10 นาทีต่อมา
แกร๊ก “เหม่ยถิงงงงงง ช่วยด้วย!” แค่เปิดประตูเข้ามาในห้องพัก เฉินซินหยานที่คงคอยท่าอยู่นานแล้วรีบพุ่งเข้าหา หลี่เหม่ยถิงเบี่ยงตัวหลบออกด้านข้าง ตัวของเพื่อนสาวจึงพุ่งเข้าชนกับประตูดังโครม “เหม่ยถิงอ่ะ ทำไมทำกับเพื่อนรักแบบนี้ เพื่อเป็นการไถ่โทษมาช่วยทำการบ้านเลยนะ” เฉินซินหยานร้องทุกข์แต่เอาดีเข้าตัว พ่วงด้วยแบล็กเมลกันเสร็จสรรพ “ไม่ได้อาจารย์อู๋จำลายมือพวกเราได้ อาจารย์คาดโทษเธอไว้นะลืมแล้วเหรอ หรืออยากไปช่วยล้างห้องน้ำตึกพักอาจารย์” “แต่มันไม่เข้าใจนี่” เฉินซินหยานยังพยายามขอความเห็นใจ “เฉินซินหยาน!!!” “อะไรเล่า ทำไมต้องเสียงดังด้วย” “เธอไม่ได้โง่เธอแค่ขี้เกียจ ฉันบอกไว้ก่อนนะฉันเลือกมหาวิทยาลัยปักกิ่ง อีก 10 เดือนจะสอบเกาเข่าเธอจะทำตัวขี้เกียจเหมือนเดิม หรือจะทุ่มเทกับการเรียนแล้วไปปักกิ่งด้วยกัน เธอเลือกเอาเอง” ในภาพฝันที่ไปเยือนอีกมิติ เฉินซินหยานยังคงทำตัวเอ้อระเหยจนจบการศึกษา สุดท้ายสอบเกาเข่าได้ผลลัพธ์ไม่ดี ครอบครัวจึงส่งไปเรียนเมืองนอก แล้วก็ไม่ได้กลับมาจีนอีกเลย ทั้งยังมีจุดจบที่ไม่สวยนักเช่นเดียวกันกับเธอ “ถึงฉันจะไม่ได้โง่ แต่ฉันไม่ชอบพวกวิชาคำนวณเลยนะ เรียนไปไม่ถึง 10 นาทีหลับทุกทีเลย ถ้าจะให้สอบติดมหาวิทยาลัยในปักกิ่งนอนหลับฝันเอายังมีหวังมากกว่า” “เด็กโง่...ซินหยานเธอไม่จำเป็นต้องเลือกสอบวิชาพวกนี้ ใช้สิ่งที่เธอถนัดแล้วมุ่งหน้าไปทางนั้นสิ” “ฉันเนี่ยนะ? ฉันมีอะไรที่ถนัดด้วยรึไง ทำไมตัวฉันเองไม่รู้ล่ะ” “นึกดูดี ๆ สิ เอาอย่างนี้ เธอชอบทำอะไร อยากทำอะไร” “ชอบกิน! แล้วอยากเป็นปลาเค็ม ” ผัวะ!!! ฝ่ามือพิฆาตตบลงบนกระหม่อมของเพื่อนซี้อย่างไม่ออมมือ ชี้หน้าให้หยุด ถ้ายังพูดไร้สาระเธอจะฟาดอีกที “ก็อยากนอนเฉย ๆ ให้ที่บ้านเลี้ยงไม่ได้เหรอ” “ยังจะเถียงอีก ตอนพ่อแม่เธอยังอยู่เธอจะนอนเป็นปลาเค็มไม่มีใครว่า เกิดวันไหนพวกท่านไม่อยู่อีกต่อไปล่ะ เธอคิดว่าพี่สะใภ้ในอนาคต จะยอมให้น้องสามีเป็นปลาเค็มเกาะพี่ชาย?” ‘ง่ายมาก เหม่ยถิงเธอก็มาเป็นพี่สะใภ้สิ ฉันจะได้กลายเป็นปลาเค็มได้ตลอดชีวิต’ เฉินซินหยานคิดในใจอย่างหมายมาด แต่ไม่กล้าพูดออกมาจึงได้แต่นิ่งเงียบ พยายามทำตัวเล็กเข้าไว้ “เอาล่ะอย่านอกเรื่อง ซินหยานสนใจออกแบบแฟชั่นไหม จบแล้วไปเปิดแบรนด์เสื้อผ้า รสนิยมเรื่องการแต่งตัวของเธอดีมากนะ อีกอย่างเธอมีต้นแบบดีอย่างน้าสาวที่ไปเปิดตลาดในเซี่ยงก่าง ไม่ต้องเริ่มตั้งแต่ศูนย์” “อ๊า! นี่มันน่าสนใจมากเลย แต่ฉันจะทำได้เหรอ การแต่งตัวกับการออกแบบมันคนละเรื่องเลยนะ อีกอย่างเปิดแบรนด์มันก็ต้องคอยบริหารจัดการอีก ฉันทำไม่ได้แน่” “ไม่เห็นจะยาก เราก็ทำด้วยกันเลยไง เธอก็ทำเรื่องดีไซน์ไปเดี๋ยวเรื่องการบริหารจัดการพวกนั้นฉันทำให้เอง” “ว้าว! มันมีวิธีนี้อยู่นี่นา เหม่ยถิงฉลาดจริงด้วย” ไอ้ประโยคฉลาดจริงด้วยนี่มันยังไง มุมปากหลี่เหม่ยถิงถึงกับกระตุก มือชักอยากจะฟาดอีกสักที ดูจากหน้าตาล้อเลียนของซินหยานนี่คงจะตั้งใจสินะ “แต่ว่านะเหม่ยถิง เหลือแค่ 10 เดือนจะไหวเหรอ” เฉินซินหยานนั้นข้อดีมีหลายอย่าง เสียตรงขี้เกียจตัวเป็นขนหากเห็นหนทางข้างหน้ายากลำบาก เธอจะยอมแพ้ได้ง่ายถ้าแรงจูงใจไม่แก่กล้าพอ “เราจะได้เรียนปักกิ่งด้วยกันไง อีกอย่างออกแบบแฟชั่นเขาดูผลงานเป็นหลักไม่ได้เน้นเกรด 10 เดือนนี้เธอก็ขยันออกแบบแล้วอ่านพวกวิชาที่เกี่ยวกับแฟชั่นและการดีไซน์” “ไม่เท่ากับว่าต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นเลยเหรอ” พอได้ฟังแบบนี้แล้ว ความฮึกเหิมก่อนหน้าของเฉินซินหยานแทบจะดับมอดทันที มองหลี่เหม่ยถิงอย่างไม่แน่ใจ แต่จะให้ล้มเลิกเกรงว่าจะโดนฝ่ามืออีกรอบ “เรียนออกแบบทำแบรนด์เสื้อผ้า ต่อไปคงได้เจอนายแบบนางแบบหรือแม้แต่ดารามากมาย” เสียงใสของหลี่เหม่ยถิงดังตัดบรรยากาศหดหู่เหมือนน้ำทิพย์จากสวรรค์รดลงบนไฟต่อสู้ที่ใกล้มอด “ดีล!! ฉันสู้ตายเลยล่ะ” หลี่เหม่ยถิงได้แต่กรอกตามองบนให้มิตรภาพที่แพ้ให้กับหน้าตาของผู้คนในมโนคติของเฉินซินหยาน โรงพยาบาลเอกชนฝูต้า “ลู่เสียน เวลาของผมเริ่มนับถอยหลังแล้ว หากเราได้พบกันอีกในโลกหน้าผมจะขอขมาต่อคุณ ผมอยากขอโทษคุณมาตลอด แต่คุณไม่ต้องห่วงนะผมเลี้ยงลูกสาวของคุณกับ…แค่ก..แค่ก…มาอย่างดี เหม่ยถิงแกเป็นเด็กดีมาก” หลี่ซีซวนที่แต่งตัวเรียบร้อยเตรียมตัวออกจากโรงพยาบาล ในมือถือผ้าเช็ดหน้าผ้าฝ้ายเนื้อหยาบสีเทาอ่อนกำลังนั่งจมจ่อมอยู่ในภวังค์ความคิด โดยไม่รู้ว่าหน้าประตูมีสายตาเสียใจปนเคียดแค้นจ้องมองอยู่ ‘ซีซวนจนปานนี้คุณยังคงคิดถึงแต่นังแพศยานั่น มันเป็นใครมีดีกว่าฉันที่เป็นคู่หมายตามประเพณีและแม่สื่อแค่ไหนกันเชียว’ “คุณคะ เรียบร้อยแล้วหรือยังคะ” ติงหรูอี้ปั้นหน้ายิ้มแย้มเดินเข้ามาในห้อง สายตาจับจ้องผ้าเช็ดหน้าในมือของสามีหวังจะเห็นความรู้สึกผิด “เอาล่ะ เรากลับกันเถอะ” หลี่ซีซวนไม่ได้รีบร้อนเก็บผ้าผืนนั้น แต่ค่อย ๆ พับอย่างดีแล้วสอดเข้าอกเสื้อด้านในตรงตำแหน่งใกล้หัวใจ สายตาหากแผดเผาทำลายได้ ผ้านั่นคงไหม้เป็นจุณ ติงหรูอี้ยืนตัวสั่นเทิ้ม ขบเคี้ยวด้านในปากจนเลือดกลบ ‘ฉันทำอะไรแกไม่ได้ แต่ลูกสาวแกอย่าหวังว่าจะมีชีวิตที่ดี!’ ยังไงเสียเธอก็ยังได้ชื่อว่าเป็น ‘แม่’ ของนังเด็กราคาถูกนั่น เธอสั่งให้ไปซ้ายมันไม่มีทางไปขวาแน่นอน ใช้เวลาราว 50 นาที ครอบครัวหลี่ก็เดินทางกลับมาถึงบ้านของตระกูล หลังจากรถเลี้ยวเข้ามาจอดยังหน้าประตูไม้แกะสลักบานใหญ่ หลี่เหม่ยหลินที่ยืนรอทุกคนอย่างกระวนกระวายรีบเดินออกไปรับ “คุณพ่อคุณแม่ ขอต้อนรับกลับบ้านค่ะคุณพ่อ” เสียงอ่อนหวานของเด็กสาวออดอ้อนคนเป็นพ่อแม่ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูได้จากผู้ใหญ่ที่เพิ่งก้าวลงจากรถได้ดี “เก่งก็แต่กับเรื่องออดอ้อนเอาใจนะเราน่ะ ไปเข้าไปคุยกันในบ้าน” สองพ่อลูกเดินประคองกันเข้าไปในห้องรับแขกของบ้าน ส่วนติงหรูอี้ผ่อนฝีเท้าไม่ได้เดินตามไปทันที นางปรับเปลี่ยนสีหน้าให้ดูอมทุกข์หม่นเศร้า หลี่เหม่ยหลินสังเกตเห็นความหม่นหมอง รอยยิ้มจืดเจื่อนของแม่ตัวเองก็ลอบกำหมัดจนหลังมือขาว แม่ของเธอต้องทนกล้ำกลืนเก็บลมหายใจให้กับแสงจันทร์ขาว ในใจของคุณพ่อมาตลอด นี่ก็คงมีเรื่องนังชู้รักนั่นให้สะกิดใจอีกเป็นแน่ “แม่คะ เราขึ้นไปดูห้องคุณพ่อกันดีกว่าค่ะ พวกคนงานในบ้านมือไม้หนักอาจจะทำความสะอาดได้ไม่ดี” “จะดีเหรอลูก อยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อก่อนดีกว่านะ” ติงหรูอี้ทำท่าทางปฏิเสธแล้วลอบมองสีหน้าของหลี่ซีซวน แต่ไร้ปฏิกิริยาอื่นใดกับคำพูดห่วงใยของเธอ “คุณขึ้นไปกับลูกเถอะ ผมมีเรื่องจะสอบถามพ่อบ้านฝูพอดี” “ได้ค่ะ” หลี่เหม่ยหลินจับจูงกึ่งลากติงหรูอี้ขึ้นไปยังชั้นบน คฤหาสน์หลังนี้มีทั้งหมด 3 ชั้น ห้องของแม่กับเธออยู่ทางปีกซ้าย ปัง!!! “แม่คะ คุณพ่อทำอะไรให้แม่ไม่สบายใจอีกใช่ไหมคะ” หลังเข้ามาในห้องนอน หลี่เหม่ยหลินรีบหันมาถามแม่ของเธอทันที “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะหลินเออร์” ติงหรูอี้ส่งยิ้มลำบากใจเหมือนทุกทีให้ลูกสาว เม้มริมฝีปากเคลือบลิปสีแดงสดเป็นเชิงไม่อยากพูดถึง หลี่เหม่ยหลินอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจนี้ จู่ ๆ ดวงตากลมโตดุจเมล็ดซิ่งสว่างวาบเหมือนคิดสิ่งใดออก “เดี๋ยวหนูขอแวะไปคุยกับคุณพ่อที่ห้องทำงานหน่อยนะคะ” รีบร้อนบอกคำกับแม่เสร็จหลี่เหม่ยหลินก็รีบเดินจนเกือบจะเป็นวิ่งออกไปปีกขวาของบ้าน ก๊อก ก๊อก “คุณพ่อคะ หลินเออร์เองค่า หนูมีเรื่องวันเกิดพี่ใหญ่จะปรึกษาค่า” “หลินเออร์เหรอลูกเข้ามาสิ” เสียงของหลี่ซีซวนยามคุยกับลูกสาวคนเล็ก ยังเจือความอบอุ่นต่างกับเสียงชืดชาที่ใช้กับภรรยาลิบลับ “คุณพ่อคะคุณพ่อ ปีนี้พี่ใหญ่จะอายุครบ 18 ปีแล้ว เราจัดงานเฉิงเนี่ยน ทำเซอร์ไพรส์พี่ใหญ่กันเถอะนะคะ” “ลูกคิดได้ตรงใจพ่อจริง ๆ พ่อกำลังเรียกเหล่าฝูมาคุยเรื่องนี้พอดี ไหนลูกลองบอกความเห็นของลูกมาสิ” เสียงพูดคุยของสองพ่อลูกแว่วออกมาให้คนที่ยืนแอบฟังอยู่ข้างกำแพงจับใจความได้ก่อนประตูห้องทำงานจะปิดลงและไม่ได้ยินสิ่งใดอีก รอยยิ้มสาสมใจจุดขึ้นบนเรียวปากสีแดงสดก่อนจะหมุนตัวเดินหันหลังกลับเข้าห้องส่วนตัวไปเวลา 14.10 น. วันต่อมาป้อมยามหน้าโรงเรียน“สวัสดีค่ะลุงเหมา หนูมารับของค่ะ”“อ้า…ประธานนักเรียนมาพอดีเลย เข้ามารอก่อนครับ เดี๋ยวลุงหยิบให้”ไม่นานลุงเหมาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยกะบ่ายก็ส่งซองเอกสารให้ 2 ซอง‘หืม?’ หลังขอบคุณหลี่เหม่ยถิงรับซองเอกสารมาดู มีลายมือหนักแน่นทรงพลังบนซองปิดผนึกเขียนชื่อของเธอไว้‘พี่ชายคนนั้นทำอย่างที่พูดจริงเสียด้วย’ เธอลองกะความหนาของเอกสารอย่างน้อยน่าจะมี 10 แผ่นขึ้นไป ควรจะขอบคุณเขาเสียหน่อย‘ขอบคุณสำหรับประวัติค่ะ จะตั้งใจอ่านอย่างดี :)’ติ๊ด ติ๊ด‘ไม่เป็นไรครับ ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถาม‘พรืด! คิกคิก‘ประวัติส่วนตัวนะคะ ไม่ใช่รายงานที่ไม่เข้าใจตรงไหนแล้วจะให้ถามน่ะ’หลี่เหม่ยถิงเดินกลับเข้าแคมปัสไปก็ส่งข้อความโต้ตอบกับคนไกลไปด้วย ไม่สนเลยว่าจะมีข่าวลืออะไรบ้างจากท่าทางแปลกประหลาดที่นักเรียนไม่เคยเห็นจากประธานผู้เคร่งขรึม“นักเรียนเหอจูอิ๋ง เข้าพบประธานนักเรียนที่ห้องประธานสภานักเรียนด่วนค่ะ“เสียงประกาศเรียกชื่อเข้าพบประธานนักเรียน ผู้โชคร้ายรายแรกของปีการศึกษาปรากฏตัวขึ้นมาก่อนหน้าจะเปิดภาคการศึกษาแค่ 3 วันจริงแล้วการลงโทษจากสภานักเรียน
12.00 น. วันต่อมา ติ๊ด ติ๊ดเสียงเตือนข้อความเข้าทำเอาหลี่เหม่ยถิงตะครุบโทรศัพท์อย่างเสียอาการนิ่งสงบ‘มีเบาะแสเพิ่ม มีแนวโน้มว่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุ’หลี่เหม่ยถิงถอนใจกับตัวเองด้วยความผิดหวัง ไม่ใช่ข้อความจากพี่ใหญ่ฉิน แต่อย่างน้อยข้อความนี้ก็เรียกสีหน้าตื่นตัวจากความเฉื่อยชาเรื่องงานของสภานักเรียนได้“ประธานรอข้อความสำคัญเหรอคะ” จ้าวลี่จูผู้กำลังรายงานข้อเรียกร้องการจัดสรรงบชมรมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ไม่บ่อยนักที่ประธานจะออกท่าทางลุกลน“อือ” พยักหน้าแบบผ่าน ๆ ขณะกำลังเท้าคาง ในสมองก็เริ่มนึกถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ ของอุบัติเหตุ เบาะแสเพิ่งเริ่มปรากฏ ยังยืนยันไม่ได้ว่ามีคนจงใจจัดฉาก เธอควรใจเย็นรอหวางอู๋ซวนมีข้อมูลมากกว่านี้เฮ้อ!“การได้แต่นั่งรอเพราะทำอะไรไม่ได้นี่มันอึดอัดใจจริงเชียว” บ่นเสร็จก็ลุกขึ้นจากหลังโต๊ะทำงาน ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ดหลี่เหม่ยถิงที่ทำเป็นลืมโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ หันตัวกลับไปคว้ามันขึ้นมาแล้วก้มหน้าเช็กข้อความ‘เพ้ย! ใครมันเล่นตลกกับฉันหรือไง ส่งข้อความที่ไม่ได้รอมาแทรกอะไรกันนัก!’ หลี่เหม่ยถิงที่เริ่มหงุดหงิด ยกมือทำท่าจะปาโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ“ประธานอย่าปาน
ปี 1997ณ โรงพยาบาลเอกชน ฝูต้า“อย่ามาเรียกฉันว่าแม่!! แกไม่ใช่ลูกของฉัน!!”“แกมันก็แค่มารหัวขน ลูกชู้ที่พ่อแกอุ้มกลับมาให้ฉันเลี้ยงดู”“จุ๊ ๆ คุณแม่ดูสิคะ สารรูปนังเหม่ยถิงดูไม่ได้เลย นี่คงใกล้จะตายเต็มทีทางแพทย์เจ้าของไข้ถึงโทรไปตามให้เรามาดูใจมันนะคะ” “ดูสิเสื้อผ้าหน้าผมสารรูปผีไม่ใช่คนไม่เชิงนี่ก็ผลงานชิ้นเอกของฉันทั้งนั้น”ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่าถ้อยคำเสียดแทง เสียงหัวเราะเย้ยหยันสะใจดังก้องสะท้อนไปมาภายในจิตใต้สำนึกที่หลับไหลของผู้ป่วยอาการโคม่า มีหยาดน้ำสีใสก่อตัวที่หางตา ร่างผอมบางขาวซีดที่นอนแน่นิ่งมากว่า 1 เดือนเกร็งกระตุก“คนไข้วิกฤติ เตียง 1 มีการตอบสนอง โทรตามอาจารย์เย่เร็วเข้า!!!”เสียงพูดรัวเร็วเป็นจังหวะทะลุผ่านโสตประสาทของร่างขาวบอบบางที่กำลังอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น สติและความรับรู้ภายนอกยังไม่กลับมาสมบูรณ์ เพียงรู้สึกได้ลาง ๆ เหมือนเปลือกตาถูกแยกออก มีแสงสว่างจ้าส่องตรงเข้านัยน์ตาดอกท้อจนต้องพยายามกะพริบกั้นแสง ไม่นานสติสัมปชัญญะก็ดับวูบลงอีกครั้ง3 วันผ่านไป“รุ่นพี่คะ คนไข้ห้องพิเศษ 3 ไม่มีคนทางบ้านมาเฝ้าไข้เลยเหรอคะ?““จุ๊ ๆ อย่าเอ็ดไปนะอาจือ นั่นคุณหนูหล
1 เดือนต่อมา ณ โรงพยาบาลเอกชน ฝูต้า “คุณหนูใหญ่ ไม่ลองทบทวนเรื่องกลับไปพักที่บ้านสักอาทิตย์อีกรอบหรือครับ” คำเรียกขานพาให้มือที่กำลังสาละวนเปิดดูข้อความในโทรศัพท์มือถือชะงักไปชั่ววินาที “ลุงหย่งอันคะ อีก 2 อาทิตย์ก็ถึงวันเปิดเทอมแล้ว หนูยังไม่ได้ทำรายงานกับการบ้านเลยค่ะ ไปพักที่โรงเรียนน่าจะทำงานได้สะดวกกว่า” ฝูหย่งอัน มองคุณหนูน้อยที่ตนกับภรรยาช่วยกันดูแลมาตั้งแต่ยังเป็นทารกตัวแดงด้วยสายตาอึดอัดและสงสารเห็นใจ คนในบ้านหลี่มีใครไม่รู้บ้างว่าคุณหนูใหญ่รักครอบครัวขนาดไหน ปิดเทอมแต่ละครั้งก็ตั้งตารอที่จะได้กลับบ้าน ครืด! ประตูทางด้านหลังเปิดออก เสียงทรงพลังของหญิงวัยกลางคนดังมาก่อนเจ้าตัว “ตาแก่ ยืนนิ่งอยู่ทำไมไม่ช่วยคุณหนูเก็บของฮ๊า หลบไปไม่ต้องแล้วเดี๋ยวฉันทำเอง” ร่างท้วมกระฉับกระเฉงของหงหนิวอี หันไปขึงตาใส่พ่อบ้านตระกูลหลี่สามีของตนอย่างไม่พอใจ “คุณหนูเหม่ยถิง เดี๋ยวป้าเก็บให้เองค่ะ ไปไป นั่งพักก่อน ลุกขึ้นมาทำไมคะเนี่ย วันนี้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วก็จริง แต่ร่างกายยังผ่ายผอมขนาดนี้เดี๋ยวเกิดเป็นลมขึ้นมาจะทำยังไงคะ” เสียงอ่อนโยนแตกต่างกับเสียงคำรามก่อนหน้าเป็นคนละคน ไล
“คุณหนูใหญ่ครับถึงสนามบินแล้ว” เสียงลุงหย่งอันเรียกหลังจากลงไปเปิดประตูรถให้ หลี่เหม่ยถิงที่กำลังเช็กข้อความในโทรศัพท์ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ก้มดูนาฬิกาข้อมือ คำนวณระยะเวลาเช็กอินคิดว่าจะเดินไปซื้อชาร้อนดื่มสักแก้ว“ลุงหย่งอันกับอาฉีกลับกันได้เลยนะคะ” “เรียบร้อยแล้วครับคุณหนูใหญ่” เสียงเข้มตอบมาจากทางด้านหลังของพ่อบ้านของตระกูล ร่างสูงอุดมไปด้วยมัดกล้ามที่แทบจะปริออกมาจากชุดสูทสากลสีดำเดินมายืนข้างลุงหย่งอันฉีฟ่านเป็นบอดี้การ์ดของคุณพ่อมานานหลายปี ชายร่างใหญ่หน้าเหลี่ยม คิ้วและปากหนา ตาคมปีกจมูกบานออก หูด้านขวามีรอยแหว่งจากรอยแผลสมัยที่ยังคงอยู่ในกองทัพ โดยรวมภาพลักษณ์ดูดุดันแตกต่างชัดเจนกับคนเป็นพ่อบ้านชนิดคนละขั้วลุงหย่งอันผอมเพรียว ยืนเหยียดหลังตรงในชุดสูท 5 ชิ้นดูน่าอึดอัดท่ามกลางอากาศอบอ้าวในช่วงฤดูร้อน แก้มตอบเข้าทำให้โหนกแก้มดูสูง หางตาตกแต่มีประกายฉลาดเฉลียว สองคนนี้คนหนึ่งดูเป็นคนใช้เรี่ยวแรงในการทำงาน อีกคนดูทรงภูมิท่วงท่าคล้ายบัณฑิตไม่มีแม้แรงจะมัดไก่ทำให้คิดถึงรูปร่างอวบท้วมใบหน้ากลมมน หน้าผากกว้างแต่เรียวปากบางของป้าหนิวอี หากจับทั้งสามยืนรวมกันคงเกิดเป็นทัศนียภา
ตึกหัวใจเต้นผิดจังหวะกับคำชมแสนสั้นแต่น้ำเสียงหนักแน่นหลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงพูดคุยระหว่างคนทั้งสอง มีเพียงเสียงย่ำเท้ากับเสียงหายใจที่ดังชัดเจนในยามค่ำคืน“คุณ…นั่งหลบตรงนี้ก่อน เดี๋ยวฉันขอไปดูลาดเลาตรงทางเข้าก่อน”เสียงกระซิบแผ่วเบาไม่ทันจะพูดจบก็มีเสียงตะโกนแทรกขึ้นมาเสียก่อน“ใครอยู่ตรงนั้น? ออกมาเดี๋ยวนี้!”เฮ้ย!! จู่ ๆ หลี่เหม่ยถิงก็ยื่นหน้าถลำออกไปจากหลังต้นไม้ ทำเอาเจ้าของเสียงขึงขังตกใจจนแทบจะหงายหลังหน้าขาวซีดในป่าตอนกลางคืน มันสยองน้อยเสียเมื่อไหร่“ประธานนักเรียนหลี่นี่เอง ลุงตกใจหมด”‘ถงกวงต๋า’ พนักงานรักษาความปลอดภัยกะดึกของโรงเรียนคุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับประธานนักเรียน เพราะเด็กสาวมักจะออกตรวจตรารอบบริเวณทางออกด้านหลังเป็นประจำทุกสัปดาห์ ตั้งแต่ขึ้นแท่นเป็นประธานนักเรียนเมื่อ 2 ปีก่อน“ฉันเองค่ะลุงถง ขออภัยที่ทำให้ตกใจนะคะ พอดีทำของตกกำลังมองหาน่ะค่ะ“หลี่เหม่ยถิงแก้ตัวออกไปด้วยมาดนิ่งขรึมทรงภูมิ ดูน่าเชื่อถือเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด เธอเป็นนักเรียนที่ได้ชื่อเป็นสารานุกรมกฎระเบียบเคลื่อนที่ ไม่เคยแหกกฎ เที่ยงตรง ทรงธรรมมากที่สุด สำหรับทำให้คนภายนอกดูน่ะนะ
โรงเรียนไท่หรงฮุ่ยเหวิน เป็นโรงเรียนประจำหญิงล้วนที่เปิดรับนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย หลี่เหม่ยถิงนับว่าเป็นนักเรียนเก่าแก่คนหนึ่ง เธอถูกส่งเข้ามาเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อยู่มา 10 ปีแทบจะหลับตาเดินได้ทั่วแคมปัส ถนนหนทาง ตรอกเล็ก ทางลัด ซอกซอยถูกจดจำได้อย่างแม่นยำกว่าบ้านตระกูลหลี่เสียอีก การพาคนบาดเจ็บแอบเข้าไปซ่อนจึงถือว่าเป็นเรื่องง่าย‘ฉันก็ทำเท่าที่จะช่วยได้แล้ว หวังว่าคุณคงผ่านพ้นคืนนี้ไปได้นะ’ เธอมีความเสียใจปนเสียดายเล็กน้อย เราทั้งคู่ไม่มีการแนะนำตัวไม่มีการเรียกขานชื่อ เหมือนคนแปลกหน้าที่แค่เดินสวนทาง ใช้เวลาร่วมกันเพียงเสี้ยวนาทีหนึ่งจึงไม่ควรเก็บมาจดจำ“มาแล้ว ๆ ปิดไฟด่วน”“กรี๊ด! กู่เฟิงหลี่มาแล้ว”“เก็บของซ่อนใต้ผ้าห่มเร็ว”ขณะที่จมอยู่กับความคิดตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็กำลังก้าวขึ้นบันไดหอพักนักเรียนตึกหนึ่ง มีเสียงโหวกเหวกวุ่นวายแบบไก่บินสุนัขกระโดด “เจ้าพวกนี้ นี่ก็ปีที่ 3 แล้วยังไม่จำเป็นบทเรียนกันอีกหรือไง” “ประธานหลี่ ถ้าจำกันได้คงไม่มีใครถูกลงโทษแล้วล่ะค่ะ วันนี้ใช้รูปแบบไหนดีคะ” จ้าวลี่จู เลขาสภานักเรียน อันเหิงเย่
พรึ่บ!หลี่เหม่ยถิงยกมือเป็นสัญญาณเงียบเสียง ในโรงเรียนนี้ยังมีใครกล้าไม่เชื่อฟังบ้าง? คำตอบคือไม่มี สถานที่นี้เป็นเหมือนแหล่งพักพิงระบายความกดดันจากที่บ้าน เธอเปรียบเสมือนจักรพรรดินีในโลกของเด็กวัยรุ่น“ไหนดูสิ เหอจูอิ๋ง เหอจูอิ๋ง ห้อง 304 เกิดที่ซานตง พ่อแม่ อืม…ข้ามไปก่อน อันนี้น่าสนใจเป็นตกขาวเพราะล้างทำความสะอาดน้องสาวไม่ดี” หนังสือในมือลดต่ำ เหลือบตามองทางเบื้องล่าง จุปากส่ายหน้าไปมา“กรี๊ดดดดด อ๊ายยยย อย่าไปฟังมันนะ มันโกหก อีบ้าแกอย่ามาใส่ร้ายฉัน” เหอจูอิ๋งตกใจจนแทบจะฉี่ราด แม้แต่เรื่องแบบนี้มันรู้ได้ยังไง เธอไม่ได้เป็นตกขาวเพราะว่าทำความสะอาดไม่ดีแต่เธอเป็นเพราะเกิดจากสาเหตุอื่นต่างหากปึก!“เซี่ยวเฉ่า ” เสียงเอ่ยพร้อมแสยะยิ้ม บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใช่ว่าหลี่เหม่ยถิงไม่รู้สาเหตุแต่แค่ยังไม่ได้พูดออกมาเหอจูอิ๋ง แข้งขาอ่อนแรงไถลลงไปนั่งแหมะกับพื้นหมดมาดดอกไม้งามประจำโรงเรียน เด็กสาวรีบกระถดตัวยื่นมือไปข้างหน้า“ประธานหลี่ พี่ใหญ่หลี่ ไม่ใช่สิ ย่าหลี่!!!… ต่อไปฉันไม่กล้าอีกแล้ว ท่านผู้ยิ่งใหญ่ปล่อยฉันไปสักครั้งเถอะนะ”โฮฮฮฮเหอจู่อิ๋งตกใจจนไม่เหลือสติจริง ๆ แล้ว ใช่สาเหตุ
12.00 น. วันต่อมา ติ๊ด ติ๊ดเสียงเตือนข้อความเข้าทำเอาหลี่เหม่ยถิงตะครุบโทรศัพท์อย่างเสียอาการนิ่งสงบ‘มีเบาะแสเพิ่ม มีแนวโน้มว่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุ’หลี่เหม่ยถิงถอนใจกับตัวเองด้วยความผิดหวัง ไม่ใช่ข้อความจากพี่ใหญ่ฉิน แต่อย่างน้อยข้อความนี้ก็เรียกสีหน้าตื่นตัวจากความเฉื่อยชาเรื่องงานของสภานักเรียนได้“ประธานรอข้อความสำคัญเหรอคะ” จ้าวลี่จูผู้กำลังรายงานข้อเรียกร้องการจัดสรรงบชมรมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ไม่บ่อยนักที่ประธานจะออกท่าทางลุกลน“อือ” พยักหน้าแบบผ่าน ๆ ขณะกำลังเท้าคาง ในสมองก็เริ่มนึกถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ ของอุบัติเหตุ เบาะแสเพิ่งเริ่มปรากฏ ยังยืนยันไม่ได้ว่ามีคนจงใจจัดฉาก เธอควรใจเย็นรอหวางอู๋ซวนมีข้อมูลมากกว่านี้เฮ้อ!“การได้แต่นั่งรอเพราะทำอะไรไม่ได้นี่มันอึดอัดใจจริงเชียว” บ่นเสร็จก็ลุกขึ้นจากหลังโต๊ะทำงาน ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ดหลี่เหม่ยถิงที่ทำเป็นลืมโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ หันตัวกลับไปคว้ามันขึ้นมาแล้วก้มหน้าเช็กข้อความ‘เพ้ย! ใครมันเล่นตลกกับฉันหรือไง ส่งข้อความที่ไม่ได้รอมาแทรกอะไรกันนัก!’ หลี่เหม่ยถิงที่เริ่มหงุดหงิด ยกมือทำท่าจะปาโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ“ประธานอย่าปาน
เวลา 14.10 น. วันต่อมาป้อมยามหน้าโรงเรียน“สวัสดีค่ะลุงเหมา หนูมารับของค่ะ”“อ้า…ประธานนักเรียนมาพอดีเลย เข้ามารอก่อนครับ เดี๋ยวลุงหยิบให้”ไม่นานลุงเหมาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยกะบ่ายก็ส่งซองเอกสารให้ 2 ซอง‘หืม?’ หลังขอบคุณหลี่เหม่ยถิงรับซองเอกสารมาดู มีลายมือหนักแน่นทรงพลังบนซองปิดผนึกเขียนชื่อของเธอไว้‘พี่ชายคนนั้นทำอย่างที่พูดจริงเสียด้วย’ เธอลองกะความหนาของเอกสารอย่างน้อยน่าจะมี 10 แผ่นขึ้นไป ควรจะขอบคุณเขาเสียหน่อย‘ขอบคุณสำหรับประวัติค่ะ จะตั้งใจอ่านอย่างดี :)’ติ๊ด ติ๊ด‘ไม่เป็นไรครับ ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถาม‘พรืด! คิกคิก‘ประวัติส่วนตัวนะคะ ไม่ใช่รายงานที่ไม่เข้าใจตรงไหนแล้วจะให้ถามน่ะ’หลี่เหม่ยถิงเดินกลับเข้าแคมปัสไปก็ส่งข้อความโต้ตอบกับคนไกลไปด้วย ไม่สนเลยว่าจะมีข่าวลืออะไรบ้างจากท่าทางแปลกประหลาดที่นักเรียนไม่เคยเห็นจากประธานผู้เคร่งขรึม“นักเรียนเหอจูอิ๋ง เข้าพบประธานนักเรียนที่ห้องประธานสภานักเรียนด่วนค่ะ“เสียงประกาศเรียกชื่อเข้าพบประธานนักเรียน ผู้โชคร้ายรายแรกของปีการศึกษาปรากฏตัวขึ้นมาก่อนหน้าจะเปิดภาคการศึกษาแค่ 3 วันจริงแล้วการลงโทษจากสภานักเรียน
10 นาทีต่อมาแกร๊ก“เหม่ยถิงงงงงง ช่วยด้วย!”แค่เปิดประตูเข้ามาในห้องพัก เฉินซินหยานที่คงคอยท่าอยู่นานแล้วรีบพุ่งเข้าหา หลี่เหม่ยถิงเบี่ยงตัวหลบออกด้านข้าง ตัวของเพื่อนสาวจึงพุ่งเข้าชนกับประตูดังโครม“เหม่ยถิงอ่ะ ทำไมทำกับเพื่อนรักแบบนี้ เพื่อเป็นการไถ่โทษมาช่วยทำการบ้านเลยนะ”เฉินซินหยานร้องทุกข์แต่เอาดีเข้าตัว พ่วงด้วยแบล็กเมลกันเสร็จสรรพ“ไม่ได้อาจารย์อู๋จำลายมือพวกเราได้ อาจารย์คาดโทษเธอไว้นะลืมแล้วเหรอ หรืออยากไปช่วยล้างห้องน้ำตึกพักอาจารย์”“แต่มันไม่เข้าใจนี่” เฉินซินหยานยังพยายามขอความเห็นใจ“เฉินซินหยาน!!!”“อะไรเล่า ทำไมต้องเสียงดังด้วย”“เธอไม่ได้โง่เธอแค่ขี้เกียจ ฉันบอกไว้ก่อนนะฉันเลือกมหาวิทยาลัยปักกิ่ง อีก 10 เดือนจะสอบเกาเข่าเธอจะทำตัวขี้เกียจเหมือนเดิม หรือจะทุ่มเทกับการเรียนแล้วไปปักกิ่งด้วยกัน เธอเลือกเอาเอง”ในภาพฝันที่ไปเยือนอีกมิติ เฉินซินหยานยังคงทำตัวเอ้อระเหยจนจบการศึกษา สุดท้ายสอบเกาเข่าได้ผลลัพธ์ไม่ดี ครอบครัวจึงส่งไปเรียนเมืองนอก แล้วก็ไม่ได้กลับมาจีนอีกเลย ทั้งยังมีจุดจบที่ไม่สวยนักเช่นเดียวกันกับเธอ“ถึงฉันจะไม่ได้โง่ แต่ฉันไม่ชอบพวกวิชาคำนวณเล
“ฉันสามารถเรียกคุณว่าอะไรได้”หลี่เหม่ยถิงเดินมาถึงก็หันไปถามชายแปลกหน้า“ฮ่า ฮ่า ขออภัยครับคุณหนู ผมชื่อหวางอู๋ซวน”“ลุงคือหวางอู๋ซวนจริงเหรอ!!?!”เสี่ยวโกวพูดแทรกอย่างตื่นตกใจ หลังจากได้รู้ชื่อของชายคนนั้น เขาพิจารณาหวางอู๋ซวนอย่างละเอียด คนบนท้องถนนของไท่หยวนไม่มีใครไม่รู้จัก “หมาล่าเนื้อหวางอู๋ซวน”แต่ไม่คิดว่าเทพลมไร้หลักแหล่งหาตัวจับยากจะดูเป็นชายหน้าตาท่าทางธรรมดาแบบนี้“หมาล่าเนื้อ” เป็นฉายาน่าเกรงขามที่เป้าหมายของหวางอู๋ซวนเรียกขาน เขาตามดมกลิ่นไปทั่่วแม้แต่กลิ่นผายลมเขายังไม่ปล่อยผ่าน กัดไม่ปล่อยจนกว่าจะขุดคุ้ยเรื่องราวของคนที่เขาติดตามออกมาทุกซอกทุกมุม และจะตามล่าไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวจนกว่าจะจับได้“ตัวจริงน่ะสิ หวางอู๋ซวนในไท่หยวนนี่มีใครกล้าแอบอ้างชื่อบ้างไอ้น้อง”หวางอู๋ซวนคาดหวังสายตาชื่นชมจากเด็กชายก็ให้ผิดหวัง เพราะเขาได้สายตาคลางแคลงแกมดูถูกมาแทน แถมยังพ่นลมขึ้นจมูกใส่เสียอีก‘เด็กเวร ถ้าคุณหนูไม่อยู่น่าจับมาสั่งสอน’“พี่สาวหลี่ ถ้าอย่างนั้นคงไม่ได้เรื่องแล้วล่ะ ลืมที่ผมพูดไปเสียเถอะ เขาโดนเราจับได้ง่ายขนาดนี้ เรื่องเล่านั่นคงพูดกันเกินจริง“หลี่เหม่ยถิงเป็น
พูดจบก็เอื้อมมือปิดปุ่มกระจายเสียง สวมฮู้ดคลุมหัวแล้วเดินมุ่งหน้าออกไปทางประตูหน้าของโรงเรียน ไม่สนใจเสียงร่ำไห้ โหยหวน ก่นด่าตามหลัง“เริ่มจากตรงไหนก่อนดีนะ อุบัติเหตุผ่านมา 3 เดือน เกรงว่าร่องรอยให้ตามต่อน่าจะยากเต็มที”3 เดือนที่แล้ว หลี่เหม่ยถิงประสบอุบัติเหตุรถชนขณะกำลังนั่งรถแท็กซี่เพื่อไปยังสนามบินไท่หยวน เหตุเกิดบนถนนใกล้กับทะเลสาบจินหยวนคนขับรถแท็กซี่บาดเจ็บพอประมาณ ขาหัก กระดูกแขนร้าว ส่วนตัวเธอที่นั่งอยู่เบาะหลังบาดเจ็บไม่ได้สตินอนโคม่าเกือบเดือน คนขับรถมาชนพวกเธอมอบตัวในที่เกิดเหตุ สาเหตุคือรถมีปัญหาเบรคแตกควบคุมรถไม่ได้ ตอนนี้เขาติดคุกอยู่ในเรือนจำรับโทษนาน 5 ปี คดีถึงชั้นศาล ตัดสินอย่างรวดเร็ว และปิดคดีอย่างง่ายดาย “ชีวิตของเธอมันราคาถูกเสียจริง ทุกสิ่งถูกติงหรูอี้จัดการให้ผ่านไปง่าย ๆ” แค่นเสียงพูดใส่ตัวเอง จดบัญชีที่ต้องชำระความไว้ในเซลล์สมองตอนนี้เธอเป็นเพียงผู้เยาว์มือเธอไม่สามารถยื่นยาวไปได้ไกล ไร้เส้นสายไร้อำนาจ แต่จะให้ปล่อยผ่านเธอกลับไม่ยินยอม“หลี่เหม่ยถิง เธอมันเก่งได้แค่ในรั้วโรงเรียนเล็ก ๆ โลกความเป็นจริงนี้ เธอทำสิ่งใดได้บ้าง ตอนนี้เงินและทรัพย์สิน
“ประธานนักเรียนหลี่ เข้าพบผู้อำนวยการที่ห้องผู้อำนวยการตึก A ด้วยค่ะ”เสียงประกาศเรียกตัวมาทางวิทยุกระจายเสียงของโรงเรียน ทำให้หลี่เหม่ยถิงต้องปิดหนังสือที่กำลังนั่งอ่านในห้องสมุดของโรงเรียนลง “สารานุกรมสมุนไพร” เล่มหนาปึกถูกหยิบขึ้นมาเพื่อเดินไปลงชื่อยืมที่ผู้ช่วยบรรณารักษ์“ประธานหลี่ ยืมเล่มนี้เหรอคะเดี๋ยวฉันเขียนบันทึกรายการให้ค่ะ” นักเรียนผู้ช่วยปีสองรีบยื่นมาออกมารับหนังสือทันทีที่เห็นหน้าคนเดินมา“ขอฝากไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวกลับจากห้องผู้อำนวยการแล้วจะแวะมารับ”“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา”“ขอบคุณค่ะ”การมีสิทธิมีเสียงมีอำนาจในมือ มันทำให้ได้รับความสะดวกสบายในหลายด้าน ดูเธอเป็นตัวอย่างสิ ตอนเป็นนักเรียนธรรมดากับตอนเป็นประธานนักเรียนผู้คนปฏิบัติตัวต่างกันลิบลับ“ขออนุญาตค่ะผู้อำนวยการ”“อ้าว ประธานหลี่มาแล้วเหรอ ดี ดี นั่งก่อนสิ”หลี่เหม่ยถิงนั่งลงตรงหน้าโต๊ะทำงานของผู้อำนวยการโรงเรียนอย่างคุ้นเคย รอหัวข้อสนทนาจากอาจารย์สูงวัยตรงหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าเรียกเธอมาตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอมทำไม“อาจารย์ได้รับแจ้งจากทางโรงพยาบาลว่านักเรียนประสบอุบัติเหตุ หายดีแล้วหรือยัง”“หายดีแล้วค่ะ ขอบคุณอา
เซี่ยงไฮ้ ตึกเทียนอวิ๋น ชั้น 88ก๊อก ก๊อก“ท่านประธานเป็นยังไงบ้างเหล่าลั่ว” เสียงของโจวหมิงเจี่ยถามบุคคลที่นั่งอยู่โซนรับแขกของเพนต์เฮาส์ลั่วเว่ยฉี หมอหนุ่มจากหยวนเซี่ยงฉางเซ็ง โรงพยาบาลเอกชนที่ร่วมลงทุนกับรัฐบาล ใบหน้าขาวซีดตาดำคล้ำ นิ้วที่คีบบุหรี่เตรียมส่งเข้าปากชะงักเหลือบสายตามองคนถาม“ทำแผลเสร็จ ให้เลือดให้น้ำเกลือ ฉีดยาเรียบร้อยบาดแผลไม่ถูกจุดสำคัญ สักพักใหญ่คงฟื้น”โจวหมิงเจี่ยกดคางลงเป็นเชิงรับรู้ ยื่นมือไปรับบุหรี่ที่เหล่าลั่วยื่นส่งให้มาจุดสูบอย่างเคย เพนต์เฮาส์ของท่านประธานไม่เคยหวงห้ามลูกน้องให้สูบบุหรี่ได้ เพราะตัวท่านประธานนับได้ว่าสูบจัดมากคนหนึ่ง เพียงแต่จำกัดให้สูบเฉพาะในห้องนี้และห้องทำงานเท่านั้น“แล้วเรื่องตรวจร่างกาย?” “ถ้าท่านประธานไม่เปลี่ยนใจ เดี๋ยวฉันแจ้งทางเซี่ยเซ็งให้เตรียมสถานที่ให้ทำ Full Body เช็กอัปเป็นการส่วนตัว รับรองเก็บเงียบไม่มีใครกล้าปากมาก”“นายจะกลับก่อนหรือรอท่านประธานตื่น นอนห้องพักแขกชั้นล่างก็ได้ สภาพนายไม่น่าจะไหว” โจวหมิงเจี่ยแนะนำหมอหนุ่มรุ่นน้อง ดูจากหน้าตาถ้าให้ขับรถกลับเองคงได้ยินข่าวร้ายแน่“ยังมีหน้ามาพูดนะเหล่าโจว ก็ใครล
ทางฝั่งชายปริศนา หลังจากเด็กสาวที่ช่วยเขาไว้เดินจากไป เขาสังหรณ์ใจว่านี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันอย่างแน่นอนติ๊ด ติ๊ดนิ้วยาวเรียวมีความสากระคายกดปุ่มบนมือถืออีกเครื่องที่ปิดเครื่องไว้ป้องกันแบตหมดตอนเกิดเรื่อง แต่ตอนนี้ซิมที่ใส่เป็นอันที่สาวน้อยให้มา“เจ้านายครับ”“ประธานครับ” หลังส่งข้อความไปไม่ถึง 15 นาที คนของเขาก็มาถึง ชายหนุ่มเดินออกมาจากที่ซ่อนพยักหน้าให้ผู้ช่วยแและเลขาส่วนตัวทำตัวตามสบาย สองคนนี้แทบจะลงไปคุกเข่าสำนึกผิดที่ตามหาตัวเขาได้ล่าช้าจนเขาต้องติดต่อไปด้วยตนเอง“กลับกันคืนนี้เลย ทางนี้รอให้โครงการที่เซี่ยงไฮ้เรียบร้อยค่อยกลับมาจัดการ”“ท่านประธาน! แต่บาดแผล…” “หมิงเจี่ย ทำตามที่ฉันสั่ง”“ครับ”เสียงเย็นชาไร้อารมณ์เอ่ยสั้น แต่ความหมายในตัวคือห้ามขัดขืน มีแต่ต้องทำตามเท่านั้น คำสั่งเจ้านายถือเป็นคำขาดโจวหมิงเจี่ย ค้อมตัวเตรียมเดินจากไปสั่งการทีมบอดี้การ์ดที่รออยู่นอกรั้วโรงเรียน ท่านประธานบาดเจ็บจนใบหน้าขาวซีดแทบจะไม่มีสีเลือด แต่ดวงตาขาวกลับแดงก่ำจากการฝืนร่างกาย ดีไม่ดีระหว่างเดินทางกลับอาจจะมีไข้ เขาได้แต่ทอดถอนใจกับการปล่อยประละเลยไม่ดูแลตัวเองขอ
พรึ่บ!หลี่เหม่ยถิงยกมือเป็นสัญญาณเงียบเสียง ในโรงเรียนนี้ยังมีใครกล้าไม่เชื่อฟังบ้าง? คำตอบคือไม่มี สถานที่นี้เป็นเหมือนแหล่งพักพิงระบายความกดดันจากที่บ้าน เธอเปรียบเสมือนจักรพรรดินีในโลกของเด็กวัยรุ่น“ไหนดูสิ เหอจูอิ๋ง เหอจูอิ๋ง ห้อง 304 เกิดที่ซานตง พ่อแม่ อืม…ข้ามไปก่อน อันนี้น่าสนใจเป็นตกขาวเพราะล้างทำความสะอาดน้องสาวไม่ดี” หนังสือในมือลดต่ำ เหลือบตามองทางเบื้องล่าง จุปากส่ายหน้าไปมา“กรี๊ดดดดด อ๊ายยยย อย่าไปฟังมันนะ มันโกหก อีบ้าแกอย่ามาใส่ร้ายฉัน” เหอจูอิ๋งตกใจจนแทบจะฉี่ราด แม้แต่เรื่องแบบนี้มันรู้ได้ยังไง เธอไม่ได้เป็นตกขาวเพราะว่าทำความสะอาดไม่ดีแต่เธอเป็นเพราะเกิดจากสาเหตุอื่นต่างหากปึก!“เซี่ยวเฉ่า ” เสียงเอ่ยพร้อมแสยะยิ้ม บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใช่ว่าหลี่เหม่ยถิงไม่รู้สาเหตุแต่แค่ยังไม่ได้พูดออกมาเหอจูอิ๋ง แข้งขาอ่อนแรงไถลลงไปนั่งแหมะกับพื้นหมดมาดดอกไม้งามประจำโรงเรียน เด็กสาวรีบกระถดตัวยื่นมือไปข้างหน้า“ประธานหลี่ พี่ใหญ่หลี่ ไม่ใช่สิ ย่าหลี่!!!… ต่อไปฉันไม่กล้าอีกแล้ว ท่านผู้ยิ่งใหญ่ปล่อยฉันไปสักครั้งเถอะนะ”โฮฮฮฮเหอจู่อิ๋งตกใจจนไม่เหลือสติจริง ๆ แล้ว ใช่สาเหตุ