หลังจากเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ค่ายทหารหมิงอี้ต้องเผชิญกับความเสียหายหลายจุด เสบียงอาหารที่เคยมีสำรองไว้กลับลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่เส้นทางการขนส่งถูกทำลาย น้ำท่วมยังสร้างความเสียหายต่อการกักเก็บเสบียงจนเกิดปัญหาใหญ่
ลู่หยวนฮวาเดินสำรวจไปรอบค่าย สายตาของนางมองเห็นความเหนื่อยล้าของทหารที่ต่างก็ทำงานอย่างหนักในการซ่อมแซมค่าย บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเงียบงันและตึงเครียด เสียงพูดคุยที่เคยคึกคักกลับเหลือเพียงการกระซิบเบาๆ เมื่อเผชิญกับความกังวลเรื่องเสบียงอาหารที่ลดน้อยลงทุกที ทหารแต่ละคนแสดงออกถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ทั้งเรื่องอาหารและความอยู่รอด
หญิงสาวรู้ว่าหากเสบียงหมดลงในช่วงที่ถนนหนทางยังขาด ค่ายทหารแห่งนี้อาจจะไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
ด้วยความที่เป็นคนท้องที่ ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้เข้าไปในตัวเมืองแต่นางก็รู้จักแหล่งเสบียงของเมืองดี นางตัดสินใจอาสาออกเดินทางไปยังหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไกลจากค่าย โดยหวังว่าจะสามารถติดต่อซื้อเสบียงหรือของใช้ที่จำเป็นจากชาวบ้านได้
“ข้าจะขออนุญาตท่านแม่ทัพออกเดินทางไปหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไกลนัก” ลู่หยวนฮวากล่าวกับจางชิงหยวน ขณะที่ทั้งสองยืนมองดูทหารทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย
“หมู่บ้านชาวนามักจะมีอาหารพื้นฐาน ข้าว ผัก ผลไม้ เราอาจจะได้เสบียงเพิ่มมากพอสำหรับทหารที่นี่”
จางชิงหยวนมองลู่หยวนฮวาด้วยแววตาครุ่นคิด แม้จะชื่นชมความกล้าหาญและการเสียสละของนางจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา แต่ในใจเขายังคงมีความระแวดระวัง เขายังไม่สามารถมอบความไว้วางใจให้นางได้อย่างเต็มที่ ความลับที่นางอาจซ่อนอยู่ยังคงรบกวนใจเขา
“เส้นทางไปหมู่บ้านนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค” เขากล่าวเสียงเข้ม สายตาไม่ละไปจากนาง “พายุทำให้เส้นทางหลายแห่งถูกตัดขาด น้ำท่วมยังไม่ลดลง และบางจุดก็มีดินถล่มปิดกั้นทาง เจ้าเป็นสตรี ข้าไม่อาจให้เจ้าเดินทางไปเพียงลำพังได้”
“ข้ารู้ดีว่าเส้นทางนั้นอันตราย” นางตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่หากเราไม่ทำอะไรเลย เสบียงก็จะไม่มี และความหวังของพวกเราก็จะยิ่งริบหรี่ลงทุกที”
จางชิงหยวนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “งั้นข้าจะเดินทางไปกับเจ้า ข้าจะไม่ปล่อยให้คนของข้าไปเสี่ยงคนเดียว”
แม้คำพูดนี้จะออกจากปากจางชิงหยวนด้วยเจตนาที่ชัดเจนในฐานะแม่ทัพที่ต้องปกป้องคนของตนเอง แต่ลู่หยวนฮวากลับรู้สึกถึงความหมายอื่นที่แฝงอยู่ หัวใจของนางเริ่มสั่นไหว ความอบอุ่นเล็กน้อยแทรกซึมเข้ามาในใจอย่างไม่รู้ตัว
แสงอ่อนยามเช้าทาบทอลงบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยดินโคลนและก้อนหินเปียกจากพายุ ลู่หยวนฮวาและจางชิงหยวนเริ่มออกเดินทางโดยที่ลำธารข้างหน้ากำลังไหลเชี่ยวกราก น้ำเย็นเฉียบไหลเอ่อขึ้นมาถึงข้อเท้า จางชิงหยวนหันมองลู่หยวนฮวาที่เดินเคียงข้างเขา
“เจ้าพร้อมหรือยัง?” เขาถามเสียงทุ้ม พร้อมกับแววตาที่แฝงความห่วงใย แม้จะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ
ลู่หยวนฮวาพยักหน้ารับเบาๆ นางก้าวตามเขาลงไปในน้ำอย่างระมัดระวัง ความเย็นของน้ำช่างตัดกับอากาศที่เริ่มอุ่นขึ้นแต่หัวใจของนางยังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
นางรู้สึกได้ว่าร่างสูงใหญ่ของจางชิงหยวนนั้นกลายเป็นโล่กำบังที่นางไม่เคยคาดหวังมาก่อน แต่ตอนนี้กลับทำให้นางรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
กระแสน้ำเย็นกรากเบียดเสียดกับข้อเท้าทั้งสองอย่างไม่ปรานี ลู่หยวนฮวาพยายามรักษาสมดุลในทุกก้าวที่เดิน จังหวะการหายใจเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเส้นทางที่เคยดูง่ายกลับท้าทายมากขึ้น ยิ่งเดินเข้าไปในเส้นทางลำบาก นางก็ยิ่งรู้สึกถึงแรงดันที่เพิ่มขึ้นมาจากกระแสน้ำ
จางชิงหยวนหยุดยืนตรงจุดที่น้ำเริ่มเชี่ยว เขาหันไปมองนางด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความห่วงใยซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทีเคร่งขรึม นางที่พยายามเดินตามเขามาก็เริ่มหายใจแรง เหงื่อที่ไม่รู้ว่ามาจากความเหนื่อยหรือความตึงเครียดเริ่มปรากฏขึ้นบนหน้าผากของนาง
“ข้าว่าเราพักกันสักหน่อยก่อนเถอะ” เขากล่าวโดยไม่รอให้นางตอบ
ลู่หยวนฮวาลอบถอนหายใจเมื่อได้ยินคำนั้น นางหยุดยืนข้างเขา มองดูกระแสน้ำที่กลายเป็นสีเข้มเพราะดินโคลนพัดพามาด้วย
หญิงสาวพิงร่างที่เริ่มอ่อนล้าลงกับต้นไม้ใหญ่ รู้สึกถึงความอบอุ่นเล็กน้อยจากแสงแดดที่เริ่มส่องลอดกิ่งไม้ แต่ในขณะเดียวกัน นางก็ยังรู้สึกถึงสายตาที่คอยมองนางอยู่ตลอดเวลา จางชิงหยวนอาจจะยังไม่เชื่อใจนางอย่างเต็มที่ แต่นางสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่แฝงอยู่ในทุกการกระทำ
กระแสน้ำเชี่ยวกรากยังคงไหลผ่านเสียงดัง น้ำเย็นเฉียบพัดวนอยู่รอบเท้าของพวกเขา
“ดูเหมือนเราจะต้องพักที่นี่สักคืน รอให้น้ำลดก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อ”
ลู่หยวนฮวาไม่พูดอะไร นางเพียงพยักหน้าเล็กน้อย นางไม่คิดจะปฏิเสธคำแนะนำของแม่ทัพหนุ่ม ในเมื่อสภาพแวดล้อมตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยที่จะข้ามไปยังหมู่บ้านที่อยู่อีกฟากฝั่ง
พวกเขาเริ่มหาที่พักสำหรับคืนนี้ ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีร่มเงาหนาทึบ จางชิงหยวนก่อกองไฟขึ้นอย่างคล่องแคล่วด้วยทักษะการเอาตัวรอดในป่า กิ่งไม้แห้งถูกเขาหักออกและโยนลงไปในกองฟางเล็กๆ ที่ก่อขึ้น สะเก็ดไฟเล็กๆ พุ่งกระจายก่อนที่กองไฟจะลุกขึ้น ลู่หยวนฮวานั่งลงข้างกองไฟ ยกมือขึ้นอังความอบอุ่นที่แผ่ซ่านจากเปลวไฟ
ความเงียบที่เข้าครอบงำในยามนี้ทำให้จิตใจของนางกลับมาเต้นแรง นางพยายามทำตัวให้สงบ แต่ความเงียบนี้กลับทำให้ความคิดในใจนางสับสนยิ่งขึ้น กองไฟที่ลุกโชนให้ความอบอุ่น แต่กลับไม่สามารถคลายความหนาวเย็นในใจของนางได้เลย
“ข้าไม่คิดว่าท่านจะออกมาช่วยข้าแบบนี้” นางพูดออกมาเบาๆ สายตายังจ้องกองไฟอยู่ ไม่กล้าหันไปมองเขาตรงๆ
หลังจากคำถามของลู่หยวนฮวาดังขึ้น ความเงียบเข้ามาแทนที่เพียงชั่วครู่ จางชิงหยวนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าที่มักจะดูเยือกเย็นและนิ่งเฉยกลับแฝงไปด้วยความลังเลอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกที่เขาไม่เคยคิดจะใส่ใจมาก่อนกลับเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วน แม่ทัพหนุ่มขยับมือขึ้นมาเกาท้ายทอยเบา ๆ พลางมองออกไปยังลำธารเบื้องหน้า หลีกเลี่ยงการสบตากับนาง
“ก็... ข้าไม่อยากให้ใครมาโทษข้าว่าปล่อยเจ้าไปลำบากเพียงคนเดียว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่แน่ใจนัก และรู้สึกได้ทันทีว่านี่ดูเป็นข้อแก้ตัวที่ไม่เข้าท่านัก
คำตอบนั้นทำให้ลู่หยวนฮวาแอบเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ใบหน้าของจางชิงหยวนแม้ยังคงเย็นชา แต่ลมหายใจสั้นๆ ที่สะท้อนผ่านไหล่ของเขาแสดงให้เห็นถึงความพยายามกลบเกลื่อนความสับสนภายในใจ
ความเงียบเข้ามาแทนที่ เสียงของลมที่พัดผ่านใบไม้และเสียงน้ำในแม่น้ำกลับมาเป็นเสียงหลักในบรรยากาศ แต่ครั้งนี้มันไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดเหมือนก่อนหน้านี้ ลู่หยวนฮวานั่งนิ่งข้างเขา ปล่อยให้คืนที่มืดมิดนี้ค่อยๆ ผ่านไป โดยไม่ต้องเติมเต็มด้วยคำพูดหรือคำถามที่อาจทำให้ทุกอย่างซับซ้อนเกินไป
กองไฟที่เคยลุกโชนเริ่มมอดลง ส่งแสงสีส้มเรืองรองเพียงเล็กน้อย ลู่หยวนฮวามองดูเปลวไฟที่ยังคงลุกไหม้เพียงแผ่วเบา เงาของพวกเขาทั้งสองทอดยาวอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ แม้ว่าความใกล้ชิดในครั้งนี้จะทำให้นางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในความใกล้ชิดนี้มีบางอย่างที่นางไม่คาดคิดมาก่อน ความรู้สึกอุ่นใจจากการมีจางชิงหยวนอยู่เคียงข้างทำให้ลู่หยวนฮวารู้สึกปลอดภัย
หลังจากการเดินทางอันยากลำบากข้ามแม่น้ำ ในที่สุดลู่หยวนฮวาและจางชิงหยวนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไกลจากค่าย แม้ภายนอกหมู่บ้านจะดูเงียบสงบ แต่เมื่อเดินลึกเข้าไป ความเงียบสงบที่น่าจะมีกลับถูกทำลายด้วยเสียงไอแห้งๆ ดังมาจากบ้านหลังหนึ่ง ตามด้วยเสียงไอที่ดังขึ้นจากอีกหลายบ้าน“ดูเหมือนชาวบ้านที่นี่จะป่วยกันหนัก” ลู่หยวนฮวากล่าวเสียงเบา พร้อมกวาดตามองชาวบ้านที่นอนซมอยู่บนเตียง ผิวซีดเซียว ตัวร้อนจัด และไออย่างรุนแรง“เป็นเพราะแหล่งน้ำสกปรก” ชายชราคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่หนักแน่นด้วยความทุกข์ใจ “น้ำที่ใช้การเกษตรถูกปนเปื้อนจากพายุ น้ำท่วมที่ไหลผ่านพาเอาโคลนและสิ่งสกปรกมาด้วย ข้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พวกท่านข้าขอร้องหล่ะ ช่วยพวกเราด้วยเถิด ให้ทำอะไรข้าก็ยอม”“ข้าจะช่วยพวกท่านเอง ข้าได้นำสมุนไพรมาด้วย หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาอาการของพวกท่านได้” ลู่หยวนฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและกระตือรือร้น จากนั้นนางก็รีบตรงไปดูอาการของชาวบ้านที่ป่วย โดยไม่รอช้าสายตาสีน้ำตาลคมเข้มจับจ้องไปยังหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ข้างเตียงของเด็กคนหนึ่ง เด็กน้อยนอนตัวร้อนจัด ไอแห้งๆ อย่างน่าสงสาร นางรี
“ใช่ๆ ข้าได้ยินมาว่าตระกูลลู่แห่งเมืองหมิงอี้นั้นเป็นตระกูลต้องสาป!”ชาวบ้านคนหนึ่งพูดเบาๆ "พวกเราควรจะไล่นางไป มิฉะนั้นคำสาปอาจจะทำให้หมู่บ้านของเราตกอยู่ในอันตราย!"เสียงกระซิบดังขึ้นเรื่อยๆ ความกลัวเริ่มแผ่ขยายไปทั่วหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านที่เคยมองลู่หยวนฮวาด้วยสายตาชื่นชมเริ่มเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวและระแวดระวัง พวกเขาถอยห่างจากนางโดยไม่รู้ตัวจางชิงหยวนรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างในใจที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดจากหน้าที่หรือความรับผิดชอบตามตำแหน่งแม่ทัพของเขา แต่มันลึกซึ้งกว่านั้นเขามองลู่หยวนฮวาในขณะที่นางพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ และชาวบ้านอย่างไม่เห็นแก่ความลำบากของตัวเอง แม้จะถูกกล่าวหาหรือเข้าใจผิด นางก็ยังคงยืนหยัดอยู่ในจุดที่ใครหลายคนอาจเลือกเดินหนีหัวใจของจางชิงหยวนเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะความโกรธหรือความเครียดแบบที่เขาคุ้นเคย มันเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนความปรารถนาที่จะปกป้องหญิงสาวคนนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะนางกำลังเผชิญกับความไม่ยุติธรรม แต่มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ความอ่อนโยนของนาง ความกล้าหาญที่เขาไม่เคยคาดหวังจากผู้
แสงอาทิตย์อ่อนลงเรื่อยๆ ทำให้ป่าเขาที่ล้อมรอบเต็มไปด้วยเงาทึบ ลู่หยวนฮวาเดินลัดเลาะขึ้นเขาอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าของนางเบาดุจสายลมที่พัดผ่านใบไม้ร่วงหล่น นางสอดส่องหาเถาสมุนไพรที่นางคุ้นเคย พืชพันธุ์หลายชนิดเติบโตขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์บนเนินเขานี้ ความชื้นจากอากาศหลังพายุทิ้งร่องรอยไว้บนดิน มันส่งกลิ่นหอมเย็นและความสดชื่นของป่าลู่หยวนฮวาคุ้นเคยกับการเก็บสมุนไพรอยู่แล้ว นางจึงก้มลงมองพื้นดินและสังเกตต้นไม้ที่บ่งบอกถึงที่ตั้งของพืชสมุนไพรที่นางต้องการจางชิงหยวนเดินตามอยู่ไม่ห่างนัก สายตาสีน้ำตาลคมกริบของเขาจับจ้องไปยังรอบๆ บริเวณ สอดส่องทุกทิศทางเพื่อระวังภัย แม้ในสายลมเย็นนั้นจะไม่มีสิ่งบ่งบอกถึงความอันตราย แต่เขาไม่เคยวางใจป่าเงียบเชียบนี้ ภูเขาที่โอบล้อมเต็มไปด้วยความลึกลับและอาจแฝงด้วยภัยร้ายในที่ที่เขามองไม่เห็น"เจ้าระวังตัวหน่อย เก็บสมุนไพรพอแล้วก็กลับค่ายกัน ที่แห่งนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่นาน" จางชิงหยวนเอ่ยเตือนเสียงเบา ลู่หยวนฮวาพยักหน้ารับ เงยหน้าขึ้นสบตาเขาเพียงเสี้ยววินาทีแล้วกลับไปสนใจต้นสมุนไพรต่อลมเบาๆ พัดพาใบไม้แห้งร่วงกราว จังหวะนั้นเอง ลู่หยวนฮวาเหลือบเห็นต้นสมุนไพรที่
จางชิงหยวนเคลื่อนไหวอย่างดุดัน ดาบในมือของเขาวาดผ่านอากาศอย่างรวดเร็วป้องกันการโจมตีของศัตรูที่พุ่งเข้ามาหาอย่างไม่หยุดยั้ง ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทหารฝ่ายศัตรูหลายคนเข้าล้อมรอบเขา แม้เขาจะพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่ศัตรูก็มีจำนวนมากเกินไป เขาถูกฟันเข้าที่แขนซ้าย รอยแผลเปิดออกกว้างและเลือดสีแดงสดทะลักออกมาเปื้อนแขนเสื้อของเขา แต่จางชิงหยวนไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย"ไปซ่อนตัวให้ไกลกว่านี้!" เขาตะโกนสั่งเสียงเข้ม ลู่หยวนฮวารู้สึกหัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก นางรู้ดีว่าต้องฟังคำสั่งของเขา แต่ก็ไม่อาจทิ้งเขาไปได้ นางยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ พลางมองดูจางชิงหยวนต่อสู้กับศัตรูอีกหลายคนที่ยังคงพุ่งเข้ามาดาบในมือขวาของเขาวาดผ่านอากาศเป็นเส้นสายเฉียบคม ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเปี่ยมไปด้วยพลังและความมั่นคง จนในที่สุด ทหารศัตรูคนสุดท้ายก็ล้มลงกองกับพื้น เลือดไหลนองรอบตัวพวกเขาจางชิงหยวนยืนหอบหายใจหนัก แขนซ้ายของเขาเต็มไปด้วยเลือดที่ยังคงไหลออกจากบาดแผล แต่เขายังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง ไม่ยอมแสดงความเจ็บปวดออกมาแม้แต่น้อย"ท่าน... ท่านบาดเจ็บ!" ลู่หยวนฮวาตะโกนออกมาด้วยความตกใจ นางรีบวิ่งเข้าไปห
ภายในจวนใหญ่โตโอ่อ่าของ “เหมิงชาง” เจ้าเมืองหมิงอี้นั้นกำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงขอบคุณท่านแม่ทัพจางชิงหยวนอย่างยิ่งใหญ่ งานที่ถูกจัดขึ้นไม่ได้มีเพียงเป้าหมายในการแสดงความขอบคุณเพียงเท่านั้น แต่เบื้องหลังคือแผนการที่ถูกวางไว้อย่างแนบเนียนเหมิงชางพยายามเก็บซ่อนเจตนาที่แท้จริงไว้ลึกในใจ ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้มขณะคอยกำชับข้ารับใช้ให้เตรียมงานอย่างดีที่สุด แต่ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ของเขา ความหวังที่จะเห็นแผนการที่เขาวางร่วมกับบุตรสาว เหมิงอวี้ เป็นจริงในคืนนี้แผนการนี้ไม่ใช่เพียงการแสดงความยินดีที่กองทัพต้าหยางมารักษาความสงบในเมืองหมิงอี้ แต่เป็นแผนที่เหมิงอวี้ บุตรสาวผู้ทะเยอทะยานของเขา ได้ผลักดันให้เกิดขึ้นเหมิงอวี้พร่ำบอกตัวเองและพ่อของนางซ้ำ ๆ ว่าจางชิงหยวนคือกุญแจสู่ความสำเร็จและอำนาจที่นางโหยหา ชายผู้เป็นทั้งแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่และหนทางที่จะนำพานางและตระกูลเหมิงไปสู่ความรุ่งเรือง“ท่านพ่อ งานเลี้ยงคืนนี้ต้องเป็นไปตามแผนที่ข้าวางไว้ จางชิงหยวนจะต้องเห็นว่าข้าเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขา ข้ามั่นใจว่าหลังจากนี้เราจะได้ครองอำนาจทั้งในหมิงอี้และแคว้นต้าหยาง”
ลู่หยวนฮวายืนอยู่ริมสวนนอกงานเลี้ยง ขณะที่บรรยากาศภายในงานยังคงคึกคัก แต่หัวใจของนางกลับไม่อาจสงบลงได้ ราวกับมีบางสิ่งที่ผิดปกติแผ่ซ่านอยู่รอบตัวและแล้ว...ภาพนิมิตที่ไม่คาดฝันก็ปรากฏขึ้น ลู่หยวนฮวาเห็นจางชิงหยวน มือของเขาจับจอกเหล้าไว้แน่น ริมฝีปากของเขาเคลื่อนไปช้าๆ เข้าหาขอบจอกที่บรรจุเหล้าผสมยาปลุกกำหนัด เมื่อเหลวสีอำพันนั้นกำลังจะไหลผ่านลำคอ ทุกอย่างในนิมิตก็ดูหม่นหมองลง ราวกับโลกทั้งใบกำลังจะถล่มลงมาจากนั้นภาพที่น่ากลัวที่สุดก็เกิดขึ้น ร่างของจางชิงหยวน ผู้ที่นางเคยเห็นแต่ในบทบาทของนักรบผู้เก่งกล้า กลับถูกพิษจากยาเล่นงาน จนเขาค่อยๆ ถลาไปทาบทับบนร่างของเหมิงอวี้ หญิงสาวที่ยิ้มอย่างมีชัยในนิมิตนั้น ถือเป็นภาพความใกล้ชิดที่ไม่ควรเกิดขึ้น มันทำให้หัวใจของลู่หยวนฮวาเต้นรัวเหมือนจะหลุดออกมาริมฝีปากหนานั้นกำลังหว่านพรมความร้อนไปตั้งแต่ซอกหูและซอกคองามระหงของเหมิงอวี้ และเห็นส่วนที่เชื่อมโยงกันบีบรัดอย่างเร่าร้อน สะโพกแกร่งตบเข้าออกอย่างรุนแรง ถึงลู่หยวนฮวาจะไม่เคยมีประสบการณ์แต่ว่านางก็หาใช่คนที่ไม่รู้ความความคิดของหญิงสาวกำลังตีกันยุ่งเหยิง ภาพเหล่านั้นทำให้นางรู้สึกเหมือนเวลาหยุดเ
"ข้าเชื่อเพียงคำพูดของคนของข้าเท่านั้น" จางชิงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ขณะก้าวเข้ามายืนเคียงข้างลู่หยวนฮวา ราวกับเพื่อยืนยันความเชื่อมั่นของเขา เขาใช้นิ้วเชยคางนางขึ้นเบาๆ ให้สายตาของทั้งสองได้สบกัน ความคิดแผ่วเบาแล่นเข้ามาในหัวใจของเขาอย่างไม่ทันรู้ตัวฮวาเอ๋อร์ ข้าอยากเห็นความจริงใจของเจ้า...ผ่านดวงตาคู่งามคู่นี้สายตาคมของเขาจับจ้องไปยังลู่หยวนฮวา แม้ใบหน้านางจะแฝงความกังวลและความสับสน แต่ในแววตาสีนิลที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น จางชิงหยวนรู้ทันทีว่านางพูดความจริง มันไม่ได้เป็นเพียงแค่คำพูดที่ออกจากปาก แต่มันสะท้อนผ่านสายตาที่ไม่อาจปิดบังน้ำเสียงของเขาทำให้ทั้งงานหยุดนิ่ง ทุกสายตาจับจ้องมาที่แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งในตอนนี้ยืนเคียงข้างหญิงสาวที่ถูกกล่าวหา ราวกับสิ่งที่เขาตัดสินใจเป็นความจริงแท้ที่ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง แม้แต่เหมิงชางที่เคยโกรธเกรี้ยวก็ต้องชะงัก หยุดชั่งใจในคำพูดของตนเองลู่หยวนฮวารู้สึกถึงแรงกดดันที่ค่อยๆ หายไปในทันทีที่จางชิงหยวนออกตัวปกป้องนางความอบอุ่นและความมั่นใจจากเแผ่ซ่านเข้ามา หญิงสาวรู้สึกเหมือนถูกห่อหุ้มไว้ในเกราะแห่งความปลอดภัย แม้ว่าความก
จางชิงหยวนเดินนำลู่หยวนฮวาออกมาจากงานเลี้ยงที่แสนตึงเครียด พวกเขาเดินขนาบข้างกันอย่างเงียบๆ จนกระทั่งมาถึงริมลำธารเล็กแห่งหนึ่ง ที่มีเพียงเสียงน้ำไหลและเสียงลมที่พัดผ่าน เป็นที่ที่เงียบสงบจากความวุ่นวายทั้งหมด ความสงบนี้กลับยิ่งทำให้ความรู้สึกในใจของทั้งคู่ดังขึ้นเรื่อยๆลู่หยวนฮวาเดินตามหลังจางชิงหยวน นางรู้สึกโล่งใจที่เขาพานางออกมาจากสถานการณ์กดดันที่ต้องเผชิญ แต่ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกถึงความอึดอัดที่เกาะกินในหัวใจความคิดวนเวียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นางรู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงลงสู่ห้วงลึก หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความเปราะบางภายในตัวเอง และนั่นยิ่งทำให้รู้สึกสับสนเมื่ออยู่ต่อหน้าจางชิงหยวน ชายผู้ที่นางเคยคิดว่าเป็นเพียงเจ้านาย แต่บัดนี้ ความรู้สึกที่มากกว่าเดิมกำลังก่อตัวขึ้นจางชิงหยวนหยุดเดินและหันมามองนาง แววตาของเขาเปลี่ยนไป ไม่ได้แสดงถึงความเย็นชาที่เช่นเคย แต่มันกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ความเข้าใจและมันยังแฝงไปด้วยความสงสัย"หยวนฮวา ทำไมเจ้าถึงช่วยข้าไว้?" จางชิงหยวนถามขึ้น แม้คำถามจะดูเรียบง่าย แต่กลับทำให้บรรยากาศรอบตัวเงียบงันลงทันทีลู่หยวนฮวาสะดุ้งเล็กน้อย นางเงยหน