ลู่หยวนฮวาค่อยๆ เริ่มรู้สึกถึงความสงสัยที่กัดกร่อนในใจหลังจากที่ได้ยินชื่อของ “ลู่หยาง” หลุดออกจากปากของพลทหารคนหนึ่ง ทันทีที่ทหารผู้นั้นเอ่ยชื่อนี้ เขาก็รีบปิดปากเงียบเหมือนรู้สึกได้ถึงความผิดพลาด ลู่หยวนฮวาเงี่ยหูฟัง แสร้งทำเป็นไม่ได้สนใจ แต่ทว่าในใจของนางกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
"ลู่หยาง...พี่ใหญ่" นางพึมพำเบาๆ ชื่อนี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากพี่ชายเพียงคนเดียวที่นางตามหามาตลอด และบัดนี้ นางอาจจะพบร่องรอยของเขาอยู่ที่ค่ายทหารนี้ก็เป็นได้ หญิงสาวตัดสินใจแน่วแน่ทันทีว่าจะต้องสืบหาเรื่องราวนี้ด้วยตัวเอง
บรรยากาศในป่ายามวิกาลเงียบงัน มีเพียงเสียงลมพัดใบไม้ไหวที่แว่ว ความมืดมิดกลืนกินทุกสิ่งรอบตัว ลู่หยวนฮวาก้าวเดินเบาๆ ระวังไม่ให้เกิดเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นดินที่เต็มไปด้วยกิ่งไม้และใบไม้แห้ง นางรู้ดีว่าการถูกจับได้ในตอนนี้อาจเป็นจุดจบของแผนการที่วางไว้
ความมืดที่แผ่ปกคลุมทำให้ทุกก้าวเดินเป็นไปอย่างเชื่องช้าและรัดกุม เสียงหายใจของนางค่อยๆ ถี่ขึ้นพร้อมกับความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะ หัวใจของนางเต้นแรงราวกับจะหลุดออกจากอก นางจับจ้องไปข้างหน้า พยายามฟังเสียงเล็กๆ ที่อาจบ่งบอกถึงการมาถึงของทหารยาม
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าของทหารลาดตระเวนดังแผ่วๆ มาจากด้านหลัง ความหวาดกลัวค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาในใจ ลู่หยวนฮวาพยายามสงบสติ หายใจเข้าลึกๆ และก้าวถอยหลังช้าๆ แต่เพียงแค่เสี้ยววินาที กิ่งไม้แห้งที่นางเหยียบลงไปกลับหักลงเสียงดัง นางสะดุ้งสุดตัว เสียงหักนั้นดังพอที่จะทำให้ทหารยามหันมองหาที่มาของเสียง
ลู่หยวนฮวารีบพุ่งหลบเข้าไปซ่อนหลังพุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ นางพยายามเก็บลมหายใจเงียบกริบ ร่างของนางกดตัวต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆบดบังแสงจันทร์ ทำให้ทุกสิ่งดูยิ่งมืดลง
เสียงฝีเท้าทหารค่อย ๆ ใกล้เข้ามา นางได้ยินเสียงเขาพึมพำอะไรบางอย่าง ความหวาดกลัวทำให้นางไม่สามารถแม้แต่จะขยับตัว หยาดเหงื่อเย็นเยียบไหลลงมาตามไรผม นางภาวนาในใจว่าเขาจะไม่เห็นนางที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดนี้
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็หยุดลง เพียงไม่กี่ก้าวจากจุดที่นางซ่อนอยู่ ทหารคนนั้นหยุดเดินเหมือนกับกำลังฟังอะไรบางอย่าง นางกลั้นหายใจ รอให้เขาเดินไป แต่เสียงฝีเท้ากลับไม่ขยับไปไหน ความเงียบงันทำให้ทุกวินาทีที่ผ่านไปดูเหมือนนานเป็นชั่วนิรันดร์
"มีใครอยู่ที่นี่ไหม!?" เสียงของทหารคนนั้นดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ลู่หยวนฮวาก้มตัวลงต่ำกว่าเดิม ซ่อนใบหน้าของนางไว้ในเงามืด หวังว่าทหารจะไม่เข้ามาใกล้บริเวณที่นางหลบซ่อนไปมากกว่านี้
เสียงฝีเท้าของทหารดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับเคลื่อนไปทางอื่น นางรอจนแน่ใจว่าเขาเดินห่างออกไปแล้ว ก่อนจะลุกขึ้น ดวงตาของนางสอดส่องไปรอบๆ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ แล้วนางก็รีบก้าวออกจากพุ่มไม้และเดินต่อไปข้างหน้าด้วยความระวัง
แต่สิ่งที่นางไม่รู้คือ ตลอดเวลาที่นางแอบซ่อนอยู่ มีดวงตาคมสีน้ำตาลสวยคอยจับจ้องอยู่จากเงามืดเช่นกัน แม้รอยยิ้มบนใบหน้านั้นจะดูเหมือนเข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แต่รอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตา "ลู่หยวนฮวา เจ้ากำลังคิดทำการใดกันแน่?"
แสงอาทิตย์อ่อนๆ ของเช้าวันใหม่สาดส่องเข้ามายังค่ายทหารหมิงอี้ ส่องกระทบไปทั่วทั้งค่าย เสียงทหารฝึกซ้อมและเสียงดาบที่ปะทะกันดังก้องไปทั่ว แต่ถึงแม้บรรยากาศจะดูคึกคัก ลู่หยวนฮวากลับรู้สึกหนักอึ้งอยู่ภายในใจ
ลู่หยวนฮวาพยายามทำตัวให้ปกติเหมือนทุกวัน ขณะยืนหั่นผักอยู่ในครัว แต่ความรู้สึกอึดอัดบางอย่างนั้นยังคงติดตามนางราวกับเงา
ขณะนั้นเองเสียงฝีเท้าหนักของใครบางคนดังขึ้นมาในห้องครัว...
“ตวนหลี่” รองแม่ทัพคนสนิทของจางชิงหยวน เดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน แต่สายตาของเขาจับจ้องมาที่ลู่หยวนฮวาเพียงคนเดียว ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความเฉยชา แต่ก็มีบางอย่างในท่าทางของเขาที่ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ
"แม่นางหยวนฮวา ท่านแม่ทัพเรียกหาเจ้า" ตวนหลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
ลู่หยวนฮวาหันมองตวนหลี่ ใบหน้าของนางซีดลงทันที และมือที่ถือมีดอยู่ก็เกือบทำมันหลุดจากมือ
"ท่านแม่ทัพเรียกพบข้า?" นางพูดซ้ำเบาๆ ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน สัญชาตญาณเตือนให้นางระวัง แต่ก็ไม่มีทางเลือกใดที่จะหลีกเลี่ยงได้ นางไม่สามารถปฏิเสธคำสั่งนี้ได้
หญิงสาวรวบรวมสติและพยักหน้าเบาๆ "ข้า...จะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ" นางวางมีดทำครัวลงช้าๆ บนโต๊ะไม้ ก่อนจะเดินตามตวนหลี่ไป
เมื่อมาถึงกระโจมของจางชิงหยวน ลู่หยวนฮวาหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้า นางพยายามสูดลมหายใจลึกๆ รวบรวมสติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปด้านใน
ภายในกระโจมมีแสงสลัวที่ลอดผ่านเข้ามาจากด้านนอก จางชิงหยวนยืนอยู่ตรงกลางกระโจม ร่างสูงใหญ่ของเขาดูสง่างามแต่ในขณะเดียวกันก็แผ่บรรยากาศอันน่าเกรงขามออกมา สายตาสีน้ำตาลคมกริบของเขาจับจ้องมาที่นางทันทีที่นางก้าวเข้ามา มันเหมือนกับสายตาของเสือที่มองเหยื่อ ไม่มีความอบอุ่นใด ๆ ในดวงตาคู่นั้น
"ลู่หยวนฮวา เมื่อคืนเจ้าออกไปทำอะไรข้างนอกกัน?" จางชิงหยวนเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าทันที
ลู่หยวนฮวานิ่งไปทันที ความตกใจราวกับฟ้าผ่าลงกลางใจ นางรู้สึกเหมือนถูกจับได้ นางต้องคิดหาวิธีตอบกลับอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้พิรุธหลุดออกมา
"ข้า..." ลู่หยวนฮวากลืนน้ำลาย และพยายามพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง "ข้าแค่...ออกไปเก็บสมุนไพรเจ้าค่ะ ข้าเห็นว่ามีสมุนไพรที่จำเป็นในการรักษาทหาร จึงออกไปสำรวจรอบๆ ค่าย" นางตอบโดยพยายามไม่แสดงอาการใดๆ ที่จะทำให้เขาสงสัยมากขึ้น
จางชิงหยวนยืนนิ่ง สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่นางไม่ลดละ ราวกับจะทะลวงเข้าไปในจิตใจของนางเพื่อค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่
เขาเดินเข้ามาใกล้นางทีละก้าว บรรยากาศในกระโจมเริ่มกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกก้าวที่เขาเดินเข้ามา นางรู้สึกเหมือนเขากำลังแผ่พลังอำนาจที่น่ากลัวออกมาท่วมทับตัวนาง
“เก็บสมุนไพรตอนกลางคืนงั้นหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น แววตาคมกริบคู่นั้นทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกตรึงให้อยู่กับที่ ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้เลย
ลู่หยวนฮวาพยายามหายใจเข้าลึกๆ เหงื่อเย็นเริ่มผุดขึ้นมาบนหน้าผากของนาง ความกดดันที่เพิ่มขึ้นทำให้สมองของนางเริ่มตื้อ
“ข้า...คิดว่ามันจำเป็นในตอนนั้นเจ้าค่ะ ข้าไม่ทันคิดว่าการออกไปข้างนอกในเวลานั้นจะเป็นปัญหา” นางรู้สึกเหมือนทุกคำพูดของนางถูกเขาวิเคราะห์อย่างละเอียด
จางชิงหยวนหยุดอยู่ตรงหน้านาง ดวงตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่นางไม่ลดละ เขาเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าในค่ายนี้ ข้าไม่ชอบคนที่มีเจตนาแอบแฝง” คำพูดนั้นเหมือนเป็นการเตือน นางรู้สึกได้ถึงความคาดหวังที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น
ลู่หยวนฮวากลืนน้ำลายอีกครั้ง นางพยายามรักษาความสงบในจิตใจ นางรู้ดีว่าตอนนี้นางกำลังเดินอยู่บนเส้นด้าย ทุกคำพูดและท่าทางของนางมีผลต่ออนาคตที่นางไม่สามารถคาดเดาได้
"ข้าเพียงทำงานในครัวหรือช่วยรักษาทหารในค่ายนี้เท่านั้น ข้าไม่มีเจตนาอื่นใดเจ้าค่ะ" หวังว่าเขาจะเชื่อคำพูดของนาง นอกจากตามหาพี่ชายแล้วนางก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายแอบแฝงจริงๆ
“ข้าจะให้คนคอยจับตาดูเจ้า อย่าคิดที่จะหักหลังข้าละกองทัพของต้าหยาง ไม่เช่นนั้นแล้วจุดจบของเข้าคงจะไม่สวยเท่าไหร่” เขาตอบกลับเสียงเย็นชาและเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเขา ปล่อยให้นางยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพังพร้อมกับความกดดันที่ยังคงปกคลุมอยู่
ลู่หยวนฮวารู้สึกเหมือนยืนอยู่ในอากาศที่หนักอึ้ง นางค่อยๆ ถอนหายใจออกมาเบาๆ นางรู้ว่าครั้งนี้นางรอดไปได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็รู้ดีว่าเขายังไม่ไว้ใจนางอย่างเต็มที่ นางต้องระมัดระวังมากขึ้นในทุกย่างก้าว นางจะพลาดไม่ได้อีกต่อไป
จางชิงหยวนยืนนิ่งอยู่ในกระโจม สายตาคมกริบจ้องมองไปยังลู่หยวนฮวาที่นั่งอยู่ตรงหน้า นางไม่ได้หลบสายตาเขาเลยสักนิด ในใจของจางชิงหยวนยังคงมีความไม่แน่ใจ เพราะประสบการณ์ในสนามรบนั้นหล่อหลอมให้เขาระมัดระวัง ทำให้ความเชื่อใจนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับจางชิงหยวน“ข้าจะให้คนคอยจับตาดูเจ้า อย่าคิดที่จะหักหลังข้าละกองทัพของต้าหยาง ไม่เช่นนั้นแล้วจุดจบของเข้าคงจะไม่สวยเท่าไหร่ ลู่หยวนฮวา” เขากล่าวในใจหลังจากปล่อยลู่หยวนฮวากลับไปทำงานที่ครัวเขาสั่งให้ตวนหลี่และจิ่งซื่อ พลทหารคนสนิทของเขาคอยจับตาดูการกระทำทุกอย่างของลู่หยวนฮวาอย่างใกล้ชิดแต่ถึงกระนั้น จางชิงหยวนเองก็ยังไม่ละสายตาจากนาง เขามักจะสังเกตการกระทำของนางอย่างเงียบๆ มองหาพฤติกรรมสุมเสี่ยงที่อาจจะทำให้หญิงสาวหลุดพิรุธ หรือเผยให้เห็นความลับที่นางปกปิดเอาไว้ลู่หยวนฮวาพยายามทำตัวให้เป็นปกติเหมือนทุกวัน พยายามที่จะไม่แสดงออกถึงความกังวล แต่ในใจลึกๆ นางก็รู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์เช่นนี้ นางไม่อาจพูดความจริงได้ เพราะหากจางชิงหยวนรู้ว่านางเป็นน้องสาวของลู่หยาง พี่ชายที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนางเกรงว่าตนเองและพี่ชายอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ ได้
หลังจากเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ค่ายทหารหมิงอี้ต้องเผชิญกับความเสียหายหลายจุด เสบียงอาหารที่เคยมีสำรองไว้กลับลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่เส้นทางการขนส่งถูกทำลาย น้ำท่วมยังสร้างความเสียหายต่อการกักเก็บเสบียงจนเกิดปัญหาใหญ่ลู่หยวนฮวาเดินสำรวจไปรอบค่าย สายตาของนางมองเห็นความเหนื่อยล้าของทหารที่ต่างก็ทำงานอย่างหนักในการซ่อมแซมค่าย บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเงียบงันและตึงเครียด เสียงพูดคุยที่เคยคึกคักกลับเหลือเพียงการกระซิบเบาๆ เมื่อเผชิญกับความกังวลเรื่องเสบียงอาหารที่ลดน้อยลงทุกที ทหารแต่ละคนแสดงออกถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ทั้งเรื่องอาหารและความอยู่รอดหญิงสาวรู้ว่าหากเสบียงหมดลงในช่วงที่ถนนหนทางยังขาด ค่ายทหารแห่งนี้อาจจะไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วยความที่เป็นคนท้องที่ ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้เข้าไปในตัวเมืองแต่นางก็รู้จักแหล่งเสบียงของเมืองดี นางตัดสินใจอาสาออกเดินทางไปยังหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไกลจากค่าย โดยหวังว่าจะสามารถติดต่อซื้อเสบียงหรือของใช้ที่จำเป็นจากชาวบ้านได้“ข้าจะขออนุญาตท่านแม่ทัพออกเดินทางไปหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไก
หลังจากการเดินทางอันยากลำบากข้ามแม่น้ำ ในที่สุดลู่หยวนฮวาและจางชิงหยวนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไกลจากค่าย แม้ภายนอกหมู่บ้านจะดูเงียบสงบ แต่เมื่อเดินลึกเข้าไป ความเงียบสงบที่น่าจะมีกลับถูกทำลายด้วยเสียงไอแห้งๆ ดังมาจากบ้านหลังหนึ่ง ตามด้วยเสียงไอที่ดังขึ้นจากอีกหลายบ้าน“ดูเหมือนชาวบ้านที่นี่จะป่วยกันหนัก” ลู่หยวนฮวากล่าวเสียงเบา พร้อมกวาดตามองชาวบ้านที่นอนซมอยู่บนเตียง ผิวซีดเซียว ตัวร้อนจัด และไออย่างรุนแรง“เป็นเพราะแหล่งน้ำสกปรก” ชายชราคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่หนักแน่นด้วยความทุกข์ใจ “น้ำที่ใช้การเกษตรถูกปนเปื้อนจากพายุ น้ำท่วมที่ไหลผ่านพาเอาโคลนและสิ่งสกปรกมาด้วย ข้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พวกท่านข้าขอร้องหล่ะ ช่วยพวกเราด้วยเถิด ให้ทำอะไรข้าก็ยอม”“ข้าจะช่วยพวกท่านเอง ข้าได้นำสมุนไพรมาด้วย หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาอาการของพวกท่านได้” ลู่หยวนฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและกระตือรือร้น จากนั้นนางก็รีบตรงไปดูอาการของชาวบ้านที่ป่วย โดยไม่รอช้าสายตาสีน้ำตาลคมเข้มจับจ้องไปยังหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ข้างเตียงของเด็กคนหนึ่ง เด็กน้อยนอนตัวร้อนจัด ไอแห้งๆ อย่างน่าสงสาร นางรี
“ใช่ๆ ข้าได้ยินมาว่าตระกูลลู่แห่งเมืองหมิงอี้นั้นเป็นตระกูลต้องสาป!”ชาวบ้านคนหนึ่งพูดเบาๆ "พวกเราควรจะไล่นางไป มิฉะนั้นคำสาปอาจจะทำให้หมู่บ้านของเราตกอยู่ในอันตราย!"เสียงกระซิบดังขึ้นเรื่อยๆ ความกลัวเริ่มแผ่ขยายไปทั่วหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านที่เคยมองลู่หยวนฮวาด้วยสายตาชื่นชมเริ่มเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวและระแวดระวัง พวกเขาถอยห่างจากนางโดยไม่รู้ตัวจางชิงหยวนรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างในใจที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดจากหน้าที่หรือความรับผิดชอบตามตำแหน่งแม่ทัพของเขา แต่มันลึกซึ้งกว่านั้นเขามองลู่หยวนฮวาในขณะที่นางพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ และชาวบ้านอย่างไม่เห็นแก่ความลำบากของตัวเอง แม้จะถูกกล่าวหาหรือเข้าใจผิด นางก็ยังคงยืนหยัดอยู่ในจุดที่ใครหลายคนอาจเลือกเดินหนีหัวใจของจางชิงหยวนเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะความโกรธหรือความเครียดแบบที่เขาคุ้นเคย มันเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนความปรารถนาที่จะปกป้องหญิงสาวคนนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะนางกำลังเผชิญกับความไม่ยุติธรรม แต่มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ความอ่อนโยนของนาง ความกล้าหาญที่เขาไม่เคยคาดหวังจากผู้
แสงอาทิตย์อ่อนลงเรื่อยๆ ทำให้ป่าเขาที่ล้อมรอบเต็มไปด้วยเงาทึบ ลู่หยวนฮวาเดินลัดเลาะขึ้นเขาอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าของนางเบาดุจสายลมที่พัดผ่านใบไม้ร่วงหล่น นางสอดส่องหาเถาสมุนไพรที่นางคุ้นเคย พืชพันธุ์หลายชนิดเติบโตขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์บนเนินเขานี้ ความชื้นจากอากาศหลังพายุทิ้งร่องรอยไว้บนดิน มันส่งกลิ่นหอมเย็นและความสดชื่นของป่าลู่หยวนฮวาคุ้นเคยกับการเก็บสมุนไพรอยู่แล้ว นางจึงก้มลงมองพื้นดินและสังเกตต้นไม้ที่บ่งบอกถึงที่ตั้งของพืชสมุนไพรที่นางต้องการจางชิงหยวนเดินตามอยู่ไม่ห่างนัก สายตาสีน้ำตาลคมกริบของเขาจับจ้องไปยังรอบๆ บริเวณ สอดส่องทุกทิศทางเพื่อระวังภัย แม้ในสายลมเย็นนั้นจะไม่มีสิ่งบ่งบอกถึงความอันตราย แต่เขาไม่เคยวางใจป่าเงียบเชียบนี้ ภูเขาที่โอบล้อมเต็มไปด้วยความลึกลับและอาจแฝงด้วยภัยร้ายในที่ที่เขามองไม่เห็น"เจ้าระวังตัวหน่อย เก็บสมุนไพรพอแล้วก็กลับค่ายกัน ที่แห่งนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่นาน" จางชิงหยวนเอ่ยเตือนเสียงเบา ลู่หยวนฮวาพยักหน้ารับ เงยหน้าขึ้นสบตาเขาเพียงเสี้ยววินาทีแล้วกลับไปสนใจต้นสมุนไพรต่อลมเบาๆ พัดพาใบไม้แห้งร่วงกราว จังหวะนั้นเอง ลู่หยวนฮวาเหลือบเห็นต้นสมุนไพรที่
จางชิงหยวนเคลื่อนไหวอย่างดุดัน ดาบในมือของเขาวาดผ่านอากาศอย่างรวดเร็วป้องกันการโจมตีของศัตรูที่พุ่งเข้ามาหาอย่างไม่หยุดยั้ง ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทหารฝ่ายศัตรูหลายคนเข้าล้อมรอบเขา แม้เขาจะพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่ศัตรูก็มีจำนวนมากเกินไป เขาถูกฟันเข้าที่แขนซ้าย รอยแผลเปิดออกกว้างและเลือดสีแดงสดทะลักออกมาเปื้อนแขนเสื้อของเขา แต่จางชิงหยวนไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย"ไปซ่อนตัวให้ไกลกว่านี้!" เขาตะโกนสั่งเสียงเข้ม ลู่หยวนฮวารู้สึกหัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก นางรู้ดีว่าต้องฟังคำสั่งของเขา แต่ก็ไม่อาจทิ้งเขาไปได้ นางยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ พลางมองดูจางชิงหยวนต่อสู้กับศัตรูอีกหลายคนที่ยังคงพุ่งเข้ามาดาบในมือขวาของเขาวาดผ่านอากาศเป็นเส้นสายเฉียบคม ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเปี่ยมไปด้วยพลังและความมั่นคง จนในที่สุด ทหารศัตรูคนสุดท้ายก็ล้มลงกองกับพื้น เลือดไหลนองรอบตัวพวกเขาจางชิงหยวนยืนหอบหายใจหนัก แขนซ้ายของเขาเต็มไปด้วยเลือดที่ยังคงไหลออกจากบาดแผล แต่เขายังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง ไม่ยอมแสดงความเจ็บปวดออกมาแม้แต่น้อย"ท่าน... ท่านบาดเจ็บ!" ลู่หยวนฮวาตะโกนออกมาด้วยความตกใจ นางรีบวิ่งเข้าไปห
ภายในจวนใหญ่โตโอ่อ่าของ “เหมิงชาง” เจ้าเมืองหมิงอี้นั้นกำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงขอบคุณท่านแม่ทัพจางชิงหยวนอย่างยิ่งใหญ่ งานที่ถูกจัดขึ้นไม่ได้มีเพียงเป้าหมายในการแสดงความขอบคุณเพียงเท่านั้น แต่เบื้องหลังคือแผนการที่ถูกวางไว้อย่างแนบเนียนเหมิงชางพยายามเก็บซ่อนเจตนาที่แท้จริงไว้ลึกในใจ ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้มขณะคอยกำชับข้ารับใช้ให้เตรียมงานอย่างดีที่สุด แต่ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ของเขา ความหวังที่จะเห็นแผนการที่เขาวางร่วมกับบุตรสาว เหมิงอวี้ เป็นจริงในคืนนี้แผนการนี้ไม่ใช่เพียงการแสดงความยินดีที่กองทัพต้าหยางมารักษาความสงบในเมืองหมิงอี้ แต่เป็นแผนที่เหมิงอวี้ บุตรสาวผู้ทะเยอทะยานของเขา ได้ผลักดันให้เกิดขึ้นเหมิงอวี้พร่ำบอกตัวเองและพ่อของนางซ้ำ ๆ ว่าจางชิงหยวนคือกุญแจสู่ความสำเร็จและอำนาจที่นางโหยหา ชายผู้เป็นทั้งแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่และหนทางที่จะนำพานางและตระกูลเหมิงไปสู่ความรุ่งเรือง“ท่านพ่อ งานเลี้ยงคืนนี้ต้องเป็นไปตามแผนที่ข้าวางไว้ จางชิงหยวนจะต้องเห็นว่าข้าเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขา ข้ามั่นใจว่าหลังจากนี้เราจะได้ครองอำนาจทั้งในหมิงอี้และแคว้นต้าหยาง”
ลู่หยวนฮวายืนอยู่ริมสวนนอกงานเลี้ยง ขณะที่บรรยากาศภายในงานยังคงคึกคัก แต่หัวใจของนางกลับไม่อาจสงบลงได้ ราวกับมีบางสิ่งที่ผิดปกติแผ่ซ่านอยู่รอบตัวและแล้ว...ภาพนิมิตที่ไม่คาดฝันก็ปรากฏขึ้น ลู่หยวนฮวาเห็นจางชิงหยวน มือของเขาจับจอกเหล้าไว้แน่น ริมฝีปากของเขาเคลื่อนไปช้าๆ เข้าหาขอบจอกที่บรรจุเหล้าผสมยาปลุกกำหนัด เมื่อเหลวสีอำพันนั้นกำลังจะไหลผ่านลำคอ ทุกอย่างในนิมิตก็ดูหม่นหมองลง ราวกับโลกทั้งใบกำลังจะถล่มลงมาจากนั้นภาพที่น่ากลัวที่สุดก็เกิดขึ้น ร่างของจางชิงหยวน ผู้ที่นางเคยเห็นแต่ในบทบาทของนักรบผู้เก่งกล้า กลับถูกพิษจากยาเล่นงาน จนเขาค่อยๆ ถลาไปทาบทับบนร่างของเหมิงอวี้ หญิงสาวที่ยิ้มอย่างมีชัยในนิมิตนั้น ถือเป็นภาพความใกล้ชิดที่ไม่ควรเกิดขึ้น มันทำให้หัวใจของลู่หยวนฮวาเต้นรัวเหมือนจะหลุดออกมาริมฝีปากหนานั้นกำลังหว่านพรมความร้อนไปตั้งแต่ซอกหูและซอกคองามระหงของเหมิงอวี้ และเห็นส่วนที่เชื่อมโยงกันบีบรัดอย่างเร่าร้อน สะโพกแกร่งตบเข้าออกอย่างรุนแรง ถึงลู่หยวนฮวาจะไม่เคยมีประสบการณ์แต่ว่านางก็หาใช่คนที่ไม่รู้ความความคิดของหญิงสาวกำลังตีกันยุ่งเหยิง ภาพเหล่านั้นทำให้นางรู้สึกเหมือนเวลาหยุดเ