สิ้นคำพูดของซ่งอี้ เทพเซียนที่เกี่ยวข้องกับการเหตุการณ์ครั้งนี้เริ่มเห็นด้วยกับความคิดของนาง
“ขอเทียนจวินตัดสินด้วยเถิด” ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน
เทียนจวินมองไปที่หยางซือซือ เวลานี้ใบหน้าของนางราวกับครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ แต่ไม่มีสีหน้าแสดงความกังวลใจต่อบทลงโทษ
“เซียนน้อยหยางซือซือ ข้ารู้ว่าเจ้าตั้งใจทำหน้าที่ต่อจากผู้เฒ่าหยางมาด้วยดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากแต่ครั้งนี้เกิดเรื่องขึ้น ข้าไม่อาจเพิกเฉยต่อความเดือนร้อนได้ จงลงไปเกิดเป็นมนุษย์ ผ่านด่านเคราะห์และบำเพ็ญตบะให้แกร่งกล้า เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ถูกลงโทษเป็นครั้งที่สอง” เทียนจวินตรัสกับนาง
“หม่อมฉันน้อมคำตัดสินเพคะ ขอบพระทัยเทียนจวิน” หยางซือซือทำความเคารพ ก่อนที่ทุกคนในห้องโถงใหญ่แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนต่อ มีเพียงเซียวอวี้เทียนเดินหน้าเศร้ามาหานางเพราะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของนาง วิหคเพลิงมีเงื่อนงำบางอย่างถึงได้ปรากฏตัวขึ้น
“ไม่ต้องเป็นห่วงข้านักหรอกน่า เซียวอวี้เทียน ช่วงชีวิตมนุษย์นั้นแสนสั้น เดี๋ยวข้าก็กลับขึ้นมาบนสวรรค์ได้เช่นเดิมแล้ว” หยางซือซือปลอบใจเขาเหมือนอย่างเคย นางมักจะลืมเรื่องของตนเองแล้วใส่ใจความรู้สึกของเขาเสมอ
“อื้ม ข้าจะรอเจ้า เอาไว้กลับมาแล้ว ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกเจ้านะ หยางซือซือ” เซียวอวี้เทียนยิ้มให้นาง ก่อนที่จะมีองครักษ์บอกเขาว่าเทียน จวินต้องการพบเขาด้วยเรื่องสำคัญ
“ไปเถอะ” หยางซือซือตบไหล่เขาเบา ๆ เป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย นางกลับไปที่ตำหนักของตนเองพร้อมกับเซียนน้อยจำนวนหนึ่ง
หลังจากที่เก็บของในตำหนักและส่งมอบหน้าที่ให้เซียนน้อยที่มาด้วยกันแล้ว นางเดินไปที่ใจกลางตำหนักมองดูเปลวไฟโคมดวงจิตที่เหลืออยู่ส่องแสงสว่างอย่างที่เคยเป็น ก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าโคมน้อยดวงเดิม
“เจ้าโคมน้อย หวังว่าเจ้าจะผ่านด่านเคราะห์ไปได้ด้วยดีนะ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะได้กลับสวรรค์ก่อนข้าเสียอีก ดูแลตัวเองด้วยนะตอนที่ข้าไม่อยู่” หยางซือซือจิ้มนิ้วชี้ไปแตะโคมน้อยเบา ๆ นางยืนขึ้นแล้วหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว สายตามองไปที่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบ ๆ รอบตำหนัก ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าต้องจากบ้านไปนานถึงเพียงนี้
เซียนน้อยพานางมาที่ลานจุติ หยางซือซือพยายามมองหาเซียวอวี้เทียน สหายเซียนของนางแต่ไม่พบวี่แวว เมื่อถึงเวลาที่นางจะต้องลงไปเกิดใหม่ จึงได้ถอนหายใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหลับตากระโดดลงไป
ณ ดินแดนมนุษย์
เซียนน้อยหยางซือซือลงมาเกิดใหม่บนที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก จิตวิญญาณเซียนของนางได้ตื่นขึ้นยามที่นางรับรู้ถึงสายลมพัดเอื่อยเบา ๆ กลิ่นของต้นไม้ใบหญ้าปะทะเข้าจมูกของนางไม่ขาดสาย ก้อนอะไรบางอย่างเย็น ๆ อยู่ใต้เท้าของนาง พลันได้สติว่าตนเองกำลังถูกลงโทษให้มาเกิดเป็นมนุษย์ ทั้งยังต้องบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้นก่อนจะหมดอายุขัยเพื่อกลับสวรรค์ นางจะรอช้าไม่ได้ คิดเช่นนั้นก็รีบลืมตาขึ้น
“เอ๊ะ! ความรู้สึกของมนุษย์เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ รอบตัวข้าควรจะรายล้อมไปด้วยคนที่ข้าเรียกว่าท่านพ่อ ท่านแม่ หรือไม่อย่างน้อยก็มนุษย์ที่ดูอายุมากกว่าข้าสักคน ทำไมข้ามองเห็นแต่ต้นหญ้า เหมือนที่อยู่บนตำหนักสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น” หยางซือซือไม่เข้าใจ คิดว่าจะต้องมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นกับการเกิดใหม่
ทว่าเรื่องจริงก็เป็นอย่างที่นางคิดไว้ หยางซือซือกระพริบตาเพื่อมองไปรอบ ๆ ตัวอีกครั้ง พยายามจะยกขาขึ้นเดินไปดูข้างหน้า แล้วก็รู้สึกได้ว่าขานางมีบางอย่างมัดติดไว้อยู่
“ขาข้าติดอะไรนะ เอ๊ะ!” นางเอามือปิดปาก แต่ก็ได้รับรู้ว่ามือของนางก็ผิดปกติเช่นกัน “มือข้า มือข้า นิ้วหายไปที่ใด เจ้าสีเขียวแบน ๆ นี่น่ะหรือมือของข้า ร่างมนุษย์ของข้าทำไมถึงแปลกไปเช่นนี้” หยางซือซือพยายามนึกอยู่นานว่าสิ่งที่นางเห็นในตอนนี้คืออะไร
“โธ่ถัง ข้าก็นึกตั้งนานว่าเหมือนอะไร ที่แท้ข้าก็มาเกิดเป็นต้นไม้หรอกหรือเนี่ย แล้วข้าจะบรรลุตบะเซียนเก้าขั้นเมื่อใดเล่า ซือมิ่ง ท่านแกล้งข้าหรือ ไหนบอกว่าให้ข้ามาเกิดเป็นมนุษย์” เสียงของหยางซือซือตัดพ้อเขา หากมองจากภายนอกก็จะเห็นเพียงต้นอ่อนที่มีใบเลี้ยงสองใบพัดไหวไปมากับลำต้นที่โอนเอนไปซ้ายทีขวาทีราวกับกำลังทะเลาะกับตัวเองอยู่
แต่ไม่ว่าอย่างไร หยางซือซือก็ไม่สามารถหนีจากโชคชะตาครั้งนี้ไปได้ นางเคยได้ยินมาว่า มนุษย์นั้นบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้นได้เร็วกว่าผู้อื่น ต้นไม้ดอกไม้บนโลกมนุษย์ใช้เวลานานสุด “บังเอิญจริง ๆ”
การเกิดเป็นต้นดอกท้อทำให้นางได้มีสมาธิบำเพ็ญตบะเซียนเพราะไม่ต้องวุ่นวายกับใคร แถมยังมาเกิดที่ริมผาเดียวดาย จะมีผู้ใดเล่ามารบกวนนางถึงตรงนี้ได้ “อย่างมากหนึ่งหมื่นปีข้าก็จะได้กลับสวรรค์”
เรื่องราวของหยางซือซือ ต้นดอกท้อริมผาเดียวดายแห่งนี้ดำเนินมาอย่างเรียบง่าย ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานหลายปี จากต้นอ่อนต้นเล็กสูงเท่าต้นหญ้าบริเวณรอบ ๆ บัดนี้ลำต้นใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก นางยังคงค่อย ๆ บำเพ็ญตบะเซียนอย่างขยันขันแข็ง แม้ว่าช่วงหลัง ๆ จะติดเกียจคร้านไปบ้าง
“ผ่านมาหลายพันปี ข้าเพิ่งจะบรรลุตบะเซียนขั้นที่สองเองหรือ” หยางซือซือพูดกับตัวเอง ดูเหมือนว่าเวลาที่นางคาดว่าจะกลับสวรรค์คงไม่ใช่หมื่นปีอันใกล้นี้แล้ว แต่นางก็ยังคงไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เพราะรู้สึกว่าชีวิตตรงนี้ก็สบายดี นางได้นั่งดูก้อนเมฆ มองท้องฟ้า อาบแสงดาวแสงจันทร์ กินน้ำค้างยามเช้า “ไม่มีอะไรสบายไปมากกว่านี้แล้ว เรื่องกลับสวรรค์ก็ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน”
ในวันหนึ่งของฤดูหนาว หยางซือซือได้ยินเสียงหนึ่งใกล้เข้ามา เสียงที่นางไม่ได้ยินมาเป็นเวลานานแล้ว นางรีบตื่นจากหลับใหลเพื่อมองหาต้นเสียงนั้น
“มานี่สิ พักตรงนี้ก่อน พรุ่งนี้เราค่อยเดินทางต่อ” เสียงเล็ก ๆ เจื้อยแจ้วของเด็กน้อยดังขึ้น
“อื้ม ข้าหิวน้ำ” เด็กหญิงตัวน้อยพูดกับพี่ชาย นางดูเหน็ดเหนื่อยเพราะเดินทางมาเป็นเวลานาน ทั้งสองคนนั่งลงที่ใต้ต้นดอกท้อ เอนหลังพิงกับลำต้น ทอดสายตาไปยังข้างหน้า แหงนมองท้องฟ้าและตะวันที่กำลังตกดิน
“มนุษย์หรือ ข้าเจอมนุษย์แล้วหรือ นานเหลือเกิน” นางเห็นความเหนื่อยล้าปรากฏบนใบหน้าของทั้งคู่ จึงแผ่พลังเซียนอันน้อยนิดของนางเพื่อทำให้พวกเขารู้สึกสบายตัวขึ้น จากนั้นทั้งคู่ก็หลับผล็อยไป
หยางซือซือมองเห็นความทรงจำเมื่อไม่กี่วันก่อนของพวกเขาขณะที่กำลังหลับฝัน เด็กน้อยทั้งสองคนนี้วิ่งไปมาที่ลานหน้าบ้าน อดมื้อกินมื้อจนไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง แต่ยังคงความสดใสตามวัยเอาไว้ได้ หลายวันนี้เดินทางตามพ่อแม่มาหาของในป่า เจอสัตว์ป่าดุร้ายจึงพากันวิ่งหนีไปคนละทางจนพลัดหลง คนพี่พยายามดูแลน้องสาวเป็นอย่างดีตลอดทาง เห็นเช่นนี้แล้วนางรู้สึกอยากให้ทั้งคู่มีชีวิตที่ยืนยาว ร่างกายแข็งแรง เติบโตเป็นอย่างดีจริง ๆ
คืนนั้นเอง นางจึงเข้าไปในความฝันของทั้งสองคน เตือนว่าหากตอนเช้าตื่นมาแล้วอย่าลืมนำถุงผ้าที่วางไว้ข้าง ๆ กลับไปด้วย นางใส่ของวิเศษมากมายที่เคยได้ยินยามที่อยู่ดินแดนสวรรค์ เอาไว้ให้ครอบครัวนี้ได้ใช้ ทั้งยังถ่ายทอดพลังตบะเซียนเพื่อให้พวกเขามีสุขภาพที่แข็งแรง โชคดี และมีความสุข โดยไม่ห่วงว่าตบะเซียนของนางจะลดลงแต่อย่างใด
หลังจากนั้นทุก ๆ พันปี นางจะได้มีโอกาสพบมนุษย์อยู่สองสามคน และทุกครั้ง หยางซือซือจะแปรเปลี่ยนตบะเซียน ประทานพรแก่พวกเขาเรื่อยมา กาลเวลาที่นางเคยคิดว่าหนึ่งหมื่นปีคงได้กลับสวรรค์ บัดนี้ล่วงเลยมาเกือบแสนปีแล้ว พร้อมตบะเซียนแปดขั้นครึ่ง อีกเพียงนิดเดียวด่านเคราะห์ของนางบนโลกมนุษย์จะสำเร็จลุล่วง
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ทางทิศใต้ของภูเขาลูกใหญ่ เด็กชายอายุสิบขวบกำลังนั่งขอทานอยู่ริมถนนในตลาด สภาพหน้าตามอมแมมของเขาจำแทบไม่ได้เลยว่าเป็นลูกของผู้ใด เขานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งบ่ายก็ยังไม่ได้เงินสักอีแปะเดียว เวลานี้ขอเพียงมีคนใจดีแบ่งปันซาลาเปาซักลูกแก่เขาก็ดีใจมากแล้ว“นี่เจ้าตัวอัปมงคล ไปนั่งที่อื่นไกล ๆ พวกข้าเสียที มีเจ้าอยู่แถวนี้ พวกข้าเลยพลอยไม่ได้เงินขอทานสักอีแปะ” ชายวัยกลางคนโพล่งขึ้นทำลายความเงียบ ทุกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันเห็นด้วยกับคำพูดของเขา พยายามจะพูดไล่ให้เด็กชายสิบขวบไปไกล ๆ แต่พอเห็นเขาไม่ขยับคล้ายไม่ยอมฟังคำพูดทำหูทวนลม ก็พาลโกรธคิดว่าเด็กชายกำลังท้าทาย“พูดดี ๆ ด้วย ไม่ได้ยินหรืออย่างไร ข้าบอกให้ไปซะ” เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกขึ้นยืนแล้วถุยน้ำลายใส่ แต่เด็กน้อยยังคงไม่ขยับ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะร่างกายเขาแทบจะไม่มีแรงลุกขึ้นไปที่ไหน ท่าทางของเขายิ่งทำให้ขอทานโมโหจนออกแรงยกเท้าเตะไปที่ลำตัวแห้งผอมของเขา หวังให้ตกใจรีบวิ่งหนีไป แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เด็กชายล้มลงไปตามแรงที่ส่งมา โดยไม่มีเสียงร้องสักแอะ“มันตายแล้วหรือ” ขอทานคนหนึ่งพูดขึ้น
“ซิ่วอิง ตรงนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทำไมคนมุงเต็มไปหมด” เสียงเล็กจากเด็กหญิงผู้หนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะนาน ๆ ทีถึงได้ออกมาเที่ยวในเมือง จึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง“ฟางหรง เจ้าไม่ต้องรู้ทุกเรื่องหรอก วันนี้ท่านพ่อให้เจ้ามาทำธุระกับเถ้าแก่ร้านหยกไม่ใช่หรือ ไปช้าเดี๋ยวก็โดนดุอีกหรอก” ซิ่วอิงที่ดูโตกว่านางสักสามปีตักเตือน“เอ๋! นาน ๆ ทีได้ออกมาเที่ยวในเมืองบ้าง ช้าไปนิดหน่อย ท่านลุงไม่กล้าว่าอะไรนางหรอกน่า เจ้าก็จริงจังเกินไปแล้ว” หนิงเหอผู้เป็นน้องสาวของนางโต้แย้งอย่างมีเหตุผล“ใช่ ๆ หนิงเหอพูดถูก เจ้าเคยเห็นท่านพ่อดุข้าหรือ” ฟางหรงยิ้มร่าแล้ววิ่งไปทางนั้นพร้อมกับหนิงเหอ“พวกเจ้าสองคนนี่ เล่นเป็นเด็กไปได้ เมื่อไรจะโตเสียที” ซิ่วอิงบ่นเสียงดังก่อนรีบตามทั้งสองคนไปฟางหรงเดินแหวกฝูงชนที่กำลังมุงดูเสิ่นชิว นางมุดลอดช่องว่างเข้าไปจนเข้าถึงตัวเขาในไม่ช้า เลือดที่ไหลรินบนใบหน้าทำให้นางตกใจ ทั้งยังเสื้อผ้ายับเยิน มีแต่รอยเท้าฝากฝังไว้ทั่วร่าง ฟางหรงทำใจเห็นคนที่อายุพอกันกับนางมีสภาพเช่นนี้ไม่ได้จริง ๆ นางจึงแตะไปที่ตัวเขา เรียกเบา ๆ เผื่อเขาจะตื่น“นี่ นี่ เจ้าได้ยินข้าหรือไม่”
ห้าปีผ่านไปเสิ่นชิวเติบโตขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนี้ เขาคอยช่วยงานคนในหมู่บ้าน มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ผู้คนรอบตัวต่างมีน้ำใจต่อเขา“ท่านแม่ ท่านคงไม่ต้องเป็นห่วงข้าแล้วล่ะ ท่านเห็นหรือไม่ ข้าเติบโตมาอย่างดี หวังว่าท่านจะอยู่บนสวรรค์อย่างมีความสุขนะขอรับ” เสิ่นชิวมองท้องฟ้าสีครามยามเช้าสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่คิดถึงนาง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาตั้งใจใช้ชีวิตอย่างที่นางหวัง เพียงแค่กินอิ่ม นอนหลับ ร่างกายแข็งแรง นางก็ดีใจมากแล้ว“เสิ่นชิว ทำอะไรอยู่หรือ” ฟางหรงนั่งลงข้าง ๆ เขา ซบหัวลงพิงไหล่อย่างสนิทสนม “มัวแต่คิดอะไรอยู่หรือ วันนี้มีงานสำคัญ อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมแล้ว” นางถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่า เขาไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน“อ้อ จริงด้วยสิ วันนี้มีงานสำคัญของเจ้านี่นา ข้าเกือบลืมไปเสียสนิท” เสิ่นชิวได้ทีแกล้งนางกลับ ทำให้เขาโดนทุบด้วยฝ่ามือน้อย ๆ ของนางไปหนึ่งที จนไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีก การแกล้งนางนั้นสนุกยิ่งกว่าอะไร“เสิ่นชิว เจ้าแกล้งข้าอีกแล้ว” ทันทีที่พูดจบ นางหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับเข้าหมู่บ้าน ได้ยินแต่เสียงตะโกนของเสิ่นชิวดังมา “ฟางหรง อย่างอนข้าเลยนะ แต่ถึงงอนก็ไม่เ
อีกทางด้านหนึ่งของผาเดียวดาย“โอ๊ย เมื่อย!” เสียงหวานดังขึ้น ร่างโปร่งแสงของนางก้าวออกมาจากต้นดอกท้อที่บัดนี้อายุเกือบแสนปีแล้ว หลังจากนั่งบำเพ็ญตบะเซียนอยู่ครึ่งค่อนวัน นางจึงอยากเดินเล่นแก้เมื่อยเสียหน่อย“นี่เจ้ากระต่ายเวท มานั่งดูท้องฟ้าเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ” นางเรียกกระต่ายเวทตัวหนึ่งที่อยู่แถวนั้นมาอยู่เป็นเพื่อน จริง ๆ เมื่อไม่กี่หมื่นปีก่อน จู่ ๆ นางก็ไม่ได้เจอมนุษย์คนใดอีกเลย นับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับนางอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเขาลูกนี้ร้างหรือน่ากลัวกันแน่จึงไม่มีมนุษย์คนใดเข้ามาถึงริมผาเดียวดายตอนที่นางกำลังนั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียว กระต่ายเวทตัวนี้ก็โผล่มา ลักษณะรูปร่างคล้ายกับว่านางเคยเห็นมาก่อน เพียงแต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่ในภพนี้แน่นอน หยางซือซือแทบจะลืมไปแล้วว่าเหตุใดนางถึงมาเกิดเป็นต้นดอกท้อตั้งแต่ได้เจอเจ้ากระต่ายตัวนี้ นางก็เอาแต่เล่นกับมันทั้งวัน จนไม่ได้ฝึกบำเพ็ญตบะเซียน จู่ ๆ กระต่ายเวทก็หายไป แรก ๆ นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นั่งรอมันอยู่ที่เดิมหลายวัน แล้วก็คิดได้ว่ากระต่ายเวทคงจะต้องใช้พลังเซียนหล่อเลี้ยงให้สภาพร่างคงอยู่ นางจึงลองใช้พลังเซียนเรียกมันออกมา
ณ ทางตอนเหนือบนดินแดนสวรรค์ของเทพเซียน มีตำหนักไม้หลังเล็กหลบซ่อนตัวอยู่ในปุยเมฆสีขาว โคมดวงจิตของเทพเซียนที่ลงมาผ่านด่านเคราะห์บนโลกมนุษย์แขวนอยู่เรียงรายใจกลางตำหนัก แสงไฟลุกโชนจากโคมทำให้รู้ว่าเรื่องราวของพวกเขาเป็นไปตามชะตาที่ซือมิ่งเขียนเอาไว้ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงมีเขตแดนปกคลุมรอบทิศทางเพื่อป้องกันไม่ให้มีสิ่งใดรุกล้ำเข้ามาก่อความไม่สงบแม้ไม่มีเขตแดนคอยปกป้อง ก็ใช่ว่าจะมีผู้ใดกล้าเข้ามาวุ่นวายกับที่แห่งนี้สักเท่าใด ด้วยเป็นสถานที่ที่ดวงจิตส่วนหนึ่งของเทพเซียนสถิตอยู่ ทั้งยังห่างไกลจากใจกลางดินแดนสวรรค์ จนบางคนแทบลืมไปแล้วว่าตำหนักนี้อยู่ที่ใด คงจะมีก็แต่เซียนน้อยนางหนึ่งนามว่าหยางซือซือ ที่รู้เรื่องราวของตำหนักนี้ดีกว่าผู้ใด นั่นก็เพราะว่านางคือเจ้าของตำหนักและผู้ดูแลโคมดวงจิตคนล่าสุดนั่นเองราว ๆ สามพันปีก่อน ผู้เฒ่าหยางกำลังกวาดลานหน้าตำหนักแล้วไปพบนางเข้า เขาจึงตั้งชื่อให้และดูแลนางนับตั้งแต่นั้นมาทว่าช่วงเวลาของพวกเขานั้นสั้นนัก อายุขัยของผู้เฒ่าหยางถึงเวลานั้นแล้ว ทั้งดวงจิตและร่างกายจึงสลายเข้าสู่ห้วงเวลานิรันดร์ หยางซือซือที่อายุหนึ่งพันปีจึงต้องอยู่โดดเดี่ยวนับแต่นั
เปลวไฟจากโคมดวงจิตวูบไหวไปมา เสี้ยวหนึ่งของความคิดที่นางนึกขึ้นได้คือพยายามต้านกระแสลม หยางซือซือกั้นลมด้วยม่านเขตแดนจากพลังน้อยนิดของนางและดูเหมือนว่าจะทำได้สำเร็จ เปลวไฟจากโคมดวงจิตสงบขึ้นทว่าความโชคร้ายของวันไม่ได้มีเท่านี้ วิหคเพลิงเห็นเซียวอวี้เทียนยืนดักอยู่อีกทางและกำลังร่ายเวทขั้นสูงครั้งที่สอง มันจึงรีบกลับตัว สยายปีกแล้วถลาไปทางหยางซือซืออีกครั้ง แต่กระนั้นก็ไม่อาจหลบได้ทัน เวทขั้นสูงของเซียวอวี้เทียนเฉี่ยวไปที่ลำตัวเพรียวระหงจนทำให้ทรงตัวไม่อยู่ พร้อมที่จะพุ่งดิ่งตกไปกลางลานด้วยความเร็ว หยางซือซือที่ยังคงตรึงเวทของนางเอาไว้ได้แต่มองตาม พลังของวิหคเพลิงนั้นแข็งแกร่งมากกว่านางอีกหรือหลังจากนั้นโคมดวงจิตที่อยู่รอบนอกเริ่มดับต่อกันเป็นทอด ๆ กว่าครึ่งหนึ่ง ในใจของนางพลันคิดว่าครั้งนี้จบสิ้นจริง ๆ แล้ว ภาระหน้าที่แสนง่ายแต่สลักสำคัญของนางด้านเซียวอวี้เทียนเองเพิ่งจะจับวิหคเพลิงตัวนี้ได้หันมาถามนางด้วยความเป็นห่วง “หยางซือซือ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” ครั้นพอเห็นสายตาที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า เขาก็เข้าใจแล้วว่า หายนะครั้งใหญ่กำลังมาเยือนอย่างแน่นอน ไม่ทันที่เขาจะได้หาหนทางแก้ไขเรื่องรา