พูดจบก็เอื้อมมือปิดปุ่มกระจายเสียง สวมฮู้ดคลุมหัวแล้วเดินมุ่งหน้าออกไปทางประตูหน้าของโรงเรียน ไม่สนใจเสียงร่ำไห้ โหยหวน ก่นด่าตามหลัง
“เริ่มจากตรงไหนก่อนดีนะ อุบัติเหตุผ่านมา 3 เดือน เกรงว่าร่องรอยให้ตามต่อน่าจะยากเต็มที” 3 เดือนที่แล้ว หลี่เหม่ยถิงประสบอุบัติเหตุรถชนขณะกำลังนั่งรถแท็กซี่เพื่อไปยังสนามบินไท่หยวน เหตุเกิดบนถนนใกล้กับทะเลสาบจินหยวน คนขับรถแท็กซี่บาดเจ็บพอประมาณ ขาหัก กระดูกแขนร้าว ส่วนตัวเธอที่นั่งอยู่เบาะหลังบาดเจ็บไม่ได้สตินอนโคม่าเกือบเดือน คนขับรถมาชนพวกเธอมอบตัวในที่เกิดเหตุ สาเหตุคือรถมีปัญหาเบรคแตกควบคุมรถไม่ได้ ตอนนี้เขาติดคุกอยู่ในเรือนจำรับโทษนาน 5 ปี คดีถึงชั้นศาล ตัดสินอย่างรวดเร็ว และปิดคดีอย่างง่ายดาย “ชีวิตของเธอมันราคาถูกเสียจริง ทุกสิ่งถูกติงหรูอี้จัดการให้ผ่านไปง่าย ๆ” แค่นเสียงพูดใส่ตัวเอง จดบัญชีที่ต้องชำระความไว้ในเซลล์สมอง ตอนนี้เธอเป็นเพียงผู้เยาว์มือเธอไม่สามารถยื่นยาวไปได้ไกล ไร้เส้นสายไร้อำนาจ แต่จะให้ปล่อยผ่านเธอกลับไม่ยินยอม “หลี่เหม่ยถิง เธอมันเก่งได้แค่ในรั้วโรงเรียนเล็ก ๆ โลกความเป็นจริงนี้ เธอทำสิ่งใดได้บ้าง ตอนนี้เงินและทรัพย์สินล้วนมาจากตระกูลหลี่” ความรู้สึกไร้พลังอาบไล้ไปทั่วตัว ใช้เวลาไปครู่ใหญ่กว่าจะเรียกสติกลับมาได้ รถโดยสารเข้าไปยังย่านการค้าผ่านมาพอดี เด็กสาวในชุดออกกำลังกายมีฮู้ดก้าวขึ้นไปนั่งที่นั่งด้านท้ายรถ ตรงนี้สามารถมองเห็นผู้โดยสารได้ทั้งคัน ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด นิ้วมือน้อย ๆ รัวกดลงบนแป้นโทรศัพท์มือถือ ส่งข้อความหาคนติดต่อใช้งานกันมานาน ‘3 โมงเย็น ซอยข้างบ้านร้างที่เก่า‘ ลงจากรถโดยสารหลี่เหม่ยถิงก็เร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังธนาคาร ล้วงหยิบสมุดบัญชี บัตรประจำตัวและบัตรเครดิตจำกัดวงเงินออกมา “เบิกเงินสดในบัตรนี้ 200,000 หยวน แล้วใส่ในบัญชีนี้ค่ะ” บัตรเครดิตนี้เป็นบัตรเสริมที่พ่อเปิดให้เธอ แต่แทบไม่ได้นำออกมาใช้จ่ายส่วนตัว หากมีการใช้งานก็จะมีแจ้งเตือนไปยังมือถือส่วนตัวของพ่อ กริ๊งงงง กริ๊งงงง ไม่นานหลังจากมีการเบิกเงินสดเป็นเงินมากขนาดนี้ เสียงมือถือก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ที่บันทึกชื่อว่า ‘คุณพ่อ’ โชคดีที่อยู่ในเขตชุมชนสัญญาณโทรศัพท์จึงชัดเจนติดต่อง่าย “คุณพ่อคะ” “ถิงเออร์ เป็นอะไรหรือเปล่าลูก มีปัญหาอะไรไหม” เสียงอบอุ่นเจือความอ่อนล้า พ่วงด้วยความตกใจและรีบเร่งแว่วมาทางลำโพง ไม่มีคำกล่าวโทษมีแต่ความห่วงใยส่งผ่านมา “ไม่มีอะไรค่ะพ่อ หนูแค่อยากเก็บเงินเลยเบิกจากบัตรเครดิตมาใส่สมุดบัญชีเงินฝาก พอจบมอปลายลูกสาวพ่อก็เป็นเศรษฐีตัวน้อยแล้ว” หลี่เหม่ยถิงรีบตอบบิดารวดเดียว พ่วงด้วยประโยคเย้าตอนท้ายเพื่อให้คุณพ่อสบายใจและใจเย็นลง ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยให้กังวลจะเป็นผลเสียกับอาการป่วยของท่านเอาได้ คุณพ่อป่วยด้วยโรคภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวาย จะทำให้ท่านวิตกกังวลหรือเครียดไม่ได้ ติงหรูอี้ไม่ยอมบอกข่าวเรื่องอาการของเธอที่นอนโคม่าก็พอเข้าใจได้ แต่ถึงขั้นปกปิดเก็บงำเรื่องอุบัติเหตุไปเลย มันชวนให้สงสัยว่า ‘มีเงื่อนงำอะไรปิดบังไว้หรือเปล่า’ และเธอต้องสืบรู้ให้ได้ ไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม “ถิงเออร์ยังอยู่หรือเปล่าลูก” “อยู่ค่ะคุณพ่อ หนูเดินหาจุดที่สัญญาณโทรศัพท์แรงค่ะ เมื่อกี้นึกว่าสายหลุดเหมือนกันค่ะ” “กินข้าวหรือยังลูก อย่าทำงานหนักจนลืมพักผ่อนนะ วันที่ลูกมาเยี่ยมพ่อลูกผอมลงไปมากหน้าตาก็ซีดเซียว เรื่องเรียนไม่ต้องเครียดมากก็ได้ มหาวิทยาลัยเลือกเรียนอยู่ใกล้บ้านเราก็ได้นะลูก” เสียงพร่ำบ่นไม่ได้น่ารำคาญในความคิดของเธอ แต่มันกลับเรียกน้ำตาคลอเคลียจะหยาดหยด ฮึก อึก… หลี่เหม่ยถิงยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นแผ่วในลำคอ เธอมัวแต่โหยหาความรักจากแม่ อยากสัมผัสชีวิตครอบครัวสมบูรณ์พร้อม ทั้งที่ความรักจากพ่อเพียงคนเดียวก็ถมช่องว่างในใจได้ “พ่อคะ ถิงเออร์รักพ่อนะคะ” ไหล่เล็กเกร็งสั่นเทา วางสายแล้วเร่งฝีเท้าก้าวถี่รีบหลบเข้าไปทางตรอกข้างร้านกาแฟ หลับตาพิงไหล่กับผนังอิฐปล่อยน้ำตาไหลให้กับความรู้สึกที่กำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต อาการป่วยของคุณพ่อไร้หนทางรักษา เธอคิดถูกหรือเปล่าที่ปลีกตัวมาอยู่ที่นี่ ไม่ยอมกลับไปดูแลคุณพ่อ ใช้ชีวิต 2 ปีสุดท้ายที่เหลือของท่านอย่างใกล้ชิด แต่ถ้ากลับไป ‘ติงหรูอี้’ จะเป็นอุปสรรคใหญ่ที่เธอต้องรับมือ แม้เธอคิดว่าเอาตัวรอดได้ถึงหนทางจะไม่ราบรื่นเท่ากับการอยู่นอกสายตาและอิทธิพลของนาง ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เธอไม่ควรมาลังเล อะไรที่ควรทำเธอต้องทำให้สำเร็จลุล่วง กลับไปเจอกันครั้งหน้า หึ! ติงหรูอี้! บุญคุณที่สอนสั่งฉันจะตอบแทนให้สาสมแน่นอน 15 นาทีต่อมา บ้านร้างทางทิศตะวันตกของย่านการค้าใกล้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไท่หยวน “พี่สาวหลี่” เสียงแหบของเด็กชายที่กำลังแตกเพราะฮอร์โมนร้องเรียกก่อนเจ้าตัวจะเดินหันมองรอบด้านแล้วเข้ามาหา “เสี่ยวโกว พี่มีเรื่องให้ช่วย” หลี่เหม่ยถิงพยักหน้ารับคำเด็กชาย เธอยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ ร่างสูงโย่งแขนขาผอมยาวก็เดินเข้ามาประชิดตัว “มีคนเดินสะกดรอยตามพี่สาวตั้งแต่ลงจากรถโดยสาร ผมให้เสี่ยวต้านนั่งสังเกตการณ์อยู่ คนอื่นกระจายกันอยู่ห่างออกไป” ดวงตาดอกท้อหรี่แคบลงส่อประกายเย็นชา ‘ใครใช้ให้คนตามดูเธอ? ไม่น่าใช่ติงหรูอี้ พวกลูกคุณหนูทั้งหลายในโรงเรียนก็ไม่น่าจะใช่ ถึงเธอจะใช้จุดอ่อนมาควบคุมคนพวกนั้น แต่ยังไม่ถึงขั้นทำให้ใครแค้นเคืองจนต้องส่งคนมาเล่นงาน’ “ลักษณะท่าทางเป็นยังไง” หลี่เหม่ยถิงล้วงหยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋า พยักเพยิดให้เสี่ยวโกวยื่นมือมารับไป ทั้งสองคนก็ขยับเข้าใกล้ก้มลงมองของในมือ เป็นลูกอมรสมินต์เม็ดหนึ่ง ทำเหมือนกำลังตกลงอะไรกันสักอย่างได้แล้วเดินตามกันออกไปด้านหลังบ้านร้างมีเสี่ยวโกวนำหน้า “โว้ว แม่หนูที่ท่านประธานสั่งให้คุ้มครองใช้ได้เลยนะเนี่ย รู้จักกับเด็กที่ทำงานสารพัดอย่างอย่างเสี่ยวโกวด้วย” ชายหนุ่มวัยต้น 30 หน้ากลมดูธรรมดา เหมือนพบเจอได้ตามถนนหนทางแบบไม่เป็นจุดสังเกต ชุดที่ใส่ก็เป็นชุดเรียบง่ายอย่างเชิ้ตทรงหลวมกับกางเกงขายาวสีเทา เขาไม่รู้ตัวว่าภารกิจกินหมู แบบให้ตามคุ้มครองเด็กสาวคนหนึ่งจะความแตกตั้งแต่วันแรก พอทั้งเด็กสาวและเด็กชายนามเสี่ยวโกวเดินออกไป เขายังคงไม่ตามออกไปทันที แต่เฝ้ารออยู่สักพักจนแน่ใจแล้วจึงเดินตามหลังไปแบบเว้นระยะห่าง ท่าทางการเดินเหมือนแค่คนเดินถนนปกติ “ใครส่งนายมา” เสียงใสนิ่งเอ่ยจากทางด้านหลัง พร้อมสัมผัสของวัตถุโลหะแตะตรงกลางกระดูกสันหลังช่วงเอว หวางอู๋ซวน ไม่ได้มีท่าทางตื่นตกใจหรือระวังตัวอะไรมากหลังถูกเจอตัว เพราะเสียงพูดคือเป้าหมายการติดตามและคุ้มครองของเขา เพียงแค่หงุดหงิดตัวเองเล็กน้อยที่ดันประมาทเหล่าเด็กน้อยตามท้องถนนของพวกเสี่ยวโกวเสียได้ แสดงว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เด็กสาวและเด็กชายติดต่อกัน เขาคงโดนจับตาตั้งแต่ตามเธอในเขตชุมชนเป็นแน่ มือหนาอวบสีรวงข้าวยกขึ้นเสมอไหล่ หันใบหน้ายิ้มแฉ่งจนปากแทบฉีกไปด้านหลัง “ใจเย็นกันสักหน่อยครับเด็ก ๆ ผมไม่ได้มาร้ายอะไร” เหล็กเส้นที่เด็กเสี่ยวโกวถือจ่อ เขาจะปัดออกก็ง่ายดาย พวกเด็กรับงานข้างถนนพวกนี้ต่อให้พอมีฝีมือก็ไม่ใช่คู่มือของคนที่ฝึกการต่อสู้มาแบบเขา “พี่สาวอย่าไปเชื่อ คนดี ๆ ที่ไหนจะเดินตามหญิงสาวออกมาในที่เปลี่ยว ผมว่าลุงนี่ถ้าไม่ใช่พวกค้ามนุษย์ ก็มีเจตนาร้ายแน่” “ต้องการอะไรจากฉัน” “ผมได้รับมอบหมายจากเจ้านายให้มาติดตามคุณหนูครับ ไม่ได้มีเจตนาร้ายจริง ๆ” แทนที่เด็กสาวจะมีทีท่าอ่อนลง หรือแสดงท่าทางเขินอายแบบที่ควรจะเป็น เมื่อมีผู้ชายแบบเจ้านายเขามาสนใจ บรรยากาศกลับเย็นชาขึ้น ท่าทางจะโกรธเข้าให้แล้ว “มีสิทธิอะไรให้คนมาตามดูฉัน” แค่นเสียงลอดไรฟัน ดวงตาหลังแว่นส่องประกายวาวโรจน์ “เข้าใจผิด คุณหนูเข้าใจผิดแล้วครับ เจ้านายไม่ได้ให้มาตามดู นายเกรงว่าเวลาคุณหนูออกมาข้างนอกคนเดียวจะมีอันตรายเลยให้ผมมาคุ้มครอง เป็นผมที่ใช้คำผิดไป ถ้าถูกจับได้ก็ให้คุณหนูเรียกใช้งานผมมาได้เลยครับ” อารมณ์เดือดดาลที่กำลังประทุถูกคำพูดถัดมาสาดน้ำเย็นดับไฟร้อน จนเหลือกระแสอุ่นอวลรินรดใจที่เริ่มด้านชาให้อุ่นวาบขึ้นมาได้เล็กน้อย ‘เอาล่ะ อย่างน้อยการช่วยเหลือเขาก็ไม่ได้ช่วยหมาป่าตาขาว’ “คุณรายงานอะไรไปแล้วบ้าง ตามมากี่วันแล้ว” ต่อให้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย เธอก็ไม่คลายความระวังตัว “นายไม่ได้ให้รายงานเรื่องกิจวัตรครับ แต่ให้คอยดูว่ามีอะไรยุ่งยากหรือส่อแววคุกคามถึงให้รายงานเบอร์ส่วนตัวนายโดยตรง ผมเลยยังไม่ได้รายงานอะไร วันนี้วันแรกครับ” เห็นการยืนสงบเสงี่ยมมือประสานกัน ท่าทีเปลี่ยนเป็นเคารพขึ้นมาจากทีแรกเธอก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เธอไม่ใช่คนโง่ที่คิดว่าทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวได้ มีผู้ช่วยฟรีไม่ขัดผลประโยชน์ทำไมจะไม่รับไว้ “ฉันรบกวนถามเจ้านายคุณให้หน่อย ถ้าฉันจะขอเบอร์ติดต่อได้หรือเปล่า” คนมีน้ำใจให้ อย่างน้อยเธอก็อยากขอบคุณด้วยตัวเอง ถึงจะไม่รู้ว่าเขาทำแบบนี้ทำไม ตัวเธอไม่มีผลประโยชน์อะไรที่คนแบบเขาจะมาสนใจได้ ยิ่งเรื่องที่ช่วยเขาไว้คนระดับนั้นไม่น่านำมาคิดใส่ใจตอบแทน “ผมจะสอบถามให้ครับ” เขากดมือถือยุกยิกอยู่ไม่นาน ก็ยื่นหน้าจอมือถือที่มีหมายเลขโทรศัพท์ส่งมาเป็นข้อความให้ “เบอร์ส่วนตัวเจ้านายครับ” “ขอบคุณค่ะ” หลี่เหม่ยถิงเดินปลีกตัวออกมาจากทั้งเสี่ยวโกวและคนแปลกหน้า ชั่งใจว่าจะโทรหรือส่งข้อความแทน จะโทรไปก็เกรงจะเป็นการรบกวน ส่วนส่งข้อความอย่างเดียวก็ดูไม่จริงใจ “การปฏิสัมพันธ์กับคนนี่มันยุ่งยากจริง” สักพักประกายตาพราวระยับ ลูกตาดำกลอกกลิ้งไปมาส่องประกายซุกซน มือเรียวขาวกดแป้นพิมพ์ข้อความไม่นานก็ส่งออกไป แล้วหันเดินกลับไปหาสองคนที่ยืนรอ ห้องประชุมใหญ่ ตึกเทียนอวิ๋น “ต่อไปรายงานความคืบหน้าโครงการพัฒนาเขตที่อยู่อาศัยจงเป่าซาน” ผู้รับผิดชอบโครงการที่ถูกกล่าวถึงลุกขึ้นยืนด้วยความรีบร้อน มือหอบเอกสารกองใหญ่เตรียมก้าวเดินไปยังตำแหน่งพรีเซนต์งาน ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด “เสียงข้อความโทรศัพท์ของใคร” เสียงทุ้มเย็นชาไร้อารมณ์กล่าวทำลายความเงียบ ความกดดันในคำพูดและน้ำเสียงแทบจะทำให้ผู้ที่กินตำแหน่งบริหารในบริษัทเซี่ยอวิ๋นตัวสั่นงันงก ต่างลนลานรีบเช็กโทรศัพท์กันยกใหญ่ สุดท้ายแล้วได้แต่ทำหน้าฉงน ชูโทรศัพท์ขึ้นมาทุกเครื่องที่โชว์ปิดเครื่องไว้อยู่ ร่างสูงสง่าในตำแหน่งประธานนึกเอะใจ หยิบโทรศัพท์ส่วนตัวในกระเป๋าเสื้อนอกออกมา “พัก 10 นาที” ฉินเฟยหลงไม่ต่อความ ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องประชุมมือกดส่งคำตอบให้ข้อความที่ได้รับ ‘นายครับ ผมถูกคุณหนูเจอตัว คุณหนูขอเบอร์ติดต่อนายครับ’ ดวงหน้าหล่อเหลาเผยความเย็นชาขึ้นอีกระดับ วินาทีต่อมากลับผ่อนคลายขึ้นมุมปากกระตุกคล้ายจะยิ้ม ‘ส่งหวางอู๋ซวนกลับไปฝึกในเขตร้อนอีกรอบท่าจะดี งานเล็กน้อยยังพลาดให้เด็กน้อยตั้งแต่วันแรก’ นึกถึงรายงานประวัติของหลี่เหม่ยถิง ที่เลขานำมารอยยิ้มมุมปากกดลึกขึ้น ‘หึหึ ยังพอมีเขี้ยวเล็บอยู่บ้างล่ะนะ’ หลังจากส่งชุดตัวเลข 11 หลักตอบข้อความกลับไป เขาก็มายืนรอยังจุดที่สัญญาณโทรศัพท์ดีที่สุดบนชั้นอย่างไม่รู้ตัว คิดว่าอีกไม่นานคงมีสายจากกระต่ายน้อยเข้ามา แต่ไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง ติ๊ด ติ๊ด ข้อความสั้นไม่เยิ่นเย้อเพียงประโยคเดียว ทำเอาข้างขมับกระตุกวูบ “ยัยเด็กแสบ เจอกันครั้งหน้าดูสิว่าฉันจะทำให้เธอเรียกอย่างอื่นได้ยังไง“ ก้านนิ้วแข็งแรงมีข้อกระดูกโปนหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อสูท ฝีเท้าก้าวเดินยาวหนัก ๆ ยังคงติดใจข้อความประโยคนั้น เด็กน้อยส่งมาว่า ‘ขอบคุณสำหรับแรงงานฟรีนะคะ…คุณน้า’“ฉันสามารถเรียกคุณว่าอะไรได้”หลี่เหม่ยถิงเดินมาถึงก็หันไปถามชายแปลกหน้า“ฮ่า ฮ่า ขออภัยครับคุณหนู ผมชื่อหวางอู๋ซวน”“ลุงคือหวางอู๋ซวนจริงเหรอ!!?!”เสี่ยวโกวพูดแทรกอย่างตื่นตกใจ หลังจากได้รู้ชื่อของชายคนนั้น เขาพิจารณาหวางอู๋ซวนอย่างละเอียด คนบนท้องถนนของไท่หยวนไม่มีใครไม่รู้จัก “หมาล่าเนื้อหวางอู๋ซวน”แต่ไม่คิดว่าเทพลมไร้หลักแหล่งหาตัวจับยากจะดูเป็นชายหน้าตาท่าทางธรรมดาแบบนี้“หมาล่าเนื้อ” เป็นฉายาน่าเกรงขามที่เป้าหมายของหวางอู๋ซวนเรียกขาน เขาตามดมกลิ่นไปทั่่วแม้แต่กลิ่นผายลมเขายังไม่ปล่อยผ่าน กัดไม่ปล่อยจนกว่าจะขุดคุ้ยเรื่องราวของคนที่เขาติดตามออกมาทุกซอกทุกมุม และจะตามล่าไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวจนกว่าจะจับได้“ตัวจริงน่ะสิ หวางอู๋ซวนในไท่หยวนนี่มีใครกล้าแอบอ้างชื่อบ้างไอ้น้อง”หวางอู๋ซวนคาดหวังสายตาชื่นชมจากเด็กชายก็ให้ผิดหวัง เพราะเขาได้สายตาคลางแคลงแกมดูถูกมาแทน แถมยังพ่นลมขึ้นจมูกใส่เสียอีก‘เด็กเวร ถ้าคุณหนูไม่อยู่น่าจับมาสั่งสอน’“พี่สาวหลี่ ถ้าอย่างนั้นคงไม่ได้เรื่องแล้วล่ะ ลืมที่ผมพูดไปเสียเถอะ เขาโดนเราจับได้ง่ายขนาดนี้ เรื่องเล่านั่นคงพูดกันเกินจริง“หลี่เหม่ยถิงเป็น
10 นาทีต่อมาแกร๊ก“เหม่ยถิงงงงงง ช่วยด้วย!”แค่เปิดประตูเข้ามาในห้องพัก เฉินซินหยานที่คงคอยท่าอยู่นานแล้วรีบพุ่งเข้าหา หลี่เหม่ยถิงเบี่ยงตัวหลบออกด้านข้าง ตัวของเพื่อนสาวจึงพุ่งเข้าชนกับประตูดังโครม“เหม่ยถิงอ่ะ ทำไมทำกับเพื่อนรักแบบนี้ เพื่อเป็นการไถ่โทษมาช่วยทำการบ้านเลยนะ”เฉินซินหยานร้องทุกข์แต่เอาดีเข้าตัว พ่วงด้วยแบล็กเมลกันเสร็จสรรพ“ไม่ได้อาจารย์อู๋จำลายมือพวกเราได้ อาจารย์คาดโทษเธอไว้นะลืมแล้วเหรอ หรืออยากไปช่วยล้างห้องน้ำตึกพักอาจารย์”“แต่มันไม่เข้าใจนี่” เฉินซินหยานยังพยายามขอความเห็นใจ“เฉินซินหยาน!!!”“อะไรเล่า ทำไมต้องเสียงดังด้วย”“เธอไม่ได้โง่เธอแค่ขี้เกียจ ฉันบอกไว้ก่อนนะฉันเลือกมหาวิทยาลัยปักกิ่ง อีก 10 เดือนจะสอบเกาเข่าเธอจะทำตัวขี้เกียจเหมือนเดิม หรือจะทุ่มเทกับการเรียนแล้วไปปักกิ่งด้วยกัน เธอเลือกเอาเอง”ในภาพฝันที่ไปเยือนอีกมิติ เฉินซินหยานยังคงทำตัวเอ้อระเหยจนจบการศึกษา สุดท้ายสอบเกาเข่าได้ผลลัพธ์ไม่ดี ครอบครัวจึงส่งไปเรียนเมืองนอก แล้วก็ไม่ได้กลับมาจีนอีกเลย ทั้งยังมีจุดจบที่ไม่สวยนักเช่นเดียวกันกับเธอ“ถึงฉันจะไม่ได้โง่ แต่ฉันไม่ชอบพวกวิชาคำนวณเล
เวลา 14.10 น. วันต่อมาป้อมยามหน้าโรงเรียน“สวัสดีค่ะลุงเหมา หนูมารับของค่ะ”“อ้า…ประธานนักเรียนมาพอดีเลย เข้ามารอก่อนครับ เดี๋ยวลุงหยิบให้”ไม่นานลุงเหมาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยกะบ่ายก็ส่งซองเอกสารให้ 2 ซอง‘หืม?’ หลังขอบคุณหลี่เหม่ยถิงรับซองเอกสารมาดู มีลายมือหนักแน่นทรงพลังบนซองปิดผนึกเขียนชื่อของเธอไว้‘พี่ชายคนนั้นทำอย่างที่พูดจริงเสียด้วย’ เธอลองกะความหนาของเอกสารอย่างน้อยน่าจะมี 10 แผ่นขึ้นไป ควรจะขอบคุณเขาเสียหน่อย‘ขอบคุณสำหรับประวัติค่ะ จะตั้งใจอ่านอย่างดี :)’ติ๊ด ติ๊ด‘ไม่เป็นไรครับ ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถาม‘พรืด! คิกคิก‘ประวัติส่วนตัวนะคะ ไม่ใช่รายงานที่ไม่เข้าใจตรงไหนแล้วจะให้ถามน่ะ’หลี่เหม่ยถิงเดินกลับเข้าแคมปัสไปก็ส่งข้อความโต้ตอบกับคนไกลไปด้วย ไม่สนเลยว่าจะมีข่าวลืออะไรบ้างจากท่าทางแปลกประหลาดที่นักเรียนไม่เคยเห็นจากประธานผู้เคร่งขรึม“นักเรียนเหอจูอิ๋ง เข้าพบประธานนักเรียนที่ห้องประธานสภานักเรียนด่วนค่ะ“เสียงประกาศเรียกชื่อเข้าพบประธานนักเรียน ผู้โชคร้ายรายแรกของปีการศึกษาปรากฏตัวขึ้นมาก่อนหน้าจะเปิดภาคการศึกษาแค่ 3 วันจริงแล้วการลงโทษจากสภานักเรียน
12.00 น. วันต่อมา ติ๊ด ติ๊ดเสียงเตือนข้อความเข้าทำเอาหลี่เหม่ยถิงตะครุบโทรศัพท์อย่างเสียอาการนิ่งสงบ‘มีเบาะแสเพิ่ม มีแนวโน้มว่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุ’หลี่เหม่ยถิงถอนใจกับตัวเองด้วยความผิดหวัง ไม่ใช่ข้อความจากพี่ใหญ่ฉิน แต่อย่างน้อยข้อความนี้ก็เรียกสีหน้าตื่นตัวจากความเฉื่อยชาเรื่องงานของสภานักเรียนได้“ประธานรอข้อความสำคัญเหรอคะ” จ้าวลี่จูผู้กำลังรายงานข้อเรียกร้องการจัดสรรงบชมรมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ไม่บ่อยนักที่ประธานจะออกท่าทางลุกลน“อือ” พยักหน้าแบบผ่าน ๆ ขณะกำลังเท้าคาง ในสมองก็เริ่มนึกถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ ของอุบัติเหตุ เบาะแสเพิ่งเริ่มปรากฏ ยังยืนยันไม่ได้ว่ามีคนจงใจจัดฉาก เธอควรใจเย็นรอหวางอู๋ซวนมีข้อมูลมากกว่านี้เฮ้อ!“การได้แต่นั่งรอเพราะทำอะไรไม่ได้นี่มันอึดอัดใจจริงเชียว” บ่นเสร็จก็ลุกขึ้นจากหลังโต๊ะทำงาน ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ดหลี่เหม่ยถิงที่ทำเป็นลืมโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ หันตัวกลับไปคว้ามันขึ้นมาแล้วก้มหน้าเช็กข้อความ‘เพ้ย! ใครมันเล่นตลกกับฉันหรือไง ส่งข้อความที่ไม่ได้รอมาแทรกอะไรกันนัก!’ หลี่เหม่ยถิงที่เริ่มหงุดหงิด ยกมือทำท่าจะปาโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ“ประธานอย่าปาน
‘มีเรื่องแบบนี้ นังเพื่อนชั่วต้องหาทางไปพบจางกั๋วอันแน่’เหอจูอิ๋งกำลังรอเวลา เธอให้เพื่อนในห้องเรียนไปเฝ้าคอยจางกั๋วอันหน้าโรงเรียนชายฝั่งตรงข้าม บอกเพื่อนไว้ว่าเธอมีของขวัญรอเซอร์ไพรส์“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเราหรอก ฉันว่ากลับหอไปนอนเล่นเถอะ อีก 2 วันก็เปิดเทอมแล้ว ฉันจะทำเล็บขัดตัวเสียหน่อย” เหอจูอิ๋งหันมาชวนเพื่อนในหอทุกคนกลับเหมือนไม่ได้สนใจเรื่องอื้อฉาวนี่นัก“พวกเธอไปกันก่อนนะจ๊ะ ฉันว่าจะไปหาหนังสืออ่านเงียบ ๆ ในหอสมุด” หยางจื่อหานรีบกล่าวแทรกขึ้นมา แล้วเดินแยกตัวออกไปคอยไม่นานหลังจากนั้น เพื่อนสาวที่ส่งให้ไปตามเฝ้าจางกั๋วอันก็ส่งข้อความมาหาเหอจูอิ๋ง‘อิ๋งอิ๋งเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!! มาหาฉันด่วนร้านคาเฟยฮ๋าว’“ประธานคะ!! จุดน่าตื่นเต้นมันเริ่มจากนี้นี่แหละค่ะ เหอจูอิ๋งพาเพื่อนในหอพักกับเพื่อนในคลาสไปนับ 10 คน ทำท่าทางไม่รู้เรื่องราวเหมือนออกไปเดินเล่น ไปถึงที่นัดหมายก็เจอฉากเด็ดเลยค่ะ หยางจื่อหานกำลังร้องไห้ฟูมฟาย ซบอกจางกั๋วอัน เล่นเอาตกตะลึงกันทั้งคณะเพื่อน ส่วนเหอจูอิ๋งน้ำตาไหลพรากเป็นสาลี่ต้องฝน ตัดพ้อต่อว่าคู่หมั้น”แค่ก ๆ... “ขอน้ำหน่อยค่ะประธานหลี่” หลี่เหม่ยถิ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า “เธอจบเห่แน่ หยางจื่อหานคิดจะแทงข้างหลังฉันงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!! เธอคิดว่าคนบ้านจางจะยอมรับคนอย่างเธองั้นเรอะเฮอะ!!! หัดดูเงาตัวเองบ้าง” เหอจูอิ๋งก้มตัวเอานิ้วชี้จิ้มหน้าคนที่หมดเรี่ยวแรงนั่งกองกับพื้นจนหงายหลังลงไป หลี่เหม่ยถิงที่รอจังหวะอยู่นานแล้วแสยะยิ้มร้าย “พอได้แล้ว!!! เหอจูอิ๋ง หยางจื่อหาน สภานักเรียนกำหนดบทลงโทษคนทำความผิดไว้แล้ว ฟังให้ดีล่ะ” “นักเรียนเหอจูอิ๋ง โทษฐานปลุกระดมเพื่อนนักเรียนให้ลุกขึ้นมาก่อความไม่สงบโดยมีผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง รับโทษล้างห้องน้ำรวมหอพักหญิงชั้น 3 ตึกแรก 3 วัน” “อะไรกันคะประธาน ได้ยังไง ฉันนับว่าเป็นผู้เสียหายแล้วนะคะตอนนี้” เหอจูอิ๋งเชิดคางเริ่มโวยวายไม่เหลือท่าทางถูกกระทำเลยสักนิด ขาเรียวเล็กของประธานวาดมาเป็นท่าไขว้ห้าง ลำตัวเอนไปทางขวามีข้อศอกค้ำไว้ นิ้วชี้เคาะลงบนที่เท้าแขนเป็นจังหวะ ความเร็วเท่าการเต้นของหัวใจ มองเหอจูอิ่งกดดันไม่พูดอะไรต่อ อึก...เหอจูอิ๋งถูกจ้องมองเกือบ 10 นาทีก็ตัวสั่นกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ “หลังจบบทลงโทษของหยางจื่อหานฉันขออนุญาตเรียนถามใหม่ก็ได้ค่ะ” ทนสู้สายตาว่างเปล่าน่ากลัวนั่นไม
‘พี่ใหญ่ฉิน ฉันขอกู้ยืมเงิน 10 ล้านหยวนค่ะ’ ฉินเฟยหลง มองข้อความบนหน้าจอมีความประหลาดใจวาบผ่านดวงตา ลำตัวแข็งแรงเอนตัวนอนบนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาล หลังคำนวณความต่างของเวลาแล้วเขาก็รีบพิมพ์ข้อความตอบกลับลงไป ‘สองทุ่มประตูหลังโรงเรียนจะมีคนนำเงินไปส่งให้’ “เป็นเด็กที่น่าสนใจไม่ต่างจากที่คิดไว้จริงๆ” ใบหน้าหล่อคมของเขามีรอยยิ้มขึ้นมาได้เล็กน้อย การบอกความต้องการออกมาตรง ๆ แบบนี้ ดีกว่าพวกที่ปั้นหน้าเข้าหาเขาเพื่อผลประโยชน์พวกนั้นเยอะ ติ๊ด ติ๊ด ‘ขอบคุณค่ะเดี๋ยวฉันเขียนสัญญากู้ยืมส่งให้คนที่มาส่งเงินนะคะ ปล. กู้ยืมไม่มีดอกเบี้ยนะคะ ระยะเวลาผ่อน 5 ปี หรืออาจจะเร็วกว่า’ หึหึหึ นอกจากจะใจกล้าแล้วยังได้คืบจะเอาศอกด้วย ‘ได้’ อย่าว่าแต่การกู้ยืมเลยแม้แต่ยกให้ฟรีก็ยังได้ การช่วยเหลือครานั้น หากนับตามมูลค่าก็เทียบเท่าชีวิตของเขา สถานการณ์เข้าขั้นอันตรายถึงเขาจะมีหนทางเอาตัวรอด แต่การได้พบเธอมันทำให้เรื่องง่ายดายขึ้น ‘หมิงเจี่ยนำเงินไปส่งให้หลี่เหม่ยถิง 10 ล้านหยวน ออกเดินทางทันที’ สั่งการเสร็จก็หันมาอ่านเอกสารตั้งใหญ่บนโต๊ะเลื่อนข้างเตียง ครืดดดด ดวงตาคม
3 วันต่อมา เอี๊ยด! ‘มากันแล้วมั้งคะคุณ’ คุณแม่เหอหันมาคุยกับคุณพ่อเหอท่าทางตื่นเต้นเล็กน้อย ท่านนายพันวัยต้น 40 เพียงแค่พยักหน้าเป็นอันรับรู้ แล้วนั่งเหยียดหลังตรงสง่าวางมาดน่าเกรงขาม ตระกูลเหอจะว่าไปต้องเรียกว่าเป็นเศรษฐีใหม่ พ่อเหอไต่เต่าขึ้นมาถึงระดับพันเอกด้วยสองมือเปื้อนเลือด พลิกฟื้นจากครอบครัวธรรมดาสู่เส้นทางทหารในยุคปฏิวัติ เขาย่อมไม่ใช่คนที่มีความคิดตื้นเขิน และไม่ไร้หัวคิดแน่นอน “คุณพ่อ คุณแม่ หนูกลับมาแล้ว” เหอจูอิ๋งผู้เย่อหญิงในรั้วโรงเรียนกลายเป็นนกกระจิบน้อยกลับคืนรัง ปากเจื้อยแจ้วคิดถึงพ่อแม่ไม่หยุด จนแทบลืมบุคคลที่เดินทางมาด้วยกัน หลี่เหม่ยถิงในวันนี้ยังคงแต่งกายด้วยชุดที่ดูอึมครึม ไม่เหมือนเด็กสาวทั่วไป เสื้อแขนยาวสีเข้มปิดถึงลำคอ กางเกงทรงกระบอกขายาวสีเดียวกัน ประกอบกับแว่นตากรอบดำหนาปิดครึ่งใบหน้า ผมหน้าม้าตรงยาวทับขอบแว่น อะแฮ่ม… ความคิดเห็นของคนในห้องเป็นอย่างไรไม่รู้ เธอให้ความสนใจเพียงพ่อเหอ เหอกงโป๋ หลี่เหม่ยถิงใช้สายตาสังเกตท่าที และออร่าบนร่างกายรอบหนึ่ง แม่เหอและพี่ชายเก็บอาการได้ช้ากว่า ความคาดไม่ถึงปรากฏชัด ส่วนพ่อเหอเพียงทำท่าแปลกใจเล็กน
ตอนนี้ความกระสันต์สูงเสียดฟ้าจนอยากจะพุ่งตัวตนเข้าฝากฝังในช่องทางรักหวานฉ่ำแล้วปลดปล่อยตัวตนไปกับความปรารถนาอันลิงโลดนี้“ภรรยา…ช้าหน่อยครับ เดี๋ยวสามีทนไม่ไหวน้องจะเจ็บ” เสียงกระซิบแหบพร้าทุ้มก้องอยู่ริมหูเล็ก คนฟังรู้สึกว่ามันเซ็กซี่ทั้งยังอ้อยอิ่งราวกับตั้งใจออดอ่อยใส่กันแทนที่จะช้าลง ดวงตาดอกท้อของคนตัวเล็กกลับร้อนผ่าว ฝ่ามือขาวกดลงกลางหน้าอกกว้างให้ชายหนุ่มเอนตัวลงเท้าแขนกับโต๊ะกรุกระจก สะโพกอวบตั้งใจบดขยี้ให้ส่วนอวบนูนของวัยสาวถูไถกับส่วนหัวมังกรแดงก่ำที่โผล่พ้นขอบกางเกงในผ้าไหมขึ้นมา“ซี๊ด...อาห์”ได้ยินเสียงสูดปากพร้อมครางกระเส่าของคนตัวโตยิ่งทำให้หญิงสาวฮึกเหิมลำตัวเล็กเอนลงต่ำใช้ใบหน้าซุกลงดอมดมผิวเนื้อเรียบตึง จูบบ้างเลียบ้าง มือก็ลูบวนกดไปทั่วผิวเนื้อท่อนบนมือหนึ่ง อีกมือกลัวจะว่างจึงใช้ท้องนิ้วสะกิดยอดอกสีน้ำตาลอ่อนจนมันหดเกร็งฝ่ามือหยาบกร้านของคนด้านล่างยกขึ้นนวดคลึงภูเขาหิมะที่มียอดอิงเถาปัดผ่านกล้ามท้อง หญิงชายทั้งสองต่างนวดคลึงฟอนเฟ้นเรือนร่างเกือบเปลือยของกันและกันน้ำหนักมือเคล้นแรงขึ้นตามแรงอารมณ์ที่เดือดพล่าน ผิวเนื้อสะโพกปลิ้นออกมาตามง่ามนิ้วเรียวยา
หลังบอกกล่าวกราบไหว้บรรพบุรุษของเจ้าสาว ยกน้ำชาให้กับผู้ใหญ่เริ่มจากพ่อ ปู่และอาจารย์ ฉินเฟยหลงก็อุ้มเจ้าสาวขึ้นรถท่ามกลางความเงียบ... พรืด... และเสียงสูดน้ำมูกของเกาอี้ “ฮึก...คุณหนูออกเรือนแล้ว” ไป๋จื้อหยางที่น้ำตาคลอมองขบวนรถขับออกไปจากบ้านตระกูลไป๋เก็บอารมณ์กลับแทบไม่ทัน มองสภาพบอดี้การ์ดร่างใหญ่ยักษ์กำลังยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาหัวไหล่สั่น ผ้าเช็ดหน้ามีคราบปริศนาเกาะหนึบ วงล้อมจึงแตกกระเจิงไปคนละทาง ทั้งผู้เฒ่าไป๋ ผู้เฒ่าติง ไป๋จื้อหยาง แม้แต่จ้าวลี่จูยังถอยเท้าเงียบ ๆ ส่วนเพื่อนอย่างหยางฝูเหว่ยเดินหนีไปนานแล้วตั้งแต่บอดี้การ์ดหนุ่มน้ำตาคลอ “เอ่อ...แต่อีกไม่กี่วันประธานก็กลับมาแล้วนะคะ” จ้าวลี่จูพูดความจริงที่ทุกคนลืมนึกไป ใช่... แต่งงานแล้วอย่างไร... อีกไม่กี่วันก็กลับมาอยู่ด้วยกัน เพียงแค่มีคนตามมาอยู่ด้วยอีกคน มีตะเกียบกับถ้วยข้าวเพิ่มมาอีกชุด เกาอี้เองที่ถูกอารมณ์อ่อนไหวพาไปก็หยุดร้องอ้าปากค้าง ฟืดดดดด... “นั่นสิ! เราก็ยังทำหน้าที่เดิม” คิดได้แล้วสั่งน้ำมูกที่เหลือเดินจากไปอย่างร่าเริง ไป๋จื้อหยางกับคนงานในบ้านถูกเบรกอารมณ์ก็แยกย้ายกันไป ทางด้านขบวนรั
3 วันต่อมา ลู่เจียจิ่วเป็นย่านเศรษฐกิจการเงินของเซี่ยงไฮ้ ทุกพื้นที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำ บริษัทข้ามชาติ ตึกสูงเสียดฟ้า บ่งบอกเม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดโดยปกติเวลาของผู้คนที่ทำงานในย่านนี้เป็นเงินเป็นทอง มีแต่ความเร่งรีบ วันนี้กลับต่างออกไปเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าการทำเงินเกิดขึ้นที่ตึกเฮยอวิ๋นทีมมหรสพ กลองและปี่พาทย์ในชุดถังจวงสีแดงตั้งขบวนหน้าตึก ดนตรีถูกบรรเลงอย่างคึกคักตลอดระยะที่เริ่มมีการยกหีบสิ่งของออกมาจากประตูใหญ่ของตึก ขึ้นไปยังรถบรรทุกสีขาวปิดทึบที่ผูกซิ่วฉิวหน้ารถ พนักงานออฟิศของบริษัทต่าง ๆ ยินยอมเข้างานสายแต่ไม่กล้าเดินเบียดแทรกแถวเข้าไปในตัวอาคาร ได้แต่ยืนรักษาระยะอยู่ด้านนอก“นายครับได้เวลาแล้ว” ฉินเฟยหลงเดินออกมาจากลิฟต์ส่วนตัวด้วยชุดพิธีการสีแดง ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับตลอดเวลาเจ้าบ่าวเดินนำขบวนไปขึ้นรถด้านนอก“เตรียมเคลื่อนขบวนไปรับเจ้าสาวได้!” ผู้นำพิธีการตะโกนเตือนเมื่อได้เวลาสมควร รถดนตรีที่มีเสาไม้ติดป้าย ‘ซวงสี่’ จึงกระหึ่มอีกระลอกขบวนรถหรูที่ถูกเปลี่ยนเป็นสีแดง 9 คัน เริ่มเคลื่อนตามออกไปติด ๆ คันนำหน้าเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนผูกซิ่วฉิวผ
รถของตระกูลไป๋ต้องเบรกกะทันหันเมื่อเลี้ยวเข้ามายังลานจอดรถ จู่ ๆ รถที่จอดอยู่หลายคันก็พร้อมใจกันถอยหลังจนมาล้อมกรอบรอบตัวรถของพวกเขาเป็นวงกลมปัง ปัง ปัง!สถานการณ์ยิ่งไม่ปกติเมื่อมีชายในชุดสูทนับรวมได้ 8 คน ลงมาจากที่นั่งข้างคนขับของรถที่ล้อมรถตระกูลไป๋อยู่กรี๊ด...“หลบเร็ว ตีกันแล้ว แจ้งตำรวจ!”“หนีเร็วเข้า อย่าไปยุ่ง”ไป๋จื้อหยางกอดลูกสาวแน่น“สืออิงติดต่อบอดี้การ์ดมาที่นี่ด่วน!”บอดี้การ์ดตระกูลไป๋ รวมถึงหยางฝูเหว่ยและเกาอี้ไม่ได้ตามมาเพราะเป็นเวลากลางวันและสถานที่อยู่ใจกลางเมือง ไป๋จื้อหยางจึงคิดว่าไม่น่าจะมีใครกล้าเล่นสกปรกไป๋เหม่ยถิงมองออร่าสีเขียวจากบุรุษบางคนที่ลงจากรถ ลองพิจารณาใบหน้าหลังแว่นกันแดดดี ๆ เหมือนจะเคยผ่านตามาบ้าง จึงนั่งนิ่งอยู่กับที่ใบหน้าเฉยเมย‘เฮียหลงกำลังจะทำอะไร?’“ถิงเออร์ลูกนั่งรอในรถ พอจะออกไปเจรจาดูสักหน่อยว่าผู้มาต้องการอะไร”ไม่ทันที่เธอจะห้ามคุณพ่อก็จับประตูรถเตรียมก้าวออกไป ประจวบเหมาะกับคนด้านนอกเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกันพรึ่บ! ปุ้ง ปุ้ง ปุ้ง!ท้ายรถที่ล้อมกรอบทั้งหมดเปิดออก มีเสียงพลุขนาดเล็กแตกกระจายพร้อมสายรุ้งและกระดาษสีปลิวว่อน กุหลาบหลากสีถู
3 วันต่อมาตึกเซี่ยอวิ๋น 8 โมงเช้า“ฮ้าว...เหล่าจงนายมาสักที ข้าจะได้กลับไปนอนยาว ๆ” พนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกกะกลางคืนทักเพื่อนที่มาเปลี่ยนกะแล้วเตรียมจะกลับเข้าไปตึกเซี่ยอวิ๋น“!!!”ตอนเปิดตาที่ปิดปากหาวยาว เขาตกใจจนขวัญเกือบกระเจิงเพราะบอดี้การ์ดในชุดฝึกสีดำราว 20 กว่าคนมายืนออกันเงียบ ๆ ตรงลานกว้าง แถมไฟของตึกก็ยังไม่เปิดจึงเห็นเป็นเงาตะคุ่ม“ตกใจหมดนึกว่าโจรปล้นตึก! พวกพี่ลงมาทำอะไรกันครับ” บอดี้การ์ดก็เป็นรุ่นพี่ที่ร่วมฝึกซ้อมกันทุกวัน ผลัดกันเปลี่ยนมาเฝ้าตึกกับออกไปทำภารกิจด้านนอกถ้าสังเกตดีต ๆ จะเห็นว่าเหล่าบอดี้การ์ดมีถุงใส่ของติดมือมาด้วย พอคนออกจากลิฟต์เที่ยวสุดท้ายครบก็กระจายกำลังกันเดินออกไปด้านนอกตึก‘ชุนเหลียน’ กลอนคู่มงคลแผ่นยาวสีแดง ที่เขียนด้วยมือจากปรมาจารย์ด้านการคัดอักษร ถูกติดตรงประตูทางเข้าตึกก่อนเป็นที่แรก ตามด้วยตัวอักษร ‘ฝู’ ที่แปลว่าความสุขติดกลับหัวตรงประตูกระจกสองด้านด้านนอกผ้าแดงและโคมกระดาษถูกนำไปห้อยประดับตามต้นไม้ตรงสวนหย่อมก่อนเข้าตัวตึกจนดูสดใสมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นซิ่วฉิวฮวามีชายยาวถูกนำไปแขวนอยู่เหนือประตูทางเข้าตึกด้านหน้า ด้านในมีทีมบอดี้การ
บ้านตระกูลไป๋ วันต่อมาอีก 1 อาทิตย์ ก็จะเป็นวันยกน้ำชาของทายาทตระกูลไป๋ ห้องนอนของไป๋เหม่ยถิงจะถูกปรับปรุงใหม่ สร้างตู้เก็บเสื้อผ้าเพิ่มเติมสำหรับฉินเฟยหลงห้องก็เปลี่ยนสีการตกแต่งใหม่ เป็นสีไม้กับครีม พรมเป็นสีน้ำตาลอ่อน เฟอร์นิเจอร์ใหม่ถูกสั่งเข้ามา วันนี้จะมีช่างกับทีมตกแต่งภายในเข้ามาทำในส่วนของบิวท์อิน“ประธานคะ มานั่งทำอะไรตรงนี้คะ แล้วดูแบบห้องที่ตกแต่งใหม่หรือยังคะ” จ้าวลี่จูเดินเข้าบ้านมาเห็นประธานสาวนั่งเท้าคางไร้ชีวิตชีวาอยู่ตรงโซฟารับแขก“ไม่ต้องดูหรอก ทำตามแบบไปนั่นล่ะ ฉันนั่งสะสมพลังอยู่น่ะไม่ต้องให้ใครมารบกวนนะ”ไป๋เหม่ยถิงโบกมือเอื่อย ๆ ตาปรือทำท่าจะปิด ไหนเลยสะสมพลังงานอะไร ทำท่าจะหลับอยู่เดี๋ยวนี้ที่เธอบอกว่าสะสมพลังนั้นพูดจริงแม้ลี่จูจะมองอย่างไม่เชื่อถือแล้วถอนหายใจ เลขาสาวไม่อยากต่อบทสนทนารีบไปดูช่างตกแต่งภายในต่อว่าที่เจ้าสาวปิดตาเอนหลังเข้ามุมพิงตัวกับแขนโซฟา รับรู้ถึงกระแสลมอุ่นจากหยกจักรพรรดิที่ค่อย ๆ ไหลผ่านจากต้นคอลงสู่ท้องน้อย เข้าสู่แสงสีขาวนวลขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวใบหน้าเรียบเฉยเปิดรอยยิ้มอ่อนโยน เมื่อรับรู้ความรู้สึกทั้งหมดนี้“คุณหนูครับ เจ้านายส่งช
นักข่าวสำนักหนึ่งตะโกนลั่น คนอื่นได้ยินก็รีบหันขวับไปทางต้นเสียงที่ฉินเฟยหลงเดินโอบเอวไป๋เหม่ยถิงแหวกฝูงนักข่าวพร้อมเหล่าบอดี้การ์ดตระกูลฉินกันที่ออกให้“นั่น!...นายท่านฉินกับคู่หมั้น?!”“ประธานไป๋!?”นักข่าวจากเซี่ยงไฮ้เดลี่คุ้นหน้าคุ้นตาผู้มาใหม่เป็นอย่างดี รวมทั้งสำนักข่าวอื่นที่มาจากปักกิ่งด้วยเช่นกัน“นายท่านฉินมาเป็นกำลังใจให้คู่หมั้นเหรอคะ พวกคุณมั่นใจมากแค่ไหนว่าจะชนะคดี”“ประธานไป๋พูดถึงคดีจ้างวานฆ่าหน่อยครับ”“นี่...ทำไมดูอย่างกับคนละคนที่ไปบ้านตระกูลหลินเลยล่ะเธอ”นักข่าวก็ดี คนทั่วไปก็ดีตอนนี้ส่งเสียงระงมกันอยู่ทางเข้าศาล จนเจ้าหน้าที่ต้องมาระงับเหตุ“สัมภาษณ์รอไว้หลังจากพิจารณาคดีวันนี้นะครับ” หยางฝูเหว่ยกับเกาอี้เดินประกบด้านข้างเจ้านายทั้งสองเป็นฝ่ายแจ้งนักข่าวพอได้รับการยืนยันจากปากกลุ่มเจ้าของคดีนักข่าวจึงค่อยสงบลงเพราะรู้ว่าวันนี้ไม่ได้มือเปล่ากลับไปภายในห้องพิจารณาคดี ที่เปิดให้เป็นการพิจารณาแบบสาธารณะมีคนเข้ามาชมได้ ไป๋เหม่ยถิงเดินแยกออกไปทางด้านหลังอัยการ เธอไม่แม้แต่ชำเลืองหางตามองหลินเหวินหลาน“เปิดศาล พิจารณาคดีเลขที่... นำตัวจำเลยเข้ามา”เจ้าหน้าที่เดินประกบ
หลังพูดคุยกันจนเข้าใจ ไป๋เหม่ยถิงกับฉินเฟยหลงก็เดินจูงมือกลับมาด้านในห้องโถงท่าทางชื่นมื่น อาจารย์กับพ่อของเจ้าตัวคนหนึ่งมองเบะปากด้วยความหมั่นไส้ อีกคนอยากจะปรี่เข้าไปสับมือหนา ๆ ทิ้ง“ตอนออกไปหน้าสลดเป็นหมาป่วย กลับมาหน้าตาคึกคักยิ่งอย่างกับหมาโดนยา ไม่ต้องถามผลแล้ว ให้ไอ้หนุ่มฉินมันส่งเกี้ยวมาพรุ่งนี้เลย?” ผู้เฒ่าติงอดไม่ไหวแขวะลูกศิษย์ที่ดูจะพร้อมออกเรือนเหลือเกิน“ได้เหรอคะอาจารย์ อย่างนั้นเฮียหลงจัดการเลยค่ะ”“ครับ ขอบคุณครับคุณปู่ คุณพ่อ อาจารย์”ไป๋เหม่ยถิงแสร้งตกใจจนตาโต หันไปขยิบตายิ้มแย้มกับคู่หมั้น แล้วหันไปแสยะยิ้มใส่จนท่านผู้เฒ่าติงเลือดลมขึ้น สุดท้ายได้แต่ทำตาโปนถลึงให้เหมือนทุกทีท่านผู้เฒ่าไป๋มองท่าทางแบบเมียร้องผัวรับของหลานสาวปากกระตุก คงได้แต่ปลงเท่านั้น‘ขนาดยังไม่ทันแต่ง ก็ตามใจกันขนาดนี้’“คุณปู่ คุณพ่อครับ อาจารย์ครับ ผมอยากขออนุญาตพาน้องไปจดทะเบียนสมรสกันก่อน เรื่องแต่งงานคงรอดูว่าถิงถิงจะมีน้องไหม ถ้าลูกยังไม่มาน้องขอเวลาผม 2 ปี แต่ถ้ามีก็จัดงานตามฤกษ์ใกล้ครับ”“วิธีนี้ก็ถือว่าไม่แย่ ถ้าจดทะเบียนได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว ต่อให้ยังไม่จัดงานแต่งงาน ภายหลั
“การแต่งงานมันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของคนสองคนรักกัน...ไม่ใช่เลย หากเรายังอยู่ในสังคมยังต้องคบค้าสมาคม ติดต่อการงานกับผู้อื่นหากถิงเออร์ท้องขึ้นมาก่อนแต่งงาน จะมั่นใจได้ไหมว่าจะไม่ทำให้หลานสาวปู่จมน้ำลายชาวบ้าน เหลนที่จะเกิดมาจะไม่ถูกคนนินทาว่ากล่าวลับหลังงานแต่งงานที่ควรจะได้จัดเมื่อทุกอย่างพรักพร้อมสมบูรณ์ที่สุด ก็ต้องมาเร่งรีบเร่งรัดการจะเป็นหัวหน้าครอบครัว จะคำนึงถึงความต้องการของตัวเป็นหลักไม่ได้ ต้องคิดถึงผลกระทบที่จะเกิดกับคนในครอบครัวให้รอบด้านด้วย”ผู้เฒ่าไป๋สอนสั่งด้วยความอ่อนโยน ไม่ได้กล่าวโทษหรือย้ำเตือนการกระทำไม่ยั้งคิดของคนหนุ่มสาว“ไอ้หนุ่มฉิน ความรู้สึกต้องการครอบครองอันแรงกล้าไม่ใช่สิ่งผิด แต่วิธีการที่ได้มามันไม่สง่างาม แน่ใจรึว่าไม่เสียใจภายหลัง”แม้แต่ผู้เฒ่าติงยังอดเอ่ยออกมาประโยคสองประโยคมิได้จักรพรรดิฉินที่ไม่มีญาติผู้ใหญ่คอยสอนสั่ง มีแต่เขาที่ต้องยืนหยัดด้วยตนเอง ทุกสิ่งอย่างที่ต้องการคว้ามาก็ใช้วิธีการที่รวดเร็วแข็งกร้าวยามนี้ได้รับการชี้แนะเหมือนลูกหลานที่กระทำผิด ทั้งละอายแก่ใจทั้งดีใจระคนกัน เหมือนได้รับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่สำคัญพอทบทวนแ