ตำนานคำสาปของตระกูลลู่เป็นเรื่องเล่าที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นมานานหลายศตวรรษ เรื่องราวของคำสาปนี้เริ่มต้นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน โดยมีบรรพบุรุษของตระกูลลู่ชื่อว่า “ลู่เฉินหยวน” ผู้เคยรับใช้แคว้นต้าหยางอย่างซื่อสัตย์ แต่กลับกลายเป็นบุรุษผู้ที่ก่อการทรยศต่อแคว้นและแผ่นดินที่เขาเคยปกป้องในเวลานั้น ลู่เฉินหยวนเป็นกุนซือคนสำคัญของกองทัพต้าหยาง ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะกลายเป็นไส้ศึกที่นำความหายนะมาสู่แคว้นของตนเองความทรยศของเขานำไปสู่ความพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่ของแคว้นต้าหยาง กองทัพของต้าหยางถูกทำลายล้างและเหล่าทหารนับพันต้องสูญเสียชีวิตในการรบหลังจากการพ่ายแพ้ครั้งนั้น ผู้คนในแคว้นต้าหยางต่างโศกเศร้าและเคียดแค้นต่อการทรยศของลู่เฉินหยวน เหล่าทหารและครอบครัวที่สูญเสียคนรักและผู้เป็นที่พึ่งต่างสาปแช่งเขาและตระกูลลู่ ความแค้นที่เกิดจากการสูญเสียผู้เป็นที่รักในสงครามครั้งนั้นนำมาซึ่ง คำสาปแห่งความรักที่จะติดตามลูกหลานของตระกูลลู่ไปชั่วกาลนานคำสาปนี้กล่าวไว้ว่า "ผู้ใดในตระกูลลู่ที่เกิดมีความรัก ย่อมต้องเผชิญชะตากรรมอันโหดร้าย" หากไม่สูญเสียคนรักด้วยความตาย ก็ต้องมีเหตุให้พลัดพ
ภายในหอบรรพชนอันเงียบสงัดของตระกูลลู่ แสงเทียนริบหรี่สะท้อนแสงวูบไหว เผยให้เห็นเงาร่างระหงของหญิงสาวผู้หนึ่งลู่หยวนฮวา ยืนอยู่ท่ามกลางกลิ่นธูปหอมที่อบอวลในอากาศ ชุดอาภรณ์สีม่วงอ่อนปักลายดอกเหมยกุ้ยสวยงามโอบล้อมร่างกายของนางด้วยความละมุนละไม ดวงตาสีนิลคู่งามจับจ้องไปยังแท่นบูชาบรรพบุรุษตรงหน้า แสงไฟจากเปลวเทียนอันอ่อนโยนสะท้อนให้เห็นใบหน้าที่งดงามของนาง แต่กลับแฝงด้วยความโศกเศร้าอย่างลึกล้ำเสียงธูปไหม้ดังเบาๆ ในห้องบูชา แต่มันไม่ได้ทำให้หัวใจของลู่หยวนฮวาสงบ ย้อนกลับไปนึกถึงวันที่ทุกอย่างยังคงสดใส วันเวลาที่เต็มไปด้วยความสุขและความอบอุ่นในครอบครัว วันที่นางและพี่ชายยังคงใช้เวลาร่วมกันในสวนดอกไม้หลังจวนตระกูลลู่ เสียงหัวเราะและคำพูดอ่อนโยนยังคงดังอยู่ในความทรงจำของนางในวัยสิบสี่หนาว ลู่หยวนฮวานั่งเล่นอยู่บนม้านั่งหินในสวนดอกไม้ สายลมพัดผ่านใบหน้าของนางพร้อมกับกลีบดอกไม้ที่โปรยปรายลงมา นางยิ้มรับกับความสวยงามของโลกใบนี้โดยไม่รู้ถึงความมืดมนที่กำลังจะมาถึง นางมีความสุข และหัวใจของนางเต็มไปด้วยความหวัง“ฮวาเอ๋อร์ เจ้ามานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้?” เสียงทุ้มนุ่มของลู่หยางดังขึ้นจากด้านหลัง นาง
ภายในอาณาเขตของจวนตระกูลลู่ในค่ำคืนอันเงียบสงัด แสงเทียนริบหรี่สะท้อนเงาร่างของ "ลู่หยวนฮวา" หญิงสาวผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา นางยืนอยู่ในชุดอาภรณ์สีม่วงอ่อนปักลายดอกเหมยกุ้ย ดวงตาสีนิลคู่งามของนางจับจ้องไปยังม่านอาคมสีม่วงที่ปกคลุมจวนมานาน ซึ่งขณะนี้กำลังแสดงสัญญาณการปริแตกผนึกนี้เคยเป็นเกราะป้องกันที่มารดาของนางสร้างขึ้น แต่บัดนี้ มันกลับกลายเป็นพันธนาการที่กักขังนางไว้ไม่ให้ออกจากจวนลู่หยวนฮวาเดินเข้าไปใกล้ผนึก ความดื้อรั้นที่เป็นลักษณะเด่นของนางตั้งแต่เด็กทำให้นางไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไป หัวใจของนางเต้นแรงขึ้น นางสัมผัสได้ว่าผนึกที่เคยแน่นหนากำลังจะพังทลายลง ซึ่งนั่นหมายความว่านางอาจจะสามารถออกจากจวนนี้ไปตามหาพี่ชาย "ลู่หยาง" ที่หายสาบสูญไปได้"ผนึกของท่านแม่กำลังอ่อนลงแล้ว..." ลู่หยวนฮวาพึมพำ น้ำเสียงของนางสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยม นัยน์ตาสีนิลของหญิงสาวทอประกายด้วยความดื้อรั้นและความแน่วแน่ในขณะที่หญิงสาวยื่นมือสัมผัสผนึกนั้น สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ภาพนิมิตที่หายไปนานกลับพุ่งเข้ามาในสมองของนาง นิมิตนั้นชัดเจนเกินกว่าความฝัน มันเหมือนกับว่าพลังวิเศษที่นางสืบทอ
ท้องฟ้าเหนือกองทัพต้าหยางยังคงแต้มด้วยสีหม่นของเมฆหมอกที่ลอยคลุมราวกับเงาแห่งความอึมครึมภายในใจของใครบางคน แม้ว่าการเดินทัพของกองทัพกล้าจะเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและเสียงแห่งความภาคภูมิใจ แต่สำหรับแม่ทัพใหญ่ “จางชิงหยวน” แล้วนั้นความรู้สึกของเขากลับไม่ได้สะท้อนภาพแห่งชัยชนะนั้นเลยจางชิงหยวนขี่ม้าสูงสง่านำหน้าเหล่าทหารที่กลับมาจากการยึดครองหัวเมืองทางตะวันออก ทหารแต่ละคนดูมีความสุขและโล่งใจที่สามารถกลับมาเยือนบ้านเมืองได้อีกครั้งหลังจากการสู้รบอันยาวนาน เสียงพูดคุยและรอยยิ้มที่แสดงถึงความปลอดภัยทำให้บรรยากาศดูสดใส แต่จางชิงหยวนกลับไม่มีความรู้สึกร่วมใดๆ กับพวกเขาเลยสักนิดดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของแม่ทัพหนุ่มทอดมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าไกล ท่ามกลางหมอกหนาที่ปกคลุมแผ่นดินเบื้องหน้า แต่สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่ความยินดีใดๆ หากแต่เป็นภาพจำในอดีตที่กัดกินจิตใจของเขามานานถึงสามปี ภาพของเพลิงสงคราม เสียงกรีดร้อง ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีวันหวนคืน และใบหน้าของคนรักที่ไม่อาจลืมเลือนไปได้สามปีก่อน...ควันไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงโห่ร้องของศัตรูจากแคว้นเสียนหู่ดังกลบเสียงลมและเสียงฟ้าร้องรอบๆ พวกมันบุ
ลู่หยวนฮวาก้าวเดินไปตามเส้นทางเล็ก ๆ ที่เลียบไปกับแนวป่าทึบ ความเงียบสงัดของป่าโอบล้อมนางราวกับกำแพงที่หนาทึบ ต้นไม้สูงใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมท้องฟ้าเหนือศีรษะ ปิดกั้นแสงอาทิตย์ให้เลือนลางรางจากท้องฟ้าสีครึ้ม ทำให้ป่าแห่งนี้ดูมืดสลัวไปทุกทิศทาง ทว่าบรรยากาศนี้กลับทำให้นางรู้สึกสงบใจ รู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ไม่มีกฎเกณฑ์ของมนุษย์มาคอยขีดเส้นไว้การตัดสินใจเดินทางเลี่ยงเมืองหมิงอี้ในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ลู่หยวนฮวาคิดมาอย่างรอบคอบ ในเมืองหมิงอี้เป็นที่รู้กันว่าตระกูลลู่ของนางถูกกล่าวขานถึงตำนานคำสาปที่เล่นงานพวกเขามาอย่างยาวนานชาวเมืองหวาดกลัวตระกูลลู่ เพราะเชื่อว่าสายเลือดของพวกเขานำพาความหายนะและโชคร้ายไปทุกหนแห่งความเชื่อเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงคำลือแต่อย่างใด หญิงสาวที่เกิดในตระกูลลู่เมื่อแต่งงานออกไปก็ไม่เคยมีใครพบความสุขได้ยืนยาว พวกนางมักจะนำความตายมาสู่คนรักเสมอ คล้ายกับดวงชะตากินสามี ไม่ว่าจะเป็นโรคภัย ภัยธรรมชาติ หรืออุบัติเหตุ หากใครได้เป็นคู่ครองกับคนตระกูลลู่ ชีวิตก็มักจะจบลงอย่างน่าสลด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมชาวเมืองหมิงอี้ถึงรังเกียจและหวาดกลัวนางยิ่งนัก
ในป่าที่เงียบสงบ ลมเบาๆ พัดผ่าน ใบไม้พลิ้วไหวส่งเสียงกรอบแกรบคล้ายเป็นเสียงกระซิบของป่า ลู่หยวนฮวาหายใจเข้าลึก เสียงของสายลมและธรรมชาติรอบข้างค่อยๆ คลายความตึงเครียดในใจนางลงเล็กน้อย แต่ก็เพียงชั่วครู่นางรู้ดีว่าสถานการณ์ของตนในตอนนี้ไม่อาจวางใจอะไรได้ขณะที่นางยืนอยู่ท่ามกลางทหารที่เพิ่งล้อมเข้ามา เสียงพลทหารคนหนึ่งเอ่ยชื่อ "ท่านแม่ทัพจางชิงหยวน!"หัวใจของลู่หยวนฮวาเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ความทรงจำเกี่ยวกับพี่ชายของนางผุดขึ้นมาในทันที“จางชิงหยวน...” ชื่อนี้ชัดเจนในความทรงจำของนาง เขาคือเจ้านายของลู่หยาง พี่ชายของนางซึ่งหายตัวอย่างเป็นปริษนาไปเมื่อสามปีก่อนนางขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาที่เคยเฉื่อยชาเมื่อครู่กลับเปล่งประกายขึ้น นางมองไปที่จางชิงหยวนอย่างละเอียดอีกครั้ง เขาดูเงียบขรึมและเยือกเย็น ราวกับว่าเขาคือคนที่ควบคุมทุกอย่างรอบตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความสงสัยผุดขึ้นในใจของลู่หยวนฮวา ว่าชายคนนี้มีบทบาทอะไรหรือไม่ในการหายตัวไปของพี่ชายของนางลู่หยวนฮวาแสร้งแสดงท่าทีนอบน้อมทันที นางค่อยๆ ก้มศีรษะเล็กน้อย“ท่านแม่ทัพ ข้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ แต่ข้าขออนุญาตติดตามท่านไ
ลู่หยวนฮวาค่อยๆ เริ่มรู้สึกถึงความสงสัยที่กัดกร่อนในใจหลังจากที่ได้ยินชื่อของ “ลู่หยาง” หลุดออกจากปากของพลทหารคนหนึ่ง ทันทีที่ทหารผู้นั้นเอ่ยชื่อนี้ เขาก็รีบปิดปากเงียบเหมือนรู้สึกได้ถึงความผิดพลาด ลู่หยวนฮวาเงี่ยหูฟัง แสร้งทำเป็นไม่ได้สนใจ แต่ทว่าในใจของนางกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมาย"ลู่หยาง...พี่ใหญ่" นางพึมพำเบาๆ ชื่อนี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากพี่ชายเพียงคนเดียวที่นางตามหามาตลอด และบัดนี้ นางอาจจะพบร่องรอยของเขาอยู่ที่ค่ายทหารนี้ก็เป็นได้ หญิงสาวตัดสินใจแน่วแน่ทันทีว่าจะต้องสืบหาเรื่องราวนี้ด้วยตัวเองบรรยากาศในป่ายามวิกาลเงียบงัน มีเพียงเสียงลมพัดใบไม้ไหวที่แว่ว ความมืดมิดกลืนกินทุกสิ่งรอบตัว ลู่หยวนฮวาก้าวเดินเบาๆ ระวังไม่ให้เกิดเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นดินที่เต็มไปด้วยกิ่งไม้และใบไม้แห้ง นางรู้ดีว่าการถูกจับได้ในตอนนี้อาจเป็นจุดจบของแผนการที่วางไว้ความมืดที่แผ่ปกคลุมทำให้ทุกก้าวเดินเป็นไปอย่างเชื่องช้าและรัดกุม เสียงหายใจของนางค่อยๆ ถี่ขึ้นพร้อมกับความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะ หัวใจของนางเต้นแรงราวกับจะหลุดออกจากอก นางจับจ้องไปข้างหน้า พยายามฟังเสียงเล็กๆ ที่อาจบ่งบอกถึงการมาถึงข
จางชิงหยวนยืนนิ่งอยู่ในกระโจม สายตาคมกริบจ้องมองไปยังลู่หยวนฮวาที่นั่งอยู่ตรงหน้า นางไม่ได้หลบสายตาเขาเลยสักนิด ในใจของจางชิงหยวนยังคงมีความไม่แน่ใจ เพราะประสบการณ์ในสนามรบนั้นหล่อหลอมให้เขาระมัดระวัง ทำให้ความเชื่อใจนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับจางชิงหยวน“ข้าจะให้คนคอยจับตาดูเจ้า อย่าคิดที่จะหักหลังข้าละกองทัพของต้าหยาง ไม่เช่นนั้นแล้วจุดจบของเข้าคงจะไม่สวยเท่าไหร่ ลู่หยวนฮวา” เขากล่าวในใจหลังจากปล่อยลู่หยวนฮวากลับไปทำงานที่ครัวเขาสั่งให้ตวนหลี่และจิ่งซื่อ พลทหารคนสนิทของเขาคอยจับตาดูการกระทำทุกอย่างของลู่หยวนฮวาอย่างใกล้ชิดแต่ถึงกระนั้น จางชิงหยวนเองก็ยังไม่ละสายตาจากนาง เขามักจะสังเกตการกระทำของนางอย่างเงียบๆ มองหาพฤติกรรมสุมเสี่ยงที่อาจจะทำให้หญิงสาวหลุดพิรุธ หรือเผยให้เห็นความลับที่นางปกปิดเอาไว้ลู่หยวนฮวาพยายามทำตัวให้เป็นปกติเหมือนทุกวัน พยายามที่จะไม่แสดงออกถึงความกังวล แต่ในใจลึกๆ นางก็รู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์เช่นนี้ นางไม่อาจพูดความจริงได้ เพราะหากจางชิงหยวนรู้ว่านางเป็นน้องสาวของลู่หยาง พี่ชายที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนางเกรงว่าตนเองและพี่ชายอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ ได้
วันรุ่งขึ้นขณะที่พวกเขาเดินชมรอบเมือง ทิวทัศน์และบรรยากาศยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม ทว่าในมุมหนึ่งของหมู่บ้านนั้นมีเสียงกระซิบกระซาบขึ้นมา ชาวบ้านบางคนที่ยังคงระแวงกับคำสาปเก่าแก่ได้เริ่มพูดถึงคำสาปที่อาจจะกลับมา นัยน์ตาหวาดระแวงของบางคนจ้องมองลู่หยวนฮวาอย่างระมัดระวัง พวกเขาเริ่มถอยหนีเมื่อเห็นนางเดินเข้าใกล้ลู่หยวนฮวารู้สึกถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความไม่สบายใจเริ่มทับถมอยู่ในใจของนาง นางหันไปพูดกับชาวบ้านเสียงนุ่ม“พวกท่าน…ไม่ต้องหวาดกลัวอีกแล้วนะเจ้าคะ คำสาปนั้นถูกล้างไปแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีตระกูลต้องสาปอีกต่อไปแล้ว”แต่ชาวบ้านบางคนยังคงไม่คลายความระแวง“แล้วทำไมเด็กๆ ถึงป่วยไม่มีสาเหตุในวันเดียวกับที่ท่านกลับมาเล่า?”เสียงหนึ่งดังขึ้นมาท่ามกลางกลุ่มชาวบ้าน และคนอื่นๆ เริ่มหันไปกระซิบกระซาบ พวกเขาดูคล้ายจะเชื่อคำกล่าวนั้นจางชิงหยวนเห็นภรรยารักถูกแคลนแล้วไม่สบอารมณ์นัก ก้าวเข้ามาข้างหน้า มองไปยังชาวบ้านที่ยังคงแสดงท่าทีหวาดระแวง“ข้าขอเตือนพวกท่านทั้งหลาย อย่าปล่อยให้ความกลัวและความเชื่อที่งมงายมาครอบงำความคิดของพวกท่านอีกต่อไป คำสาปนั้นได้ถูกล้างไปแล้ว และสิ่งที่เกิ
สามปีผ่านไป ชีวิตของลู่หยวนฮวาและจางชิงหยวนเปลี่ยนแปลงไปมาก พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในเมืองหลวง หลังจากการแต่งงานและการล้างคำสาปสำเร็จ ทุกอย่างดูจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นพวกเขามีบุตรชายหนึ่งคน ชื่อ "จางหรง" เด็กน้อยวัยสองหนาวที่เต็มไปด้วยความสดใสและความซุกซนใบหน้าของจางหรงมีความละม้ายคล้ายคลึงกับมารดาอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าดวงตาสีน้ำตาลสวยของเขานั้นสืบทอดมาจากบิดา รอยยิ้มไร้เดียงสาของเด็กน้อยเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่ทำให้ทุกคนรอบข้างรู้สึกอบอุ่นใจในขณะที่รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวไปตามเส้นทางที่ลัดเลาะสู่เมืองหมิงอี้ ลู่หยวนฮวาและจางชิงหยวนต่างนั่งอยู่ในความเงียบสงบที่อบอุ่น จางหรง เด็กน้อยวัยสองหนาวที่นั่งอยู่ระหว่างพ่อแม่ แต่ดวงตาใสแจ๋วกลับจ้องมองไปที่ทิวทัศน์ภายนอกอย่างตื่นตาตื่นใจ"หม่าม๊า ดู! ดู!" จางหรงร้องออกมาอย่างตื่นเต้น ขณะที่นิ้วมือเล็กของเขาชี้ไปทางหน้าต่างรถม้า "ม้า... ม้าล้ายย... ม้าใหญ่!"ลู่หยวนฮวายิ้มพร้อมกับยื่นมือไปลูบหัวลูกน้อยอย่างอ่อนโยน "ใช่แล้ว หรงเอ๋อร์ นั่นคือลูกม้า มันวิ่งเร็วมากเลยนะ""หรงเอ๋อร์ เจ้าชอบม้าไหม?" จางชิงหยวนถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ขณะยิ้มให้กั
แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านม่านหมอกบางๆ ที่ปกคลุมจวนตระกูลลู่ ท่ามกลางความเงียบสงบของสถานที่แห่งนี้ ลู่หยวนฮวายืนอยู่เบื้องหน้าจวนที่เคยเป็นทั้งบ้านและที่หลบภัยของนางมาตั้งแต่วัยเยาว์ รอบตัวมีเพียงเสียงลมเบาๆ พัดผ่านต้นไม้และดอกไม้ที่เคยเป็นความสุขของนางในอดีตวันนี้จวนตระกูลลู่ดูเหมือนจะเงียบงันกว่าทุกครั้ง นางยืนอยู่ตรงลานกว้าง มองไปยังประตูที่นางเคยเดินผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า นางจำได้ดีถึงความรู้สึกในทุกครั้งที่นางกลับมาจากการเดินทางจวนแห่งนี้เคยเป็นที่พักใจของนาง แต่บัดนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว จวนนี้ไม่ใช่ที่หลบภัยของนางอีกต่อไป มันกลับกลายเป็นเพียงเงาของความทรงจำที่นางต้องละทิ้งลู่หยวนฮวาหายใจเข้าลึกๆ พยายามรวบรวมความกล้าที่จะก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก แม้จะมีความเศร้าและความเจ็บปวดที่ยังคงซ่อนอยู่ในใจ นางรู้ดีว่าการปิดจวนตระกูลลู่เป็นการตัดสินใจที่จำเป็น นางต้องเริ่มต้นใหม่ ชีวิตของนางไม่สามารถถูกผูกมัดไว้กับอดีตอีกต่อไปจางชิงหยวนยืนอยู่ไม่ไกลจากนาง เขามองนางด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเข้าใจและห่วงใย เขารู้ดีว่าการละทิ้งจวนแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับลู่หยวนฮวา แต่เขาเชื่อ
ลู่หยวนฮวายืนอยู่ท่ามกลางเสียงฝีเท้าของทหารต้าหยางที่กำลังเคลื่อนทัพกลับ เงาของดวงอาทิตย์ที่ตกดินทอดยาวไปไกล บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบงันของชัยชนะ แต่ในหัวใจของนางกลับรู้สึกถึงความสูญเสียที่ยากจะลบเลือนนางก้มลงมองห่อผ้าที่อยู่ในมือ ข้างในนั้นคืออัฐิของลู่หยาง พี่ชายที่เคยยืนหยัดเพื่อปกป้องนางมาตลอดชีวิต บัดนี้กลับเหลือเพียงเถ้าถ่านที่ไร้ลมหายใจน้ำตาของนางไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว ขณะที่นางเดินตามหลังทัพต้าหยาง มือของนางกำห่อผ้านั้นไว้แน่น นางรู้สึกได้ถึงน้ำหนักของความสูญเสียที่ถ่วงหัวใจของนางจนแทบยืนไม่อยู่หัวใจของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถทำตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับป้าหลี่ได้"ข้าพูดไว้...ว่าข้าจะจูงมือพี่ใหญ่กลับบ้านพร้อมกัน แต่ตอนนี้ ข้ากลับนำเพียงเถ้ากระดูกของเขากลับไป..."ลู่หยวนฮวาพึมพำเบาๆ ขณะที่มองเถ้ากระดูกในมือของตน นางรู้สึกถึงความหนักหน่วงของความรับผิดชอบที่นางไม่อาจทำได้ตามที่หวัง ความเจ็บปวดจากความสูญเสียที่ท่วมท้นไม่อาจหยุดยั้งน้ำตาที่ไหลออกมาได้จางชิงหยวนที่เดินตามอยู่ไม่ห่าง สังเกตเห็นท่าทีเศร้าสร้อยของนาง เขาเดินเข้ามาใกล้ วางมือเบาๆ ลงบนไหล
ลู่หยางปรากฏตัวขึ้น ท่ามกลางสนามรบที่แสงจันทร์ลอยเลือนราง ใบหน้าของเขาฉายแววเคร่งขรึม สายตาจ้องมองหวงหมิงเจ๋อ ดาบในมือของเขาสะท้อนแสงอ่อนๆ จากดวงจันทร์ความคิดในหัวของเขาไม่ได้มีเพียงการต่อสู้กับหวงหมิงเจ๋อเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความรู้สึกสับสนที่คอยตามหลอกหลอนในใจการตัดสินใจที่จะเสียสละเพื่อแก้ไขความผิดในอดีตและปกป้องคนที่เขารักในปัจจุบันทุกสายตาจับจ้องไปที่ลู่หยาง เมื่อหวงหมิงเจ๋อหันมามอง ความดุร้ายในแววตาของหวงหมิงเจ๋อส่งผลให้ความตึงเครียดเพิ่มพูนขึ้น ขณะที่ลู่หยางยังคงเดินมาด้วยความมั่นใจในตัวเอง ใบหน้าไร้ความหวาดหวั่น ทว่าในใจเขายังคงกังวลถึงน้องสาวที่อยู่ท่ามกลางความอันตรายของค่ายกล ความรู้สึกปกป้องที่มีต่อลู่หยวนฮวาทำให้เขารู้ว่าการเสียสละครั้งนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อรักษาความปลอดภัยของนางความเงียบระหว่างลู่หยางและหวงหมิงเจ๋อนั้นกลับสร้างความตึงเครียดจนทนไม่ไหว ทุกคนในสนามรบรู้ดีว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้จะเป็นจุดสำคัญที่อาจกำหนดชะตากรรมของสงคราม แต่ก่อนที่หวงหมิงเจ๋อจะทันได้ก้าวไปข้างหน้า จางชิงหยวนที่ยืนไม่ห่างออกไปสังเกตเห็นเจตนาของหวงหมิงเจ๋อทันทีความโกรธและความแค้นที่สั่
ลู่หยางปรากฏตัวขึ้น ท่ามกลางสนามรบที่แสงจันทร์ลอยเลือนราง ใบหน้าของเขาฉายแววเคร่งขรึม สายตาจ้องมองหวงหมิงเจ๋อ ดาบในมือของเขาสะท้อนแสงอ่อนๆ จากดวงจันทร์ทุกสายตาจับจ้องไปที่ลู่หยาง เมื่อหวงหมิงเจ๋อหันมามอง แต่ยังไม่ทันที่หวงหมิงเจ๋อจะได้พูดอะไร สายตาของทั้งสองประสานกัน ความเงียบชั่วขณะนั้นกลับสร้างความตึงเครียดครึ่งชั่วยามที่แล้ว...ลู่หยางยืนอยู่ลำพังท่ามกลางเงามืดของป่า รอบตัวเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมเบาๆ ที่พัดผ่านกิ่งไม้และเสียงใบไม้ที่ปลิวตามลม ความเงียบในยามนี้กลับยิ่งทำให้หัวใจของเขาหนักอึ้ง ความคิดในหัวของเขาวนเวียนไปกับภาพความหลังที่ไม่อาจลบเลือน ทั้งพ่อแม่ที่จากไป และซูเหม่ย คนรักที่เขาไม่เคยลืมเลือนเขายืนก้มมองม้วนกระดาษโบราณที่เขาถืออยู่ในมือ ตำราลับของตระกูลที่บอกวิธีล้างคำสาปได้อย่างละเอียด บางทีนี่ควรจะเป็นความหวังของตระกูล ความหวังที่จะยุติคำสาปที่คอยตามหลอกหลอนสายเลือดของเขามานาน แต่สำหรับลู่หยางแล้ว มันกลับไม่ใช่เช่นนั้นอีกต่อไปคำสาปที่ผูกพันสายเลือดแห่งตระกูลลู่เกิดจากความโลภและความเห็นแก่ตัวของบรรพบุรุษผู้กระทำผิดต่อแผ่นดิน การล้างคำสาปนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อผู้ส
ทหารของต้าหยางที่กล้าหาญกลับทยอยล้มลงทีละคน พวกเขาต่างถูกค่ายกลเจ็ดทิวาครอบงำ ร่างกายที่เคยแข็งแกร่งบัดนี้ทรุดโทรมลงด้วยความอ่อนล้าสายตาของลู่หยวนฮวาจับจ้องไปยังทหารที่พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่กลับทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง ราวกับทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไร้เมตตาใบหน้าของพวกเขาซีดเผือดอย่างน่าสยดสยอง ดวงตาเคยเปล่งประกายความมุ่งมั่น บัดนี้กลับไร้ชีวิตชีวา สะท้อนถึงการสูญสิ้นซึ่งความหวัง เสียงลมหายใจแผ่วเบาแต่หนักอึ้งดังก้องในอากาศ ราวกับว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ในความเป็นจริงนั้น ความสิ้นหวังที่ค่ายกลสร้างขึ้นได้กักขังจิตวิญญาณของพวกเขาไว้อย่างสมบูรณ์ลู่หยวนฮวายืนมองภาพเบื้องหน้า ความทุกข์ใจที่ท่วมท้นทำให้นางรู้สึกถึงภาระหนักหนาที่นางไม่อาจทนดูต่อไปได้ นางรู้ดีว่า หากไม่มีใครทำลายค่ายกลนี้ลง ทหารทุกคนคงจบสิ้นชีวิตที่นี่ในไม่ช้าหญิงสาวเดินตรงไปที่ใจกลางค่ายกล ปลายเท้ากระทบกับพื้นเสียงเบา กายบางเริ่มสั่นสะท้านจากแรงกดดันที่ค่ายกลปล่อยออกมาเมื่อมาถึงจุดศูนย์กลาง พื้นดินเบื้องหน้านางราวกับเคลื่อนไหวเองได้ แสงสว่างแปลกประหลาดพุ่งขึ้นจากพื้นดิน กระจายไปทั่วบริเ
จางชิงหยวนบุกเข้ามาถึงใจกลางของค่ายกลเจ็ดทิวาได้สำเร็จ ความหนาวเย็นและพลังหยินที่ปกคลุมอยู่ในอากาศทำให้เขารู้สึกหนักหน่วง แต่สิ่งที่หนักหนายิ่งกว่าคือภาพเบื้องหน้าที่เขาเห็นเขาเห้นลู่หยวนฮวานั่งกองกับพื้น ร่างกายของนางถูกพันธนาการไว้ในอ้อมแขนของหวงหมิงเจ๋อ หวงหมิงเจ๋อกำลังจะใช้กำลังบังคับข่มเหงนางจางชิงหยวนที่เห็นภาพนี้ รู้สึกโกรธเกรี้ยวอย่างมาก เขายิงธนูปักไปที่แขนของหมงหิงเจ๋อและรีบพุ่งเข้ามาขวางกลางทันที ดาบในมือของเขาสั่นไหวไปด้วยความโกรธหวงหมิงเจ๋อยืนขึ้นและหันมาประจันหน้ากับจางชิงหยวน“เจ้าคิดว่าจะขวางข้าได้หรือ จางชิงหยวน?” หวงหมิงเจ๋อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้าจะไม่มีวันยอมให้เจ้าได้ตัวนางไป นางต้องเป็นของข้า"จางชิงหยวนไม่ตอบกลับ เขาฟาดดาบเข้าใส่หวงหมิงเจ๋ออย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างดุเดือด หวงหมิงเจ๋อใช้พลังมนต์ดำเข้าต่อสู้ เขาร่ายเวทมนต์เพื่อกดดันจางชิงหยวน พลังมนต์ดำทำให้บรรยากาศรอบตัวจางชิงหยวนมืดมนและหนักอึ้งขึ้นทุกขณะจางชิงหยวนที่พยายามฝ่าทางเข้ามาช่วยลู่หยวนฮวา สัมผัสได้ถึงมนต์ดำที่ก่อตัวขึ้นรอบตัวเขาภาพรอบข้างเริ่มบิดเบี้ยว ผืนดินที่เต็มไปด้วยความโกลา
ลู่หยางและจางชิงหยวนนั่งอยู่ภายใต้เงามืดของต้นไม้ใหญ่ แนวป่าทึบที่ทอดยาวเบื้องหน้าพวกเขาคือจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่พวกเขาจะต้องพิชิต มันไม่ใช่แค่ป่าธรรมดา แต่เป็นสนามรบเก่าที่เคยเกิดการสังหารหมู่และเต็มไปด้วยพลังหยินทั้งสองคนมองเห็นได้ชัดเจนว่า กองทัพของหวงหมิงเจ๋อประจำการอยู่ตามพื้นราบ โดยพึ่งพาค่ายกลเจ็ดทิวาที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีใดๆ ที่เข้ามาลู่หยางหันไปมองจางชิงหยวน ใบหน้าของเขามุ่งมั่นแต่แฝงด้วยความระแวดระวัง"ท่านแม่ทัพ ข้าใช้เวลาหลายเดือนสำรวจพื้นที่นี้ ข้าพบว่าพวกมันพึ่งพาค่ายกลมากเกินไป จนลืมเฝ้าระวังแนวเขาที่อยู่ด้านบน"เขาชี้ไปยังภูเขาที่ล้อมรอบบริเวณนั้น "หากเราสามารถใช้เส้นทางนี้เพื่อลงมาจากเขาได้ พวกเราจะสามารถบุกโจมตีจากด้านบน ทำให้พวกมันไม่ทันตั้งตัว"จางชิงหยวนพยักหน้า "ข้าคิดว่าเจ้าพูดถูก พวกมันมั่นใจในค่ายกลมากเกินไป และข้าสังเกตเห็นว่าทหารของพวกมันไม่มีใครมองขึ้นไปยังแนวเขาเลย"ลู่หยางยิ้มเล็กน้อย "ท่านก็เห็นด้วยเช่นกันใช่ไหม? ข้ามั่นใจว่าหากเราแบ่งกองกำลังออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งบุกด้านหน้าส่วนอีกฝั่งหนึ่งเลาะแนวเขาลงมา เราจะสามารถทำให้พวกมันสับสนและบุก