชมแสนสั้นแต่น้ำเสียงหนักแน่นหลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงพูดคุยระหว่างคนทั้งสอง มีเพียงเสียงย่ำเท้ากับเสียงหายใจที่ดังชัดเจนในยามค่ำคืน“คุณ…นั่งหลบตรงนี้ก่อน เดี๋ยวฉันขอไปดูลาดเลาตรงทางเข้าก่อน”เสียงกระซิบแผ่วเบาไม่ทันจะพูดจบก็มีเสียงตะโกนแทรกขึ้นมาเสียก่อน“ใครอยู่ตรงนั้น? ออกมาเดี๋ยวนี้!”เฮ้ย!! จู่ ๆ หลี่เหม่ยถิงก็ยื่นหน้าถลำออกไปจากหลังต้นไม้ ทำเอาเจ้าของเสียงขึงขังตกใจจนแทบจะหงายหลังหน้าขาวซีดในป่าตอนกลางคืน มันสยองน้อยเสียเมื่อไหร่“ประธานนักเรียนหลี่นี่เอง ลุงตกใจหมด”‘ถงกวงต๋า’ พนักงานรักษาความปลอดภัยกะดึกของโรงเรียนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับประธานนักเรียน เพราะเด็กสาวมักจะออกตรวจตรารอบบริเวณทางออกด้านหลังเป็นประจำทุกสัปดาห์ ตั้งแต่ขึ้นแท่นเป็นประธานนักเรียนเมื่อ 2 ปีก่อน“ฉันเองค่ะลุงถง ขออภัยที่ทำให้ตกใจนะคะ พอดีทำของตกกำลังมองหาน่ะค่ะ“หลี่เหม่ยถิงแก้ตัวออกไปด้วยมาดนิ่งขรึมทรงภูมิ ดูน่าเชื่อถือเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด เธอเป็นนักเรียนที่ได้ชื่อเป็นสารานุกรมกฎระเบียบเคลื่อนที่ ไม่เคยแหกกฎ เที่ยงตรง ทรงธรรมมากที่สุด สำหรับทำให้คนภายนอกดูน่ะนะ
โรงเรียนไท่หรงฮุ่ยเหวิน เป็นโรงเรียนประจำหญิงล้วนที่เปิดรับนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย หลี่เหม่ยถิงนับว่าเป็นนักเรียนเก่าแก่คนหนึ่ง เธอถูกส่งเข้ามาเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อยู่มา 10 ปีแทบจะหลับตาเดินได้ทั่วแคมปัส ถนนหนทาง ตรอกเล็ก ทางลัด ซอกซอยถูกจดจำได้อย่างแม่นยำกว่าบ้านตระกูลหลี่เสียอีก การพาคนบาดเจ็บแอบเข้าไปซ่อนจึงถือว่าเป็นเรื่องง่าย‘ฉันก็ทำเท่าที่จะช่วยได้แล้ว หวังว่าคุณคงผ่านพ้นคืนนี้ไปได้นะ’ เธอมีความเสียใจปนเสียดายเล็กน้อย เราทั้งคู่ไม่มีการแนะนำตัวไม่มีการเรียกขานชื่อ เหมือนคนแปลกหน้าที่แค่เดินสวนทาง ใช้เวลาร่วมกันเพียงเสี้ยวนาทีหนึ่งจึงไม่ควรเก็บมาจดจำ“มาแล้ว ๆ ปิดไฟด่วน”“กรี๊ด! กู่เฟิงหลี่มาแล้ว”“เก็บของซ่อนใต้ผ้าห่มเร็ว”ขณะที่จมอยู่กับความคิดตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็กำลังก้าวขึ้นบันไดหอพักนักเรียนตึกหนึ่ง มีเสียงโหวกเหวกวุ่นวายแบบไก่บินสุนัขกระโดด “เจ้าพวกนี้ นี่ก็ปีที่ 3 แล้วยังไม่จำเป็นบทเรียนกันอีกหรือไง” “ประธานหลี่ ถ้าจำกันได้คงไม่มีใครถูกลงโทษแล้วล่ะค่ะ วันนี้ใช้รูปแบบไหนดีคะ” จ้าวลี่จู เลขาสภานักเรียน อันเหิงเย่
พรึ่บ!หลี่เหม่ยถิงยกมือเป็นสัญญาณเงียบเสียง ในโรงเรียนนี้ยังมีใครกล้าไม่เชื่อฟังบ้าง? คำตอบคือไม่มี สถานที่นี้เป็นเหมือนแหล่งพักพิงระบายความกดดันจากที่บ้าน เธอเปรียบเสมือนจักรพรรดินีในโลกของเด็กวัยรุ่น“ไหนดูสิ เหอจูอิ๋ง เหอจูอิ๋ง ห้อง 304 เกิดที่ซานตง พ่อแม่ อืม…ข้ามไปก่อน อันนี้น่าสนใจเป็นตกขาวเพราะล้างทำความสะอาดน้องสาวไม่ดี” หนังสือในมือลดต่ำ เหลือบตามองทางเบื้องล่าง จุปากส่ายหน้าไปมา“กรี๊ดดดดด อ๊ายยยย อย่าไปฟังมันนะ มันโกหก อีบ้าแกอย่ามาใส่ร้ายฉัน” เหอจูอิ๋งตกใจจนแทบจะฉี่ราด แม้แต่เรื่องแบบนี้มันรู้ได้ยังไง เธอไม่ได้เป็นตกขาวเพราะว่าทำความสะอาดไม่ดีแต่เธอเป็นเพราะเกิดจากสาเหตุอื่นต่างหากปึก!“เซี่ยวเฉ่า ” เสียงเอ่ยพร้อมแสยะยิ้ม บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใช่ว่าหลี่เหม่ยถิงไม่รู้สาเหตุแต่แค่ยังไม่ได้พูดออกมาเหอจูอิ๋ง แข้งขาอ่อนแรงไถลลงไปนั่งแหมะกับพื้นหมดมาดดอกไม้งามประจำโรงเรียน เด็กสาวรีบกระถดตัวยื่นมือไปข้างหน้า“ประธานหลี่ พี่ใหญ่หลี่ ไม่ใช่สิ ย่าหลี่!!!… ต่อไปฉันไม่กล้าอีกแล้ว ท่านผู้ยิ่งใหญ่ปล่อยฉันไปสักครั้งเถอะนะ”โฮฮฮฮเหอจู่อิ๋งตกใจจนไม่เหลือสติจริง ๆ แล้ว ใช่สาเหตุ
ทางฝั่งชายปริศนา หลังจากเด็กสาวที่ช่วยเขาไว้เดินจากไป เขาสังหรณ์ใจว่านี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันอย่างแน่นอนติ๊ด ติ๊ดนิ้วยาวเรียวมีความสากระคายกดปุ่มบนมือถืออีกเครื่องที่ปิดเครื่องไว้ป้องกันแบตหมดตอนเกิดเรื่อง แต่ตอนนี้ซิมที่ใส่เป็นอันที่สาวน้อยให้มา“เจ้านายครับ”“ประธานครับ” หลังส่งข้อความไปไม่ถึง 15 นาที คนของเขาก็มาถึง ชายหนุ่มเดินออกมาจากที่ซ่อนพยักหน้าให้ผู้ช่วยแและเลขาส่วนตัวทำตัวตามสบาย สองคนนี้แทบจะลงไปคุกเข่าสำนึกผิดที่ตามหาตัวเขาได้ล่าช้าจนเขาต้องติดต่อไปด้วยตนเอง“กลับกันคืนนี้เลย ทางนี้รอให้โครงการที่เซี่ยงไฮ้เรียบร้อยค่อยกลับมาจัดการ”“ท่านประธาน! แต่บาดแผล…” “หมิงเจี่ย ทำตามที่ฉันสั่ง”“ครับ”เสียงเย็นชาไร้อารมณ์เอ่ยสั้น แต่ความหมายในตัวคือห้ามขัดขืน มีแต่ต้องทำตามเท่านั้น คำสั่งเจ้านายถือเป็นคำขาดโจวหมิงเจี่ย ค้อมตัวเตรียมเดินจากไปสั่งการทีมบอดี้การ์ดที่รออยู่นอกรั้วโรงเรียน ท่านประธานบาดเจ็บจนใบหน้าขาวซีดแทบจะไม่มีสีเลือด แต่ดวงตาขาวกลับแดงก่ำจากการฝืนร่างกาย ดีไม่ดีระหว่างเดินทางกลับอาจจะมีไข้ เขาได้แต่ทอดถอนใจกับการปล่อยประละเลยไม่ดูแลตัวเองขอ
ตอนนี้ความกระสันต์สูงเสียดฟ้าจนอยากจะพุ่งตัวตนเข้าฝากฝังในช่องทางรักหวานฉ่ำแล้วปลดปล่อยตัวตนไปกับความปรารถนาอันลิงโลดนี้“ภรรยา…ช้าหน่อยครับ เดี๋ยวสามีทนไม่ไหวน้องจะเจ็บ” เสียงกระซิบแหบพร้าทุ้มก้องอยู่ริมหูเล็ก คนฟังรู้สึกว่ามันเซ็กซี่ทั้งยังอ้อยอิ่งราวกับตั้งใจออดอ่อยใส่กันแทนที่จะช้าลง ดวงตาดอกท้อของคนตัวเล็กกลับร้อนผ่าว ฝ่ามือขาวกดลงกลางหน้าอกกว้างให้ชายหนุ่มเอนตัวลงเท้าแขนกับโต๊ะกรุกระจก สะโพกอวบตั้งใจบดขยี้ให้ส่วนอวบนูนของวัยสาวถูไถกับส่วนหัวมังกรแดงก่ำที่โผล่พ้นขอบกางเกงในผ้าไหมขึ้นมา“ซี๊ด...อาห์”ได้ยินเสียงสูดปากพร้อมครางกระเส่าของคนตัวโตยิ่งทำให้หญิงสาวฮึกเหิมลำตัวเล็กเอนลงต่ำใช้ใบหน้าซุกลงดอมดมผิวเนื้อเรียบตึง จูบบ้างเลียบ้าง มือก็ลูบวนกดไปทั่วผิวเนื้อท่อนบนมือหนึ่ง อีกมือกลัวจะว่างจึงใช้ท้องนิ้วสะกิดยอดอกสีน้ำตาลอ่อนจนมันหดเกร็งฝ่ามือหยาบกร้านของคนด้านล่างยกขึ้นนวดคลึงภูเขาหิมะที่มียอดอิงเถาปัดผ่านกล้ามท้อง หญิงชายทั้งสองต่างนวดคลึงฟอนเฟ้นเรือนร่างเกือบเปลือยของกันและกันน้ำหนักมือเคล้นแรงขึ้นตามแรงอารมณ์ที่เดือดพล่าน ผิวเนื้อสะโพกปลิ้นออกมาตามง่ามนิ้วเรียวยา
หลังบอกกล่าวกราบไหว้บรรพบุรุษของเจ้าสาว ยกน้ำชาให้กับผู้ใหญ่เริ่มจากพ่อ ปู่และอาจารย์ ฉินเฟยหลงก็อุ้มเจ้าสาวขึ้นรถท่ามกลางความเงียบ... พรืด... และเสียงสูดน้ำมูกของเกาอี้ “ฮึก...คุณหนูออกเรือนแล้ว” ไป๋จื้อหยางที่น้ำตาคลอมองขบวนรถขับออกไปจากบ้านตระกูลไป๋เก็บอารมณ์กลับแทบไม่ทัน มองสภาพบอดี้การ์ดร่างใหญ่ยักษ์กำลังยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาหัวไหล่สั่น ผ้าเช็ดหน้ามีคราบปริศนาเกาะหนึบ วงล้อมจึงแตกกระเจิงไปคนละทาง ทั้งผู้เฒ่าไป๋ ผู้เฒ่าติง ไป๋จื้อหยาง แม้แต่จ้าวลี่จูยังถอยเท้าเงียบ ๆ ส่วนเพื่อนอย่างหยางฝูเหว่ยเดินหนีไปนานแล้วตั้งแต่บอดี้การ์ดหนุ่มน้ำตาคลอ “เอ่อ...แต่อีกไม่กี่วันประธานก็กลับมาแล้วนะคะ” จ้าวลี่จูพูดความจริงที่ทุกคนลืมนึกไป ใช่... แต่งงานแล้วอย่างไร... อีกไม่กี่วันก็กลับมาอยู่ด้วยกัน เพียงแค่มีคนตามมาอยู่ด้วยอีกคน มีตะเกียบกับถ้วยข้าวเพิ่มมาอีกชุด เกาอี้เองที่ถูกอารมณ์อ่อนไหวพาไปก็หยุดร้องอ้าปากค้าง ฟืดดดดด... “นั่นสิ! เราก็ยังทำหน้าที่เดิม” คิดได้แล้วสั่งน้ำมูกที่เหลือเดินจากไปอย่างร่าเริง ไป๋จื้อหยางกับคนงานในบ้านถูกเบรกอารมณ์ก็แยกย้ายกันไป ทางด้านขบวนรั
3 วันต่อมา ลู่เจียจิ่วเป็นย่านเศรษฐกิจการเงินของเซี่ยงไฮ้ ทุกพื้นที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำ บริษัทข้ามชาติ ตึกสูงเสียดฟ้า บ่งบอกเม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดโดยปกติเวลาของผู้คนที่ทำงานในย่านนี้เป็นเงินเป็นทอง มีแต่ความเร่งรีบ วันนี้กลับต่างออกไปเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าการทำเงินเกิดขึ้นที่ตึกเฮยอวิ๋นทีมมหรสพ กลองและปี่พาทย์ในชุดถังจวงสีแดงตั้งขบวนหน้าตึก ดนตรีถูกบรรเลงอย่างคึกคักตลอดระยะที่เริ่มมีการยกหีบสิ่งของออกมาจากประตูใหญ่ของตึก ขึ้นไปยังรถบรรทุกสีขาวปิดทึบที่ผูกซิ่วฉิวหน้ารถ พนักงานออฟิศของบริษัทต่าง ๆ ยินยอมเข้างานสายแต่ไม่กล้าเดินเบียดแทรกแถวเข้าไปในตัวอาคาร ได้แต่ยืนรักษาระยะอยู่ด้านนอก“นายครับได้เวลาแล้ว” ฉินเฟยหลงเดินออกมาจากลิฟต์ส่วนตัวด้วยชุดพิธีการสีแดง ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับตลอดเวลาเจ้าบ่าวเดินนำขบวนไปขึ้นรถด้านนอก“เตรียมเคลื่อนขบวนไปรับเจ้าสาวได้!” ผู้นำพิธีการตะโกนเตือนเมื่อได้เวลาสมควร รถดนตรีที่มีเสาไม้ติดป้าย ‘ซวงสี่’ จึงกระหึ่มอีกระลอกขบวนรถหรูที่ถูกเปลี่ยนเป็นสีแดง 9 คัน เริ่มเคลื่อนตามออกไปติด ๆ คันนำหน้าเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนผูกซิ่วฉิวผ
รถของตระกูลไป๋ต้องเบรกกะทันหันเมื่อเลี้ยวเข้ามายังลานจอดรถ จู่ ๆ รถที่จอดอยู่หลายคันก็พร้อมใจกันถอยหลังจนมาล้อมกรอบรอบตัวรถของพวกเขาเป็นวงกลมปัง ปัง ปัง!สถานการณ์ยิ่งไม่ปกติเมื่อมีชายในชุดสูทนับรวมได้ 8 คน ลงมาจากที่นั่งข้างคนขับของรถที่ล้อมรถตระกูลไป๋อยู่กรี๊ด...“หลบเร็ว ตีกันแล้ว แจ้งตำรวจ!”“หนีเร็วเข้า อย่าไปยุ่ง”ไป๋จื้อหยางกอดลูกสาวแน่น“สืออิงติดต่อบอดี้การ์ดมาที่นี่ด่วน!”บอดี้การ์ดตระกูลไป๋ รวมถึงหยางฝูเหว่ยและเกาอี้ไม่ได้ตามมาเพราะเป็นเวลากลางวันและสถานที่อยู่ใจกลางเมือง ไป๋จื้อหยางจึงคิดว่าไม่น่าจะมีใครกล้าเล่นสกปรกไป๋เหม่ยถิงมองออร่าสีเขียวจากบุรุษบางคนที่ลงจากรถ ลองพิจารณาใบหน้าหลังแว่นกันแดดดี ๆ เหมือนจะเคยผ่านตามาบ้าง จึงนั่งนิ่งอยู่กับที่ใบหน้าเฉยเมย‘เฮียหลงกำลังจะทำอะไร?’“ถิงเออร์ลูกนั่งรอในรถ พอจะออกไปเจรจาดูสักหน่อยว่าผู้มาต้องการอะไร”ไม่ทันที่เธอจะห้ามคุณพ่อก็จับประตูรถเตรียมก้าวออกไป ประจวบเหมาะกับคนด้านนอกเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกันพรึ่บ! ปุ้ง ปุ้ง ปุ้ง!ท้ายรถที่ล้อมกรอบทั้งหมดเปิดออก มีเสียงพลุขนาดเล็กแตกกระจายพร้อมสายรุ้งและกระดาษสีปลิวว่อน กุหลาบหลากสีถู
3 วันต่อมาตึกเซี่ยอวิ๋น 8 โมงเช้า“ฮ้าว...เหล่าจงนายมาสักที ข้าจะได้กลับไปนอนยาว ๆ” พนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกกะกลางคืนทักเพื่อนที่มาเปลี่ยนกะแล้วเตรียมจะกลับเข้าไปตึกเซี่ยอวิ๋น“!!!”ตอนเปิดตาที่ปิดปากหาวยาว เขาตกใจจนขวัญเกือบกระเจิงเพราะบอดี้การ์ดในชุดฝึกสีดำราว 20 กว่าคนมายืนออกันเงียบ ๆ ตรงลานกว้าง แถมไฟของตึกก็ยังไม่เปิดจึงเห็นเป็นเงาตะคุ่ม“ตกใจหมดนึกว่าโจรปล้นตึก! พวกพี่ลงมาทำอะไรกันครับ” บอดี้การ์ดก็เป็นรุ่นพี่ที่ร่วมฝึกซ้อมกันทุกวัน ผลัดกันเปลี่ยนมาเฝ้าตึกกับออกไปทำภารกิจด้านนอกถ้าสังเกตดีต ๆ จะเห็นว่าเหล่าบอดี้การ์ดมีถุงใส่ของติดมือมาด้วย พอคนออกจากลิฟต์เที่ยวสุดท้ายครบก็กระจายกำลังกันเดินออกไปด้านนอกตึก‘ชุนเหลียน’ กลอนคู่มงคลแผ่นยาวสีแดง ที่เขียนด้วยมือจากปรมาจารย์ด้านการคัดอักษร ถูกติดตรงประตูทางเข้าตึกก่อนเป็นที่แรก ตามด้วยตัวอักษร ‘ฝู’ ที่แปลว่าความสุขติดกลับหัวตรงประตูกระจกสองด้านด้านนอกผ้าแดงและโคมกระดาษถูกนำไปห้อยประดับตามต้นไม้ตรงสวนหย่อมก่อนเข้าตัวตึกจนดูสดใสมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นซิ่วฉิวฮวามีชายยาวถูกนำไปแขวนอยู่เหนือประตูทางเข้าตึกด้านหน้า ด้านในมีทีมบอดี้การ
บ้านตระกูลไป๋ วันต่อมาอีก 1 อาทิตย์ ก็จะเป็นวันยกน้ำชาของทายาทตระกูลไป๋ ห้องนอนของไป๋เหม่ยถิงจะถูกปรับปรุงใหม่ สร้างตู้เก็บเสื้อผ้าเพิ่มเติมสำหรับฉินเฟยหลงห้องก็เปลี่ยนสีการตกแต่งใหม่ เป็นสีไม้กับครีม พรมเป็นสีน้ำตาลอ่อน เฟอร์นิเจอร์ใหม่ถูกสั่งเข้ามา วันนี้จะมีช่างกับทีมตกแต่งภายในเข้ามาทำในส่วนของบิวท์อิน“ประธานคะ มานั่งทำอะไรตรงนี้คะ แล้วดูแบบห้องที่ตกแต่งใหม่หรือยังคะ” จ้าวลี่จูเดินเข้าบ้านมาเห็นประธานสาวนั่งเท้าคางไร้ชีวิตชีวาอยู่ตรงโซฟารับแขก“ไม่ต้องดูหรอก ทำตามแบบไปนั่นล่ะ ฉันนั่งสะสมพลังอยู่น่ะไม่ต้องให้ใครมารบกวนนะ”ไป๋เหม่ยถิงโบกมือเอื่อย ๆ ตาปรือทำท่าจะปิด ไหนเลยสะสมพลังงานอะไร ทำท่าจะหลับอยู่เดี๋ยวนี้ที่เธอบอกว่าสะสมพลังนั้นพูดจริงแม้ลี่จูจะมองอย่างไม่เชื่อถือแล้วถอนหายใจ เลขาสาวไม่อยากต่อบทสนทนารีบไปดูช่างตกแต่งภายในต่อว่าที่เจ้าสาวปิดตาเอนหลังเข้ามุมพิงตัวกับแขนโซฟา รับรู้ถึงกระแสลมอุ่นจากหยกจักรพรรดิที่ค่อย ๆ ไหลผ่านจากต้นคอลงสู่ท้องน้อย เข้าสู่แสงสีขาวนวลขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวใบหน้าเรียบเฉยเปิดรอยยิ้มอ่อนโยน เมื่อรับรู้ความรู้สึกทั้งหมดนี้“คุณหนูครับ เจ้านายส่งช
นักข่าวสำนักหนึ่งตะโกนลั่น คนอื่นได้ยินก็รีบหันขวับไปทางต้นเสียงที่ฉินเฟยหลงเดินโอบเอวไป๋เหม่ยถิงแหวกฝูงนักข่าวพร้อมเหล่าบอดี้การ์ดตระกูลฉินกันที่ออกให้“นั่น!...นายท่านฉินกับคู่หมั้น?!”“ประธานไป๋!?”นักข่าวจากเซี่ยงไฮ้เดลี่คุ้นหน้าคุ้นตาผู้มาใหม่เป็นอย่างดี รวมทั้งสำนักข่าวอื่นที่มาจากปักกิ่งด้วยเช่นกัน“นายท่านฉินมาเป็นกำลังใจให้คู่หมั้นเหรอคะ พวกคุณมั่นใจมากแค่ไหนว่าจะชนะคดี”“ประธานไป๋พูดถึงคดีจ้างวานฆ่าหน่อยครับ”“นี่...ทำไมดูอย่างกับคนละคนที่ไปบ้านตระกูลหลินเลยล่ะเธอ”นักข่าวก็ดี คนทั่วไปก็ดีตอนนี้ส่งเสียงระงมกันอยู่ทางเข้าศาล จนเจ้าหน้าที่ต้องมาระงับเหตุ“สัมภาษณ์รอไว้หลังจากพิจารณาคดีวันนี้นะครับ” หยางฝูเหว่ยกับเกาอี้เดินประกบด้านข้างเจ้านายทั้งสองเป็นฝ่ายแจ้งนักข่าวพอได้รับการยืนยันจากปากกลุ่มเจ้าของคดีนักข่าวจึงค่อยสงบลงเพราะรู้ว่าวันนี้ไม่ได้มือเปล่ากลับไปภายในห้องพิจารณาคดี ที่เปิดให้เป็นการพิจารณาแบบสาธารณะมีคนเข้ามาชมได้ ไป๋เหม่ยถิงเดินแยกออกไปทางด้านหลังอัยการ เธอไม่แม้แต่ชำเลืองหางตามองหลินเหวินหลาน“เปิดศาล พิจารณาคดีเลขที่... นำตัวจำเลยเข้ามา”เจ้าหน้าที่เดินประกบ
หลังพูดคุยกันจนเข้าใจ ไป๋เหม่ยถิงกับฉินเฟยหลงก็เดินจูงมือกลับมาด้านในห้องโถงท่าทางชื่นมื่น อาจารย์กับพ่อของเจ้าตัวคนหนึ่งมองเบะปากด้วยความหมั่นไส้ อีกคนอยากจะปรี่เข้าไปสับมือหนา ๆ ทิ้ง“ตอนออกไปหน้าสลดเป็นหมาป่วย กลับมาหน้าตาคึกคักยิ่งอย่างกับหมาโดนยา ไม่ต้องถามผลแล้ว ให้ไอ้หนุ่มฉินมันส่งเกี้ยวมาพรุ่งนี้เลย?” ผู้เฒ่าติงอดไม่ไหวแขวะลูกศิษย์ที่ดูจะพร้อมออกเรือนเหลือเกิน“ได้เหรอคะอาจารย์ อย่างนั้นเฮียหลงจัดการเลยค่ะ”“ครับ ขอบคุณครับคุณปู่ คุณพ่อ อาจารย์”ไป๋เหม่ยถิงแสร้งตกใจจนตาโต หันไปขยิบตายิ้มแย้มกับคู่หมั้น แล้วหันไปแสยะยิ้มใส่จนท่านผู้เฒ่าติงเลือดลมขึ้น สุดท้ายได้แต่ทำตาโปนถลึงให้เหมือนทุกทีท่านผู้เฒ่าไป๋มองท่าทางแบบเมียร้องผัวรับของหลานสาวปากกระตุก คงได้แต่ปลงเท่านั้น‘ขนาดยังไม่ทันแต่ง ก็ตามใจกันขนาดนี้’“คุณปู่ คุณพ่อครับ อาจารย์ครับ ผมอยากขออนุญาตพาน้องไปจดทะเบียนสมรสกันก่อน เรื่องแต่งงานคงรอดูว่าถิงถิงจะมีน้องไหม ถ้าลูกยังไม่มาน้องขอเวลาผม 2 ปี แต่ถ้ามีก็จัดงานตามฤกษ์ใกล้ครับ”“วิธีนี้ก็ถือว่าไม่แย่ ถ้าจดทะเบียนได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว ต่อให้ยังไม่จัดงานแต่งงาน ภายหลั
“การแต่งงานมันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของคนสองคนรักกัน...ไม่ใช่เลย หากเรายังอยู่ในสังคมยังต้องคบค้าสมาคม ติดต่อการงานกับผู้อื่นหากถิงเออร์ท้องขึ้นมาก่อนแต่งงาน จะมั่นใจได้ไหมว่าจะไม่ทำให้หลานสาวปู่จมน้ำลายชาวบ้าน เหลนที่จะเกิดมาจะไม่ถูกคนนินทาว่ากล่าวลับหลังงานแต่งงานที่ควรจะได้จัดเมื่อทุกอย่างพรักพร้อมสมบูรณ์ที่สุด ก็ต้องมาเร่งรีบเร่งรัดการจะเป็นหัวหน้าครอบครัว จะคำนึงถึงความต้องการของตัวเป็นหลักไม่ได้ ต้องคิดถึงผลกระทบที่จะเกิดกับคนในครอบครัวให้รอบด้านด้วย”ผู้เฒ่าไป๋สอนสั่งด้วยความอ่อนโยน ไม่ได้กล่าวโทษหรือย้ำเตือนการกระทำไม่ยั้งคิดของคนหนุ่มสาว“ไอ้หนุ่มฉิน ความรู้สึกต้องการครอบครองอันแรงกล้าไม่ใช่สิ่งผิด แต่วิธีการที่ได้มามันไม่สง่างาม แน่ใจรึว่าไม่เสียใจภายหลัง”แม้แต่ผู้เฒ่าติงยังอดเอ่ยออกมาประโยคสองประโยคมิได้จักรพรรดิฉินที่ไม่มีญาติผู้ใหญ่คอยสอนสั่ง มีแต่เขาที่ต้องยืนหยัดด้วยตนเอง ทุกสิ่งอย่างที่ต้องการคว้ามาก็ใช้วิธีการที่รวดเร็วแข็งกร้าวยามนี้ได้รับการชี้แนะเหมือนลูกหลานที่กระทำผิด ทั้งละอายแก่ใจทั้งดีใจระคนกัน เหมือนได้รับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่สำคัญพอทบทวนแ