จางชิงหยวนยืนนิ่งอยู่ในกระโจม สายตาคมกริบจ้องมองไปยังลู่หยวนฮวาที่นั่งอยู่ตรงหน้า นางไม่ได้หลบสายตาเขาเลยสักนิด ในใจของจางชิงหยวนยังคงมีความไม่แน่ใจ เพราะประสบการณ์ในสนามรบนั้นหล่อหลอมให้เขาระมัดระวัง ทำให้ความเชื่อใจนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับจางชิงหยวน
“ข้าจะให้คนคอยจับตาดูเจ้า อย่าคิดที่จะหักหลังข้าละกองทัพของต้าหยาง ไม่เช่นนั้นแล้วจุดจบของเข้าคงจะไม่สวยเท่าไหร่ ลู่หยวนฮวา” เขากล่าวในใจหลังจากปล่อยลู่หยวนฮวากลับไปทำงานที่ครัว
เขาสั่งให้ตวนหลี่และจิ่งซื่อ พลทหารคนสนิทของเขาคอยจับตาดูการกระทำทุกอย่างของลู่หยวนฮวาอย่างใกล้ชิด
แต่ถึงกระนั้น จางชิงหยวนเองก็ยังไม่ละสายตาจากนาง เขามักจะสังเกตการกระทำของนางอย่างเงียบๆ มองหาพฤติกรรมสุมเสี่ยงที่อาจจะทำให้หญิงสาวหลุดพิรุธ หรือเผยให้เห็นความลับที่นางปกปิดเอาไว้
ลู่หยวนฮวาพยายามทำตัวให้เป็นปกติเหมือนทุกวัน พยายามที่จะไม่แสดงออกถึงความกังวล แต่ในใจลึกๆ นางก็รู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์เช่นนี้ นางไม่อาจพูดความจริงได้ เพราะหากจางชิงหยวนรู้ว่านางเป็นน้องสาวของลู่หยาง พี่ชายที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
นางเกรงว่าตนเองและพี่ชายอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ ได้แต่สาบานในใจว่าจะไม่เข้าใกล้เขา พยายามตีตัวออกห่างให้มากที่สุดเพื่อที่จะรักษาความลับของตน
แต่แล้วในวันหนึ่ง เมฆดำทะมึนก่อตัวขึ้นอย่างน่ากลัว แม้ว่าปกติแล้วเมืองหมิงอี้จะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีภูมิอากาศหนาวเย็นและมีลมพัดอยู่ตลอดเวลา แต่มันกลับไม่เคยมีพายุหนักขนาดนี้มาก่อน
เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่วราวกับมีอาเพศ หยดน้ำฝนเริ่มตกลงมาในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นพายุฝนที่โหมกระหน่ำ
ลู่หยวนฮวาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าจากหน้าต่างเล็กๆ ของโรงครัว นางเห็นฝนที่ตกหนักจนมองแทบไม่เห็นทัศนียภาพโดยรอบ ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ เพราะรู้ดีว่าหากฝนยังคงตกหนักต่อไป ค่ายทหารที่ตั้งอยู่ระหว่างเทือกเขานี้อาจประสบปัญหาน้ำท่วมและอาจเกิดดินถล่มได้
เสียงร้องตะโกนของทหารดังขึ้นในขณะที่พายุฝนยังคงกระหน่ำอย่างรุนแรง ค่ายทหารหมิงอี้เริ่มเกิดความโกลาหล ทหารวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อเตรียมรับมือกับภัยพิบัติที่ไม่คาดคิด คำสั่งถูกส่งต่อไปยังทหารทุกนายให้เตรียมการป้องกันความเสียหายและหาที่กำบังจากพายุรุนแรงนี้
ลู่หยวนฮวามองเห็นทหารหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการเคลื่อนย้ายสิ่งของหนักๆ และการจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉิน หญิงสาวรู้สึกถึงความเดือดร้อนของทหารเหล่านั้น แต่ถึงแม้ว่านางจะเป็นเพียงผู้ช่วยพ่อครัวในค่ายทหาร แต่ความรักพวกพ้องกลับทำให้นางตัดสินใจทำสิ่งที่เสี่ยง หญิงสาวมุ่งตรงไปยังจุดที่ทหารบาดเจ็บนอนอยู่
"ข้าต้องไปช่วยพวกเขา!" ในตอนนี้ลู่หยวนฮวาไม่ได้ใส่ใจกับความปลอดภัยของตัวเอง นางเพียงคิดถึงการช่วยเหลือผู้อื่นเท่านั้น
เสียงฟ้าร้องดังก้องขึ้นอีกครั้ง ตามด้วยเสียงกรีดร้องของทหารที่ได้รับบาดเจ็บ นางมองเห็นพวกเขากำลังดิ้นรนอยู่ท่ามกลางโคลนและเศษซากที่ลอยอยู่ในน้ำที่เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้จะถูกลมฝนกระหน่ำ นางก็ไม่คิดจะหยุด ด้วยรู้ดีว่าทุกนาทีมีค่า ทหารที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้นอาจจะไม่มีทางรอดหากไม่เร่งรีบไปให้ถึง
ในจังหวะนั้น นางมองเห็นชายผู้หนึ่งกำลังถูกทับด้วยซากไม้ที่ถล่มลงมา ลู่หยวนฮวาเร่งฝีเท้าขึ้นอีกครั้ง สายน้ำเย็นเฉียบที่ไหลบ่าไปตามขาลากเอาโคลนสีน้ำตาลหมุนวนอย่างอันตราย นางก้มลงย่อตัวไปที่ร่างทหาร คว้าจับซากไม้ที่ทับอยู่ด้วยแรงที่นางมี แม้ฝนจะตกหนักและพายุจะพัดกระหน่ำ แต่นางกลับไม่ยอมปล่อยมือ
"ข้าต้องช่วยเขาให้ได้!" นางคิดในใจ
น้ำที่ไหลเชี่ยวรอบตัวดูเหมือนจะพยายามดึงร่างของนางลงไปเช่นกัน แต่ลู่หยวนฮวาไม่สนใจความเหนื่อยล้า เสียงหอบหายใจของทหารที่ถูกทับอยู่ทำให้หัวใจของนางเต้นแรงขึ้น นางรู้ว่าทุกวินาทีที่ผ่านไป ชีวิตของเขาก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายเช่นกัน
นางออกแรงดันอีกครั้ง สุดท้ายด้วยแรงทั้งหมดที่นางมี ซากไม้นั้นขยับ นางผลักมันออกไปได้สำเร็จ ร่างของทหารผู้นั้นได้รับการปลดปล่อย ทว่าความบาดเจ็บที่ทหารได้รับจากแรงทับและน้ำท่วมที่หนาวเย็นทำให้เขาแทบจะลุกขึ้นไม่ได้
ลู่หยวนฮวาก้มลงตรวจดูอาการบาดเจ็บ น้ำฝนที่ไหลลงมาอย่างไม่ขาดสายทำให้การมองเห็นของนางพร่ามัว แต่สัญชาตญาณของหมอยาสั่งให้นางทำงานทันที
หญิงสาวรีบดึงถุงสมุนไพรออกมาจากข้างเอว มือที่สั่นเพราะความหนาวหยิบสมุนไพรที่นางเก็บไว้ออกมา แล้วผสมกับน้ำฝนอย่างรวดเร็ว นางทาลงบนบาดแผลของทหารคนนั้น ก่อนจะใช้ผ้าพันไว้แน่นๆ เพื่อหยุดเลือดไม่ให้ไหลออกมา
"ทนหน่อยนะ ข้าจะทำให้เร็วที่สุด" นางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน ฝ่ามือที่สั่นเล็กน้อยจากความหนาวเย็นก็ยังคงทำงานอย่างมั่นคง
ในขณะที่ลู่หยวนฮวารู้สึกว่าเรี่ยวแรงในร่างกายของนางกำลังจะหมดไป ขาของนางแทบจะก้าวไม่ไหวอีกต่อไป ราวกับทุกสิ่งกำลังจะถล่มทลายลงพร้อมกับพายุที่ถาโถมเข้ามา
แต่แล้วทันใดนั้น นางรู้สึกถึงแรงประคองจากด้านหลัง มือหนาคู่หนึ่งจับที่ไหล่ของนางอย่างมั่นคงและ...มันช่างอุ่นเหลือเกิน
“เป็นข้าเอง” เสียงทุ้มต่ำของจางชิงหยวนดังขึ้นข้างหู สายตาของเขาที่มองลงมายังนาง
เขาประคองทหารที่นางพยุงไว้ ก่อนจะดึงร่างของนางให้ลุกขึ้นอีกครั้ง แม้ในยามที่พายุรุนแรงเช่นนี้ แต่เขากลับยืนหยัดอยู่เคียงข้างนางอย่างไม่หวั่นไหว
"เจ้าไปพักก่อนเถอะ" เสื้อผ้าของเขานั้นเปียกชุ่มเหมือนกัน แต่มันกลับไม่ทำให้เขาดูอ่อนแอลงแม้แต่น้อย
"ท่านแม่ทัพ... ข้า... ข้าจะช่วยเหลือพวกเขา ข้าไม่สามารถทิ้งพวกเขาไปได้" นางตอบเสียงสั่น
"ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยเจ้า" เขาพูดสั้น ๆ ก่อนที่จะก้าวเข้ามาใกล้และเริ่มยกทหารบาดเจ็บขึ้นหลังอย่างง่ายดาย
ขณะที่พวกเขาทั้งสองเดินฝ่าฝนไปยังที่พักของทหารบาดเจ็บ นางรู้สึกถึงความอบอุ่นเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในใจ แม้ว่าจะมีความหวั่นไหวบ้าง แต่จิตใจของนางยังคงจดจ่ออยู่กับการช่วยเหลือทหารเสียมากกว่า
เมื่อพวกเขามาถึงที่พัก ทหารที่พวกเขาช่วยเหลือก็ถูกส่งต่อให้คนอื่นๆ ดูแล ลู่หยวนฮวาหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ขณะที่นางก้มตัวลงตรวจสอบบาดแผลของทหารที่นางพามา จางชิงหยวนยืนเฝ้ามองอยู่ข้าง ๆ สายตาของเขายังคงจับจ้องการกระทำของนางอย่างระมัดระวัง
"ลู่หยวนฮวา ความกล้าหาญของเจ้า... ข้ายอมรับว่าเจ้านั้นช่างน่าทึ่งนัก" จางชิงหยวนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจ แม้จะฟังดูเรียบนิ่ง แต่กลับมีน้ำหนักของความรู้สึกที่นางไม่อาจมองข้ามได้
ลู่หยวนฮวาหยุดมือชั่วครู่ หันกลับไปมองเขาด้วยดวงตาที่สั่นไหวเล็กน้อย ราวกับว่าคำพูดนั้นทำให้หัวใจของนางเต้นแรงขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว นางไม่รู้จะตอบเช่นไร ในที่สุดนางจึงเพียงยิ้มเล็กๆ ก่อนจะหันกลับไปทำงานต่ออย่างรวดเร็ว
“ข้าก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำ” นางเอ่ยเสียงเบา แต่ข้างในใจของนางกลับรู้สึกร้อนผ่าว ราวกับมีบางสิ่งที่นางเองก็ไม่เข้าใจไหลผ่านไปทั่วอกชั่วขณะ
จางชิงหยวนไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย ยืนเคียงข้างนางและทำงานต่อไปอย่างเงียบๆ ฝนยังคงตกลงมาไม่หยุด ทว่าเสียงฝนที่เคยฟังดูหนักหน่วงกลับเบาลงเมื่อพวกเขาทำงานร่วมกันโดยไม่มีถ้อยคำใดๆ
ทั้งสองคนต่างจดจ่อกับการช่วยเหลือทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ทุกครั้งที่ลู่หยวนฮวาเหลือบมองจางชิงหยวน นางรู้สึกได้ถึงความมั่นคงที่เขามอบให้ แม้ไม่มีคำพูดใด แต่เพียงแค่เขาอยู่ข้างๆ นางก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นอย่างน่าประหลาด
เมื่อทหารได้รับการรักษาจนปลอดภัยแล้ว นางมองพวกเขาที่นอนพักผ่อน ใบหน้าของนางเปื้อนรอยยิ้มที่สะท้อนถึงความพอใจ ความรู้สึกที่ว่าตนได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่ในเวลาเดียวกัน ใจของนางกลับเริ่มสับสน เมื่อความรู้สึกบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นภายในกลับชัดเจนมากขึ้นทุกครั้งที่นางอยู่ใกล้จางชิงหยวน
“ข้าไม่ควรมีความรู้สึกเช่นนี้กับท่านแม่ทัพ...” ลู่หยวนฮวาคิดกับตัวเอง นางพยายามห้ามใจ แต่ทุกครั้งที่มองจางชิงหยวน ความอบอุ่นที่ก่อตัวขึ้นในใจกลับไม่อาจหยุดยั้งได้ ความรู้สึกที่เบ่งบานในใจของนางค่อยๆ เติบโตขึ้นทีละน้อย แม้นางจะพยายามปฏิเสธมัน แต่ก็ไม่อาจหลบหนีความจริงนั้นได้
หลังจากเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ค่ายทหารหมิงอี้ต้องเผชิญกับความเสียหายหลายจุด เสบียงอาหารที่เคยมีสำรองไว้กลับลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่เส้นทางการขนส่งถูกทำลาย น้ำท่วมยังสร้างความเสียหายต่อการกักเก็บเสบียงจนเกิดปัญหาใหญ่ลู่หยวนฮวาเดินสำรวจไปรอบค่าย สายตาของนางมองเห็นความเหนื่อยล้าของทหารที่ต่างก็ทำงานอย่างหนักในการซ่อมแซมค่าย บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเงียบงันและตึงเครียด เสียงพูดคุยที่เคยคึกคักกลับเหลือเพียงการกระซิบเบาๆ เมื่อเผชิญกับความกังวลเรื่องเสบียงอาหารที่ลดน้อยลงทุกที ทหารแต่ละคนแสดงออกถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ทั้งเรื่องอาหารและความอยู่รอดหญิงสาวรู้ว่าหากเสบียงหมดลงในช่วงที่ถนนหนทางยังขาด ค่ายทหารแห่งนี้อาจจะไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วยความที่เป็นคนท้องที่ ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้เข้าไปในตัวเมืองแต่นางก็รู้จักแหล่งเสบียงของเมืองดี นางตัดสินใจอาสาออกเดินทางไปยังหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไกลจากค่าย โดยหวังว่าจะสามารถติดต่อซื้อเสบียงหรือของใช้ที่จำเป็นจากชาวบ้านได้“ข้าจะขออนุญาตท่านแม่ทัพออกเดินทางไปหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไก
หลังจากการเดินทางอันยากลำบากข้ามแม่น้ำ ในที่สุดลู่หยวนฮวาและจางชิงหยวนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไกลจากค่าย แม้ภายนอกหมู่บ้านจะดูเงียบสงบ แต่เมื่อเดินลึกเข้าไป ความเงียบสงบที่น่าจะมีกลับถูกทำลายด้วยเสียงไอแห้งๆ ดังมาจากบ้านหลังหนึ่ง ตามด้วยเสียงไอที่ดังขึ้นจากอีกหลายบ้าน“ดูเหมือนชาวบ้านที่นี่จะป่วยกันหนัก” ลู่หยวนฮวากล่าวเสียงเบา พร้อมกวาดตามองชาวบ้านที่นอนซมอยู่บนเตียง ผิวซีดเซียว ตัวร้อนจัด และไออย่างรุนแรง“เป็นเพราะแหล่งน้ำสกปรก” ชายชราคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่หนักแน่นด้วยความทุกข์ใจ “น้ำที่ใช้การเกษตรถูกปนเปื้อนจากพายุ น้ำท่วมที่ไหลผ่านพาเอาโคลนและสิ่งสกปรกมาด้วย ข้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พวกท่านข้าขอร้องหล่ะ ช่วยพวกเราด้วยเถิด ให้ทำอะไรข้าก็ยอม”“ข้าจะช่วยพวกท่านเอง ข้าได้นำสมุนไพรมาด้วย หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาอาการของพวกท่านได้” ลู่หยวนฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและกระตือรือร้น จากนั้นนางก็รีบตรงไปดูอาการของชาวบ้านที่ป่วย โดยไม่รอช้าสายตาสีน้ำตาลคมเข้มจับจ้องไปยังหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ข้างเตียงของเด็กคนหนึ่ง เด็กน้อยนอนตัวร้อนจัด ไอแห้งๆ อย่างน่าสงสาร นางรี
“ใช่ๆ ข้าได้ยินมาว่าตระกูลลู่แห่งเมืองหมิงอี้นั้นเป็นตระกูลต้องสาป!”ชาวบ้านคนหนึ่งพูดเบาๆ "พวกเราควรจะไล่นางไป มิฉะนั้นคำสาปอาจจะทำให้หมู่บ้านของเราตกอยู่ในอันตราย!"เสียงกระซิบดังขึ้นเรื่อยๆ ความกลัวเริ่มแผ่ขยายไปทั่วหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านที่เคยมองลู่หยวนฮวาด้วยสายตาชื่นชมเริ่มเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวและระแวดระวัง พวกเขาถอยห่างจากนางโดยไม่รู้ตัวจางชิงหยวนรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างในใจที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดจากหน้าที่หรือความรับผิดชอบตามตำแหน่งแม่ทัพของเขา แต่มันลึกซึ้งกว่านั้นเขามองลู่หยวนฮวาในขณะที่นางพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ และชาวบ้านอย่างไม่เห็นแก่ความลำบากของตัวเอง แม้จะถูกกล่าวหาหรือเข้าใจผิด นางก็ยังคงยืนหยัดอยู่ในจุดที่ใครหลายคนอาจเลือกเดินหนีหัวใจของจางชิงหยวนเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะความโกรธหรือความเครียดแบบที่เขาคุ้นเคย มันเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนความปรารถนาที่จะปกป้องหญิงสาวคนนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะนางกำลังเผชิญกับความไม่ยุติธรรม แต่มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ความอ่อนโยนของนาง ความกล้าหาญที่เขาไม่เคยคาดหวังจากผู้
แสงอาทิตย์อ่อนลงเรื่อยๆ ทำให้ป่าเขาที่ล้อมรอบเต็มไปด้วยเงาทึบ ลู่หยวนฮวาเดินลัดเลาะขึ้นเขาอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าของนางเบาดุจสายลมที่พัดผ่านใบไม้ร่วงหล่น นางสอดส่องหาเถาสมุนไพรที่นางคุ้นเคย พืชพันธุ์หลายชนิดเติบโตขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์บนเนินเขานี้ ความชื้นจากอากาศหลังพายุทิ้งร่องรอยไว้บนดิน มันส่งกลิ่นหอมเย็นและความสดชื่นของป่าลู่หยวนฮวาคุ้นเคยกับการเก็บสมุนไพรอยู่แล้ว นางจึงก้มลงมองพื้นดินและสังเกตต้นไม้ที่บ่งบอกถึงที่ตั้งของพืชสมุนไพรที่นางต้องการจางชิงหยวนเดินตามอยู่ไม่ห่างนัก สายตาสีน้ำตาลคมกริบของเขาจับจ้องไปยังรอบๆ บริเวณ สอดส่องทุกทิศทางเพื่อระวังภัย แม้ในสายลมเย็นนั้นจะไม่มีสิ่งบ่งบอกถึงความอันตราย แต่เขาไม่เคยวางใจป่าเงียบเชียบนี้ ภูเขาที่โอบล้อมเต็มไปด้วยความลึกลับและอาจแฝงด้วยภัยร้ายในที่ที่เขามองไม่เห็น"เจ้าระวังตัวหน่อย เก็บสมุนไพรพอแล้วก็กลับค่ายกัน ที่แห่งนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่นาน" จางชิงหยวนเอ่ยเตือนเสียงเบา ลู่หยวนฮวาพยักหน้ารับ เงยหน้าขึ้นสบตาเขาเพียงเสี้ยววินาทีแล้วกลับไปสนใจต้นสมุนไพรต่อลมเบาๆ พัดพาใบไม้แห้งร่วงกราว จังหวะนั้นเอง ลู่หยวนฮวาเหลือบเห็นต้นสมุนไพรที่
จางชิงหยวนเคลื่อนไหวอย่างดุดัน ดาบในมือของเขาวาดผ่านอากาศอย่างรวดเร็วป้องกันการโจมตีของศัตรูที่พุ่งเข้ามาหาอย่างไม่หยุดยั้ง ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทหารฝ่ายศัตรูหลายคนเข้าล้อมรอบเขา แม้เขาจะพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่ศัตรูก็มีจำนวนมากเกินไป เขาถูกฟันเข้าที่แขนซ้าย รอยแผลเปิดออกกว้างและเลือดสีแดงสดทะลักออกมาเปื้อนแขนเสื้อของเขา แต่จางชิงหยวนไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย"ไปซ่อนตัวให้ไกลกว่านี้!" เขาตะโกนสั่งเสียงเข้ม ลู่หยวนฮวารู้สึกหัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก นางรู้ดีว่าต้องฟังคำสั่งของเขา แต่ก็ไม่อาจทิ้งเขาไปได้ นางยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ พลางมองดูจางชิงหยวนต่อสู้กับศัตรูอีกหลายคนที่ยังคงพุ่งเข้ามาดาบในมือขวาของเขาวาดผ่านอากาศเป็นเส้นสายเฉียบคม ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเปี่ยมไปด้วยพลังและความมั่นคง จนในที่สุด ทหารศัตรูคนสุดท้ายก็ล้มลงกองกับพื้น เลือดไหลนองรอบตัวพวกเขาจางชิงหยวนยืนหอบหายใจหนัก แขนซ้ายของเขาเต็มไปด้วยเลือดที่ยังคงไหลออกจากบาดแผล แต่เขายังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง ไม่ยอมแสดงความเจ็บปวดออกมาแม้แต่น้อย"ท่าน... ท่านบาดเจ็บ!" ลู่หยวนฮวาตะโกนออกมาด้วยความตกใจ นางรีบวิ่งเข้าไปห
ภายในจวนใหญ่โตโอ่อ่าของ “เหมิงชาง” เจ้าเมืองหมิงอี้นั้นกำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงขอบคุณท่านแม่ทัพจางชิงหยวนอย่างยิ่งใหญ่ งานที่ถูกจัดขึ้นไม่ได้มีเพียงเป้าหมายในการแสดงความขอบคุณเพียงเท่านั้น แต่เบื้องหลังคือแผนการที่ถูกวางไว้อย่างแนบเนียนเหมิงชางพยายามเก็บซ่อนเจตนาที่แท้จริงไว้ลึกในใจ ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้มขณะคอยกำชับข้ารับใช้ให้เตรียมงานอย่างดีที่สุด แต่ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ของเขา ความหวังที่จะเห็นแผนการที่เขาวางร่วมกับบุตรสาว เหมิงอวี้ เป็นจริงในคืนนี้แผนการนี้ไม่ใช่เพียงการแสดงความยินดีที่กองทัพต้าหยางมารักษาความสงบในเมืองหมิงอี้ แต่เป็นแผนที่เหมิงอวี้ บุตรสาวผู้ทะเยอทะยานของเขา ได้ผลักดันให้เกิดขึ้นเหมิงอวี้พร่ำบอกตัวเองและพ่อของนางซ้ำ ๆ ว่าจางชิงหยวนคือกุญแจสู่ความสำเร็จและอำนาจที่นางโหยหา ชายผู้เป็นทั้งแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่และหนทางที่จะนำพานางและตระกูลเหมิงไปสู่ความรุ่งเรือง“ท่านพ่อ งานเลี้ยงคืนนี้ต้องเป็นไปตามแผนที่ข้าวางไว้ จางชิงหยวนจะต้องเห็นว่าข้าเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขา ข้ามั่นใจว่าหลังจากนี้เราจะได้ครองอำนาจทั้งในหมิงอี้และแคว้นต้าหยาง”
ลู่หยวนฮวายืนอยู่ริมสวนนอกงานเลี้ยง ขณะที่บรรยากาศภายในงานยังคงคึกคัก แต่หัวใจของนางกลับไม่อาจสงบลงได้ ราวกับมีบางสิ่งที่ผิดปกติแผ่ซ่านอยู่รอบตัวและแล้ว...ภาพนิมิตที่ไม่คาดฝันก็ปรากฏขึ้น ลู่หยวนฮวาเห็นจางชิงหยวน มือของเขาจับจอกเหล้าไว้แน่น ริมฝีปากของเขาเคลื่อนไปช้าๆ เข้าหาขอบจอกที่บรรจุเหล้าผสมยาปลุกกำหนัด เมื่อเหลวสีอำพันนั้นกำลังจะไหลผ่านลำคอ ทุกอย่างในนิมิตก็ดูหม่นหมองลง ราวกับโลกทั้งใบกำลังจะถล่มลงมาจากนั้นภาพที่น่ากลัวที่สุดก็เกิดขึ้น ร่างของจางชิงหยวน ผู้ที่นางเคยเห็นแต่ในบทบาทของนักรบผู้เก่งกล้า กลับถูกพิษจากยาเล่นงาน จนเขาค่อยๆ ถลาไปทาบทับบนร่างของเหมิงอวี้ หญิงสาวที่ยิ้มอย่างมีชัยในนิมิตนั้น ถือเป็นภาพความใกล้ชิดที่ไม่ควรเกิดขึ้น มันทำให้หัวใจของลู่หยวนฮวาเต้นรัวเหมือนจะหลุดออกมาริมฝีปากหนานั้นกำลังหว่านพรมความร้อนไปตั้งแต่ซอกหูและซอกคองามระหงของเหมิงอวี้ และเห็นส่วนที่เชื่อมโยงกันบีบรัดอย่างเร่าร้อน สะโพกแกร่งตบเข้าออกอย่างรุนแรง ถึงลู่หยวนฮวาจะไม่เคยมีประสบการณ์แต่ว่านางก็หาใช่คนที่ไม่รู้ความความคิดของหญิงสาวกำลังตีกันยุ่งเหยิง ภาพเหล่านั้นทำให้นางรู้สึกเหมือนเวลาหยุดเ
"ข้าเชื่อเพียงคำพูดของคนของข้าเท่านั้น" จางชิงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ขณะก้าวเข้ามายืนเคียงข้างลู่หยวนฮวา ราวกับเพื่อยืนยันความเชื่อมั่นของเขา เขาใช้นิ้วเชยคางนางขึ้นเบาๆ ให้สายตาของทั้งสองได้สบกัน ความคิดแผ่วเบาแล่นเข้ามาในหัวใจของเขาอย่างไม่ทันรู้ตัวฮวาเอ๋อร์ ข้าอยากเห็นความจริงใจของเจ้า...ผ่านดวงตาคู่งามคู่นี้สายตาคมของเขาจับจ้องไปยังลู่หยวนฮวา แม้ใบหน้านางจะแฝงความกังวลและความสับสน แต่ในแววตาสีนิลที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น จางชิงหยวนรู้ทันทีว่านางพูดความจริง มันไม่ได้เป็นเพียงแค่คำพูดที่ออกจากปาก แต่มันสะท้อนผ่านสายตาที่ไม่อาจปิดบังน้ำเสียงของเขาทำให้ทั้งงานหยุดนิ่ง ทุกสายตาจับจ้องมาที่แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งในตอนนี้ยืนเคียงข้างหญิงสาวที่ถูกกล่าวหา ราวกับสิ่งที่เขาตัดสินใจเป็นความจริงแท้ที่ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง แม้แต่เหมิงชางที่เคยโกรธเกรี้ยวก็ต้องชะงัก หยุดชั่งใจในคำพูดของตนเองลู่หยวนฮวารู้สึกถึงแรงกดดันที่ค่อยๆ หายไปในทันทีที่จางชิงหยวนออกตัวปกป้องนางความอบอุ่นและความมั่นใจจากเแผ่ซ่านเข้ามา หญิงสาวรู้สึกเหมือนถูกห่อหุ้มไว้ในเกราะแห่งความปลอดภัย แม้ว่าความก