ในป่าที่เงียบสงบ ลมเบาๆ พัดผ่าน ใบไม้พลิ้วไหวส่งเสียงกรอบแกรบคล้ายเป็นเสียงกระซิบของป่า ลู่หยวนฮวาหายใจเข้าลึก เสียงของสายลมและธรรมชาติรอบข้างค่อยๆ คลายความตึงเครียดในใจนางลงเล็กน้อย แต่ก็เพียงชั่วครู่นางรู้ดีว่าสถานการณ์ของตนในตอนนี้ไม่อาจวางใจอะไรได้
ขณะที่นางยืนอยู่ท่ามกลางทหารที่เพิ่งล้อมเข้ามา เสียงพลทหารคนหนึ่งเอ่ยชื่อ "ท่านแม่ทัพจางชิงหยวน!"
หัวใจของลู่หยวนฮวาเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ความทรงจำเกี่ยวกับพี่ชายของนางผุดขึ้นมาในทันที
“จางชิงหยวน...” ชื่อนี้ชัดเจนในความทรงจำของนาง เขาคือเจ้านายของลู่หยาง พี่ชายของนางซึ่งหายตัวอย่างเป็นปริษนาไปเมื่อสามปีก่อน
นางขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาที่เคยเฉื่อยชาเมื่อครู่กลับเปล่งประกายขึ้น นางมองไปที่จางชิงหยวนอย่างละเอียดอีกครั้ง เขาดูเงียบขรึมและเยือกเย็น ราวกับว่าเขาคือคนที่ควบคุมทุกอย่างรอบตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความสงสัยผุดขึ้นในใจของลู่หยวนฮวา ว่าชายคนนี้มีบทบาทอะไรหรือไม่ในการหายตัวไปของพี่ชายของนาง
ลู่หยวนฮวาแสร้งแสดงท่าทีนอบน้อมทันที นางค่อยๆ ก้มศีรษะเล็กน้อย
“ท่านแม่ทัพ ข้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ แต่ข้าขออนุญาตติดตามท่านไปยังค่ายทหารด้วยได้หรือไม่ ข้าพอจะมีความรู้เรื่องสมุนไพรและการรักษา หากท่านต้องการ จะเป็นหมอยาหรือแม่ครัว ข้าทำอะไรก็ได้เพื่อเป็นการตอบแทนท่าน” นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานที่นางพยายามควบคุมไม่ให้สั่น แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความลุ้นระทึก
จางชิงหยวนยืนนิ่ง มองนางด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น ขณะที่ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปที่ใบหน้าของลู่หยวนฮวาราวกับกำลังประเมินว่าเขาควรเชื่อใจนางหรือไม่ ความเงียบงันที่แผ่ขยายรอบตัวพวกเขายิ่งเพิ่มความอึดอัดและกดดันให้ลู่หยวนฮวา นางพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หลบสายตาของเขา
แสงแดดที่ลอดผ่านต้นไม้ทำให้เงาบนใบหน้าของจางชิงหยวนเคลื่อนไหวเล็กน้อย สายตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความแข็งกร้าว “ทันทีที่ถึงค่ายของข้า ข้าจะพิจารณาเองว่าเจ้าทำอะไรได้บ้างในค่ายของข้า” คำตอบสั้นๆ ของเขาทำให้ลู่หยวนฮวารู้สึกโล่งใจในทันที แม้ว่าความหวาดระแวงยังคงคอยตามติดหัวใจของนางก็ตาม
เมื่อถึงค่ายหมิงอี้ สถานที่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาสูงและป่าหนาทึบ บรรยากาศของค่ายทหารเต็มไปด้วยความเร่งรีบ เสียงดาบกระทบกันดังก้อง ทหารหลายคนกำลังฝึกซ้อม ขณะที่บางคนกำลังจัดการกับการขนส่งอาวุธและเสบียง ลู่หยวนฮวามองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่ก็พยายามทำตัวให้สงบนิ่งที่สุด
จางชิงหยวนเดินนำหน้านางโดยไม่พูดอะไร เมื่อพวกเขามาถึงพื้นที่ครัวของค่าย จางชิงหยวนหันกลับมามองนางอีกครั้ง ดวงตาของเขาเยือกเย็นแต่ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย “แม่นางหยวนฮวา เจ้าจะต้องทำงานที่นี่ ช่วยหัวหน้าพ่อครัวเฟิงทำอาหารไปก่อน” เขากล่าวสั้นๆ แล้วหันหลังเดินจากไป ทิ้งลู่หยวนฮวาไว้กับความคิดที่วุ่นวายในใจของนาง
การทำงานในโรงครัวเริ่มต้นขึ้นทันที แม้ว่าลู่หยวนฮวาจะไม่คุ้นเคยกับงานเช่นนี้ นางกลับทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจและระมัดระวัง ท่ามกลางความเหนื่อยล้า นางพยายามที่จะฟังบทสนทนาของทหารและคนงานรอบตัว ทุกครั้งที่มีโอกาส นางจะคอยถามคำถามเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูไม่เป็นพิรุธ เพื่อหวังว่านางจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับลู่หยางบ้างไม่มากก็น้อย
แต่แม้เวลาจะผ่านไปหลายวัน ลู่หยวนฮวาก็ยังไม่ได้เบาะแสอะไรที่นางต้องการ ทุกคำถามที่นางถามออกไป กลับได้รับคำตอบเพียงผิวเผิน หรือไม่ก็ถูกเมินเฉย ทำให้นางเริ่มรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย แต่ถึงกระนั้น นางก็ยังคงตั้งใจจะไม่ยอมแพ้
ลู่หยวนฮวาทำงานในครัวตามที่ได้รับมอบหมาย นางตักน้ำแกงใส่ชามและจัดเรียงอาหารให้เหล่าทหารอย่างขะมักเขม้น
“พี่ชาย เมื่อวานนี้ท่านไปฝึกที่ไหนกันมาหรือ?” ลู่หยวนฮวาถามทหารคนหนึ่งที่นั่งกินข้าวอยู่ใกล้ๆ นางทำเสียงนุ่มนวล คล้ายถามด้วยความสงสัยใคร่รู้แบบหญิงสาวทั่วไป
ทหารหนุ่มยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาสวมเสื้อเกราะเบาและถือชามข้าวในมือ ขณะพูดคุยกับนางอย่างไม่ระแวงอะไร “ข้าเพิ่งกลับมาจากแนวชายแดน แถวนั้นเป็นจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ ข้าไปลาดตระเวนที่นั่นมา”
ลู่หยวนฮวาแอบฟังอย่างตั้งใจ นางมองท่าทางของทหารหนุ่มที่ดูเหนื่อยล้า แต่แฝงความภาคภูมิใจในหน้าที่ของตน
“ชายแดนเหรอ? น่ากลัวมากไหมเจ้าคะ? แล้ว... พวกทหารที่เคยหายตัวไปเมื่อปีก่อน พอจะรู้บ้างไหมว่ามีใครได้กลับมาบ้างหรือเปล่า?” นางแกล้งถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไร้เดียงสา
ทหารหนุ่มหยุดมือเล็กน้อย ราวกับคิดทบทวนถึงเรื่องที่นางถาม ก่อนที่จะตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “พวกนั้นเหรอ... ข้าได้ยินมาว่าหลายคนกลับมาไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดหรอกว่าพวกเขาหายไปเพราะเหตุใด บางคนบอกว่าเป็นฝีมือของพวกแคว้นเสียนหู่ ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
แม้คำตอบจะไม่ชัดเจน แต่ก็พอจะได้เบาะแสบ้าง นางพยักหน้าเบาๆ แสดงท่าทีเหมือนเพียงแค่ถามเล่นๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย
ในช่วงบ่ายของวันหนึ่ง นางเดินไปยังแหล่งน้ำเพื่อเก็บน้ำมาใช้ในครัว ที่นั่นนางพบกับกลุ่มทหารที่กำลังนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เสียงหัวเราะและการพูดคุยของพวกเขาทำให้หญิงสาวเห็นโอกาสที่จะหลอกถามข้อมูลเพิ่มเติม
“ข้าขอน้ำนิดหนึ่งได้ไหมเจ้าคะ?” นางถามพร้อมรอยยิ้มหวาน
ทหารคนหนึ่งยื่นขันน้ำมาให้นาง “เอาสิ ข้าเพิ่งเติมน้ำมาจากลำธาร เจ้าเองก็ทำงานหนักเหมือนกันนี่นะ แม่นางหยวนฮวา” เขาพูดพลางหัวเราะเบาๆ
ลู่หยวนฮวาหยิบขันน้ำมาแล้วจิบเล็กน้อย นางยิ้มเล็กๆ ก่อนจะถามขึ้นด้วยความสนใจ “ข้าสงสัยว่าแคว้นต้าหยางนี่... มีการส่งทหารออกลาดตระเวนอยู่บ่อยๆ หรือเปล่าเจ้าคะ? ข้าเห็นท่านพี่หลายคนมักจะพูดถึงการลาดตระเวนบ่อยๆ”
ทหารอีกคนตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ใช่ พวกเราต้องลาดตระเวนชายแดนบ่อย เพราะพวกเสียนหู่น่ะสิ ชอบเข้ามารบกวนเป็นระยะ พวกมันเจ้าเล่ห์นัก ถ้าไม่จำเป็นเจ้าอย่าออกไปนอกค่ายเพียงลำพังนะ”
“จริงเหรอเจ้าคะ...” ลู่หยวนฮวาพยักหน้าแล้วแสร้งทำเป็นหวาดกลัว “แล้วเมื่อก่อนเคยมีทหารคนไหนที่ไปลาดตระเวนแล้วหายตัวไปหรือเปล่า ข้าพอจะได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง”
ทหารหนุ่มคนนั้นชะงักไปครู่หนึ่ง “อืม... ใช่ ข้าเคยได้ยินมาว่ามีทหารบางคนหายตัวไปจากการลาดตระเวนตอนปีก่อน แต่ข้าไม่รู้รายละเอียดมากนัก ข้าพึ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานเอง”
“งั้นหรือ...” ลู่หยวนฮวาตอบเบาๆ แม้จะไม่ได้ข้อมูลมากนัก แต่นางก็พยายามบันทึกทุกสิ่งในความทรงจำ
ทุกๆ การกระทำของนางนั้นดูเหมือนไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ ทุกการกระทำของนางไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของคนผู้หนึ่ง
ดวงตาสีน้ำตาล่อ่อนคมกริบกำลังจับจ้องหญิงสาวจากมุมหนึ่งของค่าย ท่าทางนิ่งสงบเหมือนภูเขาที่ไม่หวั่นไหว แต่ในความเงียบงันนั้น กลับมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ภายใน
ความคิดที่ซ่อนลึกอยู่เบื้องหลังแววตานั้น ไม่อาจถูกอ่านออกได้ง่าย ๆ สายตาคู่นั้นไม่เคยละจากหญิงสาวที่กำลังยืนสนทนากับทหารกลุ่มหนึ่ง เสียงหัวเราะและการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอาหารและการฝึกซ้อม ลอยเข้ามาแผ่วเบา แต่กลับไม่ได้ดึงความสนใจของเขาออกไปแต่อย่างใด
แม้ว่าทหารคนอื่น ๆ จะไม่ได้ใส่ใจในคำถามของลู่หยวนฮวานัก คิดเพียงว่าเป็นการสนทนาทั่วไปเกี่ยวกับเรื่องอาหารหรือการฝึกฝนของพวกเขา แต่สายตาลึกลับที่แฝงอยู่ในเงามืด ไม่ได้ปล่อยให้ท่าทางและน้ำเสียงของนางผ่านไปง่าย ๆ
ทุกคำถามที่นางเอ่ยออกมา ทุกการกระทำล้วนถูกบันทึกไว้ในความนึกคิดของผู้เฝ้ามองอย่างละเอียด
ลู่หยวนฮวารู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างที่กำลังก่อตัว นางไม่ได้เอะใจในตอนแรก แต่พอนานเข้า นางเริ่มรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ราวกับว่ากำลังถูกเฝ้าจับตามองอย่างไรอย่างนั้น
"ทำไมข้าถึงได้รู้สึกอึดอัดเช่นนี้กันนะ..."
ลู่หยวนฮวาค่อยๆ เริ่มรู้สึกถึงความสงสัยที่กัดกร่อนในใจหลังจากที่ได้ยินชื่อของ “ลู่หยาง” หลุดออกจากปากของพลทหารคนหนึ่ง ทันทีที่ทหารผู้นั้นเอ่ยชื่อนี้ เขาก็รีบปิดปากเงียบเหมือนรู้สึกได้ถึงความผิดพลาด ลู่หยวนฮวาเงี่ยหูฟัง แสร้งทำเป็นไม่ได้สนใจ แต่ทว่าในใจของนางกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมาย"ลู่หยาง...พี่ใหญ่" นางพึมพำเบาๆ ชื่อนี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากพี่ชายเพียงคนเดียวที่นางตามหามาตลอด และบัดนี้ นางอาจจะพบร่องรอยของเขาอยู่ที่ค่ายทหารนี้ก็เป็นได้ หญิงสาวตัดสินใจแน่วแน่ทันทีว่าจะต้องสืบหาเรื่องราวนี้ด้วยตัวเองบรรยากาศในป่ายามวิกาลเงียบงัน มีเพียงเสียงลมพัดใบไม้ไหวที่แว่ว ความมืดมิดกลืนกินทุกสิ่งรอบตัว ลู่หยวนฮวาก้าวเดินเบาๆ ระวังไม่ให้เกิดเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นดินที่เต็มไปด้วยกิ่งไม้และใบไม้แห้ง นางรู้ดีว่าการถูกจับได้ในตอนนี้อาจเป็นจุดจบของแผนการที่วางไว้ความมืดที่แผ่ปกคลุมทำให้ทุกก้าวเดินเป็นไปอย่างเชื่องช้าและรัดกุม เสียงหายใจของนางค่อยๆ ถี่ขึ้นพร้อมกับความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะ หัวใจของนางเต้นแรงราวกับจะหลุดออกจากอก นางจับจ้องไปข้างหน้า พยายามฟังเสียงเล็กๆ ที่อาจบ่งบอกถึงการมาถึงข
จางชิงหยวนยืนนิ่งอยู่ในกระโจม สายตาคมกริบจ้องมองไปยังลู่หยวนฮวาที่นั่งอยู่ตรงหน้า นางไม่ได้หลบสายตาเขาเลยสักนิด ในใจของจางชิงหยวนยังคงมีความไม่แน่ใจ เพราะประสบการณ์ในสนามรบนั้นหล่อหลอมให้เขาระมัดระวัง ทำให้ความเชื่อใจนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับจางชิงหยวน“ข้าจะให้คนคอยจับตาดูเจ้า อย่าคิดที่จะหักหลังข้าละกองทัพของต้าหยาง ไม่เช่นนั้นแล้วจุดจบของเข้าคงจะไม่สวยเท่าไหร่ ลู่หยวนฮวา” เขากล่าวในใจหลังจากปล่อยลู่หยวนฮวากลับไปทำงานที่ครัวเขาสั่งให้ตวนหลี่และจิ่งซื่อ พลทหารคนสนิทของเขาคอยจับตาดูการกระทำทุกอย่างของลู่หยวนฮวาอย่างใกล้ชิดแต่ถึงกระนั้น จางชิงหยวนเองก็ยังไม่ละสายตาจากนาง เขามักจะสังเกตการกระทำของนางอย่างเงียบๆ มองหาพฤติกรรมสุมเสี่ยงที่อาจจะทำให้หญิงสาวหลุดพิรุธ หรือเผยให้เห็นความลับที่นางปกปิดเอาไว้ลู่หยวนฮวาพยายามทำตัวให้เป็นปกติเหมือนทุกวัน พยายามที่จะไม่แสดงออกถึงความกังวล แต่ในใจลึกๆ นางก็รู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์เช่นนี้ นางไม่อาจพูดความจริงได้ เพราะหากจางชิงหยวนรู้ว่านางเป็นน้องสาวของลู่หยาง พี่ชายที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนางเกรงว่าตนเองและพี่ชายอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ ได้
หลังจากเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ค่ายทหารหมิงอี้ต้องเผชิญกับความเสียหายหลายจุด เสบียงอาหารที่เคยมีสำรองไว้กลับลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่เส้นทางการขนส่งถูกทำลาย น้ำท่วมยังสร้างความเสียหายต่อการกักเก็บเสบียงจนเกิดปัญหาใหญ่ลู่หยวนฮวาเดินสำรวจไปรอบค่าย สายตาของนางมองเห็นความเหนื่อยล้าของทหารที่ต่างก็ทำงานอย่างหนักในการซ่อมแซมค่าย บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเงียบงันและตึงเครียด เสียงพูดคุยที่เคยคึกคักกลับเหลือเพียงการกระซิบเบาๆ เมื่อเผชิญกับความกังวลเรื่องเสบียงอาหารที่ลดน้อยลงทุกที ทหารแต่ละคนแสดงออกถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ทั้งเรื่องอาหารและความอยู่รอดหญิงสาวรู้ว่าหากเสบียงหมดลงในช่วงที่ถนนหนทางยังขาด ค่ายทหารแห่งนี้อาจจะไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วยความที่เป็นคนท้องที่ ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้เข้าไปในตัวเมืองแต่นางก็รู้จักแหล่งเสบียงของเมืองดี นางตัดสินใจอาสาออกเดินทางไปยังหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไกลจากค่าย โดยหวังว่าจะสามารถติดต่อซื้อเสบียงหรือของใช้ที่จำเป็นจากชาวบ้านได้“ข้าจะขออนุญาตท่านแม่ทัพออกเดินทางไปหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไก
หลังจากการเดินทางอันยากลำบากข้ามแม่น้ำ ในที่สุดลู่หยวนฮวาและจางชิงหยวนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไกลจากค่าย แม้ภายนอกหมู่บ้านจะดูเงียบสงบ แต่เมื่อเดินลึกเข้าไป ความเงียบสงบที่น่าจะมีกลับถูกทำลายด้วยเสียงไอแห้งๆ ดังมาจากบ้านหลังหนึ่ง ตามด้วยเสียงไอที่ดังขึ้นจากอีกหลายบ้าน“ดูเหมือนชาวบ้านที่นี่จะป่วยกันหนัก” ลู่หยวนฮวากล่าวเสียงเบา พร้อมกวาดตามองชาวบ้านที่นอนซมอยู่บนเตียง ผิวซีดเซียว ตัวร้อนจัด และไออย่างรุนแรง“เป็นเพราะแหล่งน้ำสกปรก” ชายชราคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่หนักแน่นด้วยความทุกข์ใจ “น้ำที่ใช้การเกษตรถูกปนเปื้อนจากพายุ น้ำท่วมที่ไหลผ่านพาเอาโคลนและสิ่งสกปรกมาด้วย ข้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พวกท่านข้าขอร้องหล่ะ ช่วยพวกเราด้วยเถิด ให้ทำอะไรข้าก็ยอม”“ข้าจะช่วยพวกท่านเอง ข้าได้นำสมุนไพรมาด้วย หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาอาการของพวกท่านได้” ลู่หยวนฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและกระตือรือร้น จากนั้นนางก็รีบตรงไปดูอาการของชาวบ้านที่ป่วย โดยไม่รอช้าสายตาสีน้ำตาลคมเข้มจับจ้องไปยังหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ข้างเตียงของเด็กคนหนึ่ง เด็กน้อยนอนตัวร้อนจัด ไอแห้งๆ อย่างน่าสงสาร นางรี
“ใช่ๆ ข้าได้ยินมาว่าตระกูลลู่แห่งเมืองหมิงอี้นั้นเป็นตระกูลต้องสาป!”ชาวบ้านคนหนึ่งพูดเบาๆ "พวกเราควรจะไล่นางไป มิฉะนั้นคำสาปอาจจะทำให้หมู่บ้านของเราตกอยู่ในอันตราย!"เสียงกระซิบดังขึ้นเรื่อยๆ ความกลัวเริ่มแผ่ขยายไปทั่วหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านที่เคยมองลู่หยวนฮวาด้วยสายตาชื่นชมเริ่มเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวและระแวดระวัง พวกเขาถอยห่างจากนางโดยไม่รู้ตัวจางชิงหยวนรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างในใจที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดจากหน้าที่หรือความรับผิดชอบตามตำแหน่งแม่ทัพของเขา แต่มันลึกซึ้งกว่านั้นเขามองลู่หยวนฮวาในขณะที่นางพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ และชาวบ้านอย่างไม่เห็นแก่ความลำบากของตัวเอง แม้จะถูกกล่าวหาหรือเข้าใจผิด นางก็ยังคงยืนหยัดอยู่ในจุดที่ใครหลายคนอาจเลือกเดินหนีหัวใจของจางชิงหยวนเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะความโกรธหรือความเครียดแบบที่เขาคุ้นเคย มันเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนความปรารถนาที่จะปกป้องหญิงสาวคนนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะนางกำลังเผชิญกับความไม่ยุติธรรม แต่มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ความอ่อนโยนของนาง ความกล้าหาญที่เขาไม่เคยคาดหวังจากผู้
แสงอาทิตย์อ่อนลงเรื่อยๆ ทำให้ป่าเขาที่ล้อมรอบเต็มไปด้วยเงาทึบ ลู่หยวนฮวาเดินลัดเลาะขึ้นเขาอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าของนางเบาดุจสายลมที่พัดผ่านใบไม้ร่วงหล่น นางสอดส่องหาเถาสมุนไพรที่นางคุ้นเคย พืชพันธุ์หลายชนิดเติบโตขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์บนเนินเขานี้ ความชื้นจากอากาศหลังพายุทิ้งร่องรอยไว้บนดิน มันส่งกลิ่นหอมเย็นและความสดชื่นของป่าลู่หยวนฮวาคุ้นเคยกับการเก็บสมุนไพรอยู่แล้ว นางจึงก้มลงมองพื้นดินและสังเกตต้นไม้ที่บ่งบอกถึงที่ตั้งของพืชสมุนไพรที่นางต้องการจางชิงหยวนเดินตามอยู่ไม่ห่างนัก สายตาสีน้ำตาลคมกริบของเขาจับจ้องไปยังรอบๆ บริเวณ สอดส่องทุกทิศทางเพื่อระวังภัย แม้ในสายลมเย็นนั้นจะไม่มีสิ่งบ่งบอกถึงความอันตราย แต่เขาไม่เคยวางใจป่าเงียบเชียบนี้ ภูเขาที่โอบล้อมเต็มไปด้วยความลึกลับและอาจแฝงด้วยภัยร้ายในที่ที่เขามองไม่เห็น"เจ้าระวังตัวหน่อย เก็บสมุนไพรพอแล้วก็กลับค่ายกัน ที่แห่งนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่นาน" จางชิงหยวนเอ่ยเตือนเสียงเบา ลู่หยวนฮวาพยักหน้ารับ เงยหน้าขึ้นสบตาเขาเพียงเสี้ยววินาทีแล้วกลับไปสนใจต้นสมุนไพรต่อลมเบาๆ พัดพาใบไม้แห้งร่วงกราว จังหวะนั้นเอง ลู่หยวนฮวาเหลือบเห็นต้นสมุนไพรที่
จางชิงหยวนเคลื่อนไหวอย่างดุดัน ดาบในมือของเขาวาดผ่านอากาศอย่างรวดเร็วป้องกันการโจมตีของศัตรูที่พุ่งเข้ามาหาอย่างไม่หยุดยั้ง ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทหารฝ่ายศัตรูหลายคนเข้าล้อมรอบเขา แม้เขาจะพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่ศัตรูก็มีจำนวนมากเกินไป เขาถูกฟันเข้าที่แขนซ้าย รอยแผลเปิดออกกว้างและเลือดสีแดงสดทะลักออกมาเปื้อนแขนเสื้อของเขา แต่จางชิงหยวนไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย"ไปซ่อนตัวให้ไกลกว่านี้!" เขาตะโกนสั่งเสียงเข้ม ลู่หยวนฮวารู้สึกหัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก นางรู้ดีว่าต้องฟังคำสั่งของเขา แต่ก็ไม่อาจทิ้งเขาไปได้ นางยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ พลางมองดูจางชิงหยวนต่อสู้กับศัตรูอีกหลายคนที่ยังคงพุ่งเข้ามาดาบในมือขวาของเขาวาดผ่านอากาศเป็นเส้นสายเฉียบคม ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเปี่ยมไปด้วยพลังและความมั่นคง จนในที่สุด ทหารศัตรูคนสุดท้ายก็ล้มลงกองกับพื้น เลือดไหลนองรอบตัวพวกเขาจางชิงหยวนยืนหอบหายใจหนัก แขนซ้ายของเขาเต็มไปด้วยเลือดที่ยังคงไหลออกจากบาดแผล แต่เขายังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง ไม่ยอมแสดงความเจ็บปวดออกมาแม้แต่น้อย"ท่าน... ท่านบาดเจ็บ!" ลู่หยวนฮวาตะโกนออกมาด้วยความตกใจ นางรีบวิ่งเข้าไปห
ภายในจวนใหญ่โตโอ่อ่าของ “เหมิงชาง” เจ้าเมืองหมิงอี้นั้นกำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงขอบคุณท่านแม่ทัพจางชิงหยวนอย่างยิ่งใหญ่ งานที่ถูกจัดขึ้นไม่ได้มีเพียงเป้าหมายในการแสดงความขอบคุณเพียงเท่านั้น แต่เบื้องหลังคือแผนการที่ถูกวางไว้อย่างแนบเนียนเหมิงชางพยายามเก็บซ่อนเจตนาที่แท้จริงไว้ลึกในใจ ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้มขณะคอยกำชับข้ารับใช้ให้เตรียมงานอย่างดีที่สุด แต่ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ ของเขา ความหวังที่จะเห็นแผนการที่เขาวางร่วมกับบุตรสาว เหมิงอวี้ เป็นจริงในคืนนี้แผนการนี้ไม่ใช่เพียงการแสดงความยินดีที่กองทัพต้าหยางมารักษาความสงบในเมืองหมิงอี้ แต่เป็นแผนที่เหมิงอวี้ บุตรสาวผู้ทะเยอทะยานของเขา ได้ผลักดันให้เกิดขึ้นเหมิงอวี้พร่ำบอกตัวเองและพ่อของนางซ้ำ ๆ ว่าจางชิงหยวนคือกุญแจสู่ความสำเร็จและอำนาจที่นางโหยหา ชายผู้เป็นทั้งแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่และหนทางที่จะนำพานางและตระกูลเหมิงไปสู่ความรุ่งเรือง“ท่านพ่อ งานเลี้ยงคืนนี้ต้องเป็นไปตามแผนที่ข้าวางไว้ จางชิงหยวนจะต้องเห็นว่าข้าเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขา ข้ามั่นใจว่าหลังจากนี้เราจะได้ครองอำนาจทั้งในหมิงอี้และแคว้นต้าหยาง”