"ข้าเชื่อเพียงคำพูดของคนของข้าเท่านั้น" จางชิงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ขณะก้าวเข้ามายืนเคียงข้างลู่หยวนฮวา ราวกับเพื่อยืนยันความเชื่อมั่นของเขา เขาใช้นิ้วเชยคางนางขึ้นเบาๆ ให้สายตาของทั้งสองได้สบกัน ความคิดแผ่วเบาแล่นเข้ามาในหัวใจของเขาอย่างไม่ทันรู้ตัวฮวาเอ๋อร์ ข้าอยากเห็นความจริงใจของเจ้า...ผ่านดวงตาคู่งามคู่นี้สายตาคมของเขาจับจ้องไปยังลู่หยวนฮวา แม้ใบหน้านางจะแฝงความกังวลและความสับสน แต่ในแววตาสีนิลที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น จางชิงหยวนรู้ทันทีว่านางพูดความจริง มันไม่ได้เป็นเพียงแค่คำพูดที่ออกจากปาก แต่มันสะท้อนผ่านสายตาที่ไม่อาจปิดบังน้ำเสียงของเขาทำให้ทั้งงานหยุดนิ่ง ทุกสายตาจับจ้องมาที่แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งในตอนนี้ยืนเคียงข้างหญิงสาวที่ถูกกล่าวหา ราวกับสิ่งที่เขาตัดสินใจเป็นความจริงแท้ที่ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง แม้แต่เหมิงชางที่เคยโกรธเกรี้ยวก็ต้องชะงัก หยุดชั่งใจในคำพูดของตนเองลู่หยวนฮวารู้สึกถึงแรงกดดันที่ค่อยๆ หายไปในทันทีที่จางชิงหยวนออกตัวปกป้องนางความอบอุ่นและความมั่นใจจากเแผ่ซ่านเข้ามา หญิงสาวรู้สึกเหมือนถูกห่อหุ้มไว้ในเกราะแห่งความปลอดภัย แม้ว่าความก
จางชิงหยวนเดินนำลู่หยวนฮวาออกมาจากงานเลี้ยงที่แสนตึงเครียด พวกเขาเดินขนาบข้างกันอย่างเงียบๆ จนกระทั่งมาถึงริมลำธารเล็กแห่งหนึ่ง ที่มีเพียงเสียงน้ำไหลและเสียงลมที่พัดผ่าน เป็นที่ที่เงียบสงบจากความวุ่นวายทั้งหมด ความสงบนี้กลับยิ่งทำให้ความรู้สึกในใจของทั้งคู่ดังขึ้นเรื่อยๆลู่หยวนฮวาเดินตามหลังจางชิงหยวน นางรู้สึกโล่งใจที่เขาพานางออกมาจากสถานการณ์กดดันที่ต้องเผชิญ แต่ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกถึงความอึดอัดที่เกาะกินในหัวใจความคิดวนเวียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้นางรู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงลงสู่ห้วงลึก หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความเปราะบางภายในตัวเอง และนั่นยิ่งทำให้รู้สึกสับสนเมื่ออยู่ต่อหน้าจางชิงหยวน ชายผู้ที่นางเคยคิดว่าเป็นเพียงเจ้านาย แต่บัดนี้ ความรู้สึกที่มากกว่าเดิมกำลังก่อตัวขึ้นจางชิงหยวนหยุดเดินและหันมามองนาง แววตาของเขาเปลี่ยนไป ไม่ได้แสดงถึงความเย็นชาที่เช่นเคย แต่มันกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ความเข้าใจและมันยังแฝงไปด้วยความสงสัย"หยวนฮวา ทำไมเจ้าถึงช่วยข้าไว้?" จางชิงหยวนถามขึ้น แม้คำถามจะดูเรียบง่าย แต่กลับทำให้บรรยากาศรอบตัวเงียบงันลงทันทีลู่หยวนฮวาสะดุ้งเล็กน้อย นางเงยหน
หลายวันจากวันที่ส่งจดหมายออกไป จิ่งซื่อก้าวเข้ามาในกระโจมของจางชิงหยวนอย่างเงียบๆ หลังจากใช้เวลาหลายวันสืบหาความจริงเกี่ยวกับตระกูลลู่ "ท่านแม่ทัพ นี่คือข้อมูลที่ท่านต้องการขอรับ" พลทหารหนุ่มกล่าว พร้อมยื่นม้วนกระดาษให้กับจางชิงหยวนจางชิงหยวนรับม้วนกระดาษและคลี่ออกอ่าน ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉย แต่ลึกลงไปในน้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความกังวลที่ยากจะปิดบัง "คำสาปร้าย... คำสาปแบบไหนกัน?" เขาถามเสียงต่ำ แต่หนักแน่น"เป็นคำสาปที่กล่าวกันว่ามีพลังทำลายล้าง หากอยู่ใกล้ผู้ต้องคำสาป จะถูกดึงดูดเข้าสู่หายนะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้..." จิ่งซื่อตอบด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง สายตาของเขาลอบมองจางชิงหยวนที่ยืนเงียบงัน แต่ไม่อาจอ่านความคิดจากสีหน้าที่นิ่งสงบของแม่ทัพได้นางกำลังปิดบังเรื่องนี้จากข้า?ความคิดนั้นผุดขึ้นในใจของจางชิงหยวน เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและช้า สายตาจับจ้องม้วนกระดาษในมือ ราวกับมันเป็นกุญแจที่ไขไปสู่คำตอบทุกอย่างที่เขากำลังตามหา"ข้าต้องรู้ว่านางกำลังปิดบังอะไรข้าบ้าง ข้าต้องการความจริง...และเชื่อว่ามันไม่ได้มีเพียงเรื่องนี้"จิ่งซื่อพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ข้าจะสืบหาควา
ตำนานคำสาปของตระกูลลู่เป็นเรื่องเล่าที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นมานานหลายศตวรรษ เรื่องราวของคำสาปนี้เริ่มต้นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน โดยมีบรรพบุรุษของตระกูลลู่ชื่อว่า “ลู่เฉินหยวน” ผู้เคยรับใช้แคว้นต้าหยางอย่างซื่อสัตย์ แต่กลับกลายเป็นบุรุษผู้ที่ก่อการทรยศต่อแคว้นและแผ่นดินที่เขาเคยปกป้องในเวลานั้น ลู่เฉินหยวนเป็นกุนซือคนสำคัญของกองทัพต้าหยาง ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะกลายเป็นไส้ศึกที่นำความหายนะมาสู่แคว้นของตนเองความทรยศของเขานำไปสู่ความพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่ของแคว้นต้าหยาง กองทัพของต้าหยางถูกทำลายล้างและเหล่าทหารนับพันต้องสูญเสียชีวิตในการรบหลังจากการพ่ายแพ้ครั้งนั้น ผู้คนในแคว้นต้าหยางต่างโศกเศร้าและเคียดแค้นต่อการทรยศของลู่เฉินหยวน เหล่าทหารและครอบครัวที่สูญเสียคนรักและผู้เป็นที่พึ่งต่างสาปแช่งเขาและตระกูลลู่ ความแค้นที่เกิดจากการสูญเสียผู้เป็นที่รักในสงครามครั้งนั้นนำมาซึ่ง คำสาปแห่งความรักที่จะติดตามลูกหลานของตระกูลลู่ไปชั่วกาลนานคำสาปนี้กล่าวไว้ว่า "ผู้ใดในตระกูลลู่ที่เกิดมีความรัก ย่อมต้องเผชิญชะตากรรมอันโหดร้าย" หากไม่สูญเสียคนรักด้วยความตาย ก็ต้องมีเหตุให้พลัดพ
ภายในหอบรรพชนอันเงียบสงัดของตระกูลลู่ แสงเทียนริบหรี่สะท้อนแสงวูบไหว เผยให้เห็นเงาร่างระหงของหญิงสาวผู้หนึ่งลู่หยวนฮวา ยืนอยู่ท่ามกลางกลิ่นธูปหอมที่อบอวลในอากาศ ชุดอาภรณ์สีม่วงอ่อนปักลายดอกเหมยกุ้ยสวยงามโอบล้อมร่างกายของนางด้วยความละมุนละไม ดวงตาสีนิลคู่งามจับจ้องไปยังแท่นบูชาบรรพบุรุษตรงหน้า แสงไฟจากเปลวเทียนอันอ่อนโยนสะท้อนให้เห็นใบหน้าที่งดงามของนาง แต่กลับแฝงด้วยความโศกเศร้าอย่างลึกล้ำเสียงธูปไหม้ดังเบาๆ ในห้องบูชา แต่มันไม่ได้ทำให้หัวใจของลู่หยวนฮวาสงบ ย้อนกลับไปนึกถึงวันที่ทุกอย่างยังคงสดใส วันเวลาที่เต็มไปด้วยความสุขและความอบอุ่นในครอบครัว วันที่นางและพี่ชายยังคงใช้เวลาร่วมกันในสวนดอกไม้หลังจวนตระกูลลู่ เสียงหัวเราะและคำพูดอ่อนโยนยังคงดังอยู่ในความทรงจำของนางในวัยสิบสี่หนาว ลู่หยวนฮวานั่งเล่นอยู่บนม้านั่งหินในสวนดอกไม้ สายลมพัดผ่านใบหน้าของนางพร้อมกับกลีบดอกไม้ที่โปรยปรายลงมา นางยิ้มรับกับความสวยงามของโลกใบนี้โดยไม่รู้ถึงความมืดมนที่กำลังจะมาถึง นางมีความสุข และหัวใจของนางเต็มไปด้วยความหวัง“ฮวาเอ๋อร์ เจ้ามานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้?” เสียงทุ้มนุ่มของลู่หยางดังขึ้นจากด้านหลัง นาง
ภายในอาณาเขตของจวนตระกูลลู่ในค่ำคืนอันเงียบสงัด แสงเทียนริบหรี่สะท้อนเงาร่างของ "ลู่หยวนฮวา" หญิงสาวผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา นางยืนอยู่ในชุดอาภรณ์สีม่วงอ่อนปักลายดอกเหมยกุ้ย ดวงตาสีนิลคู่งามของนางจับจ้องไปยังม่านอาคมสีม่วงที่ปกคลุมจวนมานาน ซึ่งขณะนี้กำลังแสดงสัญญาณการปริแตกผนึกนี้เคยเป็นเกราะป้องกันที่มารดาของนางสร้างขึ้น แต่บัดนี้ มันกลับกลายเป็นพันธนาการที่กักขังนางไว้ไม่ให้ออกจากจวนลู่หยวนฮวาเดินเข้าไปใกล้ผนึก ความดื้อรั้นที่เป็นลักษณะเด่นของนางตั้งแต่เด็กทำให้นางไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไป หัวใจของนางเต้นแรงขึ้น นางสัมผัสได้ว่าผนึกที่เคยแน่นหนากำลังจะพังทลายลง ซึ่งนั่นหมายความว่านางอาจจะสามารถออกจากจวนนี้ไปตามหาพี่ชาย "ลู่หยาง" ที่หายสาบสูญไปได้"ผนึกของท่านแม่กำลังอ่อนลงแล้ว..." ลู่หยวนฮวาพึมพำ น้ำเสียงของนางสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยม นัยน์ตาสีนิลของหญิงสาวทอประกายด้วยความดื้อรั้นและความแน่วแน่ในขณะที่หญิงสาวยื่นมือสัมผัสผนึกนั้น สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ภาพนิมิตที่หายไปนานกลับพุ่งเข้ามาในสมองของนาง นิมิตนั้นชัดเจนเกินกว่าความฝัน มันเหมือนกับว่าพลังวิเศษที่นางสืบทอ
ท้องฟ้าเหนือกองทัพต้าหยางยังคงแต้มด้วยสีหม่นของเมฆหมอกที่ลอยคลุมราวกับเงาแห่งความอึมครึมภายในใจของใครบางคน แม้ว่าการเดินทัพของกองทัพกล้าจะเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและเสียงแห่งความภาคภูมิใจ แต่สำหรับแม่ทัพใหญ่ “จางชิงหยวน” แล้วนั้นความรู้สึกของเขากลับไม่ได้สะท้อนภาพแห่งชัยชนะนั้นเลยจางชิงหยวนขี่ม้าสูงสง่านำหน้าเหล่าทหารที่กลับมาจากการยึดครองหัวเมืองทางตะวันออก ทหารแต่ละคนดูมีความสุขและโล่งใจที่สามารถกลับมาเยือนบ้านเมืองได้อีกครั้งหลังจากการสู้รบอันยาวนาน เสียงพูดคุยและรอยยิ้มที่แสดงถึงความปลอดภัยทำให้บรรยากาศดูสดใส แต่จางชิงหยวนกลับไม่มีความรู้สึกร่วมใดๆ กับพวกเขาเลยสักนิดดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของแม่ทัพหนุ่มทอดมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าไกล ท่ามกลางหมอกหนาที่ปกคลุมแผ่นดินเบื้องหน้า แต่สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่ความยินดีใดๆ หากแต่เป็นภาพจำในอดีตที่กัดกินจิตใจของเขามานานถึงสามปี ภาพของเพลิงสงคราม เสียงกรีดร้อง ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีวันหวนคืน และใบหน้าของคนรักที่ไม่อาจลืมเลือนไปได้สามปีก่อน...ควันไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เสียงโห่ร้องของศัตรูจากแคว้นเสียนหู่ดังกลบเสียงลมและเสียงฟ้าร้องรอบๆ พวกมันบุ
ลู่หยวนฮวาก้าวเดินไปตามเส้นทางเล็ก ๆ ที่เลียบไปกับแนวป่าทึบ ความเงียบสงัดของป่าโอบล้อมนางราวกับกำแพงที่หนาทึบ ต้นไม้สูงใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมท้องฟ้าเหนือศีรษะ ปิดกั้นแสงอาทิตย์ให้เลือนลางรางจากท้องฟ้าสีครึ้ม ทำให้ป่าแห่งนี้ดูมืดสลัวไปทุกทิศทาง ทว่าบรรยากาศนี้กลับทำให้นางรู้สึกสงบใจ รู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ไม่มีกฎเกณฑ์ของมนุษย์มาคอยขีดเส้นไว้การตัดสินใจเดินทางเลี่ยงเมืองหมิงอี้ในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ลู่หยวนฮวาคิดมาอย่างรอบคอบ ในเมืองหมิงอี้เป็นที่รู้กันว่าตระกูลลู่ของนางถูกกล่าวขานถึงตำนานคำสาปที่เล่นงานพวกเขามาอย่างยาวนานชาวเมืองหวาดกลัวตระกูลลู่ เพราะเชื่อว่าสายเลือดของพวกเขานำพาความหายนะและโชคร้ายไปทุกหนแห่งความเชื่อเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงคำลือแต่อย่างใด หญิงสาวที่เกิดในตระกูลลู่เมื่อแต่งงานออกไปก็ไม่เคยมีใครพบความสุขได้ยืนยาว พวกนางมักจะนำความตายมาสู่คนรักเสมอ คล้ายกับดวงชะตากินสามี ไม่ว่าจะเป็นโรคภัย ภัยธรรมชาติ หรืออุบัติเหตุ หากใครได้เป็นคู่ครองกับคนตระกูลลู่ ชีวิตก็มักจะจบลงอย่างน่าสลด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมชาวเมืองหมิงอี้ถึงรังเกียจและหวาดกลัวนางยิ่งนัก