ห้าปีผ่านไป
เสิ่นชิวเติบโตขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนี้ เขาคอยช่วยงานคนในหมู่บ้าน มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ผู้คนรอบตัวต่างมีน้ำใจต่อเขา
“ท่านแม่ ท่านคงไม่ต้องเป็นห่วงข้าแล้วล่ะ ท่านเห็นหรือไม่ ข้าเติบโตมาอย่างดี หวังว่าท่านจะอยู่บนสวรรค์อย่างมีความสุขนะขอรับ” เสิ่นชิวมองท้องฟ้าสีครามยามเช้าสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่คิดถึงนาง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาตั้งใจใช้ชีวิตอย่างที่นางหวัง เพียงแค่กินอิ่ม นอนหลับ ร่างกายแข็งแรง นางก็ดีใจมากแล้ว
“เสิ่นชิว ทำอะไรอยู่หรือ” ฟางหรงนั่งลงข้าง ๆ เขา ซบหัวลงพิงไหล่อย่างสนิทสนม “มัวแต่คิดอะไรอยู่หรือ วันนี้มีงานสำคัญ อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมแล้ว” นางถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่า เขาไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน
“อ้อ จริงด้วยสิ วันนี้มีงานสำคัญของเจ้านี่นา ข้าเกือบลืมไปเสียสนิท” เสิ่นชิวได้ทีแกล้งนางกลับ ทำให้เขาโดนทุบด้วยฝ่ามือน้อย ๆ ของนางไปหนึ่งที จนไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีก การแกล้งนางนั้นสนุกยิ่งกว่าอะไร
“เสิ่นชิว เจ้าแกล้งข้าอีกแล้ว” ทันทีที่พูดจบ นางหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับเข้าหมู่บ้าน ได้ยินแต่เสียงตะโกนของเสิ่นชิวดังมา “ฟางหรง อย่างอนข้าเลยนะ แต่ถึงงอนก็ไม่เป็นไรหรอก ตอนเจ้างอนช่างน่ารักจริง ๆ ฟางหรง ได้ยินข้าไหม”
ทางด้านหนึ่ง ซิ่วอิงและหนิงเหอเห็นท่าทางของทั้งสองคนแล้วอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากกรอกตา เอียนกับการหยอกล้อของพวกเขาจริง ๆ ยิ่งสองปีให้หลังนี้ ยิ่งหนักข้อขึ้นทุกวัน
“ท่านพี่ ไปที่ลานพิธีเถอะ” หนิงเหอคล้องแขนซิ่วอิงแล้วเดินไปข้างในหมู่บ้าน
“เฮ้อ!” ซิ่วอิงได้แต่ถอนหายใจ เดินตามน้องสาวไปแต่โดยดี ครั้นจะห้ามไม่ให้เสิ่นชิวกับฟางหรงแสดงอาการออกนอกหน้ามากไปก็คงไม่เป็นผล ทั้งหมู่บ้านรู้กันหมดแล้วว่าทั้งสองสนิทสนมกันมากเพียงใด
ช่วงสายของวัน หมู่บ้านแห่งนี้ได้จัดพิธีอัญเชิญจิตวิญญาณ สำหรับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านที่อายุครบสิบห้า ลู่ฟางหรงและหนิงเหอเข้าร่วมพิธีด้วยความตื่นเต้น โดยเฉพาะลู่ฟางหรง ผู้เป็นบุตรสาวของผู้นำหมู่บ้าน นางจะได้รับการสืบทอดจิตวิญญาณอันสูงส่งให้สมเกียรติ
แต่เดิมทีที่เสิ่นชิวเข้ามา เขารู้สึกได้ว่าผู้คนที่นี่ดูแตกต่างจากคนทั่วไปที่เขาเคยพบเจอ วิถีการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายแต่ลึกลับ คล้ายกับมีบางอย่างซ่อนอยู่ จนกระทั่งเขาได้เห็นพิธีอัญเชิญจิตวิญญาณ
วันนั้นลู่ฟางหรงยืนข้างเขาแล้วบอกให้เขาตั้งใจดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น นางอยากให้เขาตื่นตะลึงจึงไม่ได้เล่าเรื่องราวใด ๆ ให้เขาฟังล่วงหน้า แล้วก็เป็นดังเช่นที่นางคาดไว้ เสิ่นชิวอ้างปากค้าง ดวงตาจ้องไปที่ใจกลางลานพิธีอย่างใจจดใจจ่อ
เสิ่นชิวมองเห็นร่างโปร่งแสงของสัตว์ตัวหนึ่งกำลังลอยลงมาจากท้องฟ้า มันวิ่งช้า ๆ ไปที่เด็กสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงกลางลานพิธี พอจ้องมองดี ๆ แล้ว จึงได้รู้ว่าสัตว์เรืองแสงสีครามคือกวางตัวหนึ่ง ลู่ฟางหรงจึงได้บอกความลับหมู่บ้านให้เขาฟังในเวลานั้น
นางและคนในหมู่บ้านคือเผ่าพันธุ์กวางนำทาง ร่างโปร่งแสงของกวางเรืองแสงสีครามที่เขาเห็นคือส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณทุกคนในหมู่บ้าน เมื่ออายุครบสิบห้า พวกเขาจะจัดพิธีรวมวิญญาณให้เป็นอันหนึ่งเดียวกัน หากแต่นางไม่บอกว่าจิตวิญญาณเผ่าพันธุ์นางนั้นมีความสำคัญมากเพียงใดเพราะถือเป็นความลับที่แม้แต่คนรักนอกเผ่าพันธุ์นางก็บอกไม่ได้
ในวันนี้ ลู่ฟางหรงได้เข้าร่วมพิธีครั้งใหญ่ เสิ่นชิวมองตามนางตาไม่กระพริบ จนเห็นกวางตัวหนึ่งปรากฏร่างขึ้น จิตวิญญาณกวางของนางแตกต่างจากคนอื่น ๆ กวางทองเดินเข้าหานางอย่างช้า ๆ ก่อนที่แสงสีทองจะหายวับไป ดวงตาของฟางหรงกลายเป็นสีทองแวบหนึ่ง หน้าผากของนางมีแต้มสีทองประดับอยู่ตรงกลาง
หลังจากเสร็จพิธี เสิ่นชิวเดินเข้ามาแสดงความยินดีกับลู่ฟางหรงและหนิงเหอ จากนี้ทั้งคู่มีหน้าที่สำคัญของเผ่าพันธุ์ที่ต้องรับผิดชอบในฐานะผู้ใหญ่แล้ว โดยเฉพาะฟางหรง
“ทีนี้ข้าก็มีคนช่วยงานเพิ่มขึ้นแล้วสิ ฟางหรง หนิงเหอ” ซิ่วอิงกอดคอทั้งสองคนอย่างหมั่นไส้ ตอนที่นางเข้าพิธีเมื่อสองปีก่อน งานของนางก็เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังต้องคอยดูแลลู่ฟางหรงกับหนิงเหอไม่ให้เล่นซนจนเกินไป นางแทบไม่ได้หยุดพักเลยตั้งแต่นั้น
“เอ๋ ให้หนิงเหอคอยช่วยเจ้าก็แล้วกันนะ วันนี้ข้าขอตัวก่อน” ลู่ฟางหรงพูดจบก็ยกแขนข้างขวาของซิ่วอิงขึ้นแล้วรีบคว้ามือของเสิ่นชิว พากันวิ่งไปนอกหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว
“ฟางหรง!” หนิงเหอพยายามเรียกลูกพี่ลูกน้องของนาง
“หยุดเลยหนิงเหอ ข้าไม่ยอมปล่อยเจ้าไปไหนหรอก วันนี้เจ้าต้องอยู่ช่วยงานข้า” ซิ่วอิงดึงผมเปียข้างหนึ่งของหนิงเหอ นางได้แต่ยิ้มแห้งให้พี่สาว
ไม่กี่วันต่อมา ตอนที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานในลานบ้าน ผู้ดูแลหมู่บ้านรีบเดินมาหาพวกเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แววตาสั่นกลัว เสิ่นชิวแปลกใจไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้
“ท่านผู้นำ ข้าได้ข่าวจากหมู่บ้านตอนใต้ เผ่าของเรามีคนหายไปทีละคน ไม่รู้ชะตากรรมขอรับ”
“เป็นไปได้อย่างไร เจ้าไปสืบให้รู้ความ ข้าจะรีบแจ้งเตือนคนในหมู่บ้านให้ระวังตัว” บิดาของลู่ฟางหรงมองหน้าบุตรสาว
นับตั้งแต่วันนั้นมา คนในหมู่บ้านก็ไม่ออกไปที่ใดอีก ผู้ดูแลหมู่บ้านที่ถูกส่งออกไปหาข่าวคราว ทยอยกลับมารายงานอยู่เรื่อย ๆ สีหน้าของเขาเคร่งเครียดมากกว่าเดิม พยายามหาทางที่จะปกป้องคนในหมู่บ้านตนเอง และช่วยเหลือเผ่าพันธุ์เดียวกันในหมู่บ้านอื่น ๆ ที่แยกตัวออกไป
แม่เฒ่าคล้ายได้รับนิมิต นางเห็นลางร้ายคืบคลานเข้ามาใกล้หมู่บ้านแห่งนี้ ภาพของเสิ่นชิวโชกเลือดท่ามกลางศพอื่น ๆ ในหมู่บ้านปรากฏขึ้น นางรีบมาเตือนผู้นำให้เสริมกำลังป้องกันหมู่บ้าน แต่ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมเสิ่นชิวจึงยืนโดดเดี่ยวเนื้อตัวเปื้อนเลือด
ในที่สุด ผู้นำก็เรียกทุกคนในหมู่บ้านมารวมตัวกัน เพื่อแจ้งข่าวสำคัญที่สุดในชีวิต
“พวกเจ้าคงพอจะรู้มาบ้างว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่น้องที่อยู่นอกหมู่บ้านของเรา เจ้ามนุษย์ที่ชั่วร้ายกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ รู้ความลับของจิตวิญญาณเราแล้ว พวกมันกำลังมาล่าเอาชีวิตพวกเรา ข้าพยายามจะช่วยเหลือพวกพ้องของเราให้เข้ามาอยู่ในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของหมู่บ้าน อย่างน้อยก็ซ่อนตัวจากนักล่าทั้งหลายได้ พวกเจ้าแต่ละคนแยกย้ายทำหน้าที่ของตนเองเถิด” ผู้นำกล่าวจบก็เรียกเสิ่นชิวไปพบเพื่อพูดคุยกันเพียงลำพัง
“เสิ่นชิว เจ้ารู้หรือไม่ ทำไมคนพวกนั้นถึงตามล่าเรา” เขาถามเสิ่นชิว “จิตวิญญาณกวางนำทางคือของวิเศษที่สามารถตามหาดวงจิตของคนที่ตายไปแล้วกลับมาได้ คนพวกนั้นฆ่าเราเพื่อช่วยคนของตนเองโดยไม่สนใจความเป็นความตายของเรา”
“ทำไมถึงได้เป็นเช่นนั้นเล่า ชีวิตของทุกคนมีค่าเท่ากันไม่ใช่หรือ” เสิ่นชิวไม่เข้าใจมองหน้าเขาด้วยความสับสน
“จิตใจคนซับซ้อน ข้าไม่อาจเข้าใจได้ ข้าฝากเจ้าอย่างหนึ่งได้หรือไม่ ปกป้องฟางหรงด้วยชีวิต นางคือผู้สืบทอดเผ่าพันธุ์ จะให้นางเป็นอะไรไปไม่ได้ รับปากข้าได้หรือไม่”
“ขอรับ” เสิ่นชิวรับปากเขาโดยไม่มีข้อแม้
อีกทางด้านหนึ่งของผาเดียวดาย“โอ๊ย เมื่อย!” เสียงหวานดังขึ้น ร่างโปร่งแสงของนางก้าวออกมาจากต้นดอกท้อที่บัดนี้อายุเกือบแสนปีแล้ว หลังจากนั่งบำเพ็ญตบะเซียนอยู่ครึ่งค่อนวัน นางจึงอยากเดินเล่นแก้เมื่อยเสียหน่อย“นี่เจ้ากระต่ายเวท มานั่งดูท้องฟ้าเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ” นางเรียกกระต่ายเวทตัวหนึ่งที่อยู่แถวนั้นมาอยู่เป็นเพื่อน จริง ๆ เมื่อไม่กี่หมื่นปีก่อน จู่ ๆ นางก็ไม่ได้เจอมนุษย์คนใดอีกเลย นับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับนางอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเขาลูกนี้ร้างหรือน่ากลัวกันแน่จึงไม่มีมนุษย์คนใดเข้ามาถึงริมผาเดียวดายตอนที่นางกำลังนั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียว กระต่ายเวทตัวนี้ก็โผล่มา ลักษณะรูปร่างคล้ายกับว่านางเคยเห็นมาก่อน เพียงแต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่ในภพนี้แน่นอน หยางซือซือแทบจะลืมไปแล้วว่าเหตุใดนางถึงมาเกิดเป็นต้นดอกท้อตั้งแต่ได้เจอเจ้ากระต่ายตัวนี้ นางก็เอาแต่เล่นกับมันทั้งวัน จนไม่ได้ฝึกบำเพ็ญตบะเซียน จู่ ๆ กระต่ายเวทก็หายไป แรก ๆ นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นั่งรอมันอยู่ที่เดิมหลายวัน แล้วก็คิดได้ว่ากระต่ายเวทคงจะต้องใช้พลังเซียนหล่อเลี้ยงให้สภาพร่างคงอยู่ นางจึงลองใช้พลังเซียนเรียกมันออกมา
ณ ทางตอนเหนือบนดินแดนสวรรค์ของเทพเซียน มีตำหนักไม้หลังเล็กหลบซ่อนตัวอยู่ในปุยเมฆสีขาว โคมดวงจิตของเทพเซียนที่ลงมาผ่านด่านเคราะห์บนโลกมนุษย์แขวนอยู่เรียงรายใจกลางตำหนัก แสงไฟลุกโชนจากโคมทำให้รู้ว่าเรื่องราวของพวกเขาเป็นไปตามชะตาที่ซือมิ่งเขียนเอาไว้ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงมีเขตแดนปกคลุมรอบทิศทางเพื่อป้องกันไม่ให้มีสิ่งใดรุกล้ำเข้ามาก่อความไม่สงบแม้ไม่มีเขตแดนคอยปกป้อง ก็ใช่ว่าจะมีผู้ใดกล้าเข้ามาวุ่นวายกับที่แห่งนี้สักเท่าใด ด้วยเป็นสถานที่ที่ดวงจิตส่วนหนึ่งของเทพเซียนสถิตอยู่ ทั้งยังห่างไกลจากใจกลางดินแดนสวรรค์ จนบางคนแทบลืมไปแล้วว่าตำหนักนี้อยู่ที่ใด คงจะมีก็แต่เซียนน้อยนางหนึ่งนามว่าหยางซือซือ ที่รู้เรื่องราวของตำหนักนี้ดีกว่าผู้ใด นั่นก็เพราะว่านางคือเจ้าของตำหนักและผู้ดูแลโคมดวงจิตคนล่าสุดนั่นเองราว ๆ สามพันปีก่อน ผู้เฒ่าหยางกำลังกวาดลานหน้าตำหนักแล้วไปพบนางเข้า เขาจึงตั้งชื่อให้และดูแลนางนับตั้งแต่นั้นมาทว่าช่วงเวลาของพวกเขานั้นสั้นนัก อายุขัยของผู้เฒ่าหยางถึงเวลานั้นแล้ว ทั้งดวงจิตและร่างกายจึงสลายเข้าสู่ห้วงเวลานิรันดร์ หยางซือซือที่อายุหนึ่งพันปีจึงต้องอยู่โดดเดี่ยวนับแต่นั
เปลวไฟจากโคมดวงจิตวูบไหวไปมา เสี้ยวหนึ่งของความคิดที่นางนึกขึ้นได้คือพยายามต้านกระแสลม หยางซือซือกั้นลมด้วยม่านเขตแดนจากพลังน้อยนิดของนางและดูเหมือนว่าจะทำได้สำเร็จ เปลวไฟจากโคมดวงจิตสงบขึ้นทว่าความโชคร้ายของวันไม่ได้มีเท่านี้ วิหคเพลิงเห็นเซียวอวี้เทียนยืนดักอยู่อีกทางและกำลังร่ายเวทขั้นสูงครั้งที่สอง มันจึงรีบกลับตัว สยายปีกแล้วถลาไปทางหยางซือซืออีกครั้ง แต่กระนั้นก็ไม่อาจหลบได้ทัน เวทขั้นสูงของเซียวอวี้เทียนเฉี่ยวไปที่ลำตัวเพรียวระหงจนทำให้ทรงตัวไม่อยู่ พร้อมที่จะพุ่งดิ่งตกไปกลางลานด้วยความเร็ว หยางซือซือที่ยังคงตรึงเวทของนางเอาไว้ได้แต่มองตาม พลังของวิหคเพลิงนั้นแข็งแกร่งมากกว่านางอีกหรือหลังจากนั้นโคมดวงจิตที่อยู่รอบนอกเริ่มดับต่อกันเป็นทอด ๆ กว่าครึ่งหนึ่ง ในใจของนางพลันคิดว่าครั้งนี้จบสิ้นจริง ๆ แล้ว ภาระหน้าที่แสนง่ายแต่สลักสำคัญของนางด้านเซียวอวี้เทียนเองเพิ่งจะจับวิหคเพลิงตัวนี้ได้หันมาถามนางด้วยความเป็นห่วง “หยางซือซือ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” ครั้นพอเห็นสายตาที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า เขาก็เข้าใจแล้วว่า หายนะครั้งใหญ่กำลังมาเยือนอย่างแน่นอน ไม่ทันที่เขาจะได้หาหนทางแก้ไขเรื่องรา
สิ้นคำพูดของซ่งอี้ เทพเซียนที่เกี่ยวข้องกับการเหตุการณ์ครั้งนี้เริ่มเห็นด้วยกับความคิดของนาง“ขอเทียนจวินตัดสินด้วยเถิด” ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันเทียนจวินมองไปที่หยางซือซือ เวลานี้ใบหน้าของนางราวกับครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ แต่ไม่มีสีหน้าแสดงความกังวลใจต่อบทลงโทษ“เซียนน้อยหยางซือซือ ข้ารู้ว่าเจ้าตั้งใจทำหน้าที่ต่อจากผู้เฒ่าหยางมาด้วยดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากแต่ครั้งนี้เกิดเรื่องขึ้น ข้าไม่อาจเพิกเฉยต่อความเดือนร้อนได้ จงลงไปเกิดเป็นมนุษย์ ผ่านด่านเคราะห์และบำเพ็ญตบะให้แกร่งกล้า เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ถูกลงโทษเป็นครั้งที่สอง” เทียนจวินตรัสกับนาง“หม่อมฉันน้อมคำตัดสินเพคะ ขอบพระทัยเทียนจวิน” หยางซือซือทำความเคารพ ก่อนที่ทุกคนในห้องโถงใหญ่แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนต่อ มีเพียงเซียวอวี้เทียนเดินหน้าเศร้ามาหานางเพราะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของนาง วิหคเพลิงมีเงื่อนงำบางอย่างถึงได้ปรากฏตัวขึ้น“ไม่ต้องเป็นห่วงข้านักหรอกน่า เซียวอวี้เทียน ช่วงชีวิตมนุษย์นั้นแสนสั้น เดี๋ยวข้าก็กลับขึ้นมาบนสวรรค์ได้เช่นเดิมแล้ว” หยางซือซือปลอบใจเขาเหมือนอย่างเคย นางมักจะลืมเรื่องของตนเองแล้วใส่ใจค
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ทางทิศใต้ของภูเขาลูกใหญ่ เด็กชายอายุสิบขวบกำลังนั่งขอทานอยู่ริมถนนในตลาด สภาพหน้าตามอมแมมของเขาจำแทบไม่ได้เลยว่าเป็นลูกของผู้ใด เขานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งบ่ายก็ยังไม่ได้เงินสักอีแปะเดียว เวลานี้ขอเพียงมีคนใจดีแบ่งปันซาลาเปาซักลูกแก่เขาก็ดีใจมากแล้ว“นี่เจ้าตัวอัปมงคล ไปนั่งที่อื่นไกล ๆ พวกข้าเสียที มีเจ้าอยู่แถวนี้ พวกข้าเลยพลอยไม่ได้เงินขอทานสักอีแปะ” ชายวัยกลางคนโพล่งขึ้นทำลายความเงียบ ทุกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันเห็นด้วยกับคำพูดของเขา พยายามจะพูดไล่ให้เด็กชายสิบขวบไปไกล ๆ แต่พอเห็นเขาไม่ขยับคล้ายไม่ยอมฟังคำพูดทำหูทวนลม ก็พาลโกรธคิดว่าเด็กชายกำลังท้าทาย“พูดดี ๆ ด้วย ไม่ได้ยินหรืออย่างไร ข้าบอกให้ไปซะ” เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกขึ้นยืนแล้วถุยน้ำลายใส่ แต่เด็กน้อยยังคงไม่ขยับ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะร่างกายเขาแทบจะไม่มีแรงลุกขึ้นไปที่ไหน ท่าทางของเขายิ่งทำให้ขอทานโมโหจนออกแรงยกเท้าเตะไปที่ลำตัวแห้งผอมของเขา หวังให้ตกใจรีบวิ่งหนีไป แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เด็กชายล้มลงไปตามแรงที่ส่งมา โดยไม่มีเสียงร้องสักแอะ“มันตายแล้วหรือ” ขอทานคนหนึ่งพูดขึ้น
“ซิ่วอิง ตรงนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทำไมคนมุงเต็มไปหมด” เสียงเล็กจากเด็กหญิงผู้หนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะนาน ๆ ทีถึงได้ออกมาเที่ยวในเมือง จึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง“ฟางหรง เจ้าไม่ต้องรู้ทุกเรื่องหรอก วันนี้ท่านพ่อให้เจ้ามาทำธุระกับเถ้าแก่ร้านหยกไม่ใช่หรือ ไปช้าเดี๋ยวก็โดนดุอีกหรอก” ซิ่วอิงที่ดูโตกว่านางสักสามปีตักเตือน“เอ๋! นาน ๆ ทีได้ออกมาเที่ยวในเมืองบ้าง ช้าไปนิดหน่อย ท่านลุงไม่กล้าว่าอะไรนางหรอกน่า เจ้าก็จริงจังเกินไปแล้ว” หนิงเหอผู้เป็นน้องสาวของนางโต้แย้งอย่างมีเหตุผล“ใช่ ๆ หนิงเหอพูดถูก เจ้าเคยเห็นท่านพ่อดุข้าหรือ” ฟางหรงยิ้มร่าแล้ววิ่งไปทางนั้นพร้อมกับหนิงเหอ“พวกเจ้าสองคนนี่ เล่นเป็นเด็กไปได้ เมื่อไรจะโตเสียที” ซิ่วอิงบ่นเสียงดังก่อนรีบตามทั้งสองคนไปฟางหรงเดินแหวกฝูงชนที่กำลังมุงดูเสิ่นชิว นางมุดลอดช่องว่างเข้าไปจนเข้าถึงตัวเขาในไม่ช้า เลือดที่ไหลรินบนใบหน้าทำให้นางตกใจ ทั้งยังเสื้อผ้ายับเยิน มีแต่รอยเท้าฝากฝังไว้ทั่วร่าง ฟางหรงทำใจเห็นคนที่อายุพอกันกับนางมีสภาพเช่นนี้ไม่ได้จริง ๆ นางจึงแตะไปที่ตัวเขา เรียกเบา ๆ เผื่อเขาจะตื่น“นี่ นี่ เจ้าได้ยินข้าหรือไม่”