“ฉันสามารถเรียกคุณว่าอะไรได้”
หลี่เหม่ยถิงเดินมาถึงก็หันไปถามชายแปลกหน้า “ฮ่า ฮ่า ขออภัยครับคุณหนู ผมชื่อหวางอู๋ซวน” “ลุงคือหวางอู๋ซวนจริงเหรอ!!?!” เสี่ยวโกวพูดแทรกอย่างตื่นตกใจ หลังจากได้รู้ชื่อของชายคนนั้น เขาพิจารณาหวางอู๋ซวนอย่างละเอียด คนบนท้องถนนของไท่หยวนไม่มีใครไม่รู้จัก “หมาล่าเนื้อหวางอู๋ซวน” แต่ไม่คิดว่าเทพลมไร้หลักแหล่งหาตัวจับยากจะดูเป็นชายหน้าตาท่าทางธรรมดาแบบนี้ “หมาล่าเนื้อ” เป็นฉายาน่าเกรงขามที่เป้าหมายของหวางอู๋ซวนเรียกขาน เขาตามดมกลิ่นไปทั่่วแม้แต่กลิ่นผายลมเขายังไม่ปล่อยผ่าน กัดไม่ปล่อยจนกว่าจะขุดคุ้ยเรื่องราวของคนที่เขาติดตามออกมาทุกซอกทุกมุม และจะตามล่าไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวจนกว่าจะจับได้ “ตัวจริงน่ะสิ หวางอู๋ซวนในไท่หยวนนี่มีใครกล้าแอบอ้างชื่อบ้างไอ้น้อง” หวางอู๋ซวนคาดหวังสายตาชื่นชมจากเด็กชายก็ให้ผิดหวัง เพราะเขาได้สายตาคลางแคลงแกมดูถูกมาแทน แถมยังพ่นลมขึ้นจมูกใส่เสียอีก ‘เด็กเวร ถ้าคุณหนูไม่อยู่น่าจับมาสั่งสอน’ “พี่สาวหลี่ ถ้าอย่างนั้นคงไม่ได้เรื่องแล้วล่ะ ลืมที่ผมพูดไปเสียเถอะ เขาโดนเราจับได้ง่ายขนาดนี้ เรื่องเล่านั่นคงพูดกันเกินจริง“ หลี่เหม่ยถิงเป็นอีกคนที่มีสายตาไม่เชื่อถือแกมผิดหวัง เธอพิจารณาชายตรงข้ามอีกรอบแล้วถอนหายใจกับตัวเอง เฮ้อ! “นายมีชื่อคนอื่นเสนอไหม” ก่อนหน้าที่จะออกมาจับตัวคนที่ตามเธอมา หลี่เหม่ยถิงสอบถามเสี่ยวโกวถึงเรื่องจ้างวานหาคนช่วยเธอตามสืบคดี เสี่ยวโกวเพิ่งจะเอ่ยถึงหวางอู๋ซวนไม่กี่นาทีก่อน “เฮ้ ๆ ๆ ผมมีความสามารถอย่างเรื่องที่เล่าลือจริง ๆ นะ ครั้งนี้ผมแค่ประมาทเพราะเห็นเป็นเด็กเท่านั้นเอง ถ้าคุณหนูมีเรื่องไหว้วานเชื่อมือผมได้เลย” ล้อเล่นหรือไง เขามันเก่งที่สุดในการตามสืบข่าวและแกะรอยแล้ว สายตาไม่เชื่อถือนั่นมันอะไรกัน หลี่เหม่ยถิงมุมปากกระตุกยิ้ม งิ้วที่เธอเล่นกับเสี่ยวโกวเป็นการเอาคืนเล็กน้อยที่หวางอู๋ซวนติดตามเธอ ไม่คิดเลยว่าแค่ง่วงนอนก็มีคนยื่นหมอนมาให้ ‘คงต้องตอบแทนเจ้านายหวางอู๋ซวนให้มากหน่อย ครั้งหน้าไม่แกล้งเรียกคุณน้าแล้วก็ได้’ “เอาล่ะ จะให้ไปหาคนอื่นก็คงเสียเวลา ในเมื่อไม่มีทางเลือกให้เป็นหวางอู๋ซวนก็ได้” น้ำเสียงจำยอมอย่างช่วยไม่ได้ของเด็กสาวผู้มีพระคุณของเจ้านายทำเอาไฟแห่งการต่อสู้ของหวางอู๋ซวนลุกโชน “คุณหนูจะให้สืบเรื่องอะไร บอกรายละเอียดมาได้เลยครับ” มือกลมอูมของหวางอู๋ซวนตบอกการันตีดังปัก ‘มารดามันเถอะ ถ้าเขาสืบเรื่องของคุณหนูไม่ได้ เขาจะไม่ใช้แซ่หวาง’ “สืบคดีอุบัติเหตุรถชนของฉันน่ะค่ะ ฉันอยากรู้ว่าเป็นอุบัติเหตุจริงหรือการจ้างวาน และถ้าเป็นอย่างหลังฉันต้องการรู้ชื่อคนบงการพร้อมหลักฐานเอาผิด” “เรื่องเมื่อ 3 เดือนก่อนสินะครับ” หวางอู๋ซวนตัวแข็งทื่อ มือที่ถือสมุดและปากกาสั่นไหว ค่อย ๆ เงยหน้ามองเด็กสาว รอยยิ้มเขาใกล้จะร้องไห้เต็มทน บรรพบุรุษตัวน้อยถึงขั้นยืนกอดอกยืดหลังตรงแหน่ว ปากบิดเบี้ยวคว่ำลง “ขอโทษครับ คนที่จะเข้ามาอยู่ใกล้ชิดเจ้านายเป็นธรรมเนียมที่เราต้องตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด” ติ๊ด ติ๊ด ข้อความจากเจ้านายที่หวางอู๋ซวนกำลังพูดถึงถูกส่งมาในจังหวะนี้เหมือนนกรู้ ‘ผมขอโทษด้วยที่ให้คนตรวจสอบประวัติคุณนะเด็กน้อย’ ‘นี่มันไม่ยุติธรรม ฉันไม่รู้แม้แต่ชื่อของคุณ’ ปากอวบอิ่มยื่นยาว ซี่ฟันเล็กสบเม้มลงปากล่าง ส่วนมือก็ไม่หยุดพิมพ์ตอบโต้ ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ‘ผมส่งประวัติส่วนตัวไปให้ ให้อู๋ซวนหาคนไปรับเอกสารที่สนามบินตอน 7 โมงตอนค่ำ’ “ฮึ! นับว่าเจ้านายคุณรู้ความ” หลี่เหม่ยถิงทำเสียงขึ้นจมูก แท้จริงการสืบประวัตินับว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเธอ แม้แต่เธอเองยังทำกับคนอื่นได้จะหวังให้คนอื่นไม่ทำได้ยังไง อีกอย่างในแวดวงธุรกิจคุณคงไม่ทำการค้ากับคนที่คุณไม่รู้ตื้นลึกหนาบางหรอกนะ เธอเพียงแค่อยากจะงอแงเอาแต่ใจใส่ใครสักคนได้ โดยที่รู้ว่าเขาจะตามใจเธอ ท่าทางพออกพอใจมีชีวิตชีวาเหมือนเด็กสาวหาได้ยากจากหลี่เหม่ยถิง เพราะเธอมักทำตัวเรียบร้อยเคร่งขรึมเกินอายุเสมอ วันนี้ชายต่างวัยสองคนมีบุญตาได้เห็นมันแล้ว “มาต่อเรื่องของเรากันเถอะ คุณหวางฉันอยากให้คุณให้ความสำคัญกับเรื่องคดีเป็นอันดับแรก” “แต่เจ้านายสั่งให้ดูแลความปลอดภัยคุณหนูเป็นเรื่องหลัก เรื่องนี้ต่อรองไม่ได้ครับ” “อืม…” “คุณหนูไม่ต้องห่วง เรื่องคดีผมให้ลูกน้องตามไปก่อนผมจะคอยถามความคืบหน้าให้ตลอด ถ้ามีจุดที่ติดขัดเดี๋ยวผมลงไปจัดการเอง” “แบบนั้นก็ได้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” “เรื่องติดตามคุ้มครอง คุณหนูไม่ต้องกลัวอึดอัดครับ ผมจะตามห่าง ๆ คุณหนูจะได้มีพื้นที่ส่วนตัว อันนี้เบอร์โทรผมครับ เผื่อคุณหนูมีอะไรให้ผมจัดการเพิ่ม” เมื่อตกลงกันเรียบร้อยหวางอู๋ซวนก็เดินแยกตัวออกไป ส่วนหลี่เหม่ยถิงอยู่คุยกับเสี่ยวโกวเรื่องเก็บข้อมูลของนักเรียนที่เข้ามาใหม่ เธอส่งข้อมูลนักเรียนพื้นฐานพร้อมภาพถ่ายที่ได้มาให้เด็กชายคอยจับตาดู หลี่เหม่ยถิงไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนดี ที่ทำทั้งหมดนี้ก็ไว้ป้องกันตัวไว้ก่อน หากไม่มีคนมาสร้างความลำบากให้ ข้อมูลก็ยังเป็นแค่ตัวหนังสือในสมุดเล่มหนึ่ง “โอ้! แจ็กพอตจริง ๆ เหอจูอิ๋งน่าจะถูกใจสิ่งนี้” เสร็จธุระทั้งหมดหลี่เหม่ยถิงเดินออกมาจากทางบ้านร้าง ผ่านซอกร้านกาแฟกำลังจะข้ามถนน กลับเห็นเรื่องน่าสนใจเข้าเสียก่อน เธอแนบตัวกับกำแพงยกกล้องถ่ายรูปแบบใส่ม้วนฟิล์มขึ้นมาถ่ายภาพของเด็กสาวและชายหนุ่มคู่หนึ่ง ที่ดูยังไงความสัมพันธ์ก็ไม่ธรรมดา “อย่าว่ากันเลยนะ ถึงยังไงเหอจูอิ๋งก็ยังมีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่น่ะ” หมุนตัวเปลี่ยนทิศทางการเดินไปอีกฟาก จากเดิมทีตั้งใจจะไปรอรถประจำทางที่ป้ายรถ มุ่งหน้าไปยังร้านถ่ายรูปเพื่อล้างฟิล์มทันที หลังออกมาจากร้านถ่ายรูป หลี่เหม่ยถิงกวาดสายตารอบตัวทำสัญญาณมือให้เสี่ยวต้านมารับกระดาษข้อความ สักพักก็มีเด็กอายุราว 8-9 ขวบ 3 คนวิ่งไล่จับกันมาบนทางเท้าวิ่งชนหลี่เหม่ยถิง ข้าวของในมือหล่นลงพื้น “ขอโทษครับพี่สาว ขอโทษครับ ๆ พวกผมช่วยเก็บ” มือเล็กมอมแมมก้มลงเก็บของบนพื้น กระดาษที่ม้วนขยำพร้อมใบเสร็จร้านถ่ายภาพหายไป ‘รับรูปตอน 2 โมงเย็น ส่งที่โรงเรียน’ “ไม่เป็นไรคราวหลังก็ระวังกันมากหน่อย” จากนั้นก็แยกย้ายกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งหมดนี้กินเวลาเพียง 2 นาทีและทุกการกระทำตกอยู่ในสายตาของหวางอู๋ซวน ‘หืม? เจ้าเด็กพวกนี้ความสามารถไม่เลว ถ้าจับมาฝึกน่าจะใช้งานได้เลยนะเนี่ย’ เพราะหวางอู๋ซวนมาติดตามหลี่เหม่ยถิง เส้นทางเดินของหมาล่าเนื้อและเด็กกำพร้ารับงานข้างถนนจึงมาบรรจบกัน ชีวิตที่ต้องเอาตัวรอดดิ้นรนหาเลี้ยงชีวิตและเหล่าพี่น้องบ้านเด็กกำพร้าจึงได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงในอนาคต “ลุงเหมาคะ พรุ่งนี้จะมีคนมาฝากของให้หนู รบกวนลุงเหมาเก็บไว้ให้หน่อยนะคะ” “ได้ครับ ประธานนักเรียน” “ขอบคุณค่ะ” ข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากพวกเสี่ยวโกวต้องผ่านมือเธอเป็นคนแรก จึงไม่เคยให้ไปฝากเจ้าหน้าที่ห้องทะเบียนเหมือนจดหมายปกติของนักเรียน ฝากไว้กับรปภ. ไม่มีคนกล้าลองดีมาขโมย10 นาทีต่อมาแกร๊ก“เหม่ยถิงงงงงง ช่วยด้วย!”แค่เปิดประตูเข้ามาในห้องพัก เฉินซินหยานที่คงคอยท่าอยู่นานแล้วรีบพุ่งเข้าหา หลี่เหม่ยถิงเบี่ยงตัวหลบออกด้านข้าง ตัวของเพื่อนสาวจึงพุ่งเข้าชนกับประตูดังโครม“เหม่ยถิงอ่ะ ทำไมทำกับเพื่อนรักแบบนี้ เพื่อเป็นการไถ่โทษมาช่วยทำการบ้านเลยนะ”เฉินซินหยานร้องทุกข์แต่เอาดีเข้าตัว พ่วงด้วยแบล็กเมลกันเสร็จสรรพ“ไม่ได้อาจารย์อู๋จำลายมือพวกเราได้ อาจารย์คาดโทษเธอไว้นะลืมแล้วเหรอ หรืออยากไปช่วยล้างห้องน้ำตึกพักอาจารย์”“แต่มันไม่เข้าใจนี่” เฉินซินหยานยังพยายามขอความเห็นใจ“เฉินซินหยาน!!!”“อะไรเล่า ทำไมต้องเสียงดังด้วย”“เธอไม่ได้โง่เธอแค่ขี้เกียจ ฉันบอกไว้ก่อนนะฉันเลือกมหาวิทยาลัยปักกิ่ง อีก 10 เดือนจะสอบเกาเข่าเธอจะทำตัวขี้เกียจเหมือนเดิม หรือจะทุ่มเทกับการเรียนแล้วไปปักกิ่งด้วยกัน เธอเลือกเอาเอง”ในภาพฝันที่ไปเยือนอีกมิติ เฉินซินหยานยังคงทำตัวเอ้อระเหยจนจบการศึกษา สุดท้ายสอบเกาเข่าได้ผลลัพธ์ไม่ดี ครอบครัวจึงส่งไปเรียนเมืองนอก แล้วก็ไม่ได้กลับมาจีนอีกเลย ทั้งยังมีจุดจบที่ไม่สวยนักเช่นเดียวกันกับเธอ“ถึงฉันจะไม่ได้โง่ แต่ฉันไม่ชอบพวกวิชาคำนวณเล
เวลา 14.10 น. วันต่อมาป้อมยามหน้าโรงเรียน“สวัสดีค่ะลุงเหมา หนูมารับของค่ะ”“อ้า…ประธานนักเรียนมาพอดีเลย เข้ามารอก่อนครับ เดี๋ยวลุงหยิบให้”ไม่นานลุงเหมาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยกะบ่ายก็ส่งซองเอกสารให้ 2 ซอง‘หืม?’ หลังขอบคุณหลี่เหม่ยถิงรับซองเอกสารมาดู มีลายมือหนักแน่นทรงพลังบนซองปิดผนึกเขียนชื่อของเธอไว้‘พี่ชายคนนั้นทำอย่างที่พูดจริงเสียด้วย’ เธอลองกะความหนาของเอกสารอย่างน้อยน่าจะมี 10 แผ่นขึ้นไป ควรจะขอบคุณเขาเสียหน่อย‘ขอบคุณสำหรับประวัติค่ะ จะตั้งใจอ่านอย่างดี :)’ติ๊ด ติ๊ด‘ไม่เป็นไรครับ ไม่เข้าใจตรงไหนก็ถาม‘พรืด! คิกคิก‘ประวัติส่วนตัวนะคะ ไม่ใช่รายงานที่ไม่เข้าใจตรงไหนแล้วจะให้ถามน่ะ’หลี่เหม่ยถิงเดินกลับเข้าแคมปัสไปก็ส่งข้อความโต้ตอบกับคนไกลไปด้วย ไม่สนเลยว่าจะมีข่าวลืออะไรบ้างจากท่าทางแปลกประหลาดที่นักเรียนไม่เคยเห็นจากประธานผู้เคร่งขรึม“นักเรียนเหอจูอิ๋ง เข้าพบประธานนักเรียนที่ห้องประธานสภานักเรียนด่วนค่ะ“เสียงประกาศเรียกชื่อเข้าพบประธานนักเรียน ผู้โชคร้ายรายแรกของปีการศึกษาปรากฏตัวขึ้นมาก่อนหน้าจะเปิดภาคการศึกษาแค่ 3 วันจริงแล้วการลงโทษจากสภานักเรียน
12.00 น. วันต่อมา ติ๊ด ติ๊ดเสียงเตือนข้อความเข้าทำเอาหลี่เหม่ยถิงตะครุบโทรศัพท์อย่างเสียอาการนิ่งสงบ‘มีเบาะแสเพิ่ม มีแนวโน้มว่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุ’หลี่เหม่ยถิงถอนใจกับตัวเองด้วยความผิดหวัง ไม่ใช่ข้อความจากพี่ใหญ่ฉิน แต่อย่างน้อยข้อความนี้ก็เรียกสีหน้าตื่นตัวจากความเฉื่อยชาเรื่องงานของสภานักเรียนได้“ประธานรอข้อความสำคัญเหรอคะ” จ้าวลี่จูผู้กำลังรายงานข้อเรียกร้องการจัดสรรงบชมรมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ ไม่บ่อยนักที่ประธานจะออกท่าทางลุกลน“อือ” พยักหน้าแบบผ่าน ๆ ขณะกำลังเท้าคาง ในสมองก็เริ่มนึกถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ ของอุบัติเหตุ เบาะแสเพิ่งเริ่มปรากฏ ยังยืนยันไม่ได้ว่ามีคนจงใจจัดฉาก เธอควรใจเย็นรอหวางอู๋ซวนมีข้อมูลมากกว่านี้เฮ้อ!“การได้แต่นั่งรอเพราะทำอะไรไม่ได้นี่มันอึดอัดใจจริงเชียว” บ่นเสร็จก็ลุกขึ้นจากหลังโต๊ะทำงาน ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ดหลี่เหม่ยถิงที่ทำเป็นลืมโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ หันตัวกลับไปคว้ามันขึ้นมาแล้วก้มหน้าเช็กข้อความ‘เพ้ย! ใครมันเล่นตลกกับฉันหรือไง ส่งข้อความที่ไม่ได้รอมาแทรกอะไรกันนัก!’ หลี่เหม่ยถิงที่เริ่มหงุดหงิด ยกมือทำท่าจะปาโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ“ประธานอย่าปาน
‘มีเรื่องแบบนี้ นังเพื่อนชั่วต้องหาทางไปพบจางกั๋วอันแน่’เหอจูอิ๋งกำลังรอเวลา เธอให้เพื่อนในห้องเรียนไปเฝ้าคอยจางกั๋วอันหน้าโรงเรียนชายฝั่งตรงข้าม บอกเพื่อนไว้ว่าเธอมีของขวัญรอเซอร์ไพรส์“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเราหรอก ฉันว่ากลับหอไปนอนเล่นเถอะ อีก 2 วันก็เปิดเทอมแล้ว ฉันจะทำเล็บขัดตัวเสียหน่อย” เหอจูอิ๋งหันมาชวนเพื่อนในหอทุกคนกลับเหมือนไม่ได้สนใจเรื่องอื้อฉาวนี่นัก“พวกเธอไปกันก่อนนะจ๊ะ ฉันว่าจะไปหาหนังสืออ่านเงียบ ๆ ในหอสมุด” หยางจื่อหานรีบกล่าวแทรกขึ้นมา แล้วเดินแยกตัวออกไปคอยไม่นานหลังจากนั้น เพื่อนสาวที่ส่งให้ไปตามเฝ้าจางกั๋วอันก็ส่งข้อความมาหาเหอจูอิ๋ง‘อิ๋งอิ๋งเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!! มาหาฉันด่วนร้านคาเฟยฮ๋าว’“ประธานคะ!! จุดน่าตื่นเต้นมันเริ่มจากนี้นี่แหละค่ะ เหอจูอิ๋งพาเพื่อนในหอพักกับเพื่อนในคลาสไปนับ 10 คน ทำท่าทางไม่รู้เรื่องราวเหมือนออกไปเดินเล่น ไปถึงที่นัดหมายก็เจอฉากเด็ดเลยค่ะ หยางจื่อหานกำลังร้องไห้ฟูมฟาย ซบอกจางกั๋วอัน เล่นเอาตกตะลึงกันทั้งคณะเพื่อน ส่วนเหอจูอิ๋งน้ำตาไหลพรากเป็นสาลี่ต้องฝน ตัดพ้อต่อว่าคู่หมั้น”แค่ก ๆ... “ขอน้ำหน่อยค่ะประธานหลี่” หลี่เหม่ยถิ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า “เธอจบเห่แน่ หยางจื่อหานคิดจะแทงข้างหลังฉันงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!! เธอคิดว่าคนบ้านจางจะยอมรับคนอย่างเธองั้นเรอะเฮอะ!!! หัดดูเงาตัวเองบ้าง” เหอจูอิ๋งก้มตัวเอานิ้วชี้จิ้มหน้าคนที่หมดเรี่ยวแรงนั่งกองกับพื้นจนหงายหลังลงไป หลี่เหม่ยถิงที่รอจังหวะอยู่นานแล้วแสยะยิ้มร้าย “พอได้แล้ว!!! เหอจูอิ๋ง หยางจื่อหาน สภานักเรียนกำหนดบทลงโทษคนทำความผิดไว้แล้ว ฟังให้ดีล่ะ” “นักเรียนเหอจูอิ๋ง โทษฐานปลุกระดมเพื่อนนักเรียนให้ลุกขึ้นมาก่อความไม่สงบโดยมีผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง รับโทษล้างห้องน้ำรวมหอพักหญิงชั้น 3 ตึกแรก 3 วัน” “อะไรกันคะประธาน ได้ยังไง ฉันนับว่าเป็นผู้เสียหายแล้วนะคะตอนนี้” เหอจูอิ๋งเชิดคางเริ่มโวยวายไม่เหลือท่าทางถูกกระทำเลยสักนิด ขาเรียวเล็กของประธานวาดมาเป็นท่าไขว้ห้าง ลำตัวเอนไปทางขวามีข้อศอกค้ำไว้ นิ้วชี้เคาะลงบนที่เท้าแขนเป็นจังหวะ ความเร็วเท่าการเต้นของหัวใจ มองเหอจูอิ่งกดดันไม่พูดอะไรต่อ อึก...เหอจูอิ๋งถูกจ้องมองเกือบ 10 นาทีก็ตัวสั่นกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ “หลังจบบทลงโทษของหยางจื่อหานฉันขออนุญาตเรียนถามใหม่ก็ได้ค่ะ” ทนสู้สายตาว่างเปล่าน่ากลัวนั่นไม
‘พี่ใหญ่ฉิน ฉันขอกู้ยืมเงิน 10 ล้านหยวนค่ะ’ ฉินเฟยหลง มองข้อความบนหน้าจอมีความประหลาดใจวาบผ่านดวงตา ลำตัวแข็งแรงเอนตัวนอนบนเตียงคนไข้ของโรงพยาบาล หลังคำนวณความต่างของเวลาแล้วเขาก็รีบพิมพ์ข้อความตอบกลับลงไป ‘สองทุ่มประตูหลังโรงเรียนจะมีคนนำเงินไปส่งให้’ “เป็นเด็กที่น่าสนใจไม่ต่างจากที่คิดไว้จริงๆ” ใบหน้าหล่อคมของเขามีรอยยิ้มขึ้นมาได้เล็กน้อย การบอกความต้องการออกมาตรง ๆ แบบนี้ ดีกว่าพวกที่ปั้นหน้าเข้าหาเขาเพื่อผลประโยชน์พวกนั้นเยอะ ติ๊ด ติ๊ด ‘ขอบคุณค่ะเดี๋ยวฉันเขียนสัญญากู้ยืมส่งให้คนที่มาส่งเงินนะคะ ปล. กู้ยืมไม่มีดอกเบี้ยนะคะ ระยะเวลาผ่อน 5 ปี หรืออาจจะเร็วกว่า’ หึหึหึ นอกจากจะใจกล้าแล้วยังได้คืบจะเอาศอกด้วย ‘ได้’ อย่าว่าแต่การกู้ยืมเลยแม้แต่ยกให้ฟรีก็ยังได้ การช่วยเหลือครานั้น หากนับตามมูลค่าก็เทียบเท่าชีวิตของเขา สถานการณ์เข้าขั้นอันตรายถึงเขาจะมีหนทางเอาตัวรอด แต่การได้พบเธอมันทำให้เรื่องง่ายดายขึ้น ‘หมิงเจี่ยนำเงินไปส่งให้หลี่เหม่ยถิง 10 ล้านหยวน ออกเดินทางทันที’ สั่งการเสร็จก็หันมาอ่านเอกสารตั้งใหญ่บนโต๊ะเลื่อนข้างเตียง ครืดดดด ดวงตาคม
3 วันต่อมา เอี๊ยด! ‘มากันแล้วมั้งคะคุณ’ คุณแม่เหอหันมาคุยกับคุณพ่อเหอท่าทางตื่นเต้นเล็กน้อย ท่านนายพันวัยต้น 40 เพียงแค่พยักหน้าเป็นอันรับรู้ แล้วนั่งเหยียดหลังตรงสง่าวางมาดน่าเกรงขาม ตระกูลเหอจะว่าไปต้องเรียกว่าเป็นเศรษฐีใหม่ พ่อเหอไต่เต่าขึ้นมาถึงระดับพันเอกด้วยสองมือเปื้อนเลือด พลิกฟื้นจากครอบครัวธรรมดาสู่เส้นทางทหารในยุคปฏิวัติ เขาย่อมไม่ใช่คนที่มีความคิดตื้นเขิน และไม่ไร้หัวคิดแน่นอน “คุณพ่อ คุณแม่ หนูกลับมาแล้ว” เหอจูอิ๋งผู้เย่อหญิงในรั้วโรงเรียนกลายเป็นนกกระจิบน้อยกลับคืนรัง ปากเจื้อยแจ้วคิดถึงพ่อแม่ไม่หยุด จนแทบลืมบุคคลที่เดินทางมาด้วยกัน หลี่เหม่ยถิงในวันนี้ยังคงแต่งกายด้วยชุดที่ดูอึมครึม ไม่เหมือนเด็กสาวทั่วไป เสื้อแขนยาวสีเข้มปิดถึงลำคอ กางเกงทรงกระบอกขายาวสีเดียวกัน ประกอบกับแว่นตากรอบดำหนาปิดครึ่งใบหน้า ผมหน้าม้าตรงยาวทับขอบแว่น อะแฮ่ม… ความคิดเห็นของคนในห้องเป็นอย่างไรไม่รู้ เธอให้ความสนใจเพียงพ่อเหอ เหอกงโป๋ หลี่เหม่ยถิงใช้สายตาสังเกตท่าที และออร่าบนร่างกายรอบหนึ่ง แม่เหอและพี่ชายเก็บอาการได้ช้ากว่า ความคาดไม่ถึงปรากฏชัด ส่วนพ่อเหอเพียงทำท่าแปลกใจเล็กน
จ้อกแจ้ก จอแจ โป๊ก โป๊ก ปึงปัง “ทางนู้นเวที 2 เรียบร้อยรึยัง” “เออ เสร็จแล้วเว้ย ทันเวลาฉิวเฉียด” รถจี๊ปทหารแบบเปิดโล่งแล่นมาจอดตรงหน้าสถานที่จัดงานประมูลเฉพาะกิจ ตรงส่วนนี้เป็นพื้นที่หน้าค่ายทหาร ฟากหนึ่งเป็นแม่น้ำ ทางค่ายสร้างเต็นท์ขนาดใหญ่ 5 เต็นท์หลังคาผ้าใบสีขาวไว้ มีป้าย ‘งานประมูลค่ายซานตง ครั้งที่ 1’ ทางเข้า ช่างไม้ คนงาน และเหล่าพลทหารกำลังวุ่นวายเตรียมการ คาดว่าคงจัดทำกันข้ามคืน พรึ่บ! “ผู้พันเหอ ร้อยตรีเหอ” เหล่าทหารยศต่ำกว่าหันมาทำวันทยหัตถ์ตามระเบียบ “แหม ๆ ผู้พันเหอ มีข่าวคำสั่งโยกย้ายไม่นานถึงกับมีเลขาน้อยตามมาเลยนะ” คนพูดทำท่าจิกกัดเดินมาจากด้านในเต็นท์ ผู้พันเหอถึงกับหน้าเขียวคล้ำ ส่วนหลี่เหม่ยถิงทำหน้าเรียบเฉยสายตาภายใต้แว่นกรอบบางต่างจากทุกทีส่องประกายแข็งกร้าวชั่ววูบ “จุ๊ ๆ ไม่เบาเลยนะ” ท่าทางหยาบคายใช้สายตากวาดมองขึ้นลงบนตัวของหลี่เหม่ยถิง ทำเหอจิ้นเต๋อถึงกับเลือดขึ้นหน้า แม้ไม่ได้สนิทสนมกันแต่หลี่เหม่ยถิงนับว่าเป็นคนที่บิดาเขาพามา ทำแบบนี้เท่ากับหักหน้าผู้พันเหอชัด ๆ กึก เท้าที่กำลังจะก้าวออกไปหยุดเพราะแรงดึงทางด้านหลัง ผู้พันเหอส่
ตอนนี้ความกระสันต์สูงเสียดฟ้าจนอยากจะพุ่งตัวตนเข้าฝากฝังในช่องทางรักหวานฉ่ำแล้วปลดปล่อยตัวตนไปกับความปรารถนาอันลิงโลดนี้“ภรรยา…ช้าหน่อยครับ เดี๋ยวสามีทนไม่ไหวน้องจะเจ็บ” เสียงกระซิบแหบพร้าทุ้มก้องอยู่ริมหูเล็ก คนฟังรู้สึกว่ามันเซ็กซี่ทั้งยังอ้อยอิ่งราวกับตั้งใจออดอ่อยใส่กันแทนที่จะช้าลง ดวงตาดอกท้อของคนตัวเล็กกลับร้อนผ่าว ฝ่ามือขาวกดลงกลางหน้าอกกว้างให้ชายหนุ่มเอนตัวลงเท้าแขนกับโต๊ะกรุกระจก สะโพกอวบตั้งใจบดขยี้ให้ส่วนอวบนูนของวัยสาวถูไถกับส่วนหัวมังกรแดงก่ำที่โผล่พ้นขอบกางเกงในผ้าไหมขึ้นมา“ซี๊ด...อาห์”ได้ยินเสียงสูดปากพร้อมครางกระเส่าของคนตัวโตยิ่งทำให้หญิงสาวฮึกเหิมลำตัวเล็กเอนลงต่ำใช้ใบหน้าซุกลงดอมดมผิวเนื้อเรียบตึง จูบบ้างเลียบ้าง มือก็ลูบวนกดไปทั่วผิวเนื้อท่อนบนมือหนึ่ง อีกมือกลัวจะว่างจึงใช้ท้องนิ้วสะกิดยอดอกสีน้ำตาลอ่อนจนมันหดเกร็งฝ่ามือหยาบกร้านของคนด้านล่างยกขึ้นนวดคลึงภูเขาหิมะที่มียอดอิงเถาปัดผ่านกล้ามท้อง หญิงชายทั้งสองต่างนวดคลึงฟอนเฟ้นเรือนร่างเกือบเปลือยของกันและกันน้ำหนักมือเคล้นแรงขึ้นตามแรงอารมณ์ที่เดือดพล่าน ผิวเนื้อสะโพกปลิ้นออกมาตามง่ามนิ้วเรียวยา
หลังบอกกล่าวกราบไหว้บรรพบุรุษของเจ้าสาว ยกน้ำชาให้กับผู้ใหญ่เริ่มจากพ่อ ปู่และอาจารย์ ฉินเฟยหลงก็อุ้มเจ้าสาวขึ้นรถท่ามกลางความเงียบ... พรืด... และเสียงสูดน้ำมูกของเกาอี้ “ฮึก...คุณหนูออกเรือนแล้ว” ไป๋จื้อหยางที่น้ำตาคลอมองขบวนรถขับออกไปจากบ้านตระกูลไป๋เก็บอารมณ์กลับแทบไม่ทัน มองสภาพบอดี้การ์ดร่างใหญ่ยักษ์กำลังยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาหัวไหล่สั่น ผ้าเช็ดหน้ามีคราบปริศนาเกาะหนึบ วงล้อมจึงแตกกระเจิงไปคนละทาง ทั้งผู้เฒ่าไป๋ ผู้เฒ่าติง ไป๋จื้อหยาง แม้แต่จ้าวลี่จูยังถอยเท้าเงียบ ๆ ส่วนเพื่อนอย่างหยางฝูเหว่ยเดินหนีไปนานแล้วตั้งแต่บอดี้การ์ดหนุ่มน้ำตาคลอ “เอ่อ...แต่อีกไม่กี่วันประธานก็กลับมาแล้วนะคะ” จ้าวลี่จูพูดความจริงที่ทุกคนลืมนึกไป ใช่... แต่งงานแล้วอย่างไร... อีกไม่กี่วันก็กลับมาอยู่ด้วยกัน เพียงแค่มีคนตามมาอยู่ด้วยอีกคน มีตะเกียบกับถ้วยข้าวเพิ่มมาอีกชุด เกาอี้เองที่ถูกอารมณ์อ่อนไหวพาไปก็หยุดร้องอ้าปากค้าง ฟืดดดดด... “นั่นสิ! เราก็ยังทำหน้าที่เดิม” คิดได้แล้วสั่งน้ำมูกที่เหลือเดินจากไปอย่างร่าเริง ไป๋จื้อหยางกับคนงานในบ้านถูกเบรกอารมณ์ก็แยกย้ายกันไป ทางด้านขบวนรั
3 วันต่อมา ลู่เจียจิ่วเป็นย่านเศรษฐกิจการเงินของเซี่ยงไฮ้ ทุกพื้นที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำ บริษัทข้ามชาติ ตึกสูงเสียดฟ้า บ่งบอกเม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดโดยปกติเวลาของผู้คนที่ทำงานในย่านนี้เป็นเงินเป็นทอง มีแต่ความเร่งรีบ วันนี้กลับต่างออกไปเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าการทำเงินเกิดขึ้นที่ตึกเฮยอวิ๋นทีมมหรสพ กลองและปี่พาทย์ในชุดถังจวงสีแดงตั้งขบวนหน้าตึก ดนตรีถูกบรรเลงอย่างคึกคักตลอดระยะที่เริ่มมีการยกหีบสิ่งของออกมาจากประตูใหญ่ของตึก ขึ้นไปยังรถบรรทุกสีขาวปิดทึบที่ผูกซิ่วฉิวหน้ารถ พนักงานออฟิศของบริษัทต่าง ๆ ยินยอมเข้างานสายแต่ไม่กล้าเดินเบียดแทรกแถวเข้าไปในตัวอาคาร ได้แต่ยืนรักษาระยะอยู่ด้านนอก“นายครับได้เวลาแล้ว” ฉินเฟยหลงเดินออกมาจากลิฟต์ส่วนตัวด้วยชุดพิธีการสีแดง ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับตลอดเวลาเจ้าบ่าวเดินนำขบวนไปขึ้นรถด้านนอก“เตรียมเคลื่อนขบวนไปรับเจ้าสาวได้!” ผู้นำพิธีการตะโกนเตือนเมื่อได้เวลาสมควร รถดนตรีที่มีเสาไม้ติดป้าย ‘ซวงสี่’ จึงกระหึ่มอีกระลอกขบวนรถหรูที่ถูกเปลี่ยนเป็นสีแดง 9 คัน เริ่มเคลื่อนตามออกไปติด ๆ คันนำหน้าเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนผูกซิ่วฉิวผ
รถของตระกูลไป๋ต้องเบรกกะทันหันเมื่อเลี้ยวเข้ามายังลานจอดรถ จู่ ๆ รถที่จอดอยู่หลายคันก็พร้อมใจกันถอยหลังจนมาล้อมกรอบรอบตัวรถของพวกเขาเป็นวงกลมปัง ปัง ปัง!สถานการณ์ยิ่งไม่ปกติเมื่อมีชายในชุดสูทนับรวมได้ 8 คน ลงมาจากที่นั่งข้างคนขับของรถที่ล้อมรถตระกูลไป๋อยู่กรี๊ด...“หลบเร็ว ตีกันแล้ว แจ้งตำรวจ!”“หนีเร็วเข้า อย่าไปยุ่ง”ไป๋จื้อหยางกอดลูกสาวแน่น“สืออิงติดต่อบอดี้การ์ดมาที่นี่ด่วน!”บอดี้การ์ดตระกูลไป๋ รวมถึงหยางฝูเหว่ยและเกาอี้ไม่ได้ตามมาเพราะเป็นเวลากลางวันและสถานที่อยู่ใจกลางเมือง ไป๋จื้อหยางจึงคิดว่าไม่น่าจะมีใครกล้าเล่นสกปรกไป๋เหม่ยถิงมองออร่าสีเขียวจากบุรุษบางคนที่ลงจากรถ ลองพิจารณาใบหน้าหลังแว่นกันแดดดี ๆ เหมือนจะเคยผ่านตามาบ้าง จึงนั่งนิ่งอยู่กับที่ใบหน้าเฉยเมย‘เฮียหลงกำลังจะทำอะไร?’“ถิงเออร์ลูกนั่งรอในรถ พอจะออกไปเจรจาดูสักหน่อยว่าผู้มาต้องการอะไร”ไม่ทันที่เธอจะห้ามคุณพ่อก็จับประตูรถเตรียมก้าวออกไป ประจวบเหมาะกับคนด้านนอกเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกันพรึ่บ! ปุ้ง ปุ้ง ปุ้ง!ท้ายรถที่ล้อมกรอบทั้งหมดเปิดออก มีเสียงพลุขนาดเล็กแตกกระจายพร้อมสายรุ้งและกระดาษสีปลิวว่อน กุหลาบหลากสีถู
3 วันต่อมาตึกเซี่ยอวิ๋น 8 โมงเช้า“ฮ้าว...เหล่าจงนายมาสักที ข้าจะได้กลับไปนอนยาว ๆ” พนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกกะกลางคืนทักเพื่อนที่มาเปลี่ยนกะแล้วเตรียมจะกลับเข้าไปตึกเซี่ยอวิ๋น“!!!”ตอนเปิดตาที่ปิดปากหาวยาว เขาตกใจจนขวัญเกือบกระเจิงเพราะบอดี้การ์ดในชุดฝึกสีดำราว 20 กว่าคนมายืนออกันเงียบ ๆ ตรงลานกว้าง แถมไฟของตึกก็ยังไม่เปิดจึงเห็นเป็นเงาตะคุ่ม“ตกใจหมดนึกว่าโจรปล้นตึก! พวกพี่ลงมาทำอะไรกันครับ” บอดี้การ์ดก็เป็นรุ่นพี่ที่ร่วมฝึกซ้อมกันทุกวัน ผลัดกันเปลี่ยนมาเฝ้าตึกกับออกไปทำภารกิจด้านนอกถ้าสังเกตดีต ๆ จะเห็นว่าเหล่าบอดี้การ์ดมีถุงใส่ของติดมือมาด้วย พอคนออกจากลิฟต์เที่ยวสุดท้ายครบก็กระจายกำลังกันเดินออกไปด้านนอกตึก‘ชุนเหลียน’ กลอนคู่มงคลแผ่นยาวสีแดง ที่เขียนด้วยมือจากปรมาจารย์ด้านการคัดอักษร ถูกติดตรงประตูทางเข้าตึกก่อนเป็นที่แรก ตามด้วยตัวอักษร ‘ฝู’ ที่แปลว่าความสุขติดกลับหัวตรงประตูกระจกสองด้านด้านนอกผ้าแดงและโคมกระดาษถูกนำไปห้อยประดับตามต้นไม้ตรงสวนหย่อมก่อนเข้าตัวตึกจนดูสดใสมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นซิ่วฉิวฮวามีชายยาวถูกนำไปแขวนอยู่เหนือประตูทางเข้าตึกด้านหน้า ด้านในมีทีมบอดี้การ
บ้านตระกูลไป๋ วันต่อมาอีก 1 อาทิตย์ ก็จะเป็นวันยกน้ำชาของทายาทตระกูลไป๋ ห้องนอนของไป๋เหม่ยถิงจะถูกปรับปรุงใหม่ สร้างตู้เก็บเสื้อผ้าเพิ่มเติมสำหรับฉินเฟยหลงห้องก็เปลี่ยนสีการตกแต่งใหม่ เป็นสีไม้กับครีม พรมเป็นสีน้ำตาลอ่อน เฟอร์นิเจอร์ใหม่ถูกสั่งเข้ามา วันนี้จะมีช่างกับทีมตกแต่งภายในเข้ามาทำในส่วนของบิวท์อิน“ประธานคะ มานั่งทำอะไรตรงนี้คะ แล้วดูแบบห้องที่ตกแต่งใหม่หรือยังคะ” จ้าวลี่จูเดินเข้าบ้านมาเห็นประธานสาวนั่งเท้าคางไร้ชีวิตชีวาอยู่ตรงโซฟารับแขก“ไม่ต้องดูหรอก ทำตามแบบไปนั่นล่ะ ฉันนั่งสะสมพลังอยู่น่ะไม่ต้องให้ใครมารบกวนนะ”ไป๋เหม่ยถิงโบกมือเอื่อย ๆ ตาปรือทำท่าจะปิด ไหนเลยสะสมพลังงานอะไร ทำท่าจะหลับอยู่เดี๋ยวนี้ที่เธอบอกว่าสะสมพลังนั้นพูดจริงแม้ลี่จูจะมองอย่างไม่เชื่อถือแล้วถอนหายใจ เลขาสาวไม่อยากต่อบทสนทนารีบไปดูช่างตกแต่งภายในต่อว่าที่เจ้าสาวปิดตาเอนหลังเข้ามุมพิงตัวกับแขนโซฟา รับรู้ถึงกระแสลมอุ่นจากหยกจักรพรรดิที่ค่อย ๆ ไหลผ่านจากต้นคอลงสู่ท้องน้อย เข้าสู่แสงสีขาวนวลขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวใบหน้าเรียบเฉยเปิดรอยยิ้มอ่อนโยน เมื่อรับรู้ความรู้สึกทั้งหมดนี้“คุณหนูครับ เจ้านายส่งช
นักข่าวสำนักหนึ่งตะโกนลั่น คนอื่นได้ยินก็รีบหันขวับไปทางต้นเสียงที่ฉินเฟยหลงเดินโอบเอวไป๋เหม่ยถิงแหวกฝูงนักข่าวพร้อมเหล่าบอดี้การ์ดตระกูลฉินกันที่ออกให้“นั่น!...นายท่านฉินกับคู่หมั้น?!”“ประธานไป๋!?”นักข่าวจากเซี่ยงไฮ้เดลี่คุ้นหน้าคุ้นตาผู้มาใหม่เป็นอย่างดี รวมทั้งสำนักข่าวอื่นที่มาจากปักกิ่งด้วยเช่นกัน“นายท่านฉินมาเป็นกำลังใจให้คู่หมั้นเหรอคะ พวกคุณมั่นใจมากแค่ไหนว่าจะชนะคดี”“ประธานไป๋พูดถึงคดีจ้างวานฆ่าหน่อยครับ”“นี่...ทำไมดูอย่างกับคนละคนที่ไปบ้านตระกูลหลินเลยล่ะเธอ”นักข่าวก็ดี คนทั่วไปก็ดีตอนนี้ส่งเสียงระงมกันอยู่ทางเข้าศาล จนเจ้าหน้าที่ต้องมาระงับเหตุ“สัมภาษณ์รอไว้หลังจากพิจารณาคดีวันนี้นะครับ” หยางฝูเหว่ยกับเกาอี้เดินประกบด้านข้างเจ้านายทั้งสองเป็นฝ่ายแจ้งนักข่าวพอได้รับการยืนยันจากปากกลุ่มเจ้าของคดีนักข่าวจึงค่อยสงบลงเพราะรู้ว่าวันนี้ไม่ได้มือเปล่ากลับไปภายในห้องพิจารณาคดี ที่เปิดให้เป็นการพิจารณาแบบสาธารณะมีคนเข้ามาชมได้ ไป๋เหม่ยถิงเดินแยกออกไปทางด้านหลังอัยการ เธอไม่แม้แต่ชำเลืองหางตามองหลินเหวินหลาน“เปิดศาล พิจารณาคดีเลขที่... นำตัวจำเลยเข้ามา”เจ้าหน้าที่เดินประกบ
หลังพูดคุยกันจนเข้าใจ ไป๋เหม่ยถิงกับฉินเฟยหลงก็เดินจูงมือกลับมาด้านในห้องโถงท่าทางชื่นมื่น อาจารย์กับพ่อของเจ้าตัวคนหนึ่งมองเบะปากด้วยความหมั่นไส้ อีกคนอยากจะปรี่เข้าไปสับมือหนา ๆ ทิ้ง“ตอนออกไปหน้าสลดเป็นหมาป่วย กลับมาหน้าตาคึกคักยิ่งอย่างกับหมาโดนยา ไม่ต้องถามผลแล้ว ให้ไอ้หนุ่มฉินมันส่งเกี้ยวมาพรุ่งนี้เลย?” ผู้เฒ่าติงอดไม่ไหวแขวะลูกศิษย์ที่ดูจะพร้อมออกเรือนเหลือเกิน“ได้เหรอคะอาจารย์ อย่างนั้นเฮียหลงจัดการเลยค่ะ”“ครับ ขอบคุณครับคุณปู่ คุณพ่อ อาจารย์”ไป๋เหม่ยถิงแสร้งตกใจจนตาโต หันไปขยิบตายิ้มแย้มกับคู่หมั้น แล้วหันไปแสยะยิ้มใส่จนท่านผู้เฒ่าติงเลือดลมขึ้น สุดท้ายได้แต่ทำตาโปนถลึงให้เหมือนทุกทีท่านผู้เฒ่าไป๋มองท่าทางแบบเมียร้องผัวรับของหลานสาวปากกระตุก คงได้แต่ปลงเท่านั้น‘ขนาดยังไม่ทันแต่ง ก็ตามใจกันขนาดนี้’“คุณปู่ คุณพ่อครับ อาจารย์ครับ ผมอยากขออนุญาตพาน้องไปจดทะเบียนสมรสกันก่อน เรื่องแต่งงานคงรอดูว่าถิงถิงจะมีน้องไหม ถ้าลูกยังไม่มาน้องขอเวลาผม 2 ปี แต่ถ้ามีก็จัดงานตามฤกษ์ใกล้ครับ”“วิธีนี้ก็ถือว่าไม่แย่ ถ้าจดทะเบียนได้ชื่อว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว ต่อให้ยังไม่จัดงานแต่งงาน ภายหลั
“การแต่งงานมันไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของคนสองคนรักกัน...ไม่ใช่เลย หากเรายังอยู่ในสังคมยังต้องคบค้าสมาคม ติดต่อการงานกับผู้อื่นหากถิงเออร์ท้องขึ้นมาก่อนแต่งงาน จะมั่นใจได้ไหมว่าจะไม่ทำให้หลานสาวปู่จมน้ำลายชาวบ้าน เหลนที่จะเกิดมาจะไม่ถูกคนนินทาว่ากล่าวลับหลังงานแต่งงานที่ควรจะได้จัดเมื่อทุกอย่างพรักพร้อมสมบูรณ์ที่สุด ก็ต้องมาเร่งรีบเร่งรัดการจะเป็นหัวหน้าครอบครัว จะคำนึงถึงความต้องการของตัวเป็นหลักไม่ได้ ต้องคิดถึงผลกระทบที่จะเกิดกับคนในครอบครัวให้รอบด้านด้วย”ผู้เฒ่าไป๋สอนสั่งด้วยความอ่อนโยน ไม่ได้กล่าวโทษหรือย้ำเตือนการกระทำไม่ยั้งคิดของคนหนุ่มสาว“ไอ้หนุ่มฉิน ความรู้สึกต้องการครอบครองอันแรงกล้าไม่ใช่สิ่งผิด แต่วิธีการที่ได้มามันไม่สง่างาม แน่ใจรึว่าไม่เสียใจภายหลัง”แม้แต่ผู้เฒ่าติงยังอดเอ่ยออกมาประโยคสองประโยคมิได้จักรพรรดิฉินที่ไม่มีญาติผู้ใหญ่คอยสอนสั่ง มีแต่เขาที่ต้องยืนหยัดด้วยตนเอง ทุกสิ่งอย่างที่ต้องการคว้ามาก็ใช้วิธีการที่รวดเร็วแข็งกร้าวยามนี้ได้รับการชี้แนะเหมือนลูกหลานที่กระทำผิด ทั้งละอายแก่ใจทั้งดีใจระคนกัน เหมือนได้รับการยอมรับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่สำคัญพอทบทวนแ