พูดจบก็เอื้อมมือปิดปุ่มกระจายเสียง สวมฮู้ดคลุมหัวแล้วเดินมุ่งหน้าออกไปทางประตูหน้าของโรงเรียน ไม่สนใจเสียงร่ำไห้ โหยหวน ก่นด่าตามหลัง
“เริ่มจากตรงไหนก่อนดีนะ อุบัติเหตุผ่านมา 3 เดือน เกรงว่าร่องรอยให้ตามต่อน่าจะยากเต็มที” 3 เดือนที่แล้ว หลี่เหม่ยถิงประสบอุบัติเหตุรถชนขณะกำลังนั่งรถแท็กซี่เพื่อไปยังสนามบินไท่หยวน เหตุเกิดบนถนนใกล้กับทะเลสาบจินหยวน คนขับรถแท็กซี่บาดเจ็บพอประมาณ ขาหัก กระดูกแขนร้าว ส่วนตัวเธอที่นั่งอยู่เบาะหลังบาดเจ็บไม่ได้สตินอนโคม่าเกือบเดือน คนขับรถมาชนพวกเธอมอบตัวในที่เกิดเหตุ สาเหตุคือรถมีปัญหาเบรคแตกควบคุมรถไม่ได้ ตอนนี้เขาติดคุกอยู่ในเรือนจำรับโทษนาน 5 ปี คดีถึงชั้นศาล ตัดสินอย่างรวดเร็ว และปิดคดีอย่างง่ายดาย “ชีวิตของเธอมันราคาถูกเสียจริง ทุกสิ่งถูกติงหรูอี้จัดการให้ผ่านไปง่าย ๆ” แค่นเสียงพูดใส่ตัวเอง จดบัญชีที่ต้องชำระความไว้ในเซลล์สมอง ตอนนี้เธอเป็นเพียงผู้เยาว์มือเธอไม่สามารถยื่นยาวไปได้ไกล ไร้เส้นสายไร้อำนาจ แต่จะให้ปล่อยผ่านเธอกลับไม่ยินยอม “หลี่เหม่ยถิง เธอมันเก่งได้แค่ในรั้วโรงเรียนเล็ก ๆ โลกความเป็นจริงนี้ เธอทำสิ่งใดได้บ้าง ตอนนี้เงินและทรัพย์สินล้วนมาจากตระกูลหลี่” ความรู้สึกไร้พลังอาบไล้ไปทั่วตัว ใช้เวลาไปครู่ใหญ่กว่าจะเรียกสติกลับมาได้ รถโดยสารเข้าไปยังย่านการค้าผ่านมาพอดี เด็กสาวในชุดออกกำลังกายมีฮู้ดก้าวขึ้นไปนั่งที่นั่งด้านท้ายรถ ตรงนี้สามารถมองเห็นผู้โดยสารได้ทั้งคัน ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด นิ้วมือน้อย ๆ รัวกดลงบนแป้นโทรศัพท์มือถือ ส่งข้อความหาคนติดต่อใช้งานกันมานาน ‘3 โมงเย็น ซอยข้างบ้านร้างที่เก่า‘ ลงจากรถโดยสารหลี่เหม่ยถิงก็เร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังธนาคาร ล้วงหยิบสมุดบัญชี บัตรประจำตัวและบัตรเครดิตจำกัดวงเงินออกมา “เบิกเงินสดในบัตรนี้ 200,000 หยวน แล้วใส่ในบัญชีนี้ค่ะ” บัตรเครดิตนี้เป็นบัตรเสริมที่พ่อเปิดให้เธอ แต่แทบไม่ได้นำออกมาใช้จ่ายส่วนตัว หากมีการใช้งานก็จะมีแจ้งเตือนไปยังมือถือส่วนตัวของพ่อ กริ๊งงงง กริ๊งงงง ไม่นานหลังจากมีการเบิกเงินสดเป็นเงินมากขนาดนี้ เสียงมือถือก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ที่บันทึกชื่อว่า ‘คุณพ่อ’ โชคดีที่อยู่ในเขตชุมชนสัญญาณโทรศัพท์จึงชัดเจนติดต่อง่าย “คุณพ่อคะ” “ถิงเออร์ เป็นอะไรหรือเปล่าลูก มีปัญหาอะไรไหม” เสียงอบอุ่นเจือความอ่อนล้า พ่วงด้วยความตกใจและรีบเร่งแว่วมาทางลำโพง ไม่มีคำกล่าวโทษมีแต่ความห่วงใยส่งผ่านมา “ไม่มีอะไรค่ะพ่อ หนูแค่อยากเก็บเงินเลยเบิกจากบัตรเครดิตมาใส่สมุดบัญชีเงินฝาก พอจบมอปลายลูกสาวพ่อก็เป็นเศรษฐีตัวน้อยแล้ว” หลี่เหม่ยถิงรีบตอบบิดารวดเดียว พ่วงด้วยประโยคเย้าตอนท้ายเพื่อให้คุณพ่อสบายใจและใจเย็นลง ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยให้กังวลจะเป็นผลเสียกับอาการป่วยของท่านเอาได้ คุณพ่อป่วยด้วยโรคภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวาย จะทำให้ท่านวิตกกังวลหรือเครียดไม่ได้ ติงหรูอี้ไม่ยอมบอกข่าวเรื่องอาการของเธอที่นอนโคม่าก็พอเข้าใจได้ แต่ถึงขั้นปกปิดเก็บงำเรื่องอุบัติเหตุไปเลย มันชวนให้สงสัยว่า ‘มีเงื่อนงำอะไรปิดบังไว้หรือเปล่า’ และเธอต้องสืบรู้ให้ได้ ไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม “ถิงเออร์ยังอยู่หรือเปล่าลูก” “อยู่ค่ะคุณพ่อ หนูเดินหาจุดที่สัญญาณโทรศัพท์แรงค่ะ เมื่อกี้นึกว่าสายหลุดเหมือนกันค่ะ” “กินข้าวหรือยังลูก อย่าทำงานหนักจนลืมพักผ่อนนะ วันที่ลูกมาเยี่ยมพ่อลูกผอมลงไปมากหน้าตาก็ซีดเซียว เรื่องเรียนไม่ต้องเครียดมากก็ได้ มหาวิทยาลัยเลือกเรียนอยู่ใกล้บ้านเราก็ได้นะลูก” เสียงพร่ำบ่นไม่ได้น่ารำคาญในความคิดของเธอ แต่มันกลับเรียกน้ำตาคลอเคลียจะหยาดหยด ฮึก อึก… หลี่เหม่ยถิงยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นแผ่วในลำคอ เธอมัวแต่โหยหาความรักจากแม่ อยากสัมผัสชีวิตครอบครัวสมบูรณ์พร้อม ทั้งที่ความรักจากพ่อเพียงคนเดียวก็ถมช่องว่างในใจได้ “พ่อคะ ถิงเออร์รักพ่อนะคะ” ไหล่เล็กเกร็งสั่นเทา วางสายแล้วเร่งฝีเท้าก้าวถี่รีบหลบเข้าไปทางตรอกข้างร้านกาแฟ หลับตาพิงไหล่กับผนังอิฐปล่อยน้ำตาไหลให้กับความรู้สึกที่กำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต อาการป่วยของคุณพ่อไร้หนทางรักษา เธอคิดถูกหรือเปล่าที่ปลีกตัวมาอยู่ที่นี่ ไม่ยอมกลับไปดูแลคุณพ่อ ใช้ชีวิต 2 ปีสุดท้ายที่เหลือของท่านอย่างใกล้ชิด แต่ถ้ากลับไป ‘ติงหรูอี้’ จะเป็นอุปสรรคใหญ่ที่เธอต้องรับมือ แม้เธอคิดว่าเอาตัวรอดได้ถึงหนทางจะไม่ราบรื่นเท่ากับการอยู่นอกสายตาและอิทธิพลของนาง ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เธอไม่ควรมาลังเล อะไรที่ควรทำเธอต้องทำให้สำเร็จลุล่วง กลับไปเจอกันครั้งหน้า หึ! ติงหรูอี้! บุญคุณที่สอนสั่งฉันจะตอบแทนให้สาสมแน่นอน 15 นาทีต่อมา บ้านร้างทางทิศตะวันตกของย่านการค้าใกล้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไท่หยวน “พี่สาวหลี่” เสียงแหบของเด็กชายที่กำลังแตกเพราะฮอร์โมนร้องเรียกก่อนเจ้าตัวจะเดินหันมองรอบด้านแล้วเข้ามาหา “เสี่ยวโกว พี่มีเรื่องให้ช่วย” หลี่เหม่ยถิงพยักหน้ารับคำเด็กชาย เธอยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ ร่างสูงโย่งแขนขาผอมยาวก็เดินเข้ามาประชิดตัว “มีคนเดินสะกดรอยตามพี่สาวตั้งแต่ลงจากรถโดยสาร ผมให้เสี่ยวต้านนั่งสังเกตการณ์อยู่ คนอื่นกระจายกันอยู่ห่างออกไป” ดวงตาดอกท้อหรี่แคบลงส่อประกายเย็นชา ‘ใครใช้ให้คนตามดูเธอ? ไม่น่าใช่ติงหรูอี้ พวกลูกคุณหนูทั้งหลายในโรงเรียนก็ไม่น่าจะใช่ ถึงเธอจะใช้จุดอ่อนมาควบคุมคนพวกนั้น แต่ยังไม่ถึงขั้นทำให้ใครแค้นเคืองจนต้องส่งคนมาเล่นงาน’ “ลักษณะท่าทางเป็นยังไง” หลี่เหม่ยถิงล้วงหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋า พยักเพยิดให้เสี่ยวโกวยื่นมือมารับไป ทั้งสองคนก็ขยับเข้าใกล้ก้มลงมองของในมือ เป็นลูกอมรสมินต์เม็ดหนึ่ง ทำเหมือนกำลังตกลงอะไรกันสักอย่างได้แล้วเดินตามกันออกไปด้านหลังบ้านร้างมีเสี่ยวโกวนำหน้า “โว้ว แม่หนูที่ท่านประธานสั่งให้คุ้มครองใช้ได้เลยนะเนี่ย รู้จักกับเด็กที่ทำงานสารพัดอย่างอย่างเสี่ยวโกวด้วย” ชายหนุ่มวัยต้น 30 หน้ากลมดูธรรมดา เหมือนพบเจอได้ตามถนนหนทางแบบไม่เป็นจุดสังเกต ชุดที่ใส่ก็เป็นชุดเรียบง่ายอย่างเชิ้ตทรงหลวมกับกางเกงขายาวสีเทา เขาไม่รู้ตัวว่าภารกิจกินหมู แบบให้ตามคุ้มครองเด็กสาวคนหนึ่งจะความแตกตั้งแต่วันแรก พอทั้งเด็กสาวและเด็กชายนามเสี่ยวโกวเดินออกไป เขายังคงไม่ตามออกไปทันที แต่เฝ้ารออยู่สักพักจนแน่ใจแล้วจึงเดินตามหลังไปแบบเว้นระยะห่าง ท่าทางการเดินเหมือนแค่คนเดินถนนปกติ “ใครส่งนายมา” เสียงใสนิ่งเอ่ยจากทางด้านหลัง พร้อมสัมผัสของวัตถุโลหะแตะตรงกลางกระดูกสันหลังช่วงเอว หวางอู๋ซวน ไม่ได้มีท่าทางตื่นตกใจหรือระวังตัวอะไรมากหลังถูกเจอตัว เพราะเสียงพูดคือเป้าหมายการติดตามและคุ้มครองของเขา เพียงแค่หงุดหงิดตัวเองเล็กน้อยที่ดันประมาทเหล่าเด็กน้อยตามท้องถนนของพวกเสี่ยวโกวเสียได้ แสดงว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กสาวและเด็กชายติดต่อกัน เขาคงโดนจับตาตั้งแต่ตามเธอในเขตชุมชนเป็นแน่ มือหนาอวบสีรวงข้าวยกขึ้นเสมอไหล่ หันใบหน้ายิ้มแฉ่งจนปากแทบฉีกไปด้านหลัง “ใจเย็นกันสักหน่อยครับเด็ก ๆ ผมไม่ได้มาร้ายอะไร” เหล็กเส้นที่เด็กเสี่ยวโกวถือจ่อ เขาจะปัดออกก็ง่ายดาย พวกเด็กรับงานข้างถนนพวกนี้ต่อให้พอมีฝีมือก็ไม่ใช่คู่มือของคนที่ฝึกการต่อสู้มาแบบเขา “พี่สาวอย่าไปเชื่อ คนดี ๆ ที่ไหนจะเดินตามหญิงสาวออกมาในที่เปลี่ยว ผมว่าลุงนี่ถ้าไม่ใช่พวกค้ามนุษย์ ก็มีเจตนาร้ายแน่” “ต้องการอะไรจากฉัน” “ผมได้รับมอบหมายจากเจ้านายให้มาติดตามคุณหนูครับ ไม่ได้มีเจตนาร้ายจริง ๆ” แทนที่เด็กสาวจะมีทีท่าอ่อนลง หรือแสดงท่าทางเขินอายแบบที่ควรจะเป็น เมื่อมีผู้ชายแบบเจ้านายเขามาสนใจ บรรยากาศกลับเย็นชาขึ้น ท่าทางจะโกรธเข้าให้แล้ว “มีสิทธิอะไรให้คนมาตามดูฉัน” แค่นเสียงลอดไรฟัน ดวงตาหลังแว่นส่องประกายวาวโรจน์ “เข้าใจผิด คุณหนูเข้าใจผิดแล้วครับ เจ้านายไม่ได้ให้มาตามดู นายเกรงว่าเวลาคุณหนูออกมาข้างนอกคนเดียวจะมีอันตรายเลยให้ผมมาคุ้มครอง เป็นผมที่ใช้คำผิดไป ถ้าถูกจับได้ก็ให้คุณหนูเรียกใช้งานผมมาได้เลยครับ” อารมณ์เดือดดาลที่กำลังประทุถูกคำพูดถัดมาสาดน้ำเย็นดับไฟร้อน จนเหลือกระแสอุ่นอวลรินรดใจที่เริ่มด้านชาให้อุ่นวาบขึ้นมาได้เล็กน้อย ‘เอาล่ะ อย่างน้อยการช่วยเหลือเขาก็ไม่ได้ช่วยหมาป่าตาขาว’ “คุณรายงานอะไรไปแล้วบ้าง ตามมากี่วันแล้ว” ต่อให้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย เธอก็ไม่คลายความระวังตัว “นายไม่ได้ให้รายงานเรื่องกิจวัตรครับ แต่ให้คอยดูว่ามีอะไรยุ่งยากหรือส่อแววคุกคามถึงให้รายงานเบอร์ส่วนตัวนายโดยตรง ผมเลยยังไม่ได้รายงานอะไร วันนี้วันแรกครับ” เห็นการยืนสงบเสงี่ยมมือประสานกัน ท่าทีเปลี่ยนเป็นเคารพขึ้นมาจากทีแรกเธอก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เธอไม่ใช่คนโง่ที่คิดว่าทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวได้ มีผู้ช่วยฟรีไม่ขัดผลประโยชน์ทำไมจะไม่รับไว้ “ฉันรบกวนถามเจ้านายคุณให้หน่อย ถ้าฉันจะขอเบอร์ติดต่อได้หรือเปล่า” คนมีน้ำใจให้ อย่างน้อยเธอก็อยากขอบคุณด้วยตัวเอง ถึงจะไม่รู้ว่าเขาทำแบบนี้ทำไม ตัวเธอไม่มีผลประโยชน์อะไรที่คนแบบเขาจะมาสนใจได้ ยิ่งเรื่องที่ช่วยเขาไว้คนระดับนั้นไม่น่านำมาคิดใส่ใจตอบแทน “ผมจะสอบถามให้ครับ” เขากดมือถือยุกยิกอยู่ไม่นาน ก็ยื่นหน้าจอมือถือที่มีหมายเลขโทรศัพท์ส่งมาเป็นข้อความให้ “เบอร์ส่วนตัวเจ้านายครับ” “ขอบคุณค่ะ” หลี่เหม่ยถิงเดินปลีกตัวออกมาจากทั้งเสี่ยวโกวและคนแปลกหน้า ชั่งใจว่าจะโทรหรือส่งข้อความแทน จะโทรไปก็เกรงจะเป็นการรบกวน ส่วนส่งข้อความอย่างเดียวก็ดูไม่จริงใจ “การปฏิสัมพันธ์กับคนนี่มันยุ่งยากจริง” สักพักประกายตาพราวระยับ ลูกตาดำกลอกกลิ้งไปมาส่องประกายซุกซน มือเรียวขาวกดแป้นพิมพ์ข้อความไม่นานก็ส่งออกไป แล้วหันเดินกลับไปหาสองคนที่ยืนรอ ห้องประชุมใหญ่ ตึกเทียนอวิ๋น “ต่อไปรายงานความคืบหน้าโครงการพัฒนาเขตที่อยู่อาศัยจงเป่าซาน” ผู้รับผิดชอบโครงการที่ถูกกล่าวถึงลุกขึ้นยืนด้วยความรีบร้อน มือหอบเอกสารกองใหญ่เตรียมก้าวเดินไปยังตำแหน่งพรีเซนต์งาน ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด “เสียงข้อความโทรศัพท์ของใคร” เสียงทุ้มเย็นชาไร้อารมณ์กล่าวทำลายความเงียบ ความกดดันในคำพูดและน้ำเสียงแทบจะทำให้ผู้ที่กินตำแหน่งบริหารในบริษัทเซี่ยอวิ๋นตัวสั่นงันงก ต่างลนลานรีบเช็กโทรศัพท์กันยกใหญ่ สุดท้ายแล้วได้แต่ทำหน้าฉงน ชูโทรศัพท์ขึ้นมาทุกเครื่องที่โชว์ปิดเครื่องไว้อยู่ ร่างสูงสง่าในตำแหน่งประธานนึกเอะใจ หยิบโทรศัพท์ส่วนตัวในกระเป๋าเสื้อนอกออกมา “พัก 10 นาที” ฉินเฟยหลงไม่ต่อความ ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องประชุมมือกดส่งคำตอบให้ข้อความที่ได้รับ ‘นายครับ ผมถูกคุณหนูเจอตัว คุณหนูขอเบอร์ติดต่อนายครับ’ ดวงหน้าหล่อเหลาเผยความเย็นชาขึ้นอีกระดับ วินาทีต่อมากลับผ่อนคลายขึ้นมุมปากกระตุกคล้ายจะยิ้ม ‘ส่งหวางอู๋ซวนกลับไปฝึกในเขตร้อนอีกรอบท่าจะดี งานเล็กน้อยยังพลาดให้เด็กน้อยตั้งแต่วันแรก’ นึกถึงรายงานประวัติของหลี่เหม่ยถิง ที่เลขานำมารอยยิ้มมุมปากกดลึกขึ้น ‘หึหึ ยังพอมีเขี้ยวเล็บอยู่บ้างล่ะนะ’ หลังจากส่งชุดตัวเลข 11 หลักตอบข้อความกลับไป เขาก็มายืนรอยังจุดที่สัญญาณโทรศัพท์ดีที่สุดบนชั้นอย่างไม่รู้ตัว คิดว่าอีกไม่นานคงมีสายจากกระต่ายน้อยเข้ามา แต่ไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง ติ๊ด ติ๊ด ข้อความสั้นไม่เยิ่นเย้อเพียงประโยคเดียว ทำเอาข้างขมับกระตุกวูบ “ยัยเด็กแสบ เจอกันครั้งหน้าดูสิว่าฉันจะทำให้เธอเรียกอย่างอื่นได้ยังไง“ ก้านนิ้วแข็งแรงมีข้อกระดูกโปนหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อสูท ฝีเท้าก้าวเดินยาวหนัก ๆ ยังคงติดใจข้อความประโยคนั้น เด็กน้อยส่งมาว่า ‘ขอบคุณสำหรับแรงงานฟรีนะคะ…คุณน้า’“ฉันสามารถเรียกคุณว่าอะไรได้”หลี่เหม่ยถิงเดินมาถึงก็หันไปถามชายแปลกหน้า“ฮ่า ฮ่า ขออภัยครับคุณหนู ผมชื่อหวางอู๋ซวน”“ลุงคือหวางอู๋ซวนจริงเหรอ!!?!”เสี่ยวโกวพูดแทรกอย่างตื่นตกใจ หลังจากได้รู้ชื่อของชายคนนั้น เขาพิจารณาหวางอู๋ซวนอย่างละเอียด คนบนท้องถนนของไท่หยวนไม่มีใครไม่รู้จัก “หมาล่าเนื้อหวางอู๋ซวน”แต่ไม่คิดว่าเทพลมไร้หลักแหล่งหาตัวจับยากจะดูเป็นชายหน้าตาท่าทางธรรมดาแบบนี้“หมาล่าเนื้อ” เป็นฉายาน่าเกรงขามที่เป้าหมายของหวางอู๋ซวนเรียกขาน เขาตามดมกลิ่นไปทั่่วแม้แต่กลิ่นผายลมเขายังไม่ปล่อยผ่าน กัดไม่ปล่อยจนกว่าจะขุดคุ้ยเรื่องราวของคนที่เขาติดตามออกมาทุกซอกทุกมุม และจะตามล่าไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวจนกว่าจะจับได้“ตัวจริงน่ะสิ หวางอู๋ซวนในไท่หยวนนี่มีใครกล้าแอบอ้างชื่อบ้างไอ้น้อง”หวางอู๋ซวนคาดหวังสายตาชื่นชมจากเด็กชายก็ให้ผิดหวัง เพราะเขาได้สายตาคลางแคลงแกมดูถูกมาแทน แถมยังพ่นลมขึ้นจมูกใส่เสียอีก‘เด็กเวร ถ้าคุณหนูไม่อยู่น่าจับมาสั่งสอน’“พี่สาวหลี่ ถ้าอย่างนั้นคงไม่ได้เรื่องแล้วล่ะ ลืมที่ผมพูดไปเสียเถอะ เขาโดนเราจับได้ง่ายขนาดนี้ เรื่องเล่านั่นคงพูดกันเกินจริง“หลี่เหม่ยถิงเป็น
10 นาทีต่อมาแกร๊ก“เหม่ยถิงงงงงง ช่วยด้วย!”แค่เปิดประตูเข้ามาในห้องพัก เฉินซินหยานที่คงคอยท่าอยู่นานแล้วรีบพุ่งเข้าหา หลี่เหม่ยถิงเบี่ยงตัวหลบออกด้านข้าง ตัวของเพื่อนสาวจึงพุ่งเข้าชนกับประตูดังโครม“เหม่ยถิงอ่ะ ทำไมทำกับเพื่อนรักแบบนี้ เพื่อเป็นการไถ่โทษมาช่วยทำการบ้านเลยนะ”เฉินซินหยานร้องทุกข์แต่เอาดีเข้าตัว พ่วงด้วยแบล็กเมลกันเสร็จสรรพ“ไม่ได้อาจารย์อู๋จำลายมือพวกเราได้ อาจารย์คาดโทษเธอไว้นะลืมแล้วเหรอ หรืออยากไปช่วยล้างห้องน้ำตึกพักอาจารย์”“แต่มันไม่เข้าใจนี่” เฉินซินหยานยังพยายามขอความเห็นใจ“เฉินซินหยาน!!!”“อะไรเล่า ทำไมต้องเสียงดังด้วย”“เธอไม่ได้โง่เธอแค่ขี้เกียจ ฉันบอกไว้ก่อนนะฉันเลือกมหาวิทยาลัยปักกิ่ง อีก 10 เดือนจะสอบเกาเข่าเธอจะทำตัวขี้เกียจเหมือนเดิม หรือจะทุ่มเทกับการเรียนแล้วไปปักกิ่งด้วยกัน เธอเลือกเอาเอง”ในภาพฝันที่ไปเยือนอีกมิติ เฉินซินหยานยังคงทำตัวเอ้อระเหยจนจบการศึกษา สุดท้ายสอบเกาเข่าได้ผลลัพธ์ไม่ดี ครอบครัวจึงส่งไปเรียนเมืองนอก แล้วก็ไม่ได้กลับมาจีนอีกเลย ทั้งยังมีจุดจบที่ไม่สวยนักเช่นเดียวกันกับเธอ“ถึงฉันจะไม่ได้โง่ แต่ฉันไม่ชอบพวกวิชาคำนวณเล
เวลา 14.10 น. วันต่อมาป้อมยามหน้าโรงเรียน“สวัสดีค่ะลุงเหมา หนูมารับของค่ะ”“อ้า…ประธานนักเรียนมาพอดีเลย เข้ามารอก่อนครับ เดี๋ยวลุงหยิบให้”ไม่นานลุงเหมาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยกะบ่ายก็ส่งซองเอกสารให้ 2 ซอง‘หืม?’ หลังขอบคุณหลี่เหม่ยถิงรับซองเอกสารมาดู มีลายมือหนักแน่นทรงพลังบนซองปิดผนึกเขียนชื่อของเธอไว้‘พี่ชายคนนั้นทำอย่างที่พูดจริงเสียด้วย’ เธอลองกะความหนาของเอกสารอย่างน้อยน่าจะมี 10 แผ่นขึ้นไป ควรจะขอบคุณเขาเสียหน่อย‘ขอบคุณสำหรับประวัติค่ะ จะตั้งใจอ่านอย่างดี :)’ติ๊ด ติ๊ด‘ไม่เป็นไรครับ ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถาม‘พรืด! คิกคิก‘ประวัติส่วนตัวนะคะ ไม่ใช่รายงานที่ไม่เข้าใจตรงไหนแล้วจะให้ถามน่ะ’หลี่เหม่ยถิงเดินกลับเข้าแคมปัสไปก็ส่งข้อความโต้ตอบกับคนไกลไปด้วย ไม่สนเลยว่าจะมีข่าวลืออะไรบ้างจากท่าทางแปลกประหลาดที่นักเรียนไม่เคยเห็นจากประธานผู้เคร่งขรึม“นักเรียนเหอจูอิ๋ง เข้าพบประธานนักเรียนที่ห้องประธานสภานักเรียนด่วนค่ะ“เสียงประกาศเรียกชื่อเข้าพบประธานนักเรียน ผู้โชคร้ายรายแรกของปีการศึกษาปรากฏตัวขึ้นมาก่อนหน้าจะเปิดภาคการศึกษาแค่ 3 วันจริงแล้วการลงโทษจากสภานักเรียน
12.00 น. วันต่อมา ติ๊ด ติ๊ดเสียงเตือนข้อความเข้าทำเอาหลี่เหม่ยถิงตะครุบโทรศัพท์อย่างเสียอาการนิ่งสงบ‘มีเบาะแสเพิ่ม มีแนวโน้มว่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุ’หลี่เหม่ยถิงถอนใจกับตัวเองด้วยความผิดหวัง ไม่ใช่ข้อความจากพี่ใหญ่ฉิน แต่อย่างน้อยข้อความนี้ก็เรียกสีหน้าตื่นตัวจากความเฉื่อยชาเรื่องงานของสภานักเรียนได้“ประธานรอข้อความสำคัญเหรอคะ” จ้าวลี่จูผู้กำลังรายงานข้อเรียกร้องการจัดสรรงบชมรมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ไม่บ่อยนักที่ประธานจะออกท่าทางลุกลน“อือ” พยักหน้าแบบผ่าน ๆ ขณะกำลังเท้าคาง ในสมองก็เริ่มนึกถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ ของอุบัติเหตุ เบาะแสเพิ่งเริ่มปรากฏ ยังยืนยันไม่ได้ว่ามีคนจงใจจัดฉาก เธอควรใจเย็นรอหวางอู๋ซวนมีข้อมูลมากกว่านี้เฮ้อ!“การได้แต่นั่งรอเพราะทำอะไรไม่ได้นี่มันอึดอัดใจจริงเชียว” บ่นเสร็จก็ลุกขึ้นจากหลังโต๊ะทำงาน ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ดหลี่เหม่ยถิงที่ทำเป็นลืมโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ หันตัวกลับไปคว้ามันขึ้นมาแล้วก้มหน้าเช็กข้อความ‘เพ้ย! ใครมันเล่นตลกกับฉันหรือไง ส่งข้อความที่ไม่ได้รอมาแทรกอะไรกันนัก!’ หลี่เหม่ยถิงที่เริ่มหงุดหงิด ยกมือทำท่าจะปาโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ“ประธานอย่าปาน
‘มีเรื่องแบบนี้ นังเพื่อนชั่วต้องหาทางไปพบจางกั๋วอันแน่’เหอจูอิ๋งกำลังรอเวลา เธอให้เพื่อนในห้องเรียนไปเฝ้าคอยจางกั๋วอันหน้าโรงเรียนชายฝั่งตรงข้าม บอกเพื่อนไว้ว่าเธอมีของขวัญรอเซอร์ไพรส์“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเราหรอก ฉันว่ากลับหอไปนอนเล่นเถอะ อีก 2 วันก็เปิดเทอมแล้ว ฉันจะทำเล็บขัดตัวเสียหน่อย” เหอจูอิ๋งหันมาชวนเพื่อนในหอทุกคนกลับเหมือนไม่ได้สนใจเรื่องอื้อฉาวนี่นัก“พวกเธอไปกันก่อนนะจ๊ะ ฉันว่าจะไปหาหนังสืออ่านเงียบ ๆ ในหอสมุด” หยางจื่อหานรีบกล่าวแทรกขึ้นมา แล้วเดินแยกตัวออกไปคอยไม่นานหลังจากนั้น เพื่อนสาวที่ส่งให้ไปตามเฝ้าจางกั๋วอันก็ส่งข้อความมาหาเหอจูอิ๋ง‘อิ๋งอิ๋งเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!! มาหาฉันด่วนร้านคาเฟยฮ๋าว’“ประธานคะ!! จุดน่าตื่นเต้นมันเริ่มจากนี้นี่แหละค่ะ เหอจูอิ๋งพาเพื่อนในหอพักกับเพื่อนในคลาสไปนับ 10 คน ทำท่าทางไม่รู้เรื่องราวเหมือนออกไปเดินเล่น ไปถึงที่นัดหมายก็เจอฉากเด็ดเลยค่ะ หยางจื่อหานกำลังร้องไห้ฟูมฟาย ซบอกจางกั๋วอัน เล่นเอาตกตะลึงกันทั้งคณะเพื่อน ส่วนเหอจูอิ๋งน้ำตาไหลพรากเป็นสาลี่ต้องฝน ตัดพ้อต่อว่าคู่หมั้น”แค่ก ๆ... “ขอน้ำหน่อยค่ะประธานหลี่” หลี่เหม่ยถิ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า “เธอจบเห่แน่ หยางจื่อหานคิดจะแทงข้างหลังฉันงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!! เธอคิดว่าคนบ้านจางจะยอมรับคนอย่างเธองั้นเรอะเฮอะ!!! หัดดูเงาตัวเองบ้าง” เหอจูอิ๋งก้มตัวเอานิ้วชี้จิ้มหน้าคนที่หมดเรี่ยวแรงนั่งกองกับพื้นจนหงายหลังลงไป หลี่เหม่ยถิงที่รอจังหวะอยู่นานแล้วแสยะยิ้มร้าย “พอได้แล้ว!!! เหอจูอิ๋ง หยางจื่อหาน สภานักเรียนกำหนดบทลงโทษคนทำความผิดไว้แล้ว ฟังให้ดีล่ะ” “นักเรียนเหอจูอิ๋ง โทษฐานปลุกระดมเพื่อนนักเรียนให้ลุกขึ้นมาก่อความไม่สงบโดยมีผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง รับโทษล้างห้องน้ำรวมหอพักหญิงชั้น 3 ตึกแรก 3 วัน” “อะไรกันคะประธาน ได้ยังไง ฉันนับว่าเป็นผู้เสียหายแล้วนะคะตอนนี้” เหอจูอิ๋งเชิดคางเริ่มโวยวายไม่เหลือท่าทางถูกกระทำเลยสักนิด ขาเรียวเล็กของประธานวาดมาเป็นท่าไขว้ห้าง ลำตัวเอนไปทางขวามีข้อศอกค้ำไว้ นิ้วชี้เคาะลงบนที่เท้าแขนเป็นจังหวะ ความเร็วเท่าการเต้นของหัวใจ มองเหอจูอิ่งกดดันไม่พูดอะไรต่อ อึก...เหอจูอิ๋งถูกจ้องมองเกือบ 10 นาทีก็ตัวสั่นกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ “หลังจบบทลงโทษของหยางจื่อหานฉันขออนุญาตเรียนถามใหม่ก็ได้ค่ะ” ทนสู้สายตาว่างเปล่าน่ากลัวนั่นไม
‘พี่ใหญ่ฉิน ฉันขอกู้ยืมเงิน 10 ล้านหยวนค่ะ’ ฉินเฟยหลง มองข้อความบนหน้าจอมีความประหลาดใจวาบผ่านดวงตา ลำตัวแข็งแรงเอนตัวนอนบนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาล หลังคำนวณความต่างของเวลาแล้วเขาก็รีบพิมพ์ข้อความตอบกลับลงไป ‘สองทุ่มประตูหลังโรงเรียนจะมีคนนำเงินไปส่งให้’ “เป็นเด็กที่น่าสนใจไม่ต่างจากที่คิดไว้จริงๆ” ใบหน้าหล่อคมของเขามีรอยยิ้มขึ้นมาได้เล็กน้อย การบอกความต้องการออกมาตรง ๆ แบบนี้ ดีกว่าพวกที่ปั้นหน้าเข้าหาเขาเพื่อผลประโยชน์พวกนั้นเยอะ ติ๊ด ติ๊ด ‘ขอบคุณค่ะเดี๋ยวฉันเขียนสัญญากู้ยืมส่งให้คนที่มาส่งเงินนะคะ ปล. กู้ยืมไม่มีดอกเบี้ยนะคะ ระยะเวลาผ่อน 5 ปี หรืออาจจะเร็วกว่า’ หึหึหึ นอกจากจะใจกล้าแล้วยังได้คืบจะเอาศอกด้วย ‘ได้’ อย่าว่าแต่การกู้ยืมเลยแม้แต่ยกให้ฟรีก็ยังได้ การช่วยเหลือครานั้น หากนับตามมูลค่าก็เทียบเท่าชีวิตของเขา สถานการณ์เข้าขั้นอันตรายถึงเขาจะมีหนทางเอาตัวรอด แต่การได้พบเธอมันทำให้เรื่องง่ายดายขึ้น ‘หมิงเจี่ยนำเงินไปส่งให้หลี่เหม่ยถิง 10 ล้านหยวน ออกเดินทางทันที’ สั่งการเสร็จก็หันมาอ่านเอกสารตั้งใหญ่บนโต๊ะเลื่อนข้างเตียง ครืดดดด ดวงตาคม
3 วันต่อมา เอี๊ยด! ‘มากันแล้วมั้งคะคุณ’ คุณแม่เหอหันมาคุยกับคุณพ่อเหอท่าทางตื่นเต้นเล็กน้อย ท่านนายพันวัยต้น 40 เพียงแค่พยักหน้าเป็นอันรับรู้ แล้วนั่งเหยียดหลังตรงสง่าวางมาดน่าเกรงขาม ตระกูลเหอจะว่าไปต้องเรียกว่าเป็นเศรษฐีใหม่ พ่อเหอไต่เต่าขึ้นมาถึงระดับพันเอกด้วยสองมือเปื้อนเลือด พลิกฟื้นจากครอบครัวธรรมดาสู่เส้นทางทหารในยุคปฏิวัติ เขาย่อมไม่ใช่คนที่มีความคิดตื้นเขิน และไม่ไร้หัวคิดแน่นอน “คุณพ่อ คุณแม่ หนูกลับมาแล้ว” เหอจูอิ๋งผู้เย่อหญิงในรั้วโรงเรียนกลายเป็นนกกระจิบน้อยกลับคืนรัง ปากเจื้อยแจ้วคิดถึงพ่อแม่ไม่หยุด จนแทบลืมบุคคลที่เดินทางมาด้วยกัน หลี่เหม่ยถิงในวันนี้ยังคงแต่งกายด้วยชุดที่ดูอึมครึม ไม่เหมือนเด็กสาวทั่วไป เสื้อแขนยาวสีเข้มปิดถึงลำคอ กางเกงทรงกระบอกขายาวสีเดียวกัน ประกอบกับแว่นตากรอบดำหนาปิดครึ่งใบหน้า ผมหน้าม้าตรงยาวทับขอบแว่น อะแฮ่ม… ความคิดเห็นของคนในห้องเป็นอย่างไรไม่รู้ เธอให้ความสนใจเพียงพ่อเหอ เหอกงโป๋ หลี่เหม่ยถิงใช้สายตาสังเกตท่าที และออร่าบนร่างกายรอบหนึ่ง แม่เหอและพี่ชายเก็บอาการได้ช้ากว่า ความคาดไม่ถึงปรากฏชัด ส่วนพ่อเหอเพียงทำท่าแปลกใจเล็กน
อือ…“คุณหนู ฟื้นแล้วเหรอครับ” หยางฝูเหว่ยและเกาอี้นั่งรออยู่ในห้องพักพิเศษตั้งแต่มาถึงโรงพยาบาล สองหนุ่มผู้ดูแลลุกขึ้นเดินเข้าหาอย่างระมัดระวัง สายตาของหยางฝูเหว่ยมองเข้าไปในหน่วยลึกของดวงตาดอกท้อ ขนตาหนาเป็นแพกระพือถี่อย่างพยายามปรับโฟกัส ความหม่นในดวงตาค่อยกระจ่างขึ้น ถูกแทนที่ด้วยความมึนงง สับสน“เกิดอะไรขึ้นคะ?” ข้อมือเล็กพยายามขยับ แต่กลับไม่สามารถยกขึ้นได้ ความปวดตึงทำให้หลี่เหม่ยถิงหันไปมองทางข้อมือขวา เห็นว่ามันถูกพันธนาการติดกับขอบเตียง จึงย้ายสายตาสำรวจร่างกายทีละส่วนสมองเริ่มกระจ่างตามเวลาที่ผ่านไป ความทรงจำก่อนหมดสติไหลกระแทกกลับเข้ามา ลมหายใจอันเกิดจากห้วงอารมณ์รุนแรงกระชั้นถี่จนทรวงอกภายใต้ผ้าห่มที่คลุมร่างกายยุบขึ้นลง “คุณหนูพยายามคุมสติคุมอารมณ์ตามวิธีที่นักบำบัดบอกไว้ครับ” ผู้ช่วยหนุ่มกดเสียงให้ราบเรียบพูดอย่างใจเย็น มีเกาอี้ยืนหายใจไม่เต็มปอดอยู่ข้าง ๆพวกเขาต้องพยายามทำให้บรรยากาศสงบนิ่งที่สุด เพื่อไม่ให้กระตุ้นอารมณ์คุณหนูไปมากกว่านี้20 นาทีต่อมา การปรับอารมณ์ก็เป็นผล หยางฝูเหว่ยจึงแจ้งพยาบาล จากนั้นก็มีแพทย์มาตรวจจนเสร็จกระบวนการ ผ้ายึดข้อมือก็ถูกถอดออ
หากไม่มีคุณหนู ตระกูลหลี่ก็ไร้ความหมายสองสามีภรรยาต่างมองหน้าสื่อความแล้วแยกย้ายกันไปจัดการงานที่ได้รับมอบหมายคนละทาง“ผู้เฒ่าติงครับ ผมคิดว่าเราควรถือวิสาสะอ่านจดหมายที่เป็นต้นเหตุของอาการครับ พ่อบ้านติงครับไปเก็บของเถอะครับ เราจะไปกันเดี๋ยวนี้เลย ผมจะให้เกาอี้เอารถมารอรับด้านหน้า”ท่านผู้เฒ่ารับจดหมายที่ยับย่นจากมือหยางฝูเหว่ยมาอ่านอย่างรีบร้อน ยิ่งอ่านใบหน้าเหี่ยวย่นด้วยวัยชรายิ่งดำทะมึนขึ้นตามตัวอักษรแต่ละคำลักพาตัวเด็ก!!!“สารเลว! ชั่วชาติเอ๊ย!”ท่านผู้เฒ่าสบถด่าออกมาอย่างดุเดือด ใบหน้าแดงก่ำจากความดันพุ่งขึ้นสูง อยากปาจดหมายลงพื้นแล้วกระทืบซ้ำ เสียแต่คนที่เขาอยากจัดการดันชิงตายไปเสียก่อนคิดแล้วว่าหลี่ซีซวนอะไรนี่ไม่ใช่ตัวดี!นี่มันกากเดนมนุษย์ในคราบหมอยังมีหน้ามาอวดอ้างความดีความชอบ มันลักพาตัวเด็กมาชัด ๆ ถุย! ปกปิดความผิดมาตลอดชีวิตจนตัวตาย ยังไม่กล้าเผชิญหน้าความจริงสงสารก็แต่ศิษย์น้อย ตกเป็นเหยื่อของชายเห็นแก่ตัว ยิ่งมองไปยังสภาพของศิษย์รักท่านผู้เฒ่ายิ่งสะเทือนใจ ถิงเออร์คงเจ็บปวดทรมานมากที่มารับรู้ว่าโศกนาฏกรรมในชีวิตเกิดจากคนที่เธอรักเคารพที่สุดพ่อบ้านติง
ฮ่า ฮ่า ฮ่าติงหรูอี้หลุดเสียงหัวเราะสุขใจดังลั่นออกมา ไม่หลงเหลือหรือพยายามรักษาท่วงท่าสง่างาม หญิงกลางคนแทบจะลุกขึ้เต้นรำไปรอบห้อง‘มันไม่ใช่ลูกของหลี่ซีซวน ในที่สุดเธอก็ชนะผู้หญิงในใจคนนั้นแล้ว’หลี่เหม่ยหลินกลับมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมา สมองมึนตื้อไปหมด เธอถูกแม่บอกเล่ามาเสมอว่าหลี่เหม่ยถิงคือลูกชู้ ลูกของผู้หญิงที่ทำแม่ของเธอเสียใจความจริงแบบนี้ต้องให้เธอรู้สึกยังไงหลี่เหม่ยถิงไม่มีเวลามาสนใจปฏิกิริยาหรือความรู้สึกของใครทั้งนั้น ตาจดจ้องเพียงจดหมายในมือไล่อ่านทีละคำทีละบรรทัดจนพบข้อความต่อจากที่หลี่เหม่ยหลินอ่าน“ใช่แล้วถิงเออร์ ลูกไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อ แม้พ่ออยากจะให้เป็นสักแค่ไหนก็ตาม พ่อกับแม่ของลูกดำรงความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนนี้ตลอดระยะเวลาที่แม่ของลูกตั้งครรภ์แล้วเธอไปฝากท้องที่โรงพยาบาลนั้นแต่พ่อของลูกไม่เคยปรากฏตัว พ่อที่แอบรักแม่ของลูกเงียบ ๆ ในใจก็ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้แม่ของลูกลืมผู้ชายคนนั้นเสีย เพราะทุกครั้งที่เธอพูดถึงสามีจะมีประกายตาแห่งความสุขไร้แววเศร้าหมอง เธอยังเชื่อมั่นจนลมหายใจสุดท้ายว่าเขาจะกลับมาหาวันที่ลูกเกิด
10 วันผ่านไป“ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะคุณนายหลี่ เสียใจด้วยนะคะคุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง”แขกที่มาร่วมงานพิธีเคารพศพของหลี่ซีซวนวันสุดท้ายมีมากกว่า 9 วันที่ผ่านมา แขกชายจากตระกูลต่าง ๆ ในเฉิงตูไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากมาย แต่ไม่ใช่อย่างนั้นกับแขกฝ่ายหญิงประโยคเน้นคำเรียกคุณนายหลี่ คือสิ่งที่ตอกย้ำติงหรูอี้ซ้ำ ๆ เป็นสิบเป็นร้อยเป็นพันครั้งเธอเหมือนโดนหลี่เหม่ยถิงถีบออกมายืนท่ามกลางผู้คน ให้คนเหล่านั้นรุมเย้ยหยัน ตบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากกัดฟันยิ้มสู้พอคล้อยหลังเธอ พวกสาวสังคมเหล่านั้นก็จับกลุ่มนินทาหัวเราะเยาะ เรื่องที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มือเรียวเหล่านั้นชี้นิ้วมายังเธอด้วยอาการล้อเลียนติงหรูอี้ชำเลืองไปทางลูกเลี้ยงสาวด้วยสายตาอาฆาตปนแววสังหาร หลังจบงานนี้ไม่แน่หรอกนะว่าใครจะจัดการใคร‘อาอี้ อาจารย์ของนังเด็กนั่นไม่มีอำนาจอิทธิพลแน่ใช่ไหม ข่าวลือของเธอมันระงับไม่ได้เพราะมีคนคอยปล่อยข่าวซ้อนตลอดเลยนะ’ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจ เธอต้องมาคอยยืนเป็นตัวตลกในงานให้คนหัวเราะตลอด 10 วันเพราะนังเด็กนี่แท้ ๆ‘พี่ช่วยฉันจัดการหน่อย ฉันไม่อยากเก็บมันไว้ให้รกหูรกตาอีกแล้ว’ ในเม
หลังจากจัดการหลี่เหม่ยหลินให้อยู่เป็นที่เป็นทางแล้ว ความอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงก็กลืนกินทั่วร่างหลี่เหม่ยถิง จนเธอต้องเดินโซซัดโซเซไปหาจุดนั่งพัก ทางเดินของบันไดหนีไฟถูกเปิดออกร่างเล็กจ้อยนั่งขดตัวกอดเข่า ก้มหน้าปล่อยน้ำตาไหลอย่างเงียบเชียบ หยางฝูเหว่ยผู้แอบเดินตามหลังมารีบต่อสายหาเจ้านายอย่างเร่งด่วน“นายครับ คุณหนูแย่แล้ว” จากนั้นเขาจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นช่วงบ่ายวันนี้ให้ฉินเฟยหลงฟัง มีเกาอี้เดินขยับมายืนข้างกัน จากนั้นชายหนุ่มก็ก้าววิ่งเหยาะ ๆ ไปแง้มบันไดหนีไฟ ยื่นเพียงมือที่ถือโทรศัพท์เข้าไปด้านใน“หลี่เหม่ยถิง ผมอยู่นี่ เธอไม่ต้องกลัว”เสียงทุ้มอ่อนโยนดังผ่านลำโพงที่เปิดเสียงไว้ ดวงหน้าที่ซุกซบบนเข่าจึงเงยขึ้นไปมองยังที่มาของเสียง มือสั่น ๆ ยื่นไปรับโทรศัพท์มาถือไว้“พี่ พี่ใหญ่ฉิน คุณมาหาฉันหน่อยได้ไหม” เสียงสั่นไร้ความหนักแน่นเรียกหา ตัวคนที่ถูกขอร้องถึงกับใจกระตุก“เธอรอไม่นานหรอก ผมกำลังไป” จบประโยคหนักแน่นนั่น สายก็ถูกตัดทันที หลี่เหม่ยถิงได้แต่กอดมือถือไว้แนบอก ดวงตาเปียกชื้นไม่มีน้ำตาอีกต่อไป“ศิษย์น้อย เรากลับกันก่อนเถอะนี่ก็ดึกแล้ว” เธอน่าจะนั่งอยู่แบบนั้นนาน
โรงพยาบาลเอกชนฝูต้านับเป็นเรื่องปกติของโรงพยาบาลที่จะมีคนไข้ฉุกเฉินถูกนำตัวมาส่งได้ตลอดเวลา แต่คราวนี้พิเศษกว่าทุกครั้งเพราะคนไข้คือเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้เหล่าผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ระดับสูงต่างได้รับการแจ้งเตือน คนไข้ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดหลังแพทย์เวรตรวจอาการเบื้องต้นศัลยแพทย์หัวใจมือดีที่สุดของโรงพยาบาลถูกตามตัวเร่งด่วน โชคดีที่เขาไม่มีคิวผ่าตัดเวลานี้ ไฟห้องผ่าตัดสีแดงสว่างจ้าแยงตาของหลี่เหม่ยถิงมานับชั่วโมง ดวงตาดอกท้อแดงก่ำจ้องเขม็งไปในทิศทางเดียว ไม่สนใจว่าจะมีใครอื่นเดินวนเวียนอยู่รอบตัวร่างกายบอบบางยืนพิงผนังปูนสีขาว สองแขนกอดอกแน่น รังสีมืดดำเย็นชาพาบรรยากาศยิ่งหนักอึ้งไม่มีใครกล้าขยับเข้าไปใกล้หยางฝูเหว่ยเป็นคนขับรถพาทุกคนในความดูแลของเขามาโรงพยาบาล สายตาคมติดแววกังวลในหน่วยลึกกวาดมองผู้คนพลุกพล่านรอบตัว มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงยืนจับกลุ่มกระซิบกระซาบกันทางหนึ่งติงหรูอี้ยืนเหยียดหลังตรงมีหลี่เหม่ยหลินร้องไห้กระซิกซบอกคนเป็นแม่ ท่านผู้เฒ่าติงกับพ่อบ้านติงนั่งอยู่ข้างกันบนเก้าอี้ที่พ่อบ้านฝูจัดหามาให้ พนักงานในโรงพยาบาล พยาบาล ผู้ช่วยหลายคนยืนชะเง้อยืดคอมองด้วย
“หลี่ซีซวนคนสารเลว คุณทำแบบนี้กับฉันและลูกได้ยังไง ต่อไปเราจะกล้าเงยหน้ามองใครได้อีก” พอตั้งสติได้คุณผู้หญิงของบ้านก็ลงมือตบตีประมุขของบ้านพัลวัน ชายผู้ยังรู้สึกผิดก็ยืนนิ่งให้ภรรยาทุบตีฉีฟ่านเข้ามาแยกทั้งสองคนออกแล้วจึงแนะนำให้ขึ้นไปคุยกันต่อบนห้องหนังสือ“ตอนนั้นคุณรับปากแล้วว่าจะไม่มีวันพูดเรื่องนี้กับใคร แค่ที่เราแต่งงานกันแต่คุณไม่ยอมจดทะเบียนยังเป็นการลงโทษฉันไม่พอรึไง ทำไมคุณถึงยังพูดมันออกมา ทำไม“ ติงหรูอี้ที่คุมอารมณ์ไม่อยู่ ถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ“ถ้าคุณไม่วางยาผม เรื่องมันจะเกิดขึ้นรึไงกันล่ะ ตอนนั้นผมให้คุณมาเป็นแค่พยาบาลพี่เลี้ยงถิงเออร์เท่านั้นนะ อย่าลืมสิ แล้วที่ผมยอมแต่งเพราะคุณท้อง พี่ชายคุณมาขอร้องให้ช่วยรักษาหน้าของตระกูลติง เราถึงแต่งกันแค่ในนาม ข้อตกลงก็ร่างเป็นสัญญาเก็บไว้ไม่ใช่หรือไง”หลี่ซีซวนยังคงยึดถือข้อตกลงเดิมมาพูดถึง“เวลานานขนาดนี้แล้วคุณไม่คิดเปลี่ยนใจจะสร้างครอบครัวกับฉันบ้างเลยงั้นเหรอ ฉันทั้งดูแลคุณ ดูแลบ้าน ดูแลลูก ๆ ให้คุณ คอยสนับสนุนคุณทุกอย่าง” ติงหรูอี้ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเขาไม่คิดจะอ่อนลงเลย“ผมบอกคุณแล้วว่า ไม่รักก็คือไม่รัก คุณก็ยังรั้
สวีอวี้เจ๋อมอบตัวแต่…คนที่เขาซัดทอดไปได้เป็นเพียงชายที่ชื่อปู้ข่าย หรือหมีดำฉายาที่คนบนท้องถนนเรียกเขา ชายคนนี้รับงานเป็นนายหน้าจัดการเรื่องสกปรกต่าง ๆ ให้กับใครก็ตามที่พร้อมจ่ายเงินให้ปู้ข่ายถูกจับกลับมากับพรรคพวกอีก 4 คน น่าเสียดายที่เบาะแสสะดุดหยุดลงตรงนี้อีกครั้งหมีดำรับงานไม่เป็นหลักแหล่งแน่ชัด ติดต่อผ่านทางเบอร์โทรที่ส่งต่อกันเฉพาะคนรู้จักหรือลูกค้าเก่าแนะนำมา รับเงินมัดจำครึ่งหนึ่งโดยโอนเข้าบัญชีธนาคารที่เขาระบุหมายเลขไปให้ ส่วนที่เหลือจ่ายหลังจากเขาส่งหลักฐานการทำงานก่อนลงมือขั้นสุดท้ายไปให้ หากลูกค้าเบี้ยวเขาก็จบงานไม่ทำต่อ“นี่คุณตำรวจผมบอกแล่วไง ว่าไม่รู้ ทำไปแค่นึกสนุกอยากฆ่าคนเล่นสุ่มไปเรื่อย คนจงคนจ้างไม่มีหรอก” ปู้ข่ายยังพยายามเล่นลิ้นน้ำเสียงยียวน“ถ้าไม่มีผู้จ้างวานเท่ากับนายอยู่เบื้องหลังทั้งหมด จะรับสารภาพตามนี้หรือเปล่าล่ะ ถ้ารับก็เซ็นเอกสารนี่นายได้ติดคุกหัวโตแน่” มือคล้ำแดดของนายตำรวจรุ่นใหญ่เลื่อนกระดานหนีบเอกสารไปฝั่งตรงข้าม ขณะที่เขากดหยุดเทปบันทึกคำให้การไปด้วย‘ก็แค่ติดคุก ทำอย่างกับเขาไม่เคยติด แค่ข้อหาจ้างวานกับพยายามฆ่า ลองหาพรรคพวกวิ่งเต้นนิดห
3 วันต่อมา“แชมป์เป็นคนของเฉิงตู ก็ต้องเป็นแชมป์ของเฉิงตูสิ”“แต่แชมป์ไปเรียนที่ซานซี สอบก็ส่งชื่อในนามของซานซี ก็เป็นแชมป์ของซานซีถูกแล้ว”“หลีกทางหน่อย ๆ ขอพบนักเรียนหลี่เหม่ยถิงหน่อยครับ”“เฮ้ย อย่าเบียดเข้ามาสิวะ”“เฉิงตูเดลี่ขอสัมภาษณ์นักเรียนหลี่เหม่ยถิงและครอบครัวหน่อยครับ”ฝูหย่งอันมองภาพความวุ่นวายหน้าประตูรั้วนอกบ้านด้วยสายตาภาคภูมิ ดูสิคุณหนูของบ้านเขาเก่งกาจขนาดไหน แม้แต่ผู้ว่าการสองมณฑลยังมายื้อแย่งผลสอบเกาเข่าอย่างเป็นทางการออกแล้ว!“คุณผู้ชายจะให้จัดการข้างนอกอย่างไรดีครับ มีผู้ว่าการมณฑลมาพร้อมธงประกาศเกียรติยศ นักข่าวมาขอสัมภาษณ์ แล้วก็คนจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งมาขอพบคุณหนูใหญ่” พ่อบ้านชรากลับเข้ามายังห้องโถงใหญ่ของบ้าน ตอนนี้เจ้านายทุกคน รวมถึงอาจารย์และคุณผู้ดูแลของคุณหนูก็มากันครบ“ถิงเออร์ลูกเก่งมาก พ่อภูมิใจในตัวลูกมากจริงๆ ลูกจะให้จัดการยังไงวันนี้ปล่อยให้ลูกตัดสินใจได้เลย” หลี่ซีซวนออกปากชมไม่หยุด ท่าทางตื่นเต้นหน้าแดงมีเลือดฝาด รอยยิ้มกว้างไม่เคยหดหายนับตั้งแต่หลี่เหม่ยถิงเช็กผลคะแนนสอบเมื่อเช้าหลี่เหม่ยถิงยิ้มรับคำชมจนตาปิด วันนี้เธอใช้แว่นตากรอบบาง