10 นาทีต่อมา
แกร๊ก “เหม่ยถิงงงงงง ช่วยด้วย!” แค่เปิดประตูเข้ามาในห้องพัก เฉินซินหยานที่คงคอยท่าอยู่นานแล้วรีบพุ่งเข้าหา หลี่เหม่ยถิงเบี่ยงตัวหลบออกด้านข้าง ตัวของเพื่อนสาวจึงพุ่งเข้าชนกับประตูดังโครม “เหม่ยถิงอ่ะ ทำไมทำกับเพื่อนรักแบบนี้ เพื่อเป็นการไถ่โทษมาช่วยทำการบ้านเลยนะ” เฉินซินหยานร้องทุกข์แต่เอาดีเข้าตัว พ่วงด้วยแบล็กเมลกันเสร็จสรรพ “ไม่ได้อาจารย์อู๋จำลายมือพวกเราได้ อาจารย์คาดโทษเธอไว้นะลืมแล้วเหรอ หรืออยากไปช่วยล้างห้องน้ำตึกพักอาจารย์” “แต่มันไม่เข้าใจนี่” เฉินซินหยานยังพยายามขอความเห็นใจ “เฉินซินหยาน!!!” “อะไรเล่า ทำไมต้องเสียงดังด้วย” “เธอไม่ได้โง่เธอแค่ขี้เกียจ ฉันบอกไว้ก่อนนะฉันเลือกมหาวิทยาลัยปักกิ่ง อีก 10 เดือนจะสอบเกาเข่าเธอจะทำตัวขี้เกียจเหมือนเดิม หรือจะทุ่มเทกับการเรียนแล้วไปปักกิ่งด้วยกัน เธอเลือกเอาเอง” ในภาพฝันที่ไปเยือนอีกมิติ เฉินซินหยานยังคงทำตัวเอ้อระเหยจนจบการศึกษา สุดท้ายสอบเกาเข่าได้ผลลัพธ์ไม่ดี ครอบครัวจึงส่งไปเรียนเมืองนอก แล้วก็ไม่ได้กลับมาจีนอีกเลย ทั้งยังมีจุดจบที่ไม่สวยนักเช่นเดียวกันกับเธอ “ถึงฉันจะไม่ได้โง่ แต่ฉันไม่ชอบพวกวิชาคำนวณเลยนะ เรียนไปไม่ถึง 10 นาทีหลับทุกทีเลย ถ้าจะให้สอบติดมหาวิทยาลัยในปักกิ่งนอนหลับฝันเอายังมีหวังมากกว่า” “เด็กโง่...ซินหยานเธอไม่จำเป็นต้องเลือกสอบวิชาพวกนี้ ใช้สิ่งที่เธอถนัดแล้วมุ่งหน้าไปทางนั้นสิ” “ฉันเนี่ยนะ? ฉันมีอะไรที่ถนัดด้วยรึไง ทำไมตัวฉันเองไม่รู้ล่ะ” “นึกดูดี ๆ สิ เอาอย่างนี้ เธอชอบทำอะไร อยากทำอะไร” “ชอบกิน! แล้วอยากเป็นปลาเค็ม ” ผัวะ!!! ฝ่ามือพิฆาตตบลงบนกระหม่อมของเพื่อนซี้อย่างไม่ออมมือ ชี้หน้าให้หยุด ถ้ายังพูดไร้สาระเธอจะฟาดอีกที “ก็อยากนอนเฉย ๆ ให้ที่บ้านเลี้ยงไม่ได้เหรอ” “ยังจะเถียงอีก ตอนพ่อแม่เธอยังอยู่เธอจะนอนเป็นปลาเค็มไม่มีใครว่า เกิดวันไหนพวกท่านไม่อยู่อีกต่อไปล่ะ เธอคิดว่าพี่สะใภ้ในอนาคต จะยอมให้น้องสามีเป็นปลาเค็มเกาะพี่ชาย?” ‘ง่ายมาก เหม่ยถิงเธอก็มาเป็นพี่สะใภ้สิ ฉันจะได้กลายเป็นปลาเค็มได้ตลอดชีวิต’ เฉินซินหยานคิดในใจอย่างหมายมาด แต่ไม่กล้าพูดออกมาจึงได้แต่นิ่งเงียบ พยายามทำตัวเล็กเข้าไว้ “เอาล่ะอย่านอกเรื่อง ซินหยานสนใจออกแบบแฟชั่นไหม จบแล้วไปเปิดแบรนด์เสื้อผ้า รสนิยมเรื่องการแต่งตัวของเธอดีมากนะ อีกอย่างเธอมีต้นแบบดีอย่างน้าสาวที่ไปเปิดตลาดในเซี่ยงก่าง ไม่ต้องเริ่มตั้งแต่ศูนย์” “อ๊า! นี่มันน่าสนใจมากเลย แต่ฉันจะทำได้เหรอ การแต่งตัวกับการออกแบบมันคนละเรื่องเลยนะ อีกอย่างเปิดแบรนด์มันก็ต้องคอยบริหารจัดการอีก ฉันทำไม่ได้แน่” “ไม่เห็นจะยาก เราก็ทำด้วยกันเลยไง เธอก็ทำเรื่องดีไซน์ไปเดี๋ยวเรื่องการบริหารจัดการพวกนั้นฉันทำให้เอง” “ว้าว! มันมีวิธีนี้อยู่นี่นา เหม่ยถิงฉลาดจริงด้วย” ไอ้ประโยคฉลาดจริงด้วยนี่มันยังไง มุมปากหลี่เหม่ยถิงถึงกับกระตุก มือชักอยากจะฟาดอีกสักที ดูจากหน้าตาล้อเลียนของซินหยานนี่คงจะตั้งใจสินะ “แต่ว่านะเหม่ยถิง เหลือแค่ 10 เดือนจะไหวเหรอ” เฉินซินหยานนั้นข้อดีมีหลายอย่าง เสียตรงขี้เกียจตัวเป็นขนหากเห็นหนทางข้างหน้ายากลำบาก เธอจะยอมแพ้ได้ง่ายถ้าแรงจูงใจไม่แก่กล้าพอ “เราจะได้เรียนปักกิ่งด้วยกันไง อีกอย่างออกแบบแฟชั่นเขาดูผลงานเป็นหลักไม่ได้เน้นเกรด 10 เดือนนี้เธอก็ขยันออกแบบแล้วอ่านพวกวิชาที่เกี่ยวกับแฟชั่นและการดีไซน์” “ไม่เท่ากับว่าต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นเลยเหรอ” พอได้ฟังแบบนี้แล้ว ความฮึกเหิมก่อนหน้าของเฉินซินหยานแทบจะดับมอดทันที มองหลี่เหม่ยถิงอย่างไม่แน่ใจ แต่จะให้ล้มเลิกเกรงว่าจะโดนฝ่ามืออีกรอบ “เรียนออกแบบทำแบรนด์เสื้อผ้า ต่อไปคงได้เจอนายแบบนางแบบหรือแม้แต่ดารามากมาย” เสียงใสของหลี่เหม่ยถิงดังตัดบรรยากาศหดหู่เหมือนน้ำทิพย์จากสวรรค์รดลงบนไฟต่อสู้ที่ใกล้มอด “ดีล!! ฉันสู้ตายเลยล่ะ” หลี่เหม่ยถิงได้แต่กรอกตามองบนให้มิตรภาพที่แพ้ให้กับหน้าตาของผู้คนในมโนคติของเฉินซินหยาน โรงพยาบาลเอกชนฝูต้า “ลู่เสียน เวลาของผมเริ่มนับถอยหลังแล้ว หากเราได้พบกันอีกในโลกหน้าผมจะขอขมาต่อคุณ ผมอยากขอโทษคุณมาตลอด แต่คุณไม่ต้องห่วงนะผมเลี้ยงลูกสาวของคุณกับ…แค่ก..แค่ก…มาอย่างดี เหม่ยถิงแกเป็นเด็กดีมาก” หลี่ซีซวนที่แต่งตัวเรียบร้อยเตรียมตัวออกจากโรงพยาบาล ในมือถือผ้าเช็ดหน้าผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีเทาอ่อนกำลังนั่งจมจ่อมอยู่ในภวังค์ความคิด โดยไม่รู้ว่าหน้าประตูมีสายตาเสียใจปนเคียดแค้นจ้องมองอยู่ ‘ซีซวนจนปานนี้คุณยังคงคิดถึงแต่นังแพศยานั่น มันเป็นใครมีดีกว่าฉันที่เป็นคู่หมายตามประเพณีและแม่สื่อแค่ไหนกันเชียว’ “คุณคะ เรียบร้อยแล้วหรือยังคะ” ติงหรูอี้ปั้นหน้ายิ้มแย้มเดินเข้ามาในห้อง สายตาจับจ้องผ้าเช็ดหน้าในมือของสามีหวังจะเห็นความรู้สึกผิด “เอาล่ะ เรากลับกันเถอะ” หลี่ซีซวนไม่ได้รีบร้อนเก็บผ้าผืนนั้น แต่ค่อย ๆ พับอย่างดีแล้วสอดเข้าอกเสื้อด้านในตรงตำแหน่งใกล้หัวใจ สายตาหากแผดเผาทำลายได้ ผ้านั่นคงไหม้เป็นจุณ ติงหรูอี้ยืนตัวสั่นเทิ้ม ขบเคี้ยวด้านในปากจนเลือดกลบ ‘ฉันทำอะไรแกไม่ได้ แต่ลูกสาวแกอย่าหวังว่าจะมีชีวิตที่ดี!’ ยังไงเสียเธอก็ยังได้ชื่อว่าเป็น ‘แม่’ ของนังเด็กราคาถูกนั่น เธอสั่งให้ไปซ้ายมันไม่มีทางไปขวาแน่นอน ใช้เวลาราว 50 นาที ครอบครัวหลี่ก็เดินทางกลับมาถึงบ้านของตระกูล หลังจากรถเลี้ยวเข้ามาจอดยังหน้าประตูไม้แกะสลักบานใหญ่ หลี่เหม่ยหลินที่ยืนรอทุกคนอย่างกระวนกระวายรีบเดินออกไปรับ “คุณพ่อคุณแม่ ขอต้อนรับกลับบ้านค่ะคุณพ่อ” เสียงอ่อนหวานของเด็กสาวออดอ้อนคนเป็นพ่อแม่ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูได้จากผู้ใหญ่ที่เพิ่งก้าวลงจากรถได้ดี “เก่งก็แต่กับเรื่องออดอ้อนเอาใจนะเราน่ะ ไปเข้าไปคุยกันในบ้าน” สองพ่อลูกเดินประคองกันเข้าไปในห้องรับแขกของบ้าน ส่วนติงหรูอี้ผ่อนฝีเท้าไม่ได้เดินตามไปทันที นางปรับเปลี่ยนสีหน้าให้ดูอมทุกข์หม่นเศร้า หลี่เหม่ยหลินสังเกตเห็นความหม่นหมอง รอยยิ้มจืดเจื่อนของแม่ตัวเองก็ลอบกำหมัดจนหลังมือขาว แม่ของเธอต้องทนกล้ำกลืนเก็บลมหายใจให้กับแสงจันทร์ขาว ในใจของคุณพ่อมาตลอด นี่ก็คงมีเรื่องนังชู้รักนั่นให้สะกิดใจอีกเป็นแน่ “แม่คะ เราขึ้นไปดูห้องคุณพ่อกันดีกว่าค่ะ พวกคนงานในบ้านมือไม้หนักอาจจะทำความสะอาดได้ไม่ดี” “จะดีเหรอลูก อยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อก่อนดีกว่านะ” ติงหรูอี้ทำท่าทางปฏิเสธแล้วลอบมองสีหน้าของหลี่ซีซวน แต่ไร้ปฏิกิริยาอื่นใดกับคำพูดห่วงใยของเธอ “คุณขึ้นไปกับลูกเถอะ ผมมีเรื่องจะสอบถามพ่อบ้านฝูพอดี” “ได้ค่ะ” หลี่เหม่ยหลินจับจูงกึ่งลากติงหรูอี้ขึ้นไปยังชั้นบน คฤหาสน์หลังนี้มีทั้งหมด 3 ชั้น ห้องของแม่กับเธออยู่ทางปีกซ้าย ปัง!!! “แม่คะ คุณพ่อทำอะไรให้แม่ไม่สบายใจอีกใช่ไหมคะ” หลังเข้ามาในห้องนอน หลี่เหม่ยหลินรีบหันมาถามแม่ของเธอทันที “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะหลินเออร์” ติงหรูอี้ส่งยิ้มลำบากใจเหมือนทุกทีให้ลูกสาว เม้มริมฝีปากเคลือบลิปสีแดงสดเป็นเชิงไม่อยากพูดถึง หลี่เหม่ยหลินอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจนี้ จู่ ๆ ดวงตากลมโตดุจเมล็ดซิ่งสว่างวาบเหมือนคิดสิ่งใดออก “เดี๋ยวหนูขอแวะไปคุยกับคุณพ่อที่ห้องทำงานหน่อยนะคะ” รีบร้อนบอกคำกับแม่เสร็จหลี่เหม่ยหลินก็รีบเดินจนเกือบจะเป็นวิ่งออกไปปีกขวาของบ้าน ก๊อก ก๊อก “คุณพ่อคะ หลินเออร์เองค่า หนูมีเรื่องวันเกิดพี่ใหญ่จะปรึกษาค่า” “หลินเออร์เหรอลูกเข้ามาสิ” เสียงของหลี่ซีซวนยามคุยกับลูกสาวคนเล็ก ยังเจือความอบอุ่นต่างกับเสียงชืดชาที่ใช้กับภรรยาลิบลับ “คุณพ่อคะคุณพ่อ ปีนี้พี่ใหญ่จะอายุครบ 18 ปีแล้ว เราจัดงานเฉิงเนี่ยน ทำเซอร์ไพรส์พี่ใหญ่กันเถอะนะคะ” “ลูกคิดได้ตรงใจพ่อจริง ๆ พ่อกำลังเรียกเหล่าฝูมาคุยเรื่องนี้พอดี ไหนลูกลองบอกความเห็นของลูกมาสิ” เสียงพูดคุยของสองพ่อลูกแว่วออกมาให้คนที่ยืนแอบฟังอยู่ข้างกำแพงจับใจความได้ก่อนประตูห้องทำงานจะปิดลงและไม่ได้ยินสิ่งใดอีก รอยยิ้มสาสมใจจุดขึ้นบนเรียวปากสีแดงสดก่อนจะหมุนตัวเดินหันหลังกลับเข้าห้องส่วนตัวไปเวลา 14.10 น. วันต่อมาป้อมยามหน้าโรงเรียน“สวัสดีค่ะลุงเหมา หนูมารับของค่ะ”“อ้า…ประธานนักเรียนมาพอดีเลย เข้ามารอก่อนครับ เดี๋ยวลุงหยิบให้”ไม่นานลุงเหมาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยกะบ่ายก็ส่งซองเอกสารให้ 2 ซอง‘หืม?’ หลังขอบคุณหลี่เหม่ยถิงรับซองเอกสารมาดู มีลายมือหนักแน่นทรงพลังบนซองปิดผนึกเขียนชื่อของเธอไว้‘พี่ชายคนนั้นทำอย่างที่พูดจริงเสียด้วย’ เธอลองกะความหนาของเอกสารอย่างน้อยน่าจะมี 10 แผ่นขึ้นไป ควรจะขอบคุณเขาเสียหน่อย‘ขอบคุณสำหรับประวัติค่ะ จะตั้งใจอ่านอย่างดี :)’ติ๊ด ติ๊ด‘ไม่เป็นไรครับ ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถาม‘พรืด! คิกคิก‘ประวัติส่วนตัวนะคะ ไม่ใช่รายงานที่ไม่เข้าใจตรงไหนแล้วจะให้ถามน่ะ’หลี่เหม่ยถิงเดินกลับเข้าแคมปัสไปก็ส่งข้อความโต้ตอบกับคนไกลไปด้วย ไม่สนเลยว่าจะมีข่าวลืออะไรบ้างจากท่าทางแปลกประหลาดที่นักเรียนไม่เคยเห็นจากประธานผู้เคร่งขรึม“นักเรียนเหอจูอิ๋ง เข้าพบประธานนักเรียนที่ห้องประธานสภานักเรียนด่วนค่ะ“เสียงประกาศเรียกชื่อเข้าพบประธานนักเรียน ผู้โชคร้ายรายแรกของปีการศึกษาปรากฏตัวขึ้นมาก่อนหน้าจะเปิดภาคการศึกษาแค่ 3 วันจริงแล้วการลงโทษจากสภานักเรียน
12.00 น. วันต่อมา ติ๊ด ติ๊ดเสียงเตือนข้อความเข้าทำเอาหลี่เหม่ยถิงตะครุบโทรศัพท์อย่างเสียอาการนิ่งสงบ‘มีเบาะแสเพิ่ม มีแนวโน้มว่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุ’หลี่เหม่ยถิงถอนใจกับตัวเองด้วยความผิดหวัง ไม่ใช่ข้อความจากพี่ใหญ่ฉิน แต่อย่างน้อยข้อความนี้ก็เรียกสีหน้าตื่นตัวจากความเฉื่อยชาเรื่องงานของสภานักเรียนได้“ประธานรอข้อความสำคัญเหรอคะ” จ้าวลี่จูผู้กำลังรายงานข้อเรียกร้องการจัดสรรงบชมรมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ไม่บ่อยนักที่ประธานจะออกท่าทางลุกลน“อือ” พยักหน้าแบบผ่าน ๆ ขณะกำลังเท้าคาง ในสมองก็เริ่มนึกถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ ของอุบัติเหตุ เบาะแสเพิ่งเริ่มปรากฏ ยังยืนยันไม่ได้ว่ามีคนจงใจจัดฉาก เธอควรใจเย็นรอหวางอู๋ซวนมีข้อมูลมากกว่านี้เฮ้อ!“การได้แต่นั่งรอเพราะทำอะไรไม่ได้นี่มันอึดอัดใจจริงเชียว” บ่นเสร็จก็ลุกขึ้นจากหลังโต๊ะทำงาน ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ดหลี่เหม่ยถิงที่ทำเป็นลืมโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ หันตัวกลับไปคว้ามันขึ้นมาแล้วก้มหน้าเช็กข้อความ‘เพ้ย! ใครมันเล่นตลกกับฉันหรือไง ส่งข้อความที่ไม่ได้รอมาแทรกอะไรกันนัก!’ หลี่เหม่ยถิงที่เริ่มหงุดหงิด ยกมือทำท่าจะปาโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ“ประธานอย่าปาน
‘มีเรื่องแบบนี้ นังเพื่อนชั่วต้องหาทางไปพบจางกั๋วอันแน่’เหอจูอิ๋งกำลังรอเวลา เธอให้เพื่อนในห้องเรียนไปเฝ้าคอยจางกั๋วอันหน้าโรงเรียนชายฝั่งตรงข้าม บอกเพื่อนไว้ว่าเธอมีของขวัญรอเซอร์ไพรส์“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเราหรอก ฉันว่ากลับหอไปนอนเล่นเถอะ อีก 2 วันก็เปิดเทอมแล้ว ฉันจะทำเล็บขัดตัวเสียหน่อย” เหอจูอิ๋งหันมาชวนเพื่อนในหอทุกคนกลับเหมือนไม่ได้สนใจเรื่องอื้อฉาวนี่นัก“พวกเธอไปกันก่อนนะจ๊ะ ฉันว่าจะไปหาหนังสืออ่านเงียบ ๆ ในหอสมุด” หยางจื่อหานรีบกล่าวแทรกขึ้นมา แล้วเดินแยกตัวออกไปคอยไม่นานหลังจากนั้น เพื่อนสาวที่ส่งให้ไปตามเฝ้าจางกั๋วอันก็ส่งข้อความมาหาเหอจูอิ๋ง‘อิ๋งอิ๋งเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!! มาหาฉันด่วนร้านคาเฟยฮ๋าว’“ประธานคะ!! จุดน่าตื่นเต้นมันเริ่มจากนี้นี่แหละค่ะ เหอจูอิ๋งพาเพื่อนในหอพักกับเพื่อนในคลาสไปนับ 10 คน ทำท่าทางไม่รู้เรื่องราวเหมือนออกไปเดินเล่น ไปถึงที่นัดหมายก็เจอฉากเด็ดเลยค่ะ หยางจื่อหานกำลังร้องไห้ฟูมฟาย ซบอกจางกั๋วอัน เล่นเอาตกตะลึงกันทั้งคณะเพื่อน ส่วนเหอจูอิ๋งน้ำตาไหลพรากเป็นสาลี่ต้องฝน ตัดพ้อต่อว่าคู่หมั้น”แค่ก ๆ... “ขอน้ำหน่อยค่ะประธานหลี่” หลี่เหม่ยถิ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า “เธอจบเห่แน่ หยางจื่อหานคิดจะแทงข้างหลังฉันงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!! เธอคิดว่าคนบ้านจางจะยอมรับคนอย่างเธองั้นเรอะเฮอะ!!! หัดดูเงาตัวเองบ้าง” เหอจูอิ๋งก้มตัวเอานิ้วชี้จิ้มหน้าคนที่หมดเรี่ยวแรงนั่งกองกับพื้นจนหงายหลังลงไป หลี่เหม่ยถิงที่รอจังหวะอยู่นานแล้วแสยะยิ้มร้าย “พอได้แล้ว!!! เหอจูอิ๋ง หยางจื่อหาน สภานักเรียนกำหนดบทลงโทษคนทำความผิดไว้แล้ว ฟังให้ดีล่ะ” “นักเรียนเหอจูอิ๋ง โทษฐานปลุกระดมเพื่อนนักเรียนให้ลุกขึ้นมาก่อความไม่สงบโดยมีผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง รับโทษล้างห้องน้ำรวมหอพักหญิงชั้น 3 ตึกแรก 3 วัน” “อะไรกันคะประธาน ได้ยังไง ฉันนับว่าเป็นผู้เสียหายแล้วนะคะตอนนี้” เหอจูอิ๋งเชิดคางเริ่มโวยวายไม่เหลือท่าทางถูกกระทำเลยสักนิด ขาเรียวเล็กของประธานวาดมาเป็นท่าไขว้ห้าง ลำตัวเอนไปทางขวามีข้อศอกค้ำไว้ นิ้วชี้เคาะลงบนที่เท้าแขนเป็นจังหวะ ความเร็วเท่าการเต้นของหัวใจ มองเหอจูอิ่งกดดันไม่พูดอะไรต่อ อึก...เหอจูอิ๋งถูกจ้องมองเกือบ 10 นาทีก็ตัวสั่นกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ “หลังจบบทลงโทษของหยางจื่อหานฉันขออนุญาตเรียนถามใหม่ก็ได้ค่ะ” ทนสู้สายตาว่างเปล่าน่ากลัวนั่นไม
‘พี่ใหญ่ฉิน ฉันขอกู้ยืมเงิน 10 ล้านหยวนค่ะ’ ฉินเฟยหลง มองข้อความบนหน้าจอมีความประหลาดใจวาบผ่านดวงตา ลำตัวแข็งแรงเอนตัวนอนบนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาล หลังคำนวณความต่างของเวลาแล้วเขาก็รีบพิมพ์ข้อความตอบกลับลงไป ‘สองทุ่มประตูหลังโรงเรียนจะมีคนนำเงินไปส่งให้’ “เป็นเด็กที่น่าสนใจไม่ต่างจากที่คิดไว้จริงๆ” ใบหน้าหล่อคมของเขามีรอยยิ้มขึ้นมาได้เล็กน้อย การบอกความต้องการออกมาตรง ๆ แบบนี้ ดีกว่าพวกที่ปั้นหน้าเข้าหาเขาเพื่อผลประโยชน์พวกนั้นเยอะ ติ๊ด ติ๊ด ‘ขอบคุณค่ะเดี๋ยวฉันเขียนสัญญากู้ยืมส่งให้คนที่มาส่งเงินนะคะ ปล. กู้ยืมไม่มีดอกเบี้ยนะคะ ระยะเวลาผ่อน 5 ปี หรืออาจจะเร็วกว่า’ หึหึหึ นอกจากจะใจกล้าแล้วยังได้คืบจะเอาศอกด้วย ‘ได้’ อย่าว่าแต่การกู้ยืมเลยแม้แต่ยกให้ฟรีก็ยังได้ การช่วยเหลือครานั้น หากนับตามมูลค่าก็เทียบเท่าชีวิตของเขา สถานการณ์เข้าขั้นอันตรายถึงเขาจะมีหนทางเอาตัวรอด แต่การได้พบเธอมันทำให้เรื่องง่ายดายขึ้น ‘หมิงเจี่ยนำเงินไปส่งให้หลี่เหม่ยถิง 10 ล้านหยวน ออกเดินทางทันที’ สั่งการเสร็จก็หันมาอ่านเอกสารตั้งใหญ่บนโต๊ะเลื่อนข้างเตียง ครืดดดด ดวงตาคม
3 วันต่อมา เอี๊ยด! ‘มากันแล้วมั้งคะคุณ’ คุณแม่เหอหันมาคุยกับคุณพ่อเหอท่าทางตื่นเต้นเล็กน้อย ท่านนายพันวัยต้น 40 เพียงแค่พยักหน้าเป็นอันรับรู้ แล้วนั่งเหยียดหลังตรงสง่าวางมาดน่าเกรงขาม ตระกูลเหอจะว่าไปต้องเรียกว่าเป็นเศรษฐีใหม่ พ่อเหอไต่เต่าขึ้นมาถึงระดับพันเอกด้วยสองมือเปื้อนเลือด พลิกฟื้นจากครอบครัวธรรมดาสู่เส้นทางทหารในยุคปฏิวัติ เขาย่อมไม่ใช่คนที่มีความคิดตื้นเขิน และไม่ไร้หัวคิดแน่นอน “คุณพ่อ คุณแม่ หนูกลับมาแล้ว” เหอจูอิ๋งผู้เย่อหญิงในรั้วโรงเรียนกลายเป็นนกกระจิบน้อยกลับคืนรัง ปากเจื้อยแจ้วคิดถึงพ่อแม่ไม่หยุด จนแทบลืมบุคคลที่เดินทางมาด้วยกัน หลี่เหม่ยถิงในวันนี้ยังคงแต่งกายด้วยชุดที่ดูอึมครึม ไม่เหมือนเด็กสาวทั่วไป เสื้อแขนยาวสีเข้มปิดถึงลำคอ กางเกงทรงกระบอกขายาวสีเดียวกัน ประกอบกับแว่นตากรอบดำหนาปิดครึ่งใบหน้า ผมหน้าม้าตรงยาวทับขอบแว่น อะแฮ่ม… ความคิดเห็นของคนในห้องเป็นอย่างไรไม่รู้ เธอให้ความสนใจเพียงพ่อเหอ เหอกงโป๋ หลี่เหม่ยถิงใช้สายตาสังเกตท่าที และออร่าบนร่างกายรอบหนึ่ง แม่เหอและพี่ชายเก็บอาการได้ช้ากว่า ความคาดไม่ถึงปรากฏชัด ส่วนพ่อเหอเพียงทำท่าแปลกใจเล็กน
จ้อกแจ้ก จอแจ โป๊ก โป๊ก ปึงปัง “ทางนู้นเวที 2 เรียบร้อยรึยัง” “เออ เสร็จแล้วเว้ย ทันเวลาฉิวเฉียด” รถจี๊ปทหารแบบเปิดโล่งแล่นมาจอดตรงหน้าสถานที่จัดงานประมูลเฉพาะกิจ ตรงส่วนนี้เป็นพื้นที่หน้าค่ายทหาร ฟากหนึ่งเป็นแม่น้ำ ทางค่ายสร้างเต็นท์ขนาดใหญ่ 5 เต็นท์หลังคาผ้าใบสีขาวไว้ มีป้าย ‘งานประมูลค่ายซานตง ครั้งที่ 1’ ทางเข้า ช่างไม้ คนงาน และเหล่าพลทหารกำลังวุ่นวายเตรียมการ คาดว่าคงจัดทำกันข้ามคืน พรึ่บ! “ผู้พันเหอ ร้อยตรีเหอ” เหล่าทหารยศต่ำกว่าหันมาทำวันทยหัตถ์ตามระเบียบ “แหม ๆ ผู้พันเหอ มีข่าวคำสั่งโยกย้ายไม่นานถึงกับมีเลขาน้อยตามมาเลยนะ” คนพูดทำท่าจิกกัดเดินมาจากด้านในเต็นท์ ผู้พันเหอถึงกับหน้าเขียวคล้ำ ส่วนหลี่เหม่ยถิงทำหน้าเรียบเฉยสายตาภายใต้แว่นกรอบบางต่างจากทุกทีส่องประกายแข็งกร้าวชั่ววูบ “จุ๊ ๆ ไม่เบาเลยนะ” ท่าทางหยาบคายใช้สายตากวาดมองขึ้นลงบนตัวของหลี่เหม่ยถิง ทำเหอจิ้นเต๋อถึงกับเลือดขึ้นหน้า แม้ไม่ได้สนิทสนมกันแต่หลี่เหม่ยถิงนับว่าเป็นคนที่บิดาเขาพามา ทำแบบนี้เท่ากับหักหน้าผู้พันเหอชัด ๆ กึก เท้าที่กำลังจะก้าวออกไปหยุดเพราะแรงดึงทางด้านหลัง ผู้พันเหอส่
หลี่เหม่ยถิงเพียงหันมอง แต่เหอจิ้นเต๋อผู้มีตำแหน่งร้อยตรีไม่อาจนิ่งนอนใจ มาเยือนถิ่นผู้อื่นคงต้องแล้วแต่เจ้าบ้าน ทั้งสองเดินไปดูที่มาของเสียงและเป็นจริงตามแรงสังหรณ์ทิศทางเดินยิ่งก้าวยิ่งใกล้วิญญาณโชกเลือดเฮ้อ!“เกิดอะไรขึ้น ใครกล้ามาก่อเรื่องเขตทหาร” เสียงถามเข้มดุดันตามแบบทหารถามนายทหารชั้นผู้น้อยที่กำลังเข้าระงับเหตุ“รายงานครับ! ผู้เห็นเหตุการณ์แจ้งว่าพ่อค้าและผู้ซื้อตกลงกันไม่ได้จึงเกิดการถกเถียงกันครับ”ความว่าพ่อค้านามเจิ้งหลี่เผิงและครอบครัว มาตั้งแผงขายแจกันโบราณมรดกตกทอดของปู่ทวด ตั้งราคาไว้ 250,000 หยวน ยืนยันว่าเป็นของสมัยราชวงศ์หมิงแจกันทรงสูงมีฝาปิด รูปทรงนั้นเหมือนกับเครื่องเคลือบสมัยราชวงศ์หมิง แต่พื้นผิวภายนอกกลับดูเป็นเพียงดินเผาธรรมดา มองแวบแรกใครต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ของปลอม’แต่ออร่ารวมถึงวิญญาณตามติด ทำให้เธอรู้ว่านี่คือ ‘ของจริง’หลี่เหม่ยถิงยกยิ้มมุมปากเพียงยืนรอรับชมเรื่องสนุก สายตากวาดประเมินท่าทีของผู้ซื้อแจกันที่คนทั่วไปลงความเห็นว่าไร้ราคา จะไปเข้าตาพ่อค้าของเก่าจนเกิดวิวาทได้ยังไง คงไม่ใช่มีเพียงแค่เธอเสียแล้วที่รู้คุณค่าของแจกันนี่เ
อือ…“คุณหนู ฟื้นแล้วเหรอครับ” หยางฝูเหว่ยและเกาอี้นั่งรออยู่ในห้องพักพิเศษตั้งแต่มาถึงโรงพยาบาล สองหนุ่มผู้ดูแลลุกขึ้นเดินเข้าหาอย่างระมัดระวัง สายตาของหยางฝูเหว่ยมองเข้าไปในหน่วยลึกของดวงตาดอกท้อ ขนตาหนาเป็นแพกระพือถี่อย่างพยายามปรับโฟกัส ความหม่นในดวงตาค่อยกระจ่างขึ้น ถูกแทนที่ด้วยความมึนงง สับสน“เกิดอะไรขึ้นคะ?” ข้อมือเล็กพยายามขยับ แต่กลับไม่สามารถยกขึ้นได้ ความปวดตึงทำให้หลี่เหม่ยถิงหันไปมองทางข้อมือขวา เห็นว่ามันถูกพันธนาการติดกับขอบเตียง จึงย้ายสายตาสำรวจร่างกายทีละส่วนสมองเริ่มกระจ่างตามเวลาที่ผ่านไป ความทรงจำก่อนหมดสติไหลกระแทกกลับเข้ามา ลมหายใจอันเกิดจากห้วงอารมณ์รุนแรงกระชั้นถี่จนทรวงอกภายใต้ผ้าห่มที่คลุมร่างกายยุบขึ้นลง “คุณหนูพยายามคุมสติคุมอารมณ์ตามวิธีที่นักบำบัดบอกไว้ครับ” ผู้ช่วยหนุ่มกดเสียงให้ราบเรียบพูดอย่างใจเย็น มีเกาอี้ยืนหายใจไม่เต็มปอดอยู่ข้าง ๆพวกเขาต้องพยายามทำให้บรรยากาศสงบนิ่งที่สุด เพื่อไม่ให้กระตุ้นอารมณ์คุณหนูไปมากกว่านี้20 นาทีต่อมา การปรับอารมณ์ก็เป็นผล หยางฝูเหว่ยจึงแจ้งพยาบาล จากนั้นก็มีแพทย์มาตรวจจนเสร็จกระบวนการ ผ้ายึดข้อมือก็ถูกถอดออ
หากไม่มีคุณหนู ตระกูลหลี่ก็ไร้ความหมายสองสามีภรรยาต่างมองหน้าสื่อความแล้วแยกย้ายกันไปจัดการงานที่ได้รับมอบหมายคนละทาง“ผู้เฒ่าติงครับ ผมคิดว่าเราควรถือวิสาสะอ่านจดหมายที่เป็นต้นเหตุของอาการครับ พ่อบ้านติงครับไปเก็บของเถอะครับ เราจะไปกันเดี๋ยวนี้เลย ผมจะให้เกาอี้เอารถมารอรับด้านหน้า”ท่านผู้เฒ่ารับจดหมายที่ยับย่นจากมือหยางฝูเหว่ยมาอ่านอย่างรีบร้อน ยิ่งอ่านใบหน้าเหี่ยวย่นด้วยวัยชรายิ่งดำทะมึนขึ้นตามตัวอักษรแต่ละคำลักพาตัวเด็ก!!!“สารเลว! ชั่วชาติเอ๊ย!”ท่านผู้เฒ่าสบถด่าออกมาอย่างดุเดือด ใบหน้าแดงก่ำจากความดันพุ่งขึ้นสูง อยากปาจดหมายลงพื้นแล้วกระทืบซ้ำ เสียแต่คนที่เขาอยากจัดการดันชิงตายไปเสียก่อนคิดแล้วว่าหลี่ซีซวนอะไรนี่ไม่ใช่ตัวดี!นี่มันกากเดนมนุษย์ในคราบหมอยังมีหน้ามาอวดอ้างความดีความชอบ มันลักพาตัวเด็กมาชัด ๆ ถุย! ปกปิดความผิดมาตลอดชีวิตจนตัวตาย ยังไม่กล้าเผชิญหน้าความจริงสงสารก็แต่ศิษย์น้อย ตกเป็นเหยื่อของชายเห็นแก่ตัว ยิ่งมองไปยังสภาพของศิษย์รักท่านผู้เฒ่ายิ่งสะเทือนใจ ถิงเออร์คงเจ็บปวดทรมานมากที่มารับรู้ว่าโศกนาฏกรรมในชีวิตเกิดจากคนที่เธอรักเคารพที่สุดพ่อบ้านติง
ฮ่า ฮ่า ฮ่าติงหรูอี้หลุดเสียงหัวเราะสุขใจดังลั่นออกมา ไม่หลงเหลือหรือพยายามรักษาท่วงท่าสง่างาม หญิงกลางคนแทบจะลุกขึ้เต้นรำไปรอบห้อง‘มันไม่ใช่ลูกของหลี่ซีซวน ในที่สุดเธอก็ชนะผู้หญิงในใจคนนั้นแล้ว’หลี่เหม่ยหลินกลับมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมา สมองมึนตื้อไปหมด เธอถูกแม่บอกเล่ามาเสมอว่าหลี่เหม่ยถิงคือลูกชู้ ลูกของผู้หญิงที่ทำแม่ของเธอเสียใจความจริงแบบนี้ต้องให้เธอรู้สึกยังไงหลี่เหม่ยถิงไม่มีเวลามาสนใจปฏิกิริยาหรือความรู้สึกของใครทั้งนั้น ตาจดจ้องเพียงจดหมายในมือไล่อ่านทีละคำทีละบรรทัดจนพบข้อความต่อจากที่หลี่เหม่ยหลินอ่าน“ใช่แล้วถิงเออร์ ลูกไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อ แม้พ่ออยากจะให้เป็นสักแค่ไหนก็ตาม พ่อกับแม่ของลูกดำรงความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนนี้ตลอดระยะเวลาที่แม่ของลูกตั้งครรภ์แล้วเธอไปฝากท้องที่โรงพยาบาลนั้นแต่พ่อของลูกไม่เคยปรากฏตัว พ่อที่แอบรักแม่ของลูกเงียบ ๆ ในใจก็ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้แม่ของลูกลืมผู้ชายคนนั้นเสีย เพราะทุกครั้งที่เธอพูดถึงสามีจะมีประกายตาแห่งความสุขไร้แววเศร้าหมอง เธอยังเชื่อมั่นจนลมหายใจสุดท้ายว่าเขาจะกลับมาหาวันที่ลูกเกิด
10 วันผ่านไป“ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะคุณนายหลี่ เสียใจด้วยนะคะคุณหนูใหญ่ คุณหนูรอง”แขกที่มาร่วมงานพิธีเคารพศพของหลี่ซีซวนวันสุดท้ายมีมากกว่า 9 วันที่ผ่านมา แขกชายจากตระกูลต่าง ๆ ในเฉิงตูไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากมาย แต่ไม่ใช่อย่างนั้นกับแขกฝ่ายหญิงประโยคเน้นคำเรียกคุณนายหลี่ คือสิ่งที่ตอกย้ำติงหรูอี้ซ้ำ ๆ เป็นสิบเป็นร้อยเป็นพันครั้งเธอเหมือนโดนหลี่เหม่ยถิงถีบออกมายืนท่ามกลางผู้คน ให้คนเหล่านั้นรุมเย้ยหยัน ตบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากกัดฟันยิ้มสู้พอคล้อยหลังเธอ พวกสาวสังคมเหล่านั้นก็จับกลุ่มนินทาหัวเราะเยาะ เรื่องที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มือเรียวเหล่านั้นชี้นิ้วมายังเธอด้วยอาการล้อเลียนติงหรูอี้ชำเลืองไปทางลูกเลี้ยงสาวด้วยสายตาอาฆาตปนแววสังหาร หลังจบงานนี้ไม่แน่หรอกนะว่าใครจะจัดการใคร‘อาอี้ อาจารย์ของนังเด็กนั่นไม่มีอำนาจอิทธิพลแน่ใช่ไหม ข่าวลือของเธอมันระงับไม่ได้เพราะมีคนคอยปล่อยข่าวซ้อนตลอดเลยนะ’ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจ เธอต้องมาคอยยืนเป็นตัวตลกในงานให้คนหัวเราะตลอด 10 วันเพราะนังเด็กนี่แท้ ๆ‘พี่ช่วยฉันจัดการหน่อย ฉันไม่อยากเก็บมันไว้ให้รกหูรกตาอีกแล้ว’ ในเม
หลังจากจัดการหลี่เหม่ยหลินให้อยู่เป็นที่เป็นทางแล้ว ความอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงก็กลืนกินทั่วร่างหลี่เหม่ยถิง จนเธอต้องเดินโซซัดโซเซไปหาจุดนั่งพัก ทางเดินของบันไดหนีไฟถูกเปิดออกร่างเล็กจ้อยนั่งขดตัวกอดเข่า ก้มหน้าปล่อยน้ำตาไหลอย่างเงียบเชียบ หยางฝูเหว่ยผู้แอบเดินตามหลังมารีบต่อสายหาเจ้านายอย่างเร่งด่วน“นายครับ คุณหนูแย่แล้ว” จากนั้นเขาจึงเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นช่วงบ่ายวันนี้ให้ฉินเฟยหลงฟัง มีเกาอี้เดินขยับมายืนข้างกัน จากนั้นชายหนุ่มก็ก้าววิ่งเหยาะ ๆ ไปแง้มบันไดหนีไฟ ยื่นเพียงมือที่ถือโทรศัพท์เข้าไปด้านใน“หลี่เหม่ยถิง ผมอยู่นี่ เธอไม่ต้องกลัว”เสียงทุ้มอ่อนโยนดังผ่านลำโพงที่เปิดเสียงไว้ ดวงหน้าที่ซุกซบบนเข่าจึงเงยขึ้นไปมองยังที่มาของเสียง มือสั่น ๆ ยื่นไปรับโทรศัพท์มาถือไว้“พี่ พี่ใหญ่ฉิน คุณมาหาฉันหน่อยได้ไหม” เสียงสั่นไร้ความหนักแน่นเรียกหา ตัวคนที่ถูกขอร้องถึงกับใจกระตุก“เธอรอไม่นานหรอก ผมกำลังไป” จบประโยคหนักแน่นนั่น สายก็ถูกตัดทันที หลี่เหม่ยถิงได้แต่กอดมือถือไว้แนบอก ดวงตาเปียกชื้นไม่มีน้ำตาอีกต่อไป“ศิษย์น้อย เรากลับกันก่อนเถอะนี่ก็ดึกแล้ว” เธอน่าจะนั่งอยู่แบบนั้นนาน
โรงพยาบาลเอกชนฝูต้านับเป็นเรื่องปกติของโรงพยาบาลที่จะมีคนไข้ฉุกเฉินถูกนำตัวมาส่งได้ตลอดเวลา แต่คราวนี้พิเศษกว่าทุกครั้งเพราะคนไข้คือเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้เหล่าผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ระดับสูงต่างได้รับการแจ้งเตือน คนไข้ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดหลังแพทย์เวรตรวจอาการเบื้องต้นศัลยแพทย์หัวใจมือดีที่สุดของโรงพยาบาลถูกตามตัวเร่งด่วน โชคดีที่เขาไม่มีคิวผ่าตัดเวลานี้ ไฟห้องผ่าตัดสีแดงสว่างจ้าแยงตาของหลี่เหม่ยถิงมานับชั่วโมง ดวงตาดอกท้อแดงก่ำจ้องเขม็งไปในทิศทางเดียว ไม่สนใจว่าจะมีใครอื่นเดินวนเวียนอยู่รอบตัวร่างกายบอบบางยืนพิงผนังปูนสีขาว สองแขนกอดอกแน่น รังสีมืดดำเย็นชาพาบรรยากาศยิ่งหนักอึ้งไม่มีใครกล้าขยับเข้าไปใกล้หยางฝูเหว่ยเป็นคนขับรถพาทุกคนในความดูแลของเขามาโรงพยาบาล สายตาคมติดแววกังวลในหน่วยลึกกวาดมองผู้คนพลุกพล่านรอบตัว มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงยืนจับกลุ่มกระซิบกระซาบกันทางหนึ่งติงหรูอี้ยืนเหยียดหลังตรงมีหลี่เหม่ยหลินร้องไห้กระซิกซบอกคนเป็นแม่ ท่านผู้เฒ่าติงกับพ่อบ้านติงนั่งอยู่ข้างกันบนเก้าอี้ที่พ่อบ้านฝูจัดหามาให้ พนักงานในโรงพยาบาล พยาบาล ผู้ช่วยหลายคนยืนชะเง้อยืดคอมองด้วย
“หลี่ซีซวนคนสารเลว คุณทำแบบนี้กับฉันและลูกได้ยังไง ต่อไปเราจะกล้าเงยหน้ามองใครได้อีก” พอตั้งสติได้คุณผู้หญิงของบ้านก็ลงมือตบตีประมุขของบ้านพัลวัน ชายผู้ยังรู้สึกผิดก็ยืนนิ่งให้ภรรยาทุบตีฉีฟ่านเข้ามาแยกทั้งสองคนออกแล้วจึงแนะนำให้ขึ้นไปคุยกันต่อบนห้องหนังสือ“ตอนนั้นคุณรับปากแล้วว่าจะไม่มีวันพูดเรื่องนี้กับใคร แค่ที่เราแต่งงานกันแต่คุณไม่ยอมจดทะเบียนยังเป็นการลงโทษฉันไม่พอรึไง ทำไมคุณถึงยังพูดมันออกมา ทำไม“ ติงหรูอี้ที่คุมอารมณ์ไม่อยู่ ถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ“ถ้าคุณไม่วางยาผม เรื่องมันจะเกิดขึ้นรึไงกันล่ะ ตอนนั้นผมให้คุณมาเป็นแค่พยาบาลพี่เลี้ยงถิงเออร์เท่านั้นนะ อย่าลืมสิ แล้วที่ผมยอมแต่งเพราะคุณท้อง พี่ชายคุณมาขอร้องให้ช่วยรักษาหน้าของตระกูลติง เราถึงแต่งกันแค่ในนาม ข้อตกลงก็ร่างเป็นสัญญาเก็บไว้ไม่ใช่หรือไง”หลี่ซีซวนยังคงยึดถือข้อตกลงเดิมมาพูดถึง“เวลานานขนาดนี้แล้วคุณไม่คิดเปลี่ยนใจจะสร้างครอบครัวกับฉันบ้างเลยงั้นเหรอ ฉันทั้งดูแลคุณ ดูแลบ้าน ดูแลลูก ๆ ให้คุณ คอยสนับสนุนคุณทุกอย่าง” ติงหรูอี้ถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเขาไม่คิดจะอ่อนลงเลย“ผมบอกคุณแล้วว่า ไม่รักก็คือไม่รัก คุณก็ยังรั้
สวีอวี้เจ๋อมอบตัวแต่…คนที่เขาซัดทอดไปได้เป็นเพียงชายที่ชื่อปู้ข่าย หรือหมีดำฉายาที่คนบนท้องถนนเรียกเขา ชายคนนี้รับงานเป็นนายหน้าจัดการเรื่องสกปรกต่าง ๆ ให้กับใครก็ตามที่พร้อมจ่ายเงินให้ปู้ข่ายถูกจับกลับมากับพรรคพวกอีก 4 คน น่าเสียดายที่เบาะแสสะดุดหยุดลงตรงนี้อีกครั้งหมีดำรับงานไม่เป็นหลักแหล่งแน่ชัด ติดต่อผ่านทางเบอร์โทรที่ส่งต่อกันเฉพาะคนรู้จักหรือลูกค้าเก่าแนะนำมา รับเงินมัดจำครึ่งหนึ่งโดยโอนเข้าบัญชีธนาคารที่เขาระบุหมายเลขไปให้ ส่วนที่เหลือจ่ายหลังจากเขาส่งหลักฐานการทำงานก่อนลงมือขั้นสุดท้ายไปให้ หากลูกค้าเบี้ยวเขาก็จบงานไม่ทำต่อ“นี่คุณตำรวจผมบอกแล่วไง ว่าไม่รู้ ทำไปแค่นึกสนุกอยากฆ่าคนเล่นสุ่มไปเรื่อย คนจงคนจ้างไม่มีหรอก” ปู้ข่ายยังพยายามเล่นลิ้นน้ำเสียงยียวน“ถ้าไม่มีผู้จ้างวานเท่ากับนายอยู่เบื้องหลังทั้งหมด จะรับสารภาพตามนี้หรือเปล่าล่ะ ถ้ารับก็เซ็นเอกสารนี่นายได้ติดคุกหัวโตแน่” มือคล้ำแดดของนายตำรวจรุ่นใหญ่เลื่อนกระดานหนีบเอกสารไปฝั่งตรงข้าม ขณะที่เขากดหยุดเทปบันทึกคำให้การไปด้วย‘ก็แค่ติดคุก ทำอย่างกับเขาไม่เคยติด แค่ข้อหาจ้างวานกับพยายามฆ่า ลองหาพรรคพวกวิ่งเต้นนิดห
3 วันต่อมา“แชมป์เป็นคนของเฉิงตู ก็ต้องเป็นแชมป์ของเฉิงตูสิ”“แต่แชมป์ไปเรียนที่ซานซี สอบก็ส่งชื่อในนามของซานซี ก็เป็นแชมป์ของซานซีถูกแล้ว”“หลีกทางหน่อย ๆ ขอพบนักเรียนหลี่เหม่ยถิงหน่อยครับ”“เฮ้ย อย่าเบียดเข้ามาสิวะ”“เฉิงตูเดลี่ขอสัมภาษณ์นักเรียนหลี่เหม่ยถิงและครอบครัวหน่อยครับ”ฝูหย่งอันมองภาพความวุ่นวายหน้าประตูรั้วนอกบ้านด้วยสายตาภาคภูมิ ดูสิคุณหนูของบ้านเขาเก่งกาจขนาดไหน แม้แต่ผู้ว่าการสองมณฑลยังมายื้อแย่งผลสอบเกาเข่าอย่างเป็นทางการออกแล้ว!“คุณผู้ชายจะให้จัดการข้างนอกอย่างไรดีครับ มีผู้ว่าการมณฑลมาพร้อมธงประกาศเกียรติยศ นักข่าวมาขอสัมภาษณ์ แล้วก็คนจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งมาขอพบคุณหนูใหญ่” พ่อบ้านชรากลับเข้ามายังห้องโถงใหญ่ของบ้าน ตอนนี้เจ้านายทุกคน รวมถึงอาจารย์และคุณผู้ดูแลของคุณหนูก็มากันครบ“ถิงเออร์ลูกเก่งมาก พ่อภูมิใจในตัวลูกมากจริงๆ ลูกจะให้จัดการยังไงวันนี้ปล่อยให้ลูกตัดสินใจได้เลย” หลี่ซีซวนออกปากชมไม่หยุด ท่าทางตื่นเต้นหน้าแดงมีเลือดฝาด รอยยิ้มกว้างไม่เคยหดหายนับตั้งแต่หลี่เหม่ยถิงเช็กผลคะแนนสอบเมื่อเช้าหลี่เหม่ยถิงยิ้มรับคำชมจนตาปิด วันนี้เธอใช้แว่นตากรอบบาง