สิ้นคำพูดของซ่งอี้ เทพเซียนที่เกี่ยวข้องกับการเหตุการณ์ครั้งนี้เริ่มเห็นด้วยกับความคิดของนาง
“ขอเทียนจวินตัดสินด้วยเถิด” ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน
เทียนจวินมองไปที่หยางซือซือ เวลานี้ใบหน้าของนางราวกับครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ แต่ไม่มีสีหน้าแสดงความกังวลใจต่อบทลงโทษ
“เซียนน้อยหยางซือซือ ข้ารู้ว่าเจ้าตั้งใจทำหน้าที่ต่อจากผู้เฒ่าหยางมาด้วยดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากแต่ครั้งนี้เกิดเรื่องขึ้น ข้าไม่อาจเพิกเฉยต่อความเดือนร้อนได้ จงลงไปเกิดเป็นมนุษย์ ผ่านด่านเคราะห์และบำเพ็ญตบะให้แกร่งกล้า เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ถูกลงโทษเป็นครั้งที่สอง” เทียนจวินตรัสกับนาง
“หม่อมฉันน้อมคำตัดสินเพคะ ขอบพระทัยเทียนจวิน” หยางซือซือทำความเคารพ ก่อนที่ทุกคนในห้องโถงใหญ่แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนต่อ มีเพียงเซียวอวี้เทียนเดินหน้าเศร้ามาหานางเพราะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของนาง วิหคเพลิงมีเงื่อนงำบางอย่างถึงได้ปรากฏตัวขึ้น
“ไม่ต้องเป็นห่วงข้านักหรอกน่า เซียวอวี้เทียน ช่วงชีวิตมนุษย์นั้นแสนสั้น เดี๋ยวข้าก็กลับขึ้นมาบนสวรรค์ได้เช่นเดิมแล้ว” หยางซือซือปลอบใจเขาเหมือนอย่างเคย นางมักจะลืมเรื่องของตนเองแล้วใส่ใจความรู้สึกของเขาเสมอ
“อื้ม ข้าจะรอเจ้า เอาไว้กลับมาแล้ว ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกเจ้านะ หยางซือซือ” เซียวอวี้เทียนยิ้มให้นาง ก่อนที่จะมีองครักษ์บอกเขาว่าเทียน จวินต้องการพบเขาด้วยเรื่องสำคัญ
“ไปเถอะ” หยางซือซือตบไหล่เขาเบา ๆ เป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย นางกลับไปที่ตำหนักของตนเองพร้อมกับเซียนน้อยจำนวนหนึ่ง
หลังจากที่เก็บของในตำหนักและส่งมอบหน้าที่ให้เซียนน้อยที่มาด้วยกันแล้ว นางเดินไปที่ใจกลางตำหนักมองดูเปลวไฟโคมดวงจิตที่เหลืออยู่ส่องแสงสว่างอย่างที่เคยเป็น ก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าโคมน้อยดวงเดิม
“เจ้าโคมน้อย หวังว่าเจ้าจะผ่านด่านเคราะห์ไปได้ด้วยดีนะ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะได้กลับสวรรค์ก่อนข้าเสียอีก ดูแลตัวเองด้วยนะตอนที่ข้าไม่อยู่” หยางซือซือจิ้มนิ้วชี้ไปแตะโคมน้อยเบา ๆ นางยืนขึ้นแล้วหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว สายตามองไปที่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบ ๆ รอบตำหนัก ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าต้องจากบ้านไปนานถึงเพียงนี้
เซียนน้อยพานางมาที่ลานจุติ หยางซือซือพยายามมองหาเซียวอวี้เทียน สหายเซียนของนางแต่ไม่พบวี่แวว เมื่อถึงเวลาที่นางจะต้องลงไปเกิดใหม่ จึงได้ถอนหายใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหลับตากระโดดลงไป
ณ ดินแดนมนุษย์
เซียนน้อยหยางซือซือลงมาเกิดใหม่บนที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก จิตวิญญาณเซียนของนางได้ตื่นขึ้นยามที่นางรับรู้ถึงสายลมพัดเอื่อยเบา ๆ กลิ่นของต้นไม้ใบหญ้าปะทะเข้าจมูกของนางไม่ขาดสาย ก้อนอะไรบางอย่างเย็น ๆ อยู่ใต้เท้าของนาง พลันได้สติว่าตนเองกำลังถูกลงโทษให้มาเกิดเป็นมนุษย์ ทั้งยังต้องบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้นก่อนจะหมดอายุขัยเพื่อกลับสวรรค์ นางจะรอช้าไม่ได้ คิดเช่นนั้นก็รีบลืมตาขึ้น
“เอ๊ะ! ความรู้สึกของมนุษย์เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ รอบตัวข้าควรจะรายล้อมไปด้วยคนที่ข้าเรียกว่าท่านพ่อ ท่านแม่ หรือไม่อย่างน้อยก็มนุษย์ที่ดูอายุมากกว่าข้าสักคน ทำไมข้ามองเห็นแต่ต้นหญ้า เหมือนที่อยู่บนตำหนักสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น” หยางซือซือไม่เข้าใจ คิดว่าจะต้องมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นกับการเกิดใหม่
ทว่าเรื่องจริงก็เป็นอย่างที่นางคิดไว้ หยางซือซือกระพริบตาเพื่อมองไปรอบ ๆ ตัวอีกครั้ง พยายามจะยกขาขึ้นเดินไปดูข้างหน้า แล้วก็รู้สึกได้ว่าขานางมีบางอย่างมัดติดไว้อยู่
“ขาข้าติดอะไรนะ เอ๊ะ!” นางเอามือปิดปาก แต่ก็ได้รับรู้ว่ามือของนางก็ผิดปกติเช่นกัน “มือข้า มือข้า นิ้วหายไปที่ใด เจ้าสีเขียวแบน ๆ นี่น่ะหรือมือของข้า ร่างมนุษย์ของข้าทำไมถึงแปลกไปเช่นนี้” หยางซือซือพยายามนึกอยู่นานว่าสิ่งที่นางเห็นในตอนนี้คืออะไร
“โธ่ถัง ข้าก็นึกตั้งนานว่าเหมือนอะไร ที่แท้ข้าก็มาเกิดเป็นต้นไม้หรอกหรือเนี่ย แล้วข้าจะบรรลุตบะเซียนเก้าขั้นเมื่อใดเล่า ซือมิ่ง ท่านแกล้งข้าหรือ ไหนบอกว่าให้ข้ามาเกิดเป็นมนุษย์” เสียงของหยางซือซือตัดพ้อเขา หากมองจากภายนอกก็จะเห็นเพียงต้นอ่อนที่มีใบเลี้ยงสองใบพัดไหวไปมากับลำต้นที่โอนเอนไปซ้ายทีขวาทีราวกับกำลังทะเลาะกับตัวเองอยู่
แต่ไม่ว่าอย่างไร หยางซือซือก็ไม่สามารถหนีจากโชคชะตาครั้งนี้ไปได้ นางเคยได้ยินมาว่า มนุษย์นั้นบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้นได้เร็วกว่าผู้อื่น ต้นไม้ดอกไม้บนโลกมนุษย์ใช้เวลานานสุด “บังเอิญจริง ๆ”
การเกิดเป็นต้นดอกท้อทำให้นางได้มีสมาธิบำเพ็ญตบะเซียนเพราะไม่ต้องวุ่นวายกับใคร แถมยังมาเกิดที่ริมผาเดียวดาย จะมีผู้ใดเล่ามารบกวนนางถึงตรงนี้ได้ “อย่างมากหนึ่งหมื่นปีข้าก็จะได้กลับสวรรค์”
เรื่องราวของหยางซือซือ ต้นดอกท้อริมผาเดียวดายแห่งนี้ดำเนินมาอย่างเรียบง่าย ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานหลายปี จากต้นอ่อนต้นเล็กสูงเท่าต้นหญ้าบริเวณรอบ ๆ บัดนี้ลำต้นใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก นางยังคงค่อย ๆ บำเพ็ญตบะเซียนอย่างขยันขันแข็ง แม้ว่าช่วงหลัง ๆ จะติดเกียจคร้านไปบ้าง
“ผ่านมาหลายพันปี ข้าเพิ่งจะบรรลุตบะเซียนขั้นที่สองเองหรือ” หยางซือซือพูดกับตัวเอง ดูเหมือนว่าเวลาที่นางคาดว่าจะกลับสวรรค์คงไม่ใช่หมื่นปีอันใกล้นี้แล้ว แต่นางก็ยังคงไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เพราะรู้สึกว่าชีวิตตรงนี้ก็สบายดี นางได้นั่งดูก้อนเมฆ มองท้องฟ้า อาบแสงดาวแสงจันทร์ กินน้ำค้างยามเช้า “ไม่มีอะไรสบายไปมากกว่านี้แล้ว เรื่องกลับสวรรค์ก็ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน”
ในวันหนึ่งของฤดูหนาว หยางซือซือได้ยินเสียงหนึ่งใกล้เข้ามา เสียงที่นางไม่ได้ยินมาเป็นเวลานานแล้ว นางรีบตื่นจากหลับใหลเพื่อมองหาต้นเสียงนั้น
“มานี่สิ พักตรงนี้ก่อน พรุ่งนี้เราค่อยเดินทางต่อ” เสียงเล็ก ๆ เจื้อยแจ้วของเด็กน้อยดังขึ้น
“อื้ม ข้าหิวน้ำ” เด็กหญิงตัวน้อยพูดกับพี่ชาย นางดูเหน็ดเหนื่อยเพราะเดินทางมาเป็นเวลานาน ทั้งสองคนนั่งลงที่ใต้ต้นดอกท้อ เอนหลังพิงกับลำต้น ทอดสายตาไปยังข้างหน้า แหงนมองท้องฟ้าและตะวันที่กำลังตกดิน
“มนุษย์หรือ ข้าเจอมนุษย์แล้วหรือ นานเหลือเกิน” นางเห็นความเหนื่อยล้าปรากฏบนใบหน้าของทั้งคู่ จึงแผ่พลังเซียนอันน้อยนิดของนางเพื่อทำให้พวกเขารู้สึกสบายตัวขึ้น จากนั้นทั้งคู่ก็หลับผล็อยไป
หยางซือซือมองเห็นความทรงจำเมื่อไม่กี่วันก่อนของพวกเขาขณะที่กำลังหลับฝัน เด็กน้อยทั้งสองคนนี้วิ่งไปมาที่ลานหน้าบ้าน อดมื้อกินมื้อจนไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง แต่ยังคงความสดใสตามวัยเอาไว้ได้ หลายวันนี้เดินทางตามพ่อแม่มาหาของในป่า เจอสัตว์ป่าดุร้ายจึงพากันวิ่งหนีไปคนละทางจนพลัดหลง คนพี่พยายามดูแลน้องสาวเป็นอย่างดีตลอดทาง เห็นเช่นนี้แล้วนางรู้สึกอยากให้ทั้งคู่มีชีวิตที่ยืนยาว ร่างกายแข็งแรง เติบโตเป็นอย่างดีจริง ๆ
คืนนั้นเอง นางจึงเข้าไปในความฝันของทั้งสองคน เตือนว่าหากตอนเช้าตื่นมาแล้วอย่าลืมนำถุงผ้าที่วางไว้ข้าง ๆ กลับไปด้วย นางใส่ของวิเศษมากมายที่เคยได้ยินยามที่อยู่ดินแดนสวรรค์ เอาไว้ให้ครอบครัวนี้ได้ใช้ ทั้งยังถ่ายทอดพลังตบะเซียนเพื่อให้พวกเขามีสุขภาพที่แข็งแรง โชคดี และมีความสุข โดยไม่ห่วงว่าตบะเซียนของนางจะลดลงแต่อย่างใด
หลังจากนั้นทุก ๆ พันปี นางจะได้มีโอกาสพบมนุษย์อยู่สองสามคน และทุกครั้ง หยางซือซือจะแปรเปลี่ยนตบะเซียน ประทานพรแก่พวกเขาเรื่อยมา กาลเวลาที่นางเคยคิดว่าหนึ่งหมื่นปีคงได้กลับสวรรค์ บัดนี้ล่วงเลยมาเกือบแสนปีแล้ว พร้อมตบะเซียนแปดขั้นครึ่ง อีกเพียงนิดเดียวด่านเคราะห์ของนางบนโลกมนุษย์จะสำเร็จลุล่วง
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ทางทิศใต้ของภูเขาลูกใหญ่ เด็กชายอายุสิบขวบกำลังนั่งขอทานอยู่ริมถนนในตลาด สภาพหน้าตามอมแมมของเขาจำแทบไม่ได้เลยว่าเป็นลูกของผู้ใด เขานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งบ่ายก็ยังไม่ได้เงินสักอีแปะเดียว เวลานี้ขอเพียงมีคนใจดีแบ่งปันซาลาเปาซักลูกแก่เขาก็ดีใจมากแล้ว“นี่เจ้าตัวอัปมงคล ไปนั่งที่อื่นไกล ๆ พวกข้าเสียที มีเจ้าอยู่แถวนี้ พวกข้าเลยพลอยไม่ได้เงินขอทานสักอีแปะ” ชายวัยกลางคนโพล่งขึ้นทำลายความเงียบ ทุกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันเห็นด้วยกับคำพูดของเขา พยายามจะพูดไล่ให้เด็กชายสิบขวบไปไกล ๆ แต่พอเห็นเขาไม่ขยับคล้ายไม่ยอมฟังคำพูดทำหูทวนลม ก็พาลโกรธคิดว่าเด็กชายกำลังท้าทาย“พูดดี ๆ ด้วย ไม่ได้ยินหรืออย่างไร ข้าบอกให้ไปซะ” เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกขึ้นยืนแล้วถุยน้ำลายใส่ แต่เด็กน้อยยังคงไม่ขยับ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะร่างกายเขาแทบจะไม่มีแรงลุกขึ้นไปที่ไหน ท่าทางของเขายิ่งทำให้ขอทานโมโหจนออกแรงยกเท้าเตะไปที่ลำตัวแห้งผอมของเขา หวังให้ตกใจรีบวิ่งหนีไป แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เด็กชายล้มลงไปตามแรงที่ส่งมา โดยไม่มีเสียงร้องสักแอะ“มันตายแล้วหรือ” ขอทานคนหนึ่งพูดขึ้น
“ซิ่วอิง ตรงนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทำไมคนมุงเต็มไปหมด” เสียงเล็กจากเด็กหญิงผู้หนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะนาน ๆ ทีถึงได้ออกมาเที่ยวในเมือง จึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง“ฟางหรง เจ้าไม่ต้องรู้ทุกเรื่องหรอก วันนี้ท่านพ่อให้เจ้ามาทำธุระกับเถ้าแก่ร้านหยกไม่ใช่หรือ ไปช้าเดี๋ยวก็โดนดุอีกหรอก” ซิ่วอิงที่ดูโตกว่านางสักสามปีตักเตือน“เอ๋! นาน ๆ ทีได้ออกมาเที่ยวในเมืองบ้าง ช้าไปนิดหน่อย ท่านลุงไม่กล้าว่าอะไรนางหรอกน่า เจ้าก็จริงจังเกินไปแล้ว” หนิงเหอผู้เป็นน้องสาวของนางโต้แย้งอย่างมีเหตุผล“ใช่ ๆ หนิงเหอพูดถูก เจ้าเคยเห็นท่านพ่อดุข้าหรือ” ฟางหรงยิ้มร่าแล้ววิ่งไปทางนั้นพร้อมกับหนิงเหอ“พวกเจ้าสองคนนี่ เล่นเป็นเด็กไปได้ เมื่อไรจะโตเสียที” ซิ่วอิงบ่นเสียงดังก่อนรีบตามทั้งสองคนไปฟางหรงเดินแหวกฝูงชนที่กำลังมุงดูเสิ่นชิว นางมุดลอดช่องว่างเข้าไปจนเข้าถึงตัวเขาในไม่ช้า เลือดที่ไหลรินบนใบหน้าทำให้นางตกใจ ทั้งยังเสื้อผ้ายับเยิน มีแต่รอยเท้าฝากฝังไว้ทั่วร่าง ฟางหรงทำใจเห็นคนที่อายุพอกันกับนางมีสภาพเช่นนี้ไม่ได้จริง ๆ นางจึงแตะไปที่ตัวเขา เรียกเบา ๆ เผื่อเขาจะตื่น“นี่ นี่ เจ้าได้ยินข้าหรือไม่”
ห้าปีผ่านไปเสิ่นชิวเติบโตขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนี้ เขาคอยช่วยงานคนในหมู่บ้าน มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ผู้คนรอบตัวต่างมีน้ำใจต่อเขา“ท่านแม่ ท่านคงไม่ต้องเป็นห่วงข้าแล้วล่ะ ท่านเห็นหรือไม่ ข้าเติบโตมาอย่างดี หวังว่าท่านจะอยู่บนสวรรค์อย่างมีความสุขนะขอรับ” เสิ่นชิวมองท้องฟ้าสีครามยามเช้าสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่คิดถึงนาง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาตั้งใจใช้ชีวิตอย่างที่นางหวัง เพียงแค่กินอิ่ม นอนหลับ ร่างกายแข็งแรง นางก็ดีใจมากแล้ว“เสิ่นชิว ทำอะไรอยู่หรือ” ฟางหรงนั่งลงข้าง ๆ เขา ซบหัวลงพิงไหล่อย่างสนิทสนม “มัวแต่คิดอะไรอยู่หรือ วันนี้มีงานสำคัญ อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมแล้ว” นางถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่า เขาไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน“อ้อ จริงด้วยสิ วันนี้มีงานสำคัญของเจ้านี่นา ข้าเกือบลืมไปเสียสนิท” เสิ่นชิวได้ทีแกล้งนางกลับ ทำให้เขาโดนทุบด้วยฝ่ามือน้อย ๆ ของนางไปหนึ่งที จนไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีก การแกล้งนางนั้นสนุกยิ่งกว่าอะไร“เสิ่นชิว เจ้าแกล้งข้าอีกแล้ว” ทันทีที่พูดจบ นางหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับเข้าหมู่บ้าน ได้ยินแต่เสียงตะโกนของเสิ่นชิวดังมา “ฟางหรง อย่างอนข้าเลยนะ แต่ถึงงอนก็ไม่เ
อีกทางด้านหนึ่งของผาเดียวดาย“โอ๊ย เมื่อย!” เสียงหวานดังขึ้น ร่างโปร่งแสงของนางก้าวออกมาจากต้นดอกท้อที่บัดนี้อายุเกือบแสนปีแล้ว หลังจากนั่งบำเพ็ญตบะเซียนอยู่ครึ่งค่อนวัน นางจึงอยากเดินเล่นแก้เมื่อยเสียหน่อย“นี่เจ้ากระต่ายเวท มานั่งดูท้องฟ้าเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ” นางเรียกกระต่ายเวทตัวหนึ่งที่อยู่แถวนั้นมาอยู่เป็นเพื่อน จริง ๆ เมื่อไม่กี่หมื่นปีก่อน จู่ ๆ นางก็ไม่ได้เจอมนุษย์คนใดอีกเลย นับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับนางอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเขาลูกนี้ร้างหรือน่ากลัวกันแน่จึงไม่มีมนุษย์คนใดเข้ามาถึงริมผาเดียวดายตอนที่นางกำลังนั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียว กระต่ายเวทตัวนี้ก็โผล่มา ลักษณะรูปร่างคล้ายกับว่านางเคยเห็นมาก่อน เพียงแต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่ในภพนี้แน่นอน หยางซือซือแทบจะลืมไปแล้วว่าเหตุใดนางถึงมาเกิดเป็นต้นดอกท้อตั้งแต่ได้เจอเจ้ากระต่ายตัวนี้ นางก็เอาแต่เล่นกับมันทั้งวัน จนไม่ได้ฝึกบำเพ็ญตบะเซียน จู่ ๆ กระต่ายเวทก็หายไป แรก ๆ นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นั่งรอมันอยู่ที่เดิมหลายวัน แล้วก็คิดได้ว่ากระต่ายเวทคงจะต้องใช้พลังเซียนหล่อเลี้ยงให้สภาพร่างคงอยู่ นางจึงลองใช้พลังเซียนเรียกมันออกมา
เสิ่นชิวเข้ามาในบ้านของตนเองเพื่อเก็บของสำคัญ ระหว่างนั้นได้ยินเสียงร้องดังมาจากด้านหน้าหมู่บ้านจึงออกมาดู ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนถืออาวุธครบมือเดินเข้ามาในหมู่บ้านด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด ฮึกเหิมและสนุกสนาน แท้จริงแล้วมนุษย์พวกนี้ไม่นับว่าเผ่ากวางนำทางเป็นมนุษย์ดังเช่นพวกเขา ท่าทีของคนพวกนั้นทำราวกับกำลังล่าสัตว์ป่าไม่ต่างกันนักล่าตัวใหญ่คนหนึ่งถือดาบยักษ์เดินเข้ามาเผชิญหน้ากับกองกำลังของหมู่บ้าน ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงผ่านอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์เข้ามาได้ หากแต่ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือปกป้องกันและกัน เสิ่นชิวรีบถืออาวุธจะวิ่งไปสมทบกับทุกคน พลันมือข้างหนึ่งถูกแม่เฒ่ารั้งไว้“ปล่อยข้าเถิดแม่เฒ่า เวลานี้ ต่อให้ข้าหนีไปก็คงไม่ทันแล้ว ให้ข้าได้ช่วยพวกท่านเถิด ข้าขอร้อง ต่อให้ชีวิตนี้ต้องสูญสิ้น ข้าก็ไม่เสียดาย” เสิ่นชิวพูดกับแม่เฒ่า นางมองหน้าเขาไม่อาจห้ามปราบได้อีกต่อไป เวลานี้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด นางพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เขาขณะที่เสิ่นชิวกำลังวิ่งเข้าช่วยเหลือ เขาเห็นนักล่าตัวใหญ่ผู้นั้นฟันดาบยักษ์ลงมาที่ผู้ดูแลหมู่บ้าน แรงของดาบทำให้เขาไม่อ
เช้าตรู่ของอีกวัน“โอ้โห เช้าวันนี้อากาศดีเหมือนเดิม นี่กระต่ายน้อย เจ้าอยู่ไหน ออกมาเล่นกับข้าหน่อยสิ” หยางซือซือที่เพิ่งตื่นนอนนั่งลงบนพื้นหญ้าเขียวชอุ่ม หันซ้ายหันขวาหาเจ้ากระต่ายเวทเพื่อนของนาง“เอ๋ เจ้าอยู่ไหนนะ มาเล่นกับข้าหน่อย พรุ่งนี้ข้าอาจจะไม่ได้เจอเจ้าแล้วนะ” หยางซือซือเดินวนรอบต้นไม้สองสามรอบแต่ก็ไร้วี่แวว นางอยากเล่นกับมันทั้งวัน เพราะพรุ่งนี้นางก็จะบรรลุตบะเซียนเก้าขั้นแล้ว วันเวลาหนึ่งแสนปีบนดินแดนมนุษย์ใกล้สิ้นสุด“ไหน ๆ ข้าก็ต้องกลับสวรรค์วันพรุ่งนี้แล้ว ขอข้าได้เที่ยวเมืองมนุษย์รอบ ๆ นี้ดีกว่า กลับไปแล้วคงจะลงมาเล่นไม่ได้แน่ ๆ” หยางซือซือเคยพยายามถอดจิตวิญญาณเพื่อลงไปเที่ยวล่างเขา หากแต่ว่าพลังเซียนของนางอ่อนแอจึงได้แค่อยู่ที่เดิมริมผาเดียวดายเท่านั้นเมื่อลองเข้าหลาย ๆ ครั้งไม่เป็นผล นับแต่นั้นมาเกือบแสนปีนางก็ไม่เคยลองอีกเลย เพียงแต่ว่าครั้งนี้นางรู้สึกว่าพลังเซียนนางแกร่งขึ้น อาจจะทำได้ จึงลองดูอีกสักตั้ง“โอ๊ะ! ได้ผลจริง ๆ ด้วย ฮ่า ๆ เอาล่ะ วันนี้ข้าขอเที่ยวเล่นให้หนำใจเลยแล้วกัน” หยางซือซือไม่รอช้า
หนึ่งพันปีต่อมาอรุณรุ่งบนยอดภูเขาสูงห่างไกลจากผู้คน ดอกท้อสีชมพูอ่อนหลายพันต้นผลิบานสะพรั่งไปทั่วบริเวณรับฤดูใบไม้ผลิ ใต้ต้นดอกท้อริมหน้าผามีชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนหลับตาอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวขจี น้ำค้างยามเช้าค่อย ๆ ลู่ลงมาตามใบไม้พลันหยดลงที่หน้าผากอย่างแผ่วเบาปลุกเขาจากการหลับฝัน เขาลืมตาขึ้นมาช้า ๆ ยกมือขึ้นบังแสงแดดอ่อนที่กำลังแยงตา พักหนึ่งจึงลุกขึ้นยืนรับอากาศสดชื่นวันใหม่ สายลมพัดเรือนผมยาวสีเทาแกมชมพูปลิวไสวหลินเซิน หมาป่าขนเทาอาศัยอยู่เพียงลำพังบนเขาลูกนี้มาเป็นเวลากว่าพันปีแล้ว ชีวิตของเขาเรียบง่าย ไร้เรื่องกังวลใด ๆ ราวกับคำอวยพรของดอกท้อแสนปีได้สัมฤทธิ์ผล เขาใช้เวลาทั้งวันกับการนั่งเล่น นอนเล่น โดยไม่สนเรื่องราวภายนอก หากแต่ยังสงสัยตนเองอยู่บ้างว่าทำไมหมาป่าอย่างเขาถึงกินผลไม้เป็นอาหาร ดื่มน้ำค้างยามเช้า เขาเคยมีความคิดว่า อาจจะเป็นเพราะเกิดมามีพลังเซียนจึงทำให้เขากลายพันธุ์ไป เลยไม่ได้สนใจที่มาของตนเอง อย่างไรเขาก็มีความสุขมากแล้วการมีพลังเซียนทำให้เขาไม่เคยต้องเหนื่อยใช้แรงงาน หากอยากดื่มน้ำค้าง ใบไม้เหล่านั้นก็จะคอยกักเก็บ
นับตั้งแต่มีแมวน้อยสีขาวน่ารักตัวนี้อยู่บนเขาแห่งนี้ด้วย ชีวิตประจำวันของหลินเซินก็เปลี่ยนไปจากเดิม วันเวลาที่อยู่อย่างสงบ ๆ ฟังเสียงสายลม เสียงใบไม้พัดปลิว ก็มีเสียงเหมียว เหมียว ดังขึ้นมาเป็นระยะ ราวกับกำลังร้องเรียกเขา ครั้งนี้ก็เช่นกัน“อย่าบอกนะว่าเจ้าหิวอีกแล้ว นี่เจ้ากำลังโตหรืออย่างไรถึงได้กินเก่งเช่นนี้” หลินเซินบ่นอุบอิบนิดหน่อย ก่อนจะเดินไปหยิบของบางอย่างสะพายหลังเขาเดินลงไปด้านหลังเขาเรื่อย ๆ โดยมีเจ้าแมวน้อยตามมาติด ๆ เสียงสายน้ำไหลเอื่อยเริ่มดังขึ้น หลินเซินหยุดอยู่ริมตลิ่ง จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยพร้อมหย่อนขาลงไปในน้ำ มือข้างหนึ่งถือไม้แหลมยาว สายตาสองข้างมองทะลุเข้าไปใต้น้ำใส ๆ คอยมองหาปลาตัวใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นของโปรดเจ้าแมวน้อย“นี่ข้ากำลังทำอะไรอยู่นี่ อาหารของข้าก็ไม่ใช่ เจ้านี่ทำเหมือนข้ากำลังเป็นทาสอย่างไรอย่างนั้น ใช่ว่าข้ารับเจ้ามาเลี้ยงด้วยเสียหน่อย” แม้จะบ่นมาเป็นชุดแต่สองตาก็ยังจ้องหาปลาต่อไปไม่ลดละ ในที่สุดเขาก็จับปลาตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง เพียงเท่านี้ยังไม่พอ หลินเซินก่อฟืนจุดไฟก่อนจะนั่งย่างปลาที่เขากินไม่ได้อีกด้ว
ณ ตำหนักโคมดวงจิตเจียลี่นั่งรำลึกความหลังตอนที่นางเป็นเซียนน้อยดูแลตำหนัก แล้วชี้ให้หลินเซินดูว่าโคมดวงจิตของเขาเคยตั้งอยู่ตรงนี้“ข้าไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้า” เจียลี่หันมามองหลินเซิน “ผู้เฒ่าหยางคงจะหมดห่วงแล้วล่ะ”“ข้าติดหนี้เจ้าแล้ว มากมายจนนับไม่ถ้วน หากไม่มีเจ้า จิตวิญญาณของข้าคงแตกสลายไป” น้ำเสียงของหลินเซินแผ่วเบา“ไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้นหรอก” เจียลี่ส่ายหน้า นางกุมมือเขาเอาไว้ ทำสีหน้าจริงจัง “ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ไม่ว่าใครหน้าไหนกล้าทำร้ายเจ้าอีก ข้าไม่ปล่อยไว้แน่”หลินเซินเลิกคิ้วแล้วยิ้มให้นาง “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นถึงอดีตเทพสงคราม จะมีใครกล้าทำอะไรข้า”“นั่นสิเนอะ” เจียลี่หัวเราะกับคำตอบของเขา “หลินเซิน ไปดูก้อนเมฆสีรุ้งกันเถอะ ข้าไม่ได้เห็นนานแล้ว” นางเอ่ยปากชวนเขาไปที่ผาน้ำตกทั้งสองนั่งเล่นชมทิวทัศน์อยู่นานจนถึงเวลาพลบค่ำที่ตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้า จู่ ๆ เจียลี่ก็นึกได้ว่าเวลาบนดินแดนสวรรค์กับดินแดนมนุษย์ไม่เหมือนกัน“ข้าว่ารีบกลับลงไปที่บ้านเถอะ ไม่รู้ป่านนี้เยี่ยนฟางกับหมิงเฟยจะเป็น
ช่วงสายของวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส หลินเซินนั่งกินถังหูลู่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมบ่อน้ำ เขาหันมามองเจียลี่ที่กำลังหัดร่ายเวทด้วยความจริงจังนึกขำในใจ“เจียลี่ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปเถิด เจ้าทำหน้าเครียดเกินไปแล้ว” นับตั้งแต่ที่เขาคืนพลังเซียนเพื่อฟื้นชีวิตนาง หลินเซินก็กลายเป็นชนเผ่าหมาป่าธรรมดาที่มีพลังเวทนิดหน่อย กระนั้นยังคงเป็นหมาป่ากินพืชเช่นเดิม“ข้าอยากเป็นเร็ว ๆ นี่ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะได้ช่วยพวกเจ้าได้” เจียลี่ยังคงพยายามจ้องไปที่มือข้างหนึ่งของนางที่มีพลังเซียนส่องแสงวิบวับ“เจ้าต้องผ่อนคลายให้มากกว่านี้แล้วเจ้าจะเข้าใจว่าต้องทำเช่นไร” หลินเซินให้กำลังใจ เขารินน้ำชาดอกท้อให้นาง “ดื่มก่อน”“อื้ม” เจียลี่พยักหน้า แล้วนึกถึงเรื่องที่นางมีความสุข พลันกลีบดอกท้อปรากฏขึ้นอยู่รอบตัวทั้งคู่ นางโบกมือไปทางซ้ายขวาบังคับสายลมพัดกลีบดอกท้อปลิวไสวไปทั่วทั้งป่า “ข้าเข้าใจแล้วหลินเซิน” นางยิ้มดีใจทั้งคู่พูดคุยกันกระหนุงกระหนิงทั้งวันจนตะวันลับฟ้าจึงพากันเดินกลับบ
เจียลี่ลุกขึ้นมานั่งร้องไห้เป็นเผาเต่าทันทีที่ฟื้นขึ้นมา นางไม่อยากให้หลินเซินต้องทำเช่นนี้ จนหมิงเฟยต้องเข้ามาปลอบใจ“ท่านพี่ ทำใจดี ๆ ไว้เถิด ถ้าเขาเห็นว่าท่านเป็นเช่นนี้ วิญญาณคงจะไม่สงบสุข” หมิงเฟยยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางซับน้ำตา“ข้าขออยู่คนเดียวได้หรือไม่” นางคงยังไม่อยากพูดกับใคร ในใจเศร้าสร้อยเกินจะคิดอะไร“ขอรับ” หมิงเฟยพยักหน้าแล้วเดินออกมานอกห้องในป่าลึกท้ายหมู่บ้าน เยี่ยนฟางกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ น้ำตานองหน้าเพราะนึกถึงสิ่งที่นางทำ ทั้งยังไม่กล้าสู้หน้าหมิงเฟยจึงหลบออกมานั่งคนเดียวครั้นเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ นางจึงเงยหน้ามองผู้มาเยือน“หลินเซินนนน” เยี่ยนฟางกลั้นใจไม่ไหว ร้องไห้โฮจนตัวโยนหลินเซินจึงนั่งลงข้าง ๆ ลูบหัวของนางเหมือนอย่างเคย “จำได้หรือไม่ วันแรกที่ข้าเจอเจ้า”“อื้ม”“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ อย่าโทษตัวเองนักเลย” หลินเซินยื่นขนมหวานให้นาง “หมิงเฟยตามหาเจ้าอยู่ ไม่อยากเ
เวลานี้ หลินเซินจำเรื่องราวในอดีตได้หมดทุกอย่างแล้ว พลังตบะเซียนและร่างกายของเขากลับมาเป็นเช่นเดิม เขาร่ายเวทก้าวเข้าสู่หุบเขากองกระดูกในทันทีการปรากฏตัวของเขาทำให้หมิงเฟยและพรรคพวกรู้สึกโล่งใจ ยามนี้เขาแทบจะทนแรงฟาดฟันของเยี่ยนฟางไม่ไหวแล้ว หลินเซินมองเห็นความโกลาหลที่พื้นเบื้องล่าง เขามองหาเยี่ยนฟางและหมิงเฟยเป็นลำดับแรก จากนั้นก็เคลื่อนที่มาหยุดตรงหน้านางในพริบตา“จงหลับ!” นิ้วชี้ของเขาจิ้มไปหว่างกลางหน้าผากของเยี่ยนฟาง เขาเอื้อมมือคว้าตัวนางเอาไว้ แล้วส่งให้หมิงเฟย จากนั้นตรงดิ่งไปที่ร่างของเจียลี่พูดกับหมิงเฟยว่า “พาคนออกไปจากที่นี่แล้วร่ายเวทหล่อเลี้ยงร่างของนางเอาไว้”หมิงเฟยพยักหน้ารับคำ ครั้นหลินเซินร่ายม่านเขตแดนของตนขึ้นมา หุบเขากองกระดูกที่แสนอึมครึมจึงมีโพรงแห่งแสงสว่างเล็ก ๆ ปรากฏขึ้น“เฉิงซาน ทางนี้” หมิงเฟยตะโกนบอกพรรคพวกเมื่อทุกคนในที่แห่งนี้มองเห็นทางออกต่างพยายามสลัดให้หลุดจากคู่ต่อสู้ของตนเองหลินเซินมองเห็นเทพมารลอยอยู่เหนือเทพอาวุโส กำลังจะร่ายเวทใส่ร่างของเขา เพียงแต่ได้ยินเสียงร้อ
“เทียนจวิน วันนี้มีเรื่องอะไรหรือถึงได้อารมณ์ดี” ซ่งเสวี่ยหยางถามเขา“แค่วันธรรมดาหนึ่งวันบนดินแดนสวรรค์ เห็นเจ้าเพิ่งกลับมาเลยอยากทวงของฝาก” ซ่งเทียนเย่ยิ้มแป้นให้เขา“ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้ไปเที่ยวเล่น ปราบปีศาจที่มีพลังมารก็ทำให้ข้าเหนื่อยไม่น้อย” เขาส่ายหน้าพลางเดินไปที่มุมหนึ่งของตำหนัก “แต่ก็เอาเถอะ ข้าได้ยินมนุษย์พูดกันว่าสุราแคว้นเป่ยรสชาติดีจึงได้ถือติดมือมาด้วย” เขายื่นสิ่งที่พอจะเรียกว่าของฝากให้ซ่งเทียนเย่“เจ้าช่างรู้ใจ ดื่มเป็นเพื่อนกันสักหน่อยดีหรือไม่”หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ออกไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเกาะลอยฟ้าของตำหนักเทพสงคราม ดื่มสุรากันคนละจอกสองจอกพลางพูดคุยเรื่องที่ได้พบเจอในแต่ละวัน“ท่านอา” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยสองคนเรียกซ่งเสวี่ยหยาง เขาหันไปมองต้นเสียงแล้วพูดว่า “พวกเจ้าสองคน ช้า ๆ หน่อย” แต่เด็กทั้งสองกลับวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิมเพราะคิดถึงเขา“เฮ้อ ดูสิ บิดาของเขานั่งอยู่ตรงนี้แท้ ๆ” ซ่งเทียนเย่พูดหยอกผู้เป็นน้องชาย“ช่วยไม่ได้ ข้าไม่อยู่ตำหนักตั้งนาน เอ้า! นี่ของฝากพวกเจ้า” เขาร่ายเวทเรียกไข่ของวิหคเพลิงออก
TW: ความรุนแรง อดีตของหลินเซินและเจียลี่ราวกับเรื่องราวของเยว่เล่อกับนางยังไม่หนักหนาพอ ใต้เท้าหนุ่มเปิดประตูเข้ามาเห็นภาพที่นางกำลังนั่งกอดเขาอยู่บนเตียงจึงเกิดความเดือดดาล ปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อของเยว่เล่อแล้วออกหมัดใส่หน้าเขาไปหนึ่งทีนางรีบวิ่งเข้ามาประคองเขาพยายามห้ามไม่ให้เยว่เล่อโต้ตอบแต่กลับกลายเป็นว่าใต้เท้าหนุ่มยิ่งไม่พอใจที่ผู้หญิงของเขาทำเช่นนั้น“มันเป็นชู้รักของเจ้างั้นรึ” เขาตวาดเสียงดังก้องแล้วเข้าไปกระชากตัวนางจากเยว่เล่อ บีบข้อมือของนางแรงจนช้ำแดงเถือกเยว่เล่อไม่อาจทนเห็นใครทำร้ายนางได้อีก เขาขัดคำสัญญาของนางแล้วพุ่งตรงมาบีบคอของใต้เท้าหนุ่มในทันที เยว่เล่อกัดคอของเขาแล้วสูบเลือดที่มีจนหมดตัว ทิ้งร่างเหี่ยว ๆ กองไว้บนพื้นนางไม่เคยเห็นเขาในสภาพเช่นนี้มาก่อนจึงตกตะลึงไปชั่วขณะแต่แล้วก็เดินมากอดเขาเอาไว้“ไปจากที่นี่กันเถิดนะเยว่เล่อ” นางมองหน้าเขาสายตาอ้อนวอนทั้ง ๆ ที่บริเวณบ้านเงียบงันแต่กลับมีเสียงหนึ่งคล้ายเสียงของใต้เท้าหนุ่มตะโกนโวยวายไม่เป็นเรื่อง คนใช้ในจวนจึงรีบวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาในห้อง ครั้นได้เห็นภาพเ
TW : ความรุนแรง วัยเด็กในอดีตชาติเมื่อเซี่ยวอวี้เทียนถอนดาบครั้งที่สามจากร่างของเจียลี่ นางกระอักเลือดออกมาไม่หยุด ล้มลงไปตามแรงนอนแน่นิ่งกับพื้น น้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวด จากนั้นภาพตรงหน้าก็ดับลงหลินเซินที่อยู่ในความฝันรู้สึกได้ว่าเกิดเรื่องกับเจียลี่ เขาเจ็บแปลบที่หน้าอกอยู่ครู่หนึ่ง ลุกขึ้นเดินกระวนกระวาย ในใจเศร้าระทมไม่รู้ตัวแต่ไม่อาจทำอะไรได้มากจู่ ๆ แสงจากหิ่งห้อยตัวหนึ่งก็ลอยเข้ามาท่ามกลางความมืดมิด พลันภาพอดีตของหลินเซินฉายซ้ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับกลายเป็นอดีตชาติอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เสิ่นชิวหมู่บ้านเล็ก ๆ บนที่ราบอันเขียวขจี เขาเห็นเด็กชายตัวน้อยที่หน้าเหมือนกันราวกับแกะกำลังวิ่งเล่นอยู่ในบริเวณบ้าน พ่อและแม่ของเขากำลังช่วยกันรดน้ำแปลงผักในสวนข้างบ้าน สีหน้าทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสรับกับสภาพท้องฟ้าสีครามฤดูใบไม้ผลิครั้นตกกลางคืน ครอบครัวนี้กำลังจะนอนหลับใหลต้องตื่นตกใจเพราะเสียงระฆังเตือนภัยดังเหง่งหง่าง ผู้เป็นพ่อเปิดประตูออกมาข้างนอกเห็นภาพของโจรป่านับสิบคนกำลังบุกเข้าไปค้นหาเหยื่อทีละบ้าน ๆเขารีบกลับเข้ามาข
“น่าเสียดายอีกแล้ว เจ้านี่โชคดีอะไรเช่นนี้” เสียงลึกลับพูดกับเจียลี่ จนทำให้นางนึกในใจ นี่น่ะหรือโชคดี ถ้าโชคร้ายจะขนาดไหน“ทำไมนางถึงเป็นเช่นนั้น” เจียลี่ได้โอกาสถามเขา ไหน ๆ ก็ไม่มีทางหนี อย่างน้อยถ้าจะตายควรได้รู้ความจริงเผื่อจะช่วยใครได้บ้าง“ข้าควรจะบอกเจ้าดีหรือไม่ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าข้าน่ารำคาญ”“จะบอกก็บอก ไม่ต้องลีลาให้มากนัก” เจียลี่รู้สึกคิดผิดที่ถามเขาไปเช่นนั้น“เจ้ามนุษย์อ่อนด้อย ถ้าไม่ติดว่าเจ้ามีพันธสัญญาเลือด ข้าไม่ปล่อยให้เจ้ามานั่งว่าข้าเช่นนี้หรอก” น้ำเสียงของเขาโมโหขึ้นมาไม่สบอารมณ์ที่ถูกขัดใจ “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เจ้าตั้งใจฟังข้า”สุดท้ายแล้วเขาก็ยอมเล่าให้นางฟัง อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของเขาทำให้เจียลี่ละเหี่ยใจแต่ก็ต้องกัดฟันนั่งฟังให้จบซิ่วอิงมีทั้งข้อผูกมัดคำสาปและพันธสัญญาเลือดระหว่างนางกับเขา ทางเดียวที่จะช่วยเยี่ยนฟาง รวมถึงเซียวอวี้เทียนก็คือต้องฆ่าเขาเท่านั้น“ต้องทำเช่นไรถึงจะฆ่าเจ้าได้” เจียลี
ทันใดนั้นเหล่าลูกสมุนของคนผู้นั้นก็ขึ้นมาจากกองกระดูกด้านล่าง พลังมืดปกคลุมรอบตัวส่งกลิ่นอายความกระหายเลือดเนื้อของคนเป็น เจียลี่บาดเจ็บจากการโจมตีครั้งสุดท้ายมากนัก นางพยายามคลานหนีจากหุ่นเชิดสังหารแต่แรงที่มีกลับถดถอยลงเจียลี่เห็นอาวุธแหลมคมกำลังพุ่งมาทางนาง ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะพลิกตัวหลบ คิดในใจว่าสายไปเสียแล้ว ชีวิตของนางคงสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ นางหลับตาพร้อมยอมรับชะตากรรมจู่ ๆ มีดบินสามเล่มก็กระทบกับลูกธนู เยี่ยนฟางเหลือบเห็นเหตุการณ์พอดีจึงช่วยนางไว้ได้ทัน“ท่านพี่!” เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเยี่ยนฟาง เจียลี่ลืมตาขึ้นถอนหายใจ แล้วเสียงลึกลับก็ดังขึ้นอีกครั้ง“เฮ้อ น่าเสียดาย ๆ” เขาดูจะพอใจที่ได้เห็นเรื่องราวความเป็นความตายของผู้อื่นยิ่งนักเยี่ยนฟางที่เห็นสภาพของเจียลี่เช่นนั้น พยายามหลบหลีกจากการปะทะกับซิ่วอิงให้เร็วที่สุด แต่นางกลับกัดไม่ปล่อย ซิ่วอิงไม่เปิดจังหวะแม้แต่น้อย นางจึงตะโกนบอกหมิงเฟยให้ร่ายม่านเขตแดนปกป้องเจียลี่เพราะพลังเซียนของนางกำลังถดถอยเมื่อมีม่านเขตแดนของหมิงเฟยเป็นเกราะกำบัง ลูกสม