ลู่หยวนฮวาก้าวเดินไปตามเส้นทางเล็ก ๆ ที่เลียบไปกับแนวป่าทึบ ความเงียบสงัดของป่าโอบล้อมนางราวกับกำแพงที่หนาทึบ ต้นไม้สูงใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมท้องฟ้าเหนือศีรษะ ปิดกั้นแสงอาทิตย์ให้เลือนลางรางจากท้องฟ้าสีครึ้ม ทำให้ป่าแห่งนี้ดูมืดสลัวไปทุกทิศทาง ทว่าบรรยากาศนี้กลับทำให้นางรู้สึกสงบใจ รู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ไม่มีกฎเกณฑ์ของมนุษย์มาคอยขีดเส้นไว้
การตัดสินใจเดินทางเลี่ยงเมืองหมิงอี้ในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ลู่หยวนฮวาคิดมาอย่างรอบคอบ ในเมืองหมิงอี้เป็นที่รู้กันว่าตระกูลลู่ของนางถูกกล่าวขานถึงตำนานคำสาปที่เล่นงานพวกเขามาอย่างยาวนาน
ชาวเมืองหวาดกลัวตระกูลลู่ เพราะเชื่อว่าสายเลือดของพวกเขานำพาความหายนะและโชคร้ายไปทุกหนแห่ง
ความเชื่อเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงคำลือแต่อย่างใด หญิงสาวที่เกิดในตระกูลลู่เมื่อแต่งงานออกไปก็ไม่เคยมีใครพบความสุขได้ยืนยาว พวกนางมักจะนำความตายมาสู่คนรักเสมอ คล้ายกับดวงชะตากินสามี ไม่ว่าจะเป็นโรคภัย ภัยธรรมชาติ หรืออุบัติเหตุ หากใครได้เป็นคู่ครองกับคนตระกูลลู่ ชีวิตก็มักจะจบลงอย่างน่าสลด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมชาวเมืองหมิงอี้ถึงรังเกียจและหวาดกลัวนางยิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้ ลู่หยวนฮวาจึงเลือกที่จะเลี่ยงเส้นทางที่ผ่านเมือง แม้ทางป่าที่นางเดินจะเต็มไปด้วยอันตรายจากสัตว์ป่าและความไม่แน่นอน แต่นางกลับรู้สึกว่ามันปลอดภัยกว่าการเดินผ่านหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยสายตาเย็นชาที่จ้องมองมา ด้วยความเชื่อและความหวาดกลัวที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
ในระหว่างทางที่นางเดินอยู่ นางเหลือบไปเห็นสมุนไพรสีเขียวสดที่ขึ้นอยู่ริมทาง นางหยุดเท้าชั่วครู่ ก่อนจะคุกเข่าลงเพื่อเก็บมันขึ้นมาตรวจสอบ นางใช้ปลายนิ้วบรรจงขยี้ใบเล็กน้อยเพื่อตรวจสอบความชื้นและกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ สมุนไพรนี้มีสรรพคุณที่ใช้รักษาบาดแผลและช่วยบรรเทาความเจ็บปวด หญิงสาวเพ่งสมาธิไปที่การเก็บสมุนไพร โดยไม่ทันสังเกตว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจ้องมองนางจากระยะไกล
ทันใดนั้น ความเงียบสงัดของป่าก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ดังใกล้เข้ามา ลู่หยวนฮวาหยุดมือกลางคัน หูของนางได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ห่างไกลจากความเป็นมิตร นางเงี่ยหูฟังและค่อย ๆ หันไปตามเสียงนั้น
ใจของนางเต้นรัวขึ้นเมื่อมองเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดผ้าหยาบกร้าน พวกเขากำลังเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาของพวกเขาจับจ้องมาที่นางด้วยสายตาโลมเลียและท่าทางที่ดูหื่นกระหาย
"โฉมสะคราญเช่นเจ้า ใยจึงมาเดินเล่นในป่าแห่งนี้เพียงลำพัง?" หนึ่งในพวกเขาถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงเจตนาร้ายอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มที่บิดเบี้ยวบนใบหน้าของเขายิ่งทำให้นางตระหนักว่านี่ไม่ใช่การหยอกล้อธรรมดา
พวกเขาขยับฝีเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ลู่หยวนฮวาหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ นางรู้สึกได้ว่าความตึงเครียดเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
ลู่หยวนฮวาล้วงมือเข้าไปในถุงย่ามเล็กๆ ที่นางพกติดตัวตลอดเวลา ภายในถุงนั้นเต็มไปด้วยสมุนไพรที่นางเตรียมไว้สำหรับการรักษาโรคและการบรรเทาอาการเจ็บป่วย แต่นางก็ได้เตรียมมันไว้สำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ด้วย นางใช้ผงสมุนไพรที่บดละเอียดที่สามารถทำให้ผู้ที่สูดดมเกิดอาการระคายเคืองตาและไม่สามารถมองเห็นชั่วคราวได้
เมื่อพวกโจรคนหนึ่งย่างเท้าเข้ามาใกล้นางมากขึ้น นางไม่รอช้า ผงสมุนไพรในมือของนางถูกโยนออกไปอย่างรวดเร็ว ผงนั้นกระจายไปในอากาศและเข้าตาของพวกโจร เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นขณะที่พวกเขาพยายามขยี้ตาอย่างบ้าคลั่ง
“บัดซบ! เจ้ามันนังตัวดี!” หนึ่งในพวกโจรตะโกนออกมาด้วยความโกรธ ขณะที่พวกเขาพยายามถอยหลังเพราะอาการระคายเคืองตา ลู่หยวนฮวารู้ว่านี่คือโอกาสที่นางจะหนี
ไม่รอช้า หญิงสาวหันหลังกลับและเริ่มวิ่งทันที ขณะที่ฝีเท้าของนางกระแทกพื้นดิน เสียงของพวกโจรก็ยังคงดังตามหลังมาเรื่อย ๆ พวกเขายังคงไม่ยอมแพ้และไล่ตามนางอย่างไม่ลดละ
ทางป่าที่นางวิ่งไปเต็มไปด้วยความยากลำบาก รากไม้ที่โผล่ขึ้นมาและก้อนหินที่กระจัดกระจายทำให้การวิ่งของนางไม่ง่ายอย่างที่คิด ลู่หยวนฮวารู้สึกว่าลมหายใจของนางเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเสียงฝีเท้าของพวกโจรใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวพยายามที่จะเร่งความเร็วแต่กลับสะดุดเข้ากับก้อนหินที่ซ่อนอยู่ใต้พงหญ้า ร่างของนางเซเสียหลักก่อนจะล้มลงกับพื้นอย่างแรง ความเจ็บปวดจากข้อเท้าทำให้นางรู้สึกว่าการหนีครั้งนี้อาจจะจบลงที่ความล้มเหลว
นางพยายามดันตัวเองขึ้นมายืนอีกครั้ง แต่ไม่ทันไรพวกโจรก็ตามมาทันและล้อมรอบร่างบางไว้ รอยยิ้มเย้ยหยันที่ปรากฏบนใบหน้าของพวกมันทำให้นางรู้สึกถึงความสิ้นหวัง พวกมันค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ ลู่หยวนฮวารู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของพวกเขา ความกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของนาง แต่ก่อนที่นางจะได้ทำอะไร เสียงกีบม้าก็ดังขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ลู่หยวนฮวาหันขวับไปตามเสียงนั้น นางเห็นกองทหารในชุดเกราะสีเงินส่องแสงวับวาวเข้ามาใกล้ เสียงกีบม้าที่กระแทกพื้นดินดังกึกก้องไปทั่วป่า เสียงใบไม้และลมที่เคยครอบคลุมป่ากลับถูกกลบด้วยเสียงดังของการมาถึงของกองทัพ
ก่อนที่นางจะทันตั้งตัว ชายคนหนึ่งในชุดเกราะสีเงินกระโดดลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วและมั่นคง ราวกับราชสีห์ที่พร้อมปกป้องเหยื่อจากฝูงหมาป่า
ในขณะที่ชายหนุ่มผู้นั้นเข้ามาใกล้ ลู่หยวนฮวาที่กำลังจะล้มลงอีกครั้งก็ถูกประคองขึ้นมาอย่างนุ่มนวล แขนแข็งแกร่งของชายหนุ่มรับตัวนางไว้อย่างมั่นคง นางเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจและสับสน
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของชายหนุ่มผู้นั้นสบกับดวงตาของลู่หยวนฮวา ช่วงเวลานั้นราวกับทุกสิ่งหยุดนิ่งไปชั่วขณะ แรงดึงดูดบางอย่างทำให้นางไม่สามารถละสายตาจากเขาได้
“ท่าน...ท่านเป็นใคร?” ลู่หยวนฮวาถามออกมาเบา ๆ นางยังคงสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นใคร
ชายหนุ่มไม่ตอบในทันที เขาเพียงแค่ประคองนางขึ้นมาอย่างนุ่มนวล ริมฝีปากของเขาเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ขณะที่ดวงตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ดวงตานีนิล๕งามของนางด้วยความสงสัย
ในขณะเดียวกัน พวกโจรที่ล้อมรอบก็เริ่มถอยหลัง ท่าทีของพวกมันเปลี่ยนไปเมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดเกราะที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา พวกมันรู้ดีว่าชายคนนี้ไม่ใช่คนที่พวกมันจะสามารถต่อกรได้ง่ายๆ
"ถอยไป ก่อนที่ข้าจะลงมือกับมดปลวกอย่างพวกเจ้าด้วยตัวเอง" ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและเด็ดขาด น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น
พวกโจรที่ล้อมรอบลู่หยวนฮวาหยุดชะงัก ดวงตาของพวกมันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเมื่อพบว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคือชายหนุ่มที่ดูแข็งแกร่งและน่าเกรงขามเกินกว่าจะต่อต้าน พวกมันค่อยๆ ถอยหลังด้วยท่าทางที่ระแวดระวัง ทิ้งระยะห่างจากทั้งคู่ ก่อนจะล่าถอยไปในที่สุดโดยไม่มีใครกล้าหันกลับมามอง
เมื่อพวกโจรลับหายไปจากสายตา ลู่หยวนฮวายืนมองชายหนุ่มผู้ช่วยชีวิตนางด้วยความทึ่ง ดวงตาของนางยังคงจับจ้องไปที่เขา หัวใจเต้นแรงด้วยความประหลาดใจและความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง นางไม่คาดคิดว่าจะมีผู้ใดเข้ามาช่วยนางในเวลาที่นางตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ ความรู้สึกอุ่นใจที่ชายหนุ่มมอบให้นาง เป็นสิ่งที่นางไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ในป่าที่เงียบสงบ ลมเบาๆ พัดผ่าน ใบไม้พลิ้วไหวส่งเสียงกรอบแกรบคล้ายเป็นเสียงกระซิบของป่า ลู่หยวนฮวาหายใจเข้าลึก เสียงของสายลมและธรรมชาติรอบข้างค่อยๆ คลายความตึงเครียดในใจนางลงเล็กน้อย แต่ก็เพียงชั่วครู่นางรู้ดีว่าสถานการณ์ของตนในตอนนี้ไม่อาจวางใจอะไรได้ขณะที่นางยืนอยู่ท่ามกลางทหารที่เพิ่งล้อมเข้ามา เสียงพลทหารคนหนึ่งเอ่ยชื่อ "ท่านแม่ทัพจางชิงหยวน!"หัวใจของลู่หยวนฮวาเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ความทรงจำเกี่ยวกับพี่ชายของนางผุดขึ้นมาในทันที“จางชิงหยวน...” ชื่อนี้ชัดเจนในความทรงจำของนาง เขาคือเจ้านายของลู่หยาง พี่ชายของนางซึ่งหายตัวอย่างเป็นปริษนาไปเมื่อสามปีก่อนนางขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาที่เคยเฉื่อยชาเมื่อครู่กลับเปล่งประกายขึ้น นางมองไปที่จางชิงหยวนอย่างละเอียดอีกครั้ง เขาดูเงียบขรึมและเยือกเย็น ราวกับว่าเขาคือคนที่ควบคุมทุกอย่างรอบตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความสงสัยผุดขึ้นในใจของลู่หยวนฮวา ว่าชายคนนี้มีบทบาทอะไรหรือไม่ในการหายตัวไปของพี่ชายของนางลู่หยวนฮวาแสร้งแสดงท่าทีนอบน้อมทันที นางค่อยๆ ก้มศีรษะเล็กน้อย“ท่านแม่ทัพ ข้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ แต่ข้าขออนุญาตติดตามท่านไ
ลู่หยวนฮวาค่อยๆ เริ่มรู้สึกถึงความสงสัยที่กัดกร่อนในใจหลังจากที่ได้ยินชื่อของ “ลู่หยาง” หลุดออกจากปากของพลทหารคนหนึ่ง ทันทีที่ทหารผู้นั้นเอ่ยชื่อนี้ เขาก็รีบปิดปากเงียบเหมือนรู้สึกได้ถึงความผิดพลาด ลู่หยวนฮวาเงี่ยหูฟัง แสร้งทำเป็นไม่ได้สนใจ แต่ทว่าในใจของนางกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมาย"ลู่หยาง...พี่ใหญ่" นางพึมพำเบาๆ ชื่อนี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากพี่ชายเพียงคนเดียวที่นางตามหามาตลอด และบัดนี้ นางอาจจะพบร่องรอยของเขาอยู่ที่ค่ายทหารนี้ก็เป็นได้ หญิงสาวตัดสินใจแน่วแน่ทันทีว่าจะต้องสืบหาเรื่องราวนี้ด้วยตัวเองบรรยากาศในป่ายามวิกาลเงียบงัน มีเพียงเสียงลมพัดใบไม้ไหวที่แว่ว ความมืดมิดกลืนกินทุกสิ่งรอบตัว ลู่หยวนฮวาก้าวเดินเบาๆ ระวังไม่ให้เกิดเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นดินที่เต็มไปด้วยกิ่งไม้และใบไม้แห้ง นางรู้ดีว่าการถูกจับได้ในตอนนี้อาจเป็นจุดจบของแผนการที่วางไว้ความมืดที่แผ่ปกคลุมทำให้ทุกก้าวเดินเป็นไปอย่างเชื่องช้าและรัดกุม เสียงหายใจของนางค่อยๆ ถี่ขึ้นพร้อมกับความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะ หัวใจของนางเต้นแรงราวกับจะหลุดออกจากอก นางจับจ้องไปข้างหน้า พยายามฟังเสียงเล็กๆ ที่อาจบ่งบอกถึงการมาถึงข
จางชิงหยวนยืนนิ่งอยู่ในกระโจม สายตาคมกริบจ้องมองไปยังลู่หยวนฮวาที่นั่งอยู่ตรงหน้า นางไม่ได้หลบสายตาเขาเลยสักนิด ในใจของจางชิงหยวนยังคงมีความไม่แน่ใจ เพราะประสบการณ์ในสนามรบนั้นหล่อหลอมให้เขาระมัดระวัง ทำให้ความเชื่อใจนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับจางชิงหยวน“ข้าจะให้คนคอยจับตาดูเจ้า อย่าคิดที่จะหักหลังข้าละกองทัพของต้าหยาง ไม่เช่นนั้นแล้วจุดจบของเข้าคงจะไม่สวยเท่าไหร่ ลู่หยวนฮวา” เขากล่าวในใจหลังจากปล่อยลู่หยวนฮวากลับไปทำงานที่ครัวเขาสั่งให้ตวนหลี่และจิ่งซื่อ พลทหารคนสนิทของเขาคอยจับตาดูการกระทำทุกอย่างของลู่หยวนฮวาอย่างใกล้ชิดแต่ถึงกระนั้น จางชิงหยวนเองก็ยังไม่ละสายตาจากนาง เขามักจะสังเกตการกระทำของนางอย่างเงียบๆ มองหาพฤติกรรมสุมเสี่ยงที่อาจจะทำให้หญิงสาวหลุดพิรุธ หรือเผยให้เห็นความลับที่นางปกปิดเอาไว้ลู่หยวนฮวาพยายามทำตัวให้เป็นปกติเหมือนทุกวัน พยายามที่จะไม่แสดงออกถึงความกังวล แต่ในใจลึกๆ นางก็รู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์เช่นนี้ นางไม่อาจพูดความจริงได้ เพราะหากจางชิงหยวนรู้ว่านางเป็นน้องสาวของลู่หยาง พี่ชายที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยนางเกรงว่าตนเองและพี่ชายอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ ได้
หลังจากเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ค่ายทหารหมิงอี้ต้องเผชิญกับความเสียหายหลายจุด เสบียงอาหารที่เคยมีสำรองไว้กลับลดลงอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่เส้นทางการขนส่งถูกทำลาย น้ำท่วมยังสร้างความเสียหายต่อการกักเก็บเสบียงจนเกิดปัญหาใหญ่ลู่หยวนฮวาเดินสำรวจไปรอบค่าย สายตาของนางมองเห็นความเหนื่อยล้าของทหารที่ต่างก็ทำงานอย่างหนักในการซ่อมแซมค่าย บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเงียบงันและตึงเครียด เสียงพูดคุยที่เคยคึกคักกลับเหลือเพียงการกระซิบเบาๆ เมื่อเผชิญกับความกังวลเรื่องเสบียงอาหารที่ลดน้อยลงทุกที ทหารแต่ละคนแสดงออกถึงความกังวลที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ทั้งเรื่องอาหารและความอยู่รอดหญิงสาวรู้ว่าหากเสบียงหมดลงในช่วงที่ถนนหนทางยังขาด ค่ายทหารแห่งนี้อาจจะไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วยความที่เป็นคนท้องที่ ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้เข้าไปในตัวเมืองแต่นางก็รู้จักแหล่งเสบียงของเมืองดี นางตัดสินใจอาสาออกเดินทางไปยังหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไกลจากค่าย โดยหวังว่าจะสามารถติดต่อซื้อเสบียงหรือของใช้ที่จำเป็นจากชาวบ้านได้“ข้าจะขออนุญาตท่านแม่ทัพออกเดินทางไปหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไก
หลังจากการเดินทางอันยากลำบากข้ามแม่น้ำ ในที่สุดลู่หยวนฮวาและจางชิงหยวนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านชาวนาที่อยู่ไม่ไกลจากค่าย แม้ภายนอกหมู่บ้านจะดูเงียบสงบ แต่เมื่อเดินลึกเข้าไป ความเงียบสงบที่น่าจะมีกลับถูกทำลายด้วยเสียงไอแห้งๆ ดังมาจากบ้านหลังหนึ่ง ตามด้วยเสียงไอที่ดังขึ้นจากอีกหลายบ้าน“ดูเหมือนชาวบ้านที่นี่จะป่วยกันหนัก” ลู่หยวนฮวากล่าวเสียงเบา พร้อมกวาดตามองชาวบ้านที่นอนซมอยู่บนเตียง ผิวซีดเซียว ตัวร้อนจัด และไออย่างรุนแรง“เป็นเพราะแหล่งน้ำสกปรก” ชายชราคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่หนักแน่นด้วยความทุกข์ใจ “น้ำที่ใช้การเกษตรถูกปนเปื้อนจากพายุ น้ำท่วมที่ไหลผ่านพาเอาโคลนและสิ่งสกปรกมาด้วย ข้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พวกท่านข้าขอร้องหล่ะ ช่วยพวกเราด้วยเถิด ให้ทำอะไรข้าก็ยอม”“ข้าจะช่วยพวกท่านเอง ข้าได้นำสมุนไพรมาด้วย หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาอาการของพวกท่านได้” ลู่หยวนฮวากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและกระตือรือร้น จากนั้นนางก็รีบตรงไปดูอาการของชาวบ้านที่ป่วย โดยไม่รอช้าสายตาสีน้ำตาลคมเข้มจับจ้องไปยังหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ข้างเตียงของเด็กคนหนึ่ง เด็กน้อยนอนตัวร้อนจัด ไอแห้งๆ อย่างน่าสงสาร นางรี
“ใช่ๆ ข้าได้ยินมาว่าตระกูลลู่แห่งเมืองหมิงอี้นั้นเป็นตระกูลต้องสาป!”ชาวบ้านคนหนึ่งพูดเบาๆ "พวกเราควรจะไล่นางไป มิฉะนั้นคำสาปอาจจะทำให้หมู่บ้านของเราตกอยู่ในอันตราย!"เสียงกระซิบดังขึ้นเรื่อยๆ ความกลัวเริ่มแผ่ขยายไปทั่วหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านที่เคยมองลู่หยวนฮวาด้วยสายตาชื่นชมเริ่มเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวและระแวดระวัง พวกเขาถอยห่างจากนางโดยไม่รู้ตัวจางชิงหยวนรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างในใจที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดจากหน้าที่หรือความรับผิดชอบตามตำแหน่งแม่ทัพของเขา แต่มันลึกซึ้งกว่านั้นเขามองลู่หยวนฮวาในขณะที่นางพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ และชาวบ้านอย่างไม่เห็นแก่ความลำบากของตัวเอง แม้จะถูกกล่าวหาหรือเข้าใจผิด นางก็ยังคงยืนหยัดอยู่ในจุดที่ใครหลายคนอาจเลือกเดินหนีหัวใจของจางชิงหยวนเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เพราะความโกรธหรือความเครียดแบบที่เขาคุ้นเคย มันเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนความปรารถนาที่จะปกป้องหญิงสาวคนนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะนางกำลังเผชิญกับความไม่ยุติธรรม แต่มันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ความอ่อนโยนของนาง ความกล้าหาญที่เขาไม่เคยคาดหวังจากผู้
แสงอาทิตย์อ่อนลงเรื่อยๆ ทำให้ป่าเขาที่ล้อมรอบเต็มไปด้วยเงาทึบ ลู่หยวนฮวาเดินลัดเลาะขึ้นเขาอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าของนางเบาดุจสายลมที่พัดผ่านใบไม้ร่วงหล่น นางสอดส่องหาเถาสมุนไพรที่นางคุ้นเคย พืชพันธุ์หลายชนิดเติบโตขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์บนเนินเขานี้ ความชื้นจากอากาศหลังพายุทิ้งร่องรอยไว้บนดิน มันส่งกลิ่นหอมเย็นและความสดชื่นของป่าลู่หยวนฮวาคุ้นเคยกับการเก็บสมุนไพรอยู่แล้ว นางจึงก้มลงมองพื้นดินและสังเกตต้นไม้ที่บ่งบอกถึงที่ตั้งของพืชสมุนไพรที่นางต้องการจางชิงหยวนเดินตามอยู่ไม่ห่างนัก สายตาสีน้ำตาลคมกริบของเขาจับจ้องไปยังรอบๆ บริเวณ สอดส่องทุกทิศทางเพื่อระวังภัย แม้ในสายลมเย็นนั้นจะไม่มีสิ่งบ่งบอกถึงความอันตราย แต่เขาไม่เคยวางใจป่าเงียบเชียบนี้ ภูเขาที่โอบล้อมเต็มไปด้วยความลึกลับและอาจแฝงด้วยภัยร้ายในที่ที่เขามองไม่เห็น"เจ้าระวังตัวหน่อย เก็บสมุนไพรพอแล้วก็กลับค่ายกัน ที่แห่งนี้ไม่เหมาะที่จะอยู่นาน" จางชิงหยวนเอ่ยเตือนเสียงเบา ลู่หยวนฮวาพยักหน้ารับ เงยหน้าขึ้นสบตาเขาเพียงเสี้ยววินาทีแล้วกลับไปสนใจต้นสมุนไพรต่อลมเบาๆ พัดพาใบไม้แห้งร่วงกราว จังหวะนั้นเอง ลู่หยวนฮวาเหลือบเห็นต้นสมุนไพรที่
จางชิงหยวนเคลื่อนไหวอย่างดุดัน ดาบในมือของเขาวาดผ่านอากาศอย่างรวดเร็วป้องกันการโจมตีของศัตรูที่พุ่งเข้ามาหาอย่างไม่หยุดยั้ง ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทหารฝ่ายศัตรูหลายคนเข้าล้อมรอบเขา แม้เขาจะพยายามต่อสู้อย่างสุดกำลัง แต่ศัตรูก็มีจำนวนมากเกินไป เขาถูกฟันเข้าที่แขนซ้าย รอยแผลเปิดออกกว้างและเลือดสีแดงสดทะลักออกมาเปื้อนแขนเสื้อของเขา แต่จางชิงหยวนไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย"ไปซ่อนตัวให้ไกลกว่านี้!" เขาตะโกนสั่งเสียงเข้ม ลู่หยวนฮวารู้สึกหัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก นางรู้ดีว่าต้องฟังคำสั่งของเขา แต่ก็ไม่อาจทิ้งเขาไปได้ นางยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ พลางมองดูจางชิงหยวนต่อสู้กับศัตรูอีกหลายคนที่ยังคงพุ่งเข้ามาดาบในมือขวาของเขาวาดผ่านอากาศเป็นเส้นสายเฉียบคม ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเปี่ยมไปด้วยพลังและความมั่นคง จนในที่สุด ทหารศัตรูคนสุดท้ายก็ล้มลงกองกับพื้น เลือดไหลนองรอบตัวพวกเขาจางชิงหยวนยืนหอบหายใจหนัก แขนซ้ายของเขาเต็มไปด้วยเลือดที่ยังคงไหลออกจากบาดแผล แต่เขายังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง ไม่ยอมแสดงความเจ็บปวดออกมาแม้แต่น้อย"ท่าน... ท่านบาดเจ็บ!" ลู่หยวนฮวาตะโกนออกมาด้วยความตกใจ นางรีบวิ่งเข้าไปห
วันรุ่งขึ้นขณะที่พวกเขาเดินชมรอบเมือง ทิวทัศน์และบรรยากาศยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม ทว่าในมุมหนึ่งของหมู่บ้านนั้นมีเสียงกระซิบกระซาบขึ้นมา ชาวบ้านบางคนที่ยังคงระแวงกับคำสาปเก่าแก่ได้เริ่มพูดถึงคำสาปที่อาจจะกลับมา นัยน์ตาหวาดระแวงของบางคนจ้องมองลู่หยวนฮวาอย่างระมัดระวัง พวกเขาเริ่มถอยหนีเมื่อเห็นนางเดินเข้าใกล้ลู่หยวนฮวารู้สึกถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความไม่สบายใจเริ่มทับถมอยู่ในใจของนาง นางหันไปพูดกับชาวบ้านเสียงนุ่ม“พวกท่าน…ไม่ต้องหวาดกลัวอีกแล้วนะเจ้าคะ คำสาปนั้นถูกล้างไปแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีตระกูลต้องสาปอีกต่อไปแล้ว”แต่ชาวบ้านบางคนยังคงไม่คลายความระแวง“แล้วทำไมเด็กๆ ถึงป่วยไม่มีสาเหตุในวันเดียวกับที่ท่านกลับมาเล่า?”เสียงหนึ่งดังขึ้นมาท่ามกลางกลุ่มชาวบ้าน และคนอื่นๆ เริ่มหันไปกระซิบกระซาบ พวกเขาดูคล้ายจะเชื่อคำกล่าวนั้นจางชิงหยวนเห็นภรรยารักถูกแคลนแล้วไม่สบอารมณ์นัก ก้าวเข้ามาข้างหน้า มองไปยังชาวบ้านที่ยังคงแสดงท่าทีหวาดระแวง“ข้าขอเตือนพวกท่านทั้งหลาย อย่าปล่อยให้ความกลัวและความเชื่อที่งมงายมาครอบงำความคิดของพวกท่านอีกต่อไป คำสาปนั้นได้ถูกล้างไปแล้ว และสิ่งที่เกิ
สามปีผ่านไป ชีวิตของลู่หยวนฮวาและจางชิงหยวนเปลี่ยนแปลงไปมาก พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในเมืองหลวง หลังจากการแต่งงานและการล้างคำสาปสำเร็จ ทุกอย่างดูจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นพวกเขามีบุตรชายหนึ่งคน ชื่อ "จางหรง" เด็กน้อยวัยสองหนาวที่เต็มไปด้วยความสดใสและความซุกซนใบหน้าของจางหรงมีความละม้ายคล้ายคลึงกับมารดาอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าดวงตาสีน้ำตาลสวยของเขานั้นสืบทอดมาจากบิดา รอยยิ้มไร้เดียงสาของเด็กน้อยเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่ทำให้ทุกคนรอบข้างรู้สึกอบอุ่นใจในขณะที่รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวไปตามเส้นทางที่ลัดเลาะสู่เมืองหมิงอี้ ลู่หยวนฮวาและจางชิงหยวนต่างนั่งอยู่ในความเงียบสงบที่อบอุ่น จางหรง เด็กน้อยวัยสองหนาวที่นั่งอยู่ระหว่างพ่อแม่ แต่ดวงตาใสแจ๋วกลับจ้องมองไปที่ทิวทัศน์ภายนอกอย่างตื่นตาตื่นใจ"หม่าม๊า ดู! ดู!" จางหรงร้องออกมาอย่างตื่นเต้น ขณะที่นิ้วมือเล็กของเขาชี้ไปทางหน้าต่างรถม้า "ม้า... ม้าล้ายย... ม้าใหญ่!"ลู่หยวนฮวายิ้มพร้อมกับยื่นมือไปลูบหัวลูกน้อยอย่างอ่อนโยน "ใช่แล้ว หรงเอ๋อร์ นั่นคือลูกม้า มันวิ่งเร็วมากเลยนะ""หรงเอ๋อร์ เจ้าชอบม้าไหม?" จางชิงหยวนถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ขณะยิ้มให้กั
แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านม่านหมอกบางๆ ที่ปกคลุมจวนตระกูลลู่ ท่ามกลางความเงียบสงบของสถานที่แห่งนี้ ลู่หยวนฮวายืนอยู่เบื้องหน้าจวนที่เคยเป็นทั้งบ้านและที่หลบภัยของนางมาตั้งแต่วัยเยาว์ รอบตัวมีเพียงเสียงลมเบาๆ พัดผ่านต้นไม้และดอกไม้ที่เคยเป็นความสุขของนางในอดีตวันนี้จวนตระกูลลู่ดูเหมือนจะเงียบงันกว่าทุกครั้ง นางยืนอยู่ตรงลานกว้าง มองไปยังประตูที่นางเคยเดินผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า นางจำได้ดีถึงความรู้สึกในทุกครั้งที่นางกลับมาจากการเดินทางจวนแห่งนี้เคยเป็นที่พักใจของนาง แต่บัดนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว จวนนี้ไม่ใช่ที่หลบภัยของนางอีกต่อไป มันกลับกลายเป็นเพียงเงาของความทรงจำที่นางต้องละทิ้งลู่หยวนฮวาหายใจเข้าลึกๆ พยายามรวบรวมความกล้าที่จะก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก แม้จะมีความเศร้าและความเจ็บปวดที่ยังคงซ่อนอยู่ในใจ นางรู้ดีว่าการปิดจวนตระกูลลู่เป็นการตัดสินใจที่จำเป็น นางต้องเริ่มต้นใหม่ ชีวิตของนางไม่สามารถถูกผูกมัดไว้กับอดีตอีกต่อไปจางชิงหยวนยืนอยู่ไม่ไกลจากนาง เขามองนางด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเข้าใจและห่วงใย เขารู้ดีว่าการละทิ้งจวนแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับลู่หยวนฮวา แต่เขาเชื่อ
ลู่หยวนฮวายืนอยู่ท่ามกลางเสียงฝีเท้าของทหารต้าหยางที่กำลังเคลื่อนทัพกลับ เงาของดวงอาทิตย์ที่ตกดินทอดยาวไปไกล บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบงันของชัยชนะ แต่ในหัวใจของนางกลับรู้สึกถึงความสูญเสียที่ยากจะลบเลือนนางก้มลงมองห่อผ้าที่อยู่ในมือ ข้างในนั้นคืออัฐิของลู่หยาง พี่ชายที่เคยยืนหยัดเพื่อปกป้องนางมาตลอดชีวิต บัดนี้กลับเหลือเพียงเถ้าถ่านที่ไร้ลมหายใจน้ำตาของนางไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว ขณะที่นางเดินตามหลังทัพต้าหยาง มือของนางกำห่อผ้านั้นไว้แน่น นางรู้สึกได้ถึงน้ำหนักของความสูญเสียที่ถ่วงหัวใจของนางจนแทบยืนไม่อยู่หัวใจของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถทำตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับป้าหลี่ได้"ข้าพูดไว้...ว่าข้าจะจูงมือพี่ใหญ่กลับบ้านพร้อมกัน แต่ตอนนี้ ข้ากลับนำเพียงเถ้ากระดูกของเขากลับไป..."ลู่หยวนฮวาพึมพำเบาๆ ขณะที่มองเถ้ากระดูกในมือของตน นางรู้สึกถึงความหนักหน่วงของความรับผิดชอบที่นางไม่อาจทำได้ตามที่หวัง ความเจ็บปวดจากความสูญเสียที่ท่วมท้นไม่อาจหยุดยั้งน้ำตาที่ไหลออกมาได้จางชิงหยวนที่เดินตามอยู่ไม่ห่าง สังเกตเห็นท่าทีเศร้าสร้อยของนาง เขาเดินเข้ามาใกล้ วางมือเบาๆ ลงบนไหล
ลู่หยางปรากฏตัวขึ้น ท่ามกลางสนามรบที่แสงจันทร์ลอยเลือนราง ใบหน้าของเขาฉายแววเคร่งขรึม สายตาจ้องมองหวงหมิงเจ๋อ ดาบในมือของเขาสะท้อนแสงอ่อนๆ จากดวงจันทร์ความคิดในหัวของเขาไม่ได้มีเพียงการต่อสู้กับหวงหมิงเจ๋อเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความรู้สึกสับสนที่คอยตามหลอกหลอนในใจการตัดสินใจที่จะเสียสละเพื่อแก้ไขความผิดในอดีตและปกป้องคนที่เขารักในปัจจุบันทุกสายตาจับจ้องไปที่ลู่หยาง เมื่อหวงหมิงเจ๋อหันมามอง ความดุร้ายในแววตาของหวงหมิงเจ๋อส่งผลให้ความตึงเครียดเพิ่มพูนขึ้น ขณะที่ลู่หยางยังคงเดินมาด้วยความมั่นใจในตัวเอง ใบหน้าไร้ความหวาดหวั่น ทว่าในใจเขายังคงกังวลถึงน้องสาวที่อยู่ท่ามกลางความอันตรายของค่ายกล ความรู้สึกปกป้องที่มีต่อลู่หยวนฮวาทำให้เขารู้ว่าการเสียสละครั้งนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อรักษาความปลอดภัยของนางความเงียบระหว่างลู่หยางและหวงหมิงเจ๋อนั้นกลับสร้างความตึงเครียดจนทนไม่ไหว ทุกคนในสนามรบรู้ดีว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้จะเป็นจุดสำคัญที่อาจกำหนดชะตากรรมของสงคราม แต่ก่อนที่หวงหมิงเจ๋อจะทันได้ก้าวไปข้างหน้า จางชิงหยวนที่ยืนไม่ห่างออกไปสังเกตเห็นเจตนาของหวงหมิงเจ๋อทันทีความโกรธและความแค้นที่สั่
ลู่หยางปรากฏตัวขึ้น ท่ามกลางสนามรบที่แสงจันทร์ลอยเลือนราง ใบหน้าของเขาฉายแววเคร่งขรึม สายตาจ้องมองหวงหมิงเจ๋อ ดาบในมือของเขาสะท้อนแสงอ่อนๆ จากดวงจันทร์ทุกสายตาจับจ้องไปที่ลู่หยาง เมื่อหวงหมิงเจ๋อหันมามอง แต่ยังไม่ทันที่หวงหมิงเจ๋อจะได้พูดอะไร สายตาของทั้งสองประสานกัน ความเงียบชั่วขณะนั้นกลับสร้างความตึงเครียดครึ่งชั่วยามที่แล้ว...ลู่หยางยืนอยู่ลำพังท่ามกลางเงามืดของป่า รอบตัวเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมเบาๆ ที่พัดผ่านกิ่งไม้และเสียงใบไม้ที่ปลิวตามลม ความเงียบในยามนี้กลับยิ่งทำให้หัวใจของเขาหนักอึ้ง ความคิดในหัวของเขาวนเวียนไปกับภาพความหลังที่ไม่อาจลบเลือน ทั้งพ่อแม่ที่จากไป และซูเหม่ย คนรักที่เขาไม่เคยลืมเลือนเขายืนก้มมองม้วนกระดาษโบราณที่เขาถืออยู่ในมือ ตำราลับของตระกูลที่บอกวิธีล้างคำสาปได้อย่างละเอียด บางทีนี่ควรจะเป็นความหวังของตระกูล ความหวังที่จะยุติคำสาปที่คอยตามหลอกหลอนสายเลือดของเขามานาน แต่สำหรับลู่หยางแล้ว มันกลับไม่ใช่เช่นนั้นอีกต่อไปคำสาปที่ผูกพันสายเลือดแห่งตระกูลลู่เกิดจากความโลภและความเห็นแก่ตัวของบรรพบุรุษผู้กระทำผิดต่อแผ่นดิน การล้างคำสาปนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อผู้ส
ทหารของต้าหยางที่กล้าหาญกลับทยอยล้มลงทีละคน พวกเขาต่างถูกค่ายกลเจ็ดทิวาครอบงำ ร่างกายที่เคยแข็งแกร่งบัดนี้ทรุดโทรมลงด้วยความอ่อนล้าสายตาของลู่หยวนฮวาจับจ้องไปยังทหารที่พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่กลับทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง ราวกับทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยแรงดึงดูดที่ไร้เมตตาใบหน้าของพวกเขาซีดเผือดอย่างน่าสยดสยอง ดวงตาเคยเปล่งประกายความมุ่งมั่น บัดนี้กลับไร้ชีวิตชีวา สะท้อนถึงการสูญสิ้นซึ่งความหวัง เสียงลมหายใจแผ่วเบาแต่หนักอึ้งดังก้องในอากาศ ราวกับว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ในความเป็นจริงนั้น ความสิ้นหวังที่ค่ายกลสร้างขึ้นได้กักขังจิตวิญญาณของพวกเขาไว้อย่างสมบูรณ์ลู่หยวนฮวายืนมองภาพเบื้องหน้า ความทุกข์ใจที่ท่วมท้นทำให้นางรู้สึกถึงภาระหนักหนาที่นางไม่อาจทนดูต่อไปได้ นางรู้ดีว่า หากไม่มีใครทำลายค่ายกลนี้ลง ทหารทุกคนคงจบสิ้นชีวิตที่นี่ในไม่ช้าหญิงสาวเดินตรงไปที่ใจกลางค่ายกล ปลายเท้ากระทบกับพื้นเสียงเบา กายบางเริ่มสั่นสะท้านจากแรงกดดันที่ค่ายกลปล่อยออกมาเมื่อมาถึงจุดศูนย์กลาง พื้นดินเบื้องหน้านางราวกับเคลื่อนไหวเองได้ แสงสว่างแปลกประหลาดพุ่งขึ้นจากพื้นดิน กระจายไปทั่วบริเ
จางชิงหยวนบุกเข้ามาถึงใจกลางของค่ายกลเจ็ดทิวาได้สำเร็จ ความหนาวเย็นและพลังหยินที่ปกคลุมอยู่ในอากาศทำให้เขารู้สึกหนักหน่วง แต่สิ่งที่หนักหนายิ่งกว่าคือภาพเบื้องหน้าที่เขาเห็นเขาเห้นลู่หยวนฮวานั่งกองกับพื้น ร่างกายของนางถูกพันธนาการไว้ในอ้อมแขนของหวงหมิงเจ๋อ หวงหมิงเจ๋อกำลังจะใช้กำลังบังคับข่มเหงนางจางชิงหยวนที่เห็นภาพนี้ รู้สึกโกรธเกรี้ยวอย่างมาก เขายิงธนูปักไปที่แขนของหมงหิงเจ๋อและรีบพุ่งเข้ามาขวางกลางทันที ดาบในมือของเขาสั่นไหวไปด้วยความโกรธหวงหมิงเจ๋อยืนขึ้นและหันมาประจันหน้ากับจางชิงหยวน“เจ้าคิดว่าจะขวางข้าได้หรือ จางชิงหยวน?” หวงหมิงเจ๋อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้าจะไม่มีวันยอมให้เจ้าได้ตัวนางไป นางต้องเป็นของข้า"จางชิงหยวนไม่ตอบกลับ เขาฟาดดาบเข้าใส่หวงหมิงเจ๋ออย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างดุเดือด หวงหมิงเจ๋อใช้พลังมนต์ดำเข้าต่อสู้ เขาร่ายเวทมนต์เพื่อกดดันจางชิงหยวน พลังมนต์ดำทำให้บรรยากาศรอบตัวจางชิงหยวนมืดมนและหนักอึ้งขึ้นทุกขณะจางชิงหยวนที่พยายามฝ่าทางเข้ามาช่วยลู่หยวนฮวา สัมผัสได้ถึงมนต์ดำที่ก่อตัวขึ้นรอบตัวเขาภาพรอบข้างเริ่มบิดเบี้ยว ผืนดินที่เต็มไปด้วยความโกลา
ลู่หยางและจางชิงหยวนนั่งอยู่ภายใต้เงามืดของต้นไม้ใหญ่ แนวป่าทึบที่ทอดยาวเบื้องหน้าพวกเขาคือจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่พวกเขาจะต้องพิชิต มันไม่ใช่แค่ป่าธรรมดา แต่เป็นสนามรบเก่าที่เคยเกิดการสังหารหมู่และเต็มไปด้วยพลังหยินทั้งสองคนมองเห็นได้ชัดเจนว่า กองทัพของหวงหมิงเจ๋อประจำการอยู่ตามพื้นราบ โดยพึ่งพาค่ายกลเจ็ดทิวาที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีใดๆ ที่เข้ามาลู่หยางหันไปมองจางชิงหยวน ใบหน้าของเขามุ่งมั่นแต่แฝงด้วยความระแวดระวัง"ท่านแม่ทัพ ข้าใช้เวลาหลายเดือนสำรวจพื้นที่นี้ ข้าพบว่าพวกมันพึ่งพาค่ายกลมากเกินไป จนลืมเฝ้าระวังแนวเขาที่อยู่ด้านบน"เขาชี้ไปยังภูเขาที่ล้อมรอบบริเวณนั้น "หากเราสามารถใช้เส้นทางนี้เพื่อลงมาจากเขาได้ พวกเราจะสามารถบุกโจมตีจากด้านบน ทำให้พวกมันไม่ทันตั้งตัว"จางชิงหยวนพยักหน้า "ข้าคิดว่าเจ้าพูดถูก พวกมันมั่นใจในค่ายกลมากเกินไป และข้าสังเกตเห็นว่าทหารของพวกมันไม่มีใครมองขึ้นไปยังแนวเขาเลย"ลู่หยางยิ้มเล็กน้อย "ท่านก็เห็นด้วยเช่นกันใช่ไหม? ข้ามั่นใจว่าหากเราแบ่งกองกำลังออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งบุกด้านหน้าส่วนอีกฝั่งหนึ่งเลาะแนวเขาลงมา เราจะสามารถทำให้พวกมันสับสนและบุก