ท้องฟ้าเหนือกองทัพต้าหยางยังคงแต้มด้วยสีหม่นของเมฆหมอกที่ลอยคลุมราวกับเงาแห่งความอึมครึมภายในใจของใครบางคน แม้ว่าการเดินทัพของกองทัพกล้าจะเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและเสียงแห่งความภาคภูมิใจ แต่สำหรับแม่ทัพใหญ่ “จางชิงหยวน” แล้วนั้นความรู้สึกของเขากลับไม่ได้สะท้อนภาพแห่งชัยชนะนั้นเลย
จางชิงหยวนขี่ม้าสูงสง่านำหน้าเหล่าทหารที่กลับมาจากการยึดครองหัวเมืองทางตะวันออก ทหารแต่ละคนดูมีความสุขและโล่งใจที่สามารถกลับมาเยือนบ้านเมืองได้อีกครั้งหลังจากการสู้รบอันยาวนาน เสียงพูดคุยและรอยยิ้มที่แสดงถึงความปลอดภัยทำให้บรรยากาศดูสดใส แต่จางชิงหยวนกลับไม่มีความรู้สึกร่วมใดๆ กับพวกเขาเลยสักนิด
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของแม่ทัพหนุ่มทอดมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าไกล ท่ามกลางหมอกหนาที่ปกคลุมแผ่นดินเบื้องหน้า แต่สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่ความยินดีใดๆ หากแต่เป็นภาพจำในอดีตที่กัดกินจิตใจของเขามานานถึงสามปี ภาพของเพลิงสงคราม เสียงกรีดร้อง ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีวันหวนคืน และใบหน้าของคนรักที่ไม่อาจลืมเลือนไปได้
สามปีก่อน...
ควันไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงโห่ร้องของศัตรูจากแคว้นเสียนหู่ดังกลบเสียงลมและเสียงฟ้าร้องรอบๆ พวกมันบุกเข้ามายังค่ายทหารของแคว้นต้าหยาง เพลิงสงครามลุกลามไปทุกทิศทาง ร่างทหารหลายคนล้มลงกลางสนามรบ เปื้อนดินด้วยเลือดแดงฉาน
เสียงดาบปะทะกันดังกึกก้องท่ามกลางความโกลาหล แต่มนต์ดำที่ถาโถมใส่กองทัพต้าหยางในวันนั้นคือสิ่งที่ทำลายขวัญกำลังใจของพวกเขามากที่สุด มันเป็นวิชาลับที่พวกเขาไม่เคยเจอมาก่อน พลังแห่งความมืดนั้นเปรียบเสมือนพายุที่พร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้า
ท่ามกลางการต่อสู้ที่ดุเดือด จางชิงหยวนมองเห็นแสงสีดำวาบขึ้นมาในท้องฟ้าด้านหน้า ร่างของ “ไป๋ซูเหม่ย” หญิงสาวผู้เป็นที่รักของเขายืนอยู่ท่ามกลางสนามรบ นางกำลังยืนเผชิญหน้ากับศัตรูคนหนึ่ง รองแม่ทัพหวงหมิงเจ๋อจากแคว้นเสียนหู่ ผู้ใช้มนต์ดำที่ทรงพลังที่สุดของฝ่ายศัตรู
ดวงตาของไป๋ซูเหม่ยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางไม่เคยต้องเผชิญกับพลังมนต์ดำมาก่อน จางชิงหยวนรีบพุ่งเข้าไปหานางพร้อมกับตะโกนเรียก
“เหม่ยเอ๋อร์!”
แต่ทว่าเสียงของเขาถูกกลบไปด้วยเสียงคำรามของมนต์ดำที่ฟาดใส่ร่างของนาง แสงสีดำพุ่งเข้าใส่ไป๋ซูเหม่ยราวกับสายฟ้าที่โหมกระหน่ำ
ร่างของหญิงสาวกระเด็นลอยไปตามแรงกระแทก ก่อนที่จะตกลงสู่พื้น จางชิงหยวนวิ่งไปถึงตัวนางทันที หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความกลัว เขาทรุดตัวลงข้างๆ ร่างที่นอนแน่นิ่งของนาง
ไป๋ซูเหม่ยนอนอยู่ท่ามกลางเพลิงสงครามและเสียงดาบที่ยังคงดังก้องรอบตัว ร่างกายของนางเริ่มเย็นเยียบลงเรื่อยๆ ดวงตาคู่งามที่เคยเปล่งประกายกลับบรรจงปิดอย่างสนิท
จางชิงหยวนเอื้อมมือที่สั่นเครือไปสัมผัสใบหน้างามของไป๋ซูเหม่ย ความเจ็บปวดราวกับดาบที่กรีดลงไปในหัวใจ ความโศกเศร้าครอบงำเขาจนแทบหายใจไม่ออก ภาพของคนรักที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนคืนยังคงชัดเจนในจิตใจของเขา ร่างของนางที่เคยนุ่มนวลและอบอุ่นกลับกลายเป็นร่างไร้ชีวิต หัวใจของเขาพลันรู้สึกราวกับถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
เขามองไปทั่วสนามรบ ในขณะที่ความสับสนวุ่นวายยังคงดำเนินต่อไป แต่ในหัวของเขามีคำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นมาตลอดเวลา
“พวกมันต้องมีหนอนบ่อนไส้ช่วยทะลวงค่ายของเราจากภายใน...”
จางชิงหยวนไม่เชื่อว่าการโจมตีครั้งนั้นเป็นเพียงแค่แผนการธรรมดา ทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนเป็นการวางแผนอย่างดีและรู้ทันทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขา
“ว่าแต่มันผู้นั้นเป็นใคร!?” เขารู้ว่าต้องมีใครบางคนที่ช่วยเหลือศัตรูจากภายใน และเขาจะไม่ยอมปล่อยให้คนทรยศผู้นั้นหลุดรอดไปได้
เขาเอื้อมมือสัมผัสร่างไร้วิญญาณของไป๋ซูเหม่ยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือ หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความแค้น “ข้าจะต้องหาคนทรยศให้ได้... และข้าจะล้างแค้นให้เจ้า เหม่ยเอ๋อร์”
เสียงฝีเท้าม้าของกองทหารต้าหยางยังคงดังเป็นจังหวะขณะที่พวกเขาเดินทางกลับบ้านหลังจากชัยชนะเหนือหัวเมืองทางตะวันออก แต่สำหรับจางชิงหยวน ชัยชนะครั้งนี้กลับไม่ได้ช่วยให้หัวใจของเขาสงบลงได้เลย ใบหน้าของเขายังคงเคร่งขรึม ดวงตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความคิดถึงและความแค้นที่ยังไม่ได้รับการชำระ
“ท่านแม่ทัพ” เสียงของตวนหลี่ รองแม่ทัพคนสนิท ดังขึ้นจากข้างๆ เขา “ท่านยังคงคิดถึงเรื่องเดิมอยู่ใช่หรือไม่ขอรับ?”
จางชิงหยวนเหลือบมองไปยังตวนหลี่ แววตาของเขายังคงหนักแน่น แต่แฝงด้วยความเจ็บปวดที่ไม่เคยจางหาย “ข้าไม่อาจลืมได้... ข้าจะต้องรู้ให้ได้ว่าใครคือคนทรยศ ข้าจะไม่ปล่อยให้มันหลุดรอดไปอีก”
ตวนหลี่พยักหน้าเบาๆ เขาเข้าใจดีถึงความเจ็บปวดของแม่ทัพหนุ่ม ทั้งสองต่างเคยผ่านเหตุการณ์อันโหดร้ายมาด้วยกันในวันนั้น เขาจึงรู้ว่าจางชิงหยวนไม่อาจปล่อยวางเรื่องนี้ได้ง่ายๆ
“ข้าจะช่วยท่านสืบหาความจริงเอง ท่านไม่ต้องเป็นกังวล ข้าจะไม่หยุดจนกว่าจะพบตัวคนทรยศ” ตวนหลี่ให้คำมั่นเสียงหนักแน่น
จางชิงหยวนไม่ได้ตอบกลับอะไร เพียงแต่มองออกไปยังเส้นทางที่ทอดยาวเบื้องหน้า เสียงกีบม้ายังคงดังก้องในอากาศ บรรยากาศของการเดินทางกลับเต็มไปด้วยความเงียบงัน เหล่าทหารยังคงเดินต่อไปด้วยความหวังที่จะได้พักผ่อนหลังจากการสู้รบอันยาวนาน
“ท่านแม่ทัพ” ตวนหลี่พูดขึ้นอีกครั้งเมื่อพวกเขาใกล้จะถึงจุดพักแรม “สายของเราได้ข่าวมาว่าตอนนี้แคว้นเสียนหู่เริ่มทำการเคลื่อนไหวอีกครั้ง ข้าคิดว่าเราควรตั้งค่ายชั่วคราวที่เมืองหมิงอี้ เมืองนี้เป็นเมืองหน้าด่านที่สามารถวางแผนได้ทั้งแนวรุกและรับ และยังเป็นที่อยู่ของลู่หยาง คนสนิทของพวกเราที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในการบุกโจมตีค่ายครั้งนั้น ข้าเชื่อว่าอาจจะมีเบาะแสบางอย่างที่นั่นให้เราค้นหา”
จางชิงหยวนหันมามองตวนหลี่ทันทีเมื่อได้ยินชื่อ “ลู่หยาง” หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย ความทรงจำเกี่ยวกับการหายตัวไปของลู่หยางผุดขึ้นมาในหัวของเขา ความรู้สึกว่ายังมีบางสิ่งบางอย่างที่ถูกปกปิดไว้ยังคงวนเวียนอยู่ในใจ
“ลู่หยาง...” จางชิงหยวนพึมพำเบาๆ ความคิดเกี่ยวกับการตามหาคนทรยศและการหาเบาะแสของลู่หยางเริ่มเข้ามาในหัว
“บางที... ข้าอาจจะพบสิ่งที่ข้าต้องการที่นั่น” จางชิงหยวนพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม ขณะที่สายตาของเขาจับจ้องไปยังเส้นทางข้างหน้า
“ตวนหลี่ แจ้งกองทัพให้เตรียมตัว” จางชิงหยวนสั่งเสียงเบาแต่เด็ดขาด “เราจะไปตั้งค่ายที่เมืองหมิงอี้ในยามเช้าของวันพรุ่งนี้ และข้าไม่ต้องการให้ใครชักช้า”
ตวนหลี่ยิ้มบางๆ ขณะที่ก้มหัวรับคำสั่ง “ขอรับ ท่านแม่ทัพ ข้าจะจัดการให้พร้อมในทันที”
ลู่หยวนฮวาก้าวเดินไปตามเส้นทางเล็ก ๆ ที่เลียบไปกับแนวป่าทึบ ความเงียบสงัดของป่าโอบล้อมนางราวกับกำแพงที่หนาทึบ ต้นไม้สูงใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมท้องฟ้าเหนือศีรษะ ปิดกั้นแสงอาทิตย์ให้เลือนลางรางจากท้องฟ้าสีครึ้ม ทำให้ป่าแห่งนี้ดูมืดสลัวไปทุกทิศทาง ทว่าบรรยากาศนี้กลับทำให้นางรู้สึกสงบใจ รู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ไม่มีกฎเกณฑ์ของมนุษย์มาคอยขีดเส้นไว้การตัดสินใจเดินทางเลี่ยงเมืองหมิงอี้ในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ลู่หยวนฮวาคิดมาอย่างรอบคอบ ในเมืองหมิงอี้เป็นที่รู้กันว่าตระกูลลู่ของนางถูกกล่าวขานถึงตำนานคำสาปที่เล่นงานพวกเขามาอย่างยาวนานชาวเมืองหวาดกลัวตระกูลลู่ เพราะเชื่อว่าสายเลือดของพวกเขานำพาความหายนะและโชคร้ายไปทุกหนแห่งความเชื่อเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงคำลือแต่อย่างใด หญิงสาวที่เกิดในตระกูลลู่เมื่อแต่งงานออกไปก็ไม่เคยมีใครพบความสุขได้ยืนยาว พวกนางมักจะนำความตายมาสู่คนรักเสมอ คล้ายกับดวงชะตากินสามี ไม่ว่าจะเป็นโรคภัย ภัยธรรมชาติ หรืออุบัติเหตุ หากใครได้เป็นคู่ครองกับคนตระกูลลู่ ชีวิตก็มักจะจบลงอย่างน่าสลด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมชาวเมืองหมิงอี้ถึงรังเกียจและหวาดกลัวนางยิ่งนัก
ในป่าที่เงียบสงบ ลมเบาๆ พัดผ่าน ใบไม้พลิ้วไหวส่งเสียงกรอบแกรบคล้ายเป็นเสียงกระซิบของป่า ลู่หยวนฮวาหายใจเข้าลึก เสียงของสายลมและธรรมชาติรอบข้างค่อยๆ คลายความตึงเครียดในใจนางลงเล็กน้อย แต่ก็เพียงชั่วครู่นางรู้ดีว่าสถานการณ์ของตนในตอนนี้ไม่อาจวางใจอะไรได้ขณะที่นางยืนอยู่ท่ามกลางทหารที่เพิ่งล้อมเข้ามา เสียงพลทหารคนหนึ่งเอ่ยชื่อ "ท่านแม่ทัพจางชิงหยวน!"หัวใจของลู่หยวนฮวาเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ความทรงจำเกี่ยวกับพี่ชายของนางผุดขึ้นมาในทันที“จางชิงหยวน...” ชื่อนี้ชัดเจนในความทรงจำของนาง เขาคือเจ้านายของลู่หยาง พี่ชายของนางซึ่งหายตัวอย่างเป็นปริษนาไปเมื่อสามปีก่อนนางขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาที่เคยเฉื่อยชาเมื่อครู่กลับเปล่งประกายขึ้น นางมองไปที่จางชิงหยวนอย่างละเอียดอีกครั้ง เขาดูเงียบขรึมและเยือกเย็น ราวกับว่าเขาคือคนที่ควบคุมทุกอย่างรอบตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความสงสัยผุดขึ้นในใจของลู่หยวนฮวา ว่าชายคนนี้มีบทบาทอะไรหรือไม่ในการหายตัวไปของพี่ชายของนางลู่หยวนฮวาแสร้งแสดงท่าทีนอบน้อมทันที นางค่อยๆ ก้มศีรษะเล็กน้อย“ท่านแม่ทัพ ข้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ แต่ข้าขออนุญาตติดตามท่านไ
ลู่หยวนฮวาค่อยๆ เริ่มรู้สึกถึงความสงสัยที่กัดกร่อนในใจหลังจากที่ได้ยินชื่อของ “ลู่หยาง” หลุดออกจากปากของพลทหารคนหนึ่ง ทันทีที่ทหารผู้นั้นเอ่ยชื่อนี้ เขาก็รีบปิดปากเงียบเหมือนรู้สึกได้ถึงความผิดพลาด ลู่หยวนฮวาเงี่ยหูฟัง แสร้งทำเป็นไม่ได้สนใจ แต่ทว่าในใจของนางกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมาย"ลู่หยาง...พี่ใหญ่" นางพึมพำเบาๆ ชื่อนี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากพี่ชายเพียงคนเดียวที่นางตามหามาตลอด และบัดนี้ นางอาจจะพบร่องรอยของเขาอยู่ที่ค่ายทหารนี้ก็เป็นได้ หญิงสาวตัดสินใจแน่วแน่ทันทีว่าจะต้องสืบหาเรื่องราวนี้ด้วยตัวเองบรรยากาศในป่ายามวิกาลเงียบงัน มีเพียงเสียงลมพัดใบไม้ไหวที่แว่ว ความมืดมิดกลืนกินทุกสิ่งรอบตัว ลู่หยวนฮวาก้าวเดินเบาๆ ระวังไม่ให้เกิดเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นดินที่เต็มไปด้วยกิ่งไม้และใบไม้แห้ง นางรู้ดีว่าการถูกจับได้ในตอนนี้อาจเป็นจุดจบของแผนการที่วางไว้ความมืดที่แผ่ปกคลุมทำให้ทุกก้าวเดินเป็นไปอย่างเชื่องช้าและรัดกุม เสียงหายใจของนางค่อยๆ ถี่ขึ้นพร้อมกับความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะ หัวใจของนางเต้นแรงราวกับจะหลุดออกจากอก นางจับจ้องไปข้างหน้า พยายามฟังเสียงเล็กๆ ที่อาจบ่งบอกถึงการมาถึงข
จางชิงหยวนยืนนิ่งอยู่ในกระโจม สายตาคมกริบจ้องมองไปยังลู่หยวนฮวาที่นั่งอยู่ตรงหน้า นางไม่ได้หลบสายตาเขาเลยสักนิด ในใจของจางชิงหยวนยังคงมีความไม่แน่ใจ เพราะประสบการณ์ในสนามรบนั้นหล่อหลอมให้เขาระมัดระวัง ทำให้ความเชื่อใจนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับจางชิงหยวน“ข้าจะให้คนคอยจับตาดูเจ้า อย่าคิดที่จะหักหลังข้าละกองทัพของต้าหยาง ไม่เช่นนั้นแล้วจุดจบของเข้าคงจะไม่สวยเท่าไหร่ ลู่หยวนฮวา” เขากล่าวในใจหลังจากปล่อยลู่หยวนฮวากลับไปทำงานที่ครัวเขาสั่งให้ตวนหลี่และจิ่งซื่อ พลทหารคนสนิทของเขาคอยจับตาดูการกระทำทุกอย่างของลู่หยวนฮวาอย่างใกล้ชิดแต่ถึงกระนั้น จางชิงหยวนเองก็ยังไม่ละสายตาจากนาง เขามักจะสังเกตการกระทำของนางอย่างเงียบๆ มองหาพฤติกรรมสุมเสี่ยงที่อาจจะทำให้หญิงสาวหลุดพิรุธ หรือเผยให้เห็นความลับที่นางปกปิดเอาไว้ลู่หยวนฮวาพยายามทำตัวให้เป็นปกติเหมือนทุกวัน พยายามที่จะไม่แสดงออกถึงความกังวล แต่ในใจลึกๆ นางก็รู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์เช่นนี้ นางไม่อาจพูดความจริงได้ เพราะหากจางชิงหยวนรู้ว่านางเป็นน้องสาวของลู่หยาง พี่ชายที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนางเกรงว่าตนเองและพี่ชายอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ ได้
หลังจากเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ค่ายทหารหมิงอี้ต้องเผชิญกับความเสียหายหลายจุด เสบียงอาหารที่เคยมีสำรองไว้กลับลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่เส้นทางการขนส่งถูกทำลาย น้ำท่วมยังสร้างความเสียหายต่อการกักเก็บเสบียงจนเกิดปัญหาใหญ่ลู่หยวนฮวาเดินสำรวจไปรอบค่าย สายตาของนางมองเห็นความเหนื่อยล้าของทหารที่ต่างก็ทำงานอย่างหนักในการซ่อมแซมค่าย บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเงียบงันและตึงเครียด เสียงพูดคุยที่เคยคึกคักกลับเหลือเพียงการกระซิบเบาๆ เมื่อเผชิญกับความกังวลเรื่องเสบียงอาหารที่ลดน้อยลงทุกที ทหารแต่ละคนแสดงออกถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ทั้งเรื่องอาหารและความอยู่รอดหญิงสาวรู้ว่าหากเสบียงหมดลงในช่วงที่ถนนหนทางยังขาด ค่ายทหารแห่งนี้อาจจะไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วยความที่เป็นคนท้องที่ ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้เข้าไปในตัวเมืองแต่นางก็รู้จักแหล่งเสบียงของเมืองดี นางตัดสินใจอาสาออกเดินทางไปยังหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไกลจากค่าย โดยหวังว่าจะสามารถติดต่อซื้อเสบียงหรือของใช้ที่จำเป็นจากชาวบ้านได้“ข้าจะขออนุญาตท่านแม่ทัพออกเดินทางไปหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไก
หลังจากการเดินทางอันยากลำบากข้ามแม่น้ำ ในที่สุดลู่หยวนฮวาและจางชิงหยวนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไกลจากค่าย แม้ภายนอกหมู่บ้านจะดูเงียบสงบ แต่เมื่อเดินลึกเข้าไป ความเงียบสงบที่น่าจะมีกลับถูกทำลายด้วยเสียงไอแห้งๆ ดังมาจากบ้านหลังหนึ่ง ตามด้วยเสียงไอที่ดังขึ้นจากอีกหลายบ้าน“ดูเหมือนชาวบ้านที่นี่จะป่วยกันหนัก” ลู่หยวนฮวากล่าวเสียงเบา พร้อมกวาดตามองชาวบ้านที่นอนซมอยู่บนเตียง ผิวซีดเซียว ตัวร้อนจัด และไออย่างรุนแรง“เป็นเพราะแหล่งน้ำสกปรก” ชายชราคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่หนักแน่นด้วยความทุกข์ใจ “น้ำที่ใช้การเกษตรถูกปนเปื้อนจากพายุ น้ำท่วมที่ไหลผ่านพาเอาโคลนและสิ่งสกปรกมาด้วย ข้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พวกท่านข้าขอร้องหล่ะ ช่วยพวกเราด้วยเถิด ให้ทำอะไรข้าก็ยอม”“ข้าจะช่วยพวกท่านเอง ข้าได้นำสมุนไพรมาด้วย หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาอาการของพวกท่านได้” ลู่หยวนฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและกระตือรือร้น จากนั้นนางก็รีบตรงไปดูอาการของชาวบ้านที่ป่วย โดยไม่รอช้าสายตาสีน้ำตาลคมเข้มจับจ้องไปยังหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ข้างเตียงของเด็กคนหนึ่ง เด็กน้อยนอนตัวร้อนจัด ไอแห้งๆ อย่างน่าสงสาร นางรี
“ใช่ๆ ข้าได้ยินมาว่าตระกูลลู่แห่งเมืองหมิงอี้นั้นเป็นตระกูลต้องสาป!”ชาวบ้านคนหนึ่งพูดเบาๆ "พวกเราควรจะไล่นางไป มิฉะนั้นคำสาปอาจจะทำให้หมู่บ้านของเราตกอยู่ในอันตราย!"เสียงกระซิบดังขึ้นเรื่อยๆ ความกลัวเริ่มแผ่ขยายไปทั่วหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านที่เคยมองลู่หยวนฮวาด้วยสายตาชื่นชมเริ่มเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวและระแวดระวัง พวกเขาถอยห่างจากนางโดยไม่รู้ตัวจางชิงหยวนรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างในใจที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดจากหน้าที่หรือความรับผิดชอบตามตำแหน่งแม่ทัพของเขา แต่มันลึกซึ้งกว่านั้นเขามองลู่หยวนฮวาในขณะที่นางพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ และชาวบ้านอย่างไม่เห็นแก่ความลำบากของตัวเอง แม้จะถูกกล่าวหาหรือเข้าใจผิด นางก็ยังคงยืนหยัดอยู่ในจุดที่ใครหลายคนอาจเลือกเดินหนีหัวใจของจางชิงหยวนเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะความโกรธหรือความเครียดแบบที่เขาคุ้นเคย มันเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนความปรารถนาที่จะปกป้องหญิงสาวคนนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะนางกำลังเผชิญกับความไม่ยุติธรรม แต่มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ความอ่อนโยนของนาง ความกล้าหาญที่เขาไม่เคยคาดหวังจากผู้
แสงอาทิตย์อ่อนลงเรื่อยๆ ทำให้ป่าเขาที่ล้อมรอบเต็มไปด้วยเงาทึบ ลู่หยวนฮวาเดินลัดเลาะขึ้นเขาอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าของนางเบาดุจสายลมที่พัดผ่านใบไม้ร่วงหล่น นางสอดส่องหาเถาสมุนไพรที่นางคุ้นเคย พืชพันธุ์หลายชนิดเติบโตขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์บนเนินเขานี้ ความชื้นจากอากาศหลังพายุทิ้งร่องรอยไว้บนดิน มันส่งกลิ่นหอมเย็นและความสดชื่นของป่าลู่หยวนฮวาคุ้นเคยกับการเก็บสมุนไพรอยู่แล้ว นางจึงก้มลงมองพื้นดินและสังเกตต้นไม้ที่บ่งบอกถึงที่ตั้งของพืชสมุนไพรที่นางต้องการจางชิงหยวนเดินตามอยู่ไม่ห่างนัก สายตาสีน้ำตาลคมกริบของเขาจับจ้องไปยังรอบๆ บริเวณ สอดส่องทุกทิศทางเพื่อระวังภัย แม้ในสายลมเย็นนั้นจะไม่มีสิ่งบ่งบอกถึงความอันตราย แต่เขาไม่เคยวางใจป่าเงียบเชียบนี้ ภูเขาที่โอบล้อมเต็มไปด้วยความลึกลับและอาจแฝงด้วยภัยร้ายในที่ที่เขามองไม่เห็น"เจ้าระวังตัวหน่อย เก็บสมุนไพรพอแล้วก็กลับค่ายกัน ที่แห่งนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่นาน" จางชิงหยวนเอ่ยเตือนเสียงเบา ลู่หยวนฮวาพยักหน้ารับ เงยหน้าขึ้นสบตาเขาเพียงเสี้ยววินาทีแล้วกลับไปสนใจต้นสมุนไพรต่อลมเบาๆ พัดพาใบไม้แห้งร่วงกราว จังหวะนั้นเอง ลู่หยวนฮวาเหลือบเห็นต้นสมุนไพรที่