เจียลี่มาพบเขาที่หน้าประตูบ้าน
“หลินเซิน ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”
“เรื่องอันใดหรือ” เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน เงี่ยหูฟังสิ่งที่นางจะบอก
“ข้าต้องกลับบ้านแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้กลับมาที่นี่อีก หวังว่าจะมีโอกาสได้เจอเจ้าอีกนะ”
หลินเซินครุ่นคิดเรื่องราวในหัวว่าจะทำอย่างไรดี เขายังไม่ได้คำตอบเลยว่าทำไมนางถึงทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหวได้ถึงเพียงนี้ ทั้งยังเรื่องด้ายสีทองที่ผูกมัดเขากับนางอีก “ข้าต้องรู้ให้ได้ ว่าเจ้าเป็นใคร ทำไมใจข้าต้องเต้นแรงทุกครั้งที่เห็นหน้าของเจ้า” ราวกับมีคนรู้ทัน เยี่ยนฟางใช้พลังส่งกระแสจิตไปหาเขา “ไปส่งนางที่บ้านสิ”
“เอ๋ เยี่ยนฟาง เจ้าพูดได้แล้วหรือ” หลินเซินตาโตประหลาดใจ ส่งกระแสจิตกลับไปหานาง แต่ไม่มีสัญญาณตอบกลับ
“เจียลี่ ข้าได้ยินมาว่าป่าทางนั้นมีสัตว์ดุร้ายออกอาละวาด โจรป่าชุกชุม แอบปล้นเสบียงของพ่อค้าที่ผ่านไปมาอยู่บ่อย ๆ ให้ข้าไปส่งเจ้าที่บ้านดีหรือไม่” หลินเซินเสนอตัวเองอย่างที่เยี่ยนฟางบอก
“ส่งข้าที่บ้านหรือ หลินเซิน ข้าสงสัยมานานแล้วว่าเจ้าเป็นคุณชายบ้านไหนหรือ มีงานทำหรือไม่ เหตุใดถึงได้มีเวลามาเที่ยวเล่นกับข้าได้ทุกวัน แล้วก็ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าบ้านข้าไปทางนั้น” ในที่สุดเจียลี่ก็ได้ถามสิ่งที่นางสงสัย
“ข้าอาศัยอยู่คนเดียวกับเจ้าแมวน้อยตัวนี้มานานแล้ว งานของข้าก็ไม่มีอะไรมาก งานที่หนักที่สุดก็คือเลี้ยงเจ้าแมวตัวนี้ ส่วนเส้นทาง เอ่อ ข้าได้ยินเจ้าพูดกับบิดา แต่ว่าข้าน่ะ เคยผ่านอยู่หลายครั้ง รู้เส้นทางอย่างดี แล้วข้าเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย รับรองว่าไม่รบกวนเจ้าอย่างแน่นอน ข้ารับปากเลยว่าจะไม่มีอะไรกล้าแตะต้องเจ้าแม้แต่ปลายเส้นผม” หลังบรรยายสรรพคุณของตนเองเต็มที่แล้ว เขาก็รอคำตอบของนางอย่างใจจดใจจ่อ หวังจะให้นางตอบตกลง แต่ถึงนางไม่ตกลง เขาก็คงแอบตามนางไปอย่างเงียบ ๆ อยู่ดี
“เช่นนั้นก็ถือว่าไปเที่ยวที่บ้านข้าก็แล้วกัน” เจียลี่ยิ้มกว้างให้เขา
เมื่อเตรียมของและเสบียงเรียบร้อยแล้ว หลินเซิน เจ้าแมวน้อย เจียลี่และบิดาของนางก็นั่งรถม้าเดินทางออกจากหมู่บ้านเข้าเขตป่าทึบ
ป่าแห่งนี้เงียบสงัดไม่ได้ยินแม้แต่เสียงนกร้องหรือเงาของสัตว์ตัวเล็กที่มักจะมาหากินผลไม้อยู่บริเวณนี้ เส้นทางแต่เดิมเป็นทางหญ้าถางเอาไว้สัญจร เวลานี้ต้นหญ้าสูงขึ้นจนท่วมเอว รถม้าจึงต้องค่อย ๆ ผ่านไปช้า ๆ ระวังอุบัติเหตุ
หลินเซินออกมานั่งข้าง ๆ จวีจิวฝูเพื่อเปลี่ยนกะหลังจากเดินทางมาได้ครึ่งค่อนวัน
“ท่านลุง เชิญท่านพักข้างในเถิด ข้าจะคอยดูตรงนี้เอง” หลินเซินกล่าวกับเขาอย่างสุภาพแล้วถือสายบังเหียนเอาไว้
“ขอบใจ” เขาพยักหน้า
เมื่อเข้ามาข้างในแล้วจึงได้จังหวะเหมาะเจาะที่จะพูดคุยกับบุตรสาวเพียงคนเดียว
“เจียลี่ เจ้าคิดกับเขาเช่นไรหรือ”
“ท่านพ่อ อย่าเสียงดังไป ทำไมท่านถึงถามข้าเวลานี้เล่า” เจียลี่ตกใจไม่คิดว่าบิดาของนางจะถามเรื่องพวกนี้เร็วขนาดนั้น
“ข้าอยากรู้ว่าเจ้าคิดเหมือนข้าหรือเปล่า เท่าที่ข้าดู ๆ เขามาสองสามเดือนก็ถือว่าไม่เลว นิสัยดี เอาใจใส่ ข้าเห็นนะเวลาเจ้าอยู่กับเขา เจ้ามีความสุขมาก ถ้าจะตกลงปลงใจละก็ ข้าไม่ว่า” จวีจิวฝูตัดสินใจเด็ดขาดว่าอย่างไรเสีย เขาก็ต้องให้บุตรสาวแต่งงานออกเรือนให้ได้
ข้างนอกรถม้า แม้ว่าจะมีประตูปิดกั้นอยู่ แต่เสียงที่เล็ดลอดออกมาก็ทำให้หลินเซินแอบยิ้มเบา ๆ พลางมองหน้าเจ้าแมวน้อยดวงตาใสแป๋ว หลังจากที่พบเจอเจียลี่แล้วไม่เข้าใจความรู้สึกของตนเอง หลินเซินจึงหาอ่านหนังสือบ้าง สอบถามบัณฑิตต่างเมืองบ้าง เผื่อจะมีใครแก้ปัญหาในใจของเขาได้ “ข้ามีเรื่องของสหายผู้หนึ่งจะสอบถามท่านบัณฑิต” ท้ายที่สุดทุกคนต่างตอบเหมือนกันว่า “สหายของท่านคงจะกำลังตกหลุมรักนางผู้นั้นเป็นแน่”
“ไม่ต้องยิ้มกว้างเพียงนั้นก็ได้ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าดีใจมาก” เยี่ยนฟางที่รู้ใจหลินเซินส่งเสียงร้องเหมียว เหมียวให้เขา
ครั้นแสงอาทิตย์กำลังจะลาลับฟ้า หลินเซินจึงตัดสินใจหยุดพักริมลำธาร “วันนี้พอแค่นี้ก่อน พวกท่านนั่งพักให้หายเหนื่อยเถิด ข้าจะหากิ่งไม้แห้งมาก่อไฟเอง”
“ข้าไปด้วย” เจียลี่มองหน้าบิดา พอเห็นเขาหรี่ตาลง นางรู้สึกได้ว่าเขาต้องทำอะไรแน่นอน
“อ้อ ฝากดูแลลูกสาวข้าด้วย” จวีจิวฝูตะโกนบอกหลินเซิน
“ไม่ต้องห่วงขอรับ ท่านลุง” หลินเซินพยักหน้าตอบบิดาของนาง
เจียลีเห็นท่าทางสองคนที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย จึงรีบเดินจ้ำอ้าวไม่รอหลินเซินเพราะเขินอายจนหน้าแดง
“เจียลี่ เจ้าอย่าเพิ่งรีบเดินบุ่มบ่าม เดี๋ยวตก...” พูดไม่ทันขาดคำ เจียลี่ก้าวขาข้างหนึ่งตกลงไปในหลุม แต่หลินเซินที่สายตาว่องไวเห็นเช่นนั้นจึงใช้พลังคว้าคอเสื้อด้านหลังของนางไว้แล้วรีบเดินมาหา
“เอ๋! เมื่อครู่ เจ้าอยู่ตรงโน้นไม่ใช่หรือ” เจียลี่สงสัยไม่นึกว่าเขาจะอยู่ใกล้นาง
“เจ้าเจ็บที่ใดหรือไม่” หลินเซินเปลี่ยนเรื่อง ถามอาการของนาง
“ไม่ ไม่ ข้าไม่เป็นอะไร”
“เช่นนั้น ไปหากิ่งไม้แห้งกันเถอะ ใกล้มืดค่ำแล้ว” หลินเซินเดินนำหน้านาง ทั้งคู่ช่วยกันเก็บเศษกิ่งไม้แห้งได้จำนวนหนึ่ง แล้วพากันกลับมาที่พัก เจ้าแมวน้อยส่งเสียงเหมียว เหมียว อยู่ริมลำธารอย่างเคย
“หิวแล้วล่ะสิ” หลินเซินเดินมาที่ริมน้ำ จัดชุดให้เรียบร้อยก่อนจะลงไปหาปลาสามสี่ตัวมาเป็นอาหารค่ำวันนี้
หลังจากกินอิ่ม จวีจิวฝูและเจียลี่ค่อย ๆ หลับตาลงพักผ่อน ส่วนหลินเซินยังคงนอนดูดาวกับเจ้าแมวน้อย เพียงแต่อยู่ในป่าเช่นนี้ ทำให้เขามองเห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนไม่ชัดสักเท่าใด จึงใช้พลังเซียนปัดกิ่งไม้ใบไม้ที่บดบังสายตาออกไป สุดท้ายแล้วก็ยิ้มอย่างพอใจ ครั้นกำลังสะลึมสะลือง่วงนอนกลับได้ยินเสียงแปลก ๆ บางอย่าง เขาห่มผ้าให้เจ้าแมวน้อยก่อนจะเดินตามหาเสียงนั้น
เสียงความเจ็บปวดโหยหวนกลางดึกนั้นวังเวงน่ากลัว หลินเซินคิดว่าในอดีต ชีวิตของเขาต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ แค่ได้ยินเสียงนี้ก็ไม่ชอบเลยแม้แต่น้อย ด้านเจ้าแมวน้อยเยี่ยนฟางที่ได้ยินเสียงเช่นกันตื่นขึ้นด้วยสัญชาตญาณ เมื่อไม่เห็นหลินเซินอยู่ข้าง ๆ จึงร้องเรียกกระวนกระวาย นางเดินมาซุกอยู่ข้าง ๆ เจียลี่ตัวสั่นเทา
“เยี่ยนฟาง เจ้าเป็นอะไร” เจียลี่งัวเงียตื่นมาลูบหัวแล้วอุ้มเยี่ยนฟางขึ้นมากอด
เจ้าแมวน้อยกระโดดลงจากอ้อมแขนเดินนำหน้านางไปอีกทางหนึ่งของป่า เจียลี่รู้ทันทีว่าเยี่ยนฟางกำลังอยากออกตามหาหลินเซินด้วยความเป็นห่วง นางจึงเดินตามเยี่ยนฟางไปเรื่อย ๆ จนลืมไปว่ายามค่ำคืนไม่ควรออกมานอกที่พัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในป่าทึบแห่งนี้
หลินเซินตามเสียงร้องนั้นมาได้สักพัก ข้างหน้าเขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนอนหายใจรวยริน บาดแผลที่ขาอักเสบจนทำให้เกิดอาการหลอน เขาเอื้อมมือมาแตะที่ขาของชายหนุ่ม จังหวะนั้นภาพในอดีตช่วงสั้น ๆ ผุดขึ้นมาในใจ หลินเซินจึงได้รู้ว่าเสียงร้องโหยหวนนั้นเป็นเพราะคนข้างหน้ากำลังจมกับความโหดร้ายที่เกิดขึ้น เขาใช้พลังเซียนรักษาบาดแผลให้ชายหนุ่มจนหายดี เพียงแต่ว่าความคิดของคนผู้นั้นตกสู่วังวนอดีตไม่อาจถอนตัวได้ เกิดบ้าคลั่งตื่นขึ้นหมายจะทำร้ายเขา
“นึกแล้วเชียวว่าไม่ใช่บาดแผลธรรมดา เจ้าเจอเรื่องใดมาหรือ” หลินเซินพยายามพูดเรียกสติ “เจ้า...”
ชายที่อยู่ตรงหน้าเขามีท่าทีเปลี่ยนไป เขาลืมตาขึ้นทั้ง ๆ ที่ไม่ได้สติ หากแต่ดวงตาเป็นสีแดง หูจิ้งจอกโผล่ขึ้นมา กรงเล็บยาวทั้งสิบนิ้วพยายามตวัดใส่หลินเซินอย่างอาฆาต
“เจ้าจิ้งจอกน้อย หยุดได้แล้ว” หลินเซินพยายามเรียกเขาพลางหลบกรงเล็บที่ฟาดใส่ไม่หยุด
“เฮ้อ เจ้าเหนื่อยหรือยัง จะหยุดเมื่อใดหรือ”
ผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มผู้นี้ไม่มีทีท่าจะลดละความตั้งใจเอาเลือดเอาเนื้อหลินเซิน ทั้งยังคล้ายจะบ้าคลั่งขึ้นทุกชั่วขณะ
“ในเมื่อพูดดี ๆ แล้วเจ้าไม่ฟัง อย่าหาว่าข้าใจร้ายแล้วกัน” หลินเซินเลิกคิ้วคิดจะเล่นสนุก เดิมทีเขาคิดว่าทำแบบนี้แล้วค่อนข้างเสียภาพลักษณ์ไปหน่อย แต่วิธีเจ้าป่าแบบดั้งเดิมนี่แหละ ต่อให้คลุ้มคลั่งมากแค่ไหน ก็ย่อมโอนอ่อนลงเมื่อพบผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเสมอ
หูหมาป่าสีเทาแกมชมพูทั้งสองข้างของหลินเซินโผล่ขึ้นมา ข้างหนึ่งมีพู่ห้อยสะบัดตามสายลม เขานับหนึ่งถึงสามในใจก่อนจะคำรามเสียงดังก้องจนจิ้งจอกน้อยสงบเสงี่ยมฟุบหลับไปในทันที เพียงแต่ว่าคนที่ได้ยินเสียงคำรามของเขาเมื่อครู่ไม่ได้มีแค่เจ้าจิ้งจอกน้อย หลินเซินหันหน้ามาด้านหลังของเขาเห็นเจียลี่ยืนตาโตตะลึงงัน ไม่แพ้เจ้าแมวน้อยที่ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
เจียลี่เห็นภาพสัตว์ประหลาดเบื้องหน้าจนตกใจกลัว นางโอบเจ้าแมวน้อยไว้แน่น ขาทั้งสองข้างเตรียมหันหลังวิ่งหนีสุดชีวิต แต่ก็นั่นแหละความเร็วมนุษย์หรือจะสู้หมาป่า หลินเซินวิ่งมาดักข้างหน้านางกันไว้ไม่ให้หนี แต่เจียลี่ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หันหลังไปอีกทาง จังหวะที่วิ่งจึงหันมามองดูข้างหลัง เมื่อไม่เห็นสัตว์ประหลาดตัวนั้นแล้วก็คิดว่าหนีพ้น ไหนเลยพอหันหน้ามากลับเห็นเขายืนรออยู่ เจ้าสิ่งนั้นพุ่งตัวเข้าหานาง ไม่ว่าจะหันไปทางไหน คล้ายจะหนีไม่รอดเสียแล้ว
“ถ้าเจ้ากล้าวิ่งหนีอีก ข้าจะกินเจ้า” หลินเซินขู่นางโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาเดินเข้ามาใกล้นางเรื่อย ๆ
“ข้า... ข้า...” เจียลี่อึกอัก กลัวจนพูดไม่ออก ตั้งแต่เกิดมานางไม่เจอเผ่าพันธุ์อื่นเลย นึกว่าเรื่องพวกนั้นมีแต่ในตำนาน
“ถ้ายังไม่อยากตาย ทำตามที่ข้าบอก ไม่เช่นนั้นแล้ว ข้าจะค่อย ๆ กินเจ้าอย่างเอร็ดอร่อย” หลินเซินย้ำอีกรอบ
“ข้า... ข้าเข้าใจแล้ว” เจียลี่นิ่วหน้าเหมือนจะร้องไห้ นางไม่อยากโดนสัตว์ประหลาดแทะแขนแทะขานางเหมือนในเรื่องเล่าสยองขวัญของพวกพ่อค้าจึงได้แต่รับปากด้วยความกลัว“พูดไปได้ว่าจะกินนาง เจ้าหมาป่าซื่อบื้ออ่านนิยายแนวนั้นมากไปใช่หรือไม่ เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าเจ้าน่ะเป็นสัตว์กินพืช” เยี่ยนฟางบ่นอุบอิบในใจส่งเสียงร้องเหมียว เหมียว แรก ๆ นางเพียงตกใจตามสัญชาตญาณที่ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ที่มีอำนาจมากกว่า เรื่องนี้ดูมีเงื่อนงำกว่าที่คิด นางแค่รอให้เขามาระบายให้ฟังก็จะได้รู้แล้วว่าเขาคิดอะไรอยู่ ร้อยปีที่เขาคอยดูแลนางด้วยความห่วงใย ทำให้นางแน่ใจได้ว่าเขาไม่ใช่สัตว์ป่าดุร้ายเมื่อตกลงกันได้เรียบร้อย ทั้งสองพากันเดินกลับที่พักเงียบ ๆ ต่างคนต่างไม่พูดอะไรตลอดทาง“เจียลี่ เจ้าหายไปไหนมา” จวีจิวฝูถามบุตรสาวด้วยความกระวนกระวายใจ เขาตกใจตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงคำรามของหลินเซินดังไปทั่วทั้งป่า“ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” เจียลี่พยายามทำสีหน้าปกติ นางเกรงว่าบิดาจะกังวลหากเห็นสีหน้าหวาดกลัวของนาง“
สองอาทิตย์ผ่านไป“เจียลี่ ถึงบ้านแล้ว” จวีจิวฝูตะโกนบอกบุตรสาวที่นั่งอยู่ในรถม้า“จริงหรือ” นางเปิดหน้าต่างเห็นทิวทัศน์ที่คุ้นตาเผลอยิ้มออกมา แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเห็นคนที่นั่งข้าง ๆ กำลังจ้องอยู่“ข้าจะต้องทำตามที่เจ้าบอกไปจนถึงเมื่อใด” นางถามเขาอีกครั้งเผื่อเขาจะเปลี่ยนใจ แต่เมื่อมองสายตาของเขาราวกับได้คำตอบแล้วว่า “อีกนาน” นั่นล่ะ คำตอบสั้น ๆ ของเขาลั่วหมิงเฟยได้แต่มองความสัมพันธ์ของทั้งสองคนอย่างเงียบ ๆ อันที่จริงเขาเห็นมาสักพักแล้วว่าดูแปลก ๆ แต่สิ่งที่แปลกกว่าคือ เจ้าแมวตัวน้อยสีขาวมักจะไม่ชอบให้เขาเข้าใกล้หลินเซินหรือคนอื่น ๆ สักเท่าใดครั้งหนึ่งเขาพยายามจะลูบหัวเพื่อทำความคุ้นเคยกลับโดนตะปบอย่างเลือดเย็น กระนั้นเขาไม่ยอมแพ้เป็นคนคอยหาปลามาย่างให้นางอยู่บ่อย ๆ เอาไม้ตกแมวมาล่อให้นางเล่นด้วยอยู่หลายครั้ง นึกไม่ถึงว่านางไม่ยอมใจอ่อนเป็นมิตรกับเขาบ้างเลยจวีจิวฝูหยุดรถม้าหน้าบ้านหลังเล็ก เขาค่อนข้างกังวลใจว่าจะจัดสรรที่อยู่ในบ้านอย่างไร เดิมทีเขาอาศัยอยู่กับบุ
“เหลือจะเชื่อเลยจริง ๆ ว่าเจ้าใช้วิธีนี้” เจียลี่อ้าปากค้างคิดไม่ถึง “อย่าได้คิดทำเช่นนี้กับข้า” เจียลี่รีบบอกเขากลัวว่าสักวันนางจะโดนสะกดจิตให้ทำอะไรแปลก ๆ“อย่างเจ้าน่ะ ต้องยอมทำให้ข้าด้วยความเต็มใจ” หลินเซินยิ้มเจ้าเล่ห์ให้นาง “ไปกันเถอะ” เขาชวนนางเดินไปที่ร้านถังหูลู่“ข้าขอสองไม้” หลินเซินใช้วิธีเดิมกับพ่อค้าร้านถังหูลู่ กระนั้นยังมีใจแบ่งให้นางหนึ่งไม้ เจียลี่เห็นเช่นนั้นจึงหันไปจ่ายเงินให้พ่อค้าแทนเขา“เจ้าทำแบบนี้มาตลอดเลยหรืออย่างไร อยู่เมืองมนุษย์ก็ต้องมีเงินเก็บไว้บ้าง” เจียลี่บ่นอุบอิบอยู่ข้างเขา นางรู้สึกว่าเรื่องราวของเขานั้นซับซ้อนจนไม่รู้จะเริ่มถามอะไร“อยู่กับข้าไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” หลินเซินยักคิ้วข้างหนึ่งอารมณ์ดี“อยู่กับเจ้าไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นหรือ รู้เช่นนี้ ข้าน่าจะแต่งงานเสียตั้งแต่ก่อนเจอเจ้า” นางพูดเสียงอ่อยท้อแท้ใจถ้าจะต้องอยู่เหมือนเป็นทาสของหมาป่าจอมโหด“ถ้าเจ้าแต่งงานกับผู้อื่น ข้าคงเสียใจมาก”
“พี่สะใภ้ ท่านใจเย็นก่อน” หมิงเฟยเลิ่กลั่กมองซ้ายขวาหาทางหนี เพียงแต่ว่าถูกเจียลี่และเยี่ยนฟางขนาบข้างจึงได้แต่นั่งหดตัว“บอกเรื่องที่เจ้ารู้มาให้หมด เจ้าจิ้งจอกน้อย” เจียลี่ยิ้มมุมปากรอฟังคำตอบของเขา“ข้ายังบอกไม่ได้ขอรับ รอท่านพี่มาอธิบายจะดีกว่า” หมิงเฟยหลบสายตาของทั้งสองคน“เช่นนั้นย่อมได้ เจ้าอย่าเพิ่งบอกเขาว่าข้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว อยากจะรู้นักว่าจะแกล้งข้าไปจนถึงเมื่อใด” เจียลี่สั่งห้ามหมิงเฟยน้ำเสียงเด็ดขาด หมิงเฟยคิดในใจว่าท่านพี่ของเขาคงจะเจองานใหญ่เข้าแล้วเช้าวันต่อมาเจียลี่กำลังหวีผมผูกผ้าให้เยี่ยนฟางอยู่ในห้อง นางได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากหน้าบ้านจึงรีบลงมาดู เห็นบิดาของนางกำลังลากกระสอบใบใหญ่เข้ามาตรงกลางลานบ้าน“เจียลี่ พ่อกลับมาแล้ว” จวีจิวฝูเดินเข้ามากอดบุตรสาวด้วยความคิดถึง หน้าตาของเขามอมแมมจากการเข้าป่าขุดสมุนไพร“ท่านพ่อ เจ็บตรงไหนหรือไม่ หน้าตาท่านเปรอะเปื้อนดินโคลนไปหมดแล้ว” เจียลี่สำรวจหาบาดแผลของเขา พลันได้ยินเสียงใสแจ๋วของเยี่ยน ฟางดังขึ้น
ผ่านไปสองเดือน“ท่านพี่หลินเซินนนน น้ำค้างยามเช้ามาแล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยนฟางตะโกนปลุกเขาเช้าตรู่ วันนี้นางตื่นก่อนเวลาเพื่อออกไปเก็บน้ำค้างมาให้เขา ทั้งยังเด็ดดอกไม้สามสี่ดอกติดมือมาด้วยด้านคนที่กำลังหลับฝันดีอยู่ในบ้านสะดุ้งตื่นเพราะเสียงแหลมเจื้อยแจ้วของนาง เขาชั่งใจคิดว่าระหว่างให้นางเป็นแมวกับคน อย่างไหนจะดีกว่ากัน ตั้งแต่ที่เยี่ยนฟางพูดได้ นางก็พูดกับเขาไม่หยุดตลอดทั้งวัน“ได้ยินแล้วเยี่ยนฟาง เดี๋ยวข้าออกไป” หลินเซินเดินออกมาหานางข้างนอก ดูเหมือนว่าทุกคนพร้อมใจกันมารวมตัวอยู่หน้าห้องของเขา“ตื่นแล้วหรือหลินเซิน” เจียลี่ยิ้มหวานทักทายเขา เจียลี่แต่งตัวสวยจนหลินเซินจ้องนางตาไม่กระพริบ วันนี้พวกเขาทั้งสองมีนัดไปเที่ยวตลาดในเมืองกันสองคน“หมิงเฟย พวกเรารีบไปกันดีกว่า อยู่ตรงนี้นานข้าพาลจะหงุดหงิด เบื่อคนมีความรัก” เยี่ยนฟางชวนหมิงเฟยออกมาข้างนอก ปล่อยให้คนทั้งสองอยู่กันตามลำพัง“พวกเจ้าสองคนระวังตัวกันด้วย” เจียลี่ตะโกนบอกด้วยความเป็นห่วง ทั้งคู่จึงโบกมือส่ง
หลังจากเดินมาพักหนึ่ง เสียงของคนด้านในเริ่มดังใกล้เข้ามา บ้างพูดคุยโวโอ้อวด บ้างหัวเราะสนุกสนาน หลินเซินก้าวเท้าเข้าไปกลางวงล้อมอย่างไม่สนหัวผู้ใด เขาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าคนผู้หนึ่ง ดูท่าทางจะเป็นหัวหน้าอย่างที่เจ้านักโทษบอก ราวกับการเคลื่อนไหวของเขาแยบยล เงียบเชียบ ไม่มีใครได้ทันตั้งรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่คิดว่าจะมีคนกล้าเข้ามาเหยียบหยามถึงในรังของตน“เจ้านี่น่ะหรือ หัวหน้าที่เจ้าพูดถึง” หลินเซินร่ายเวทมัดตัวชายผู้นั้นไว้ไม่ให้ขยับ เขายืนถามอย่างใจเย็นเสียจนนักโทษรู้สึกเสียวสันหลัง ยามโกรธเป็นไฟดูน่ากลัวแล้ว ยามสงบยิ่งดูน่ากลัวกว่าร้อยเท่า คนอื่นที่ไม่รู้ฤทธิ์เดชของหลินเซินต่างพากันหยิบอาวุธประจำกายของตนเองขึ้นมาเตรียมต่อสู้“ขอรับ” นักโทษพยักหน้ายืนยัน“เจ้าเป็นใคร” หัวหน้ากองถามกลับ พยายามต่อต้านพลังของหลินเซินที่สะกดเขาเอาไว้จนเหงื่อผุดเต็มใบหน้า“บอกเขาไป” หลินเซินไม่อยากพูดซ้ำอีกครั้ง จึงให้นักโทษเป็นคนถามหัวหน้ากองเอง ในใจนึกว่าจะได้จังหวะหนีไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะยังโดนล่ามไว้เจรจาแทนเขาอี
เช้าวันต่อมาหลินเซินออกสำรวจพื้นที่รอบ ๆ ว่ามีทหารจิ้งจอกแฝงตัวปะปนกับมนุษย์หรือไม่เพื่อความปลอดภัยของหมิงเฟย แม้ว่าแคว้นแห่งนี้จะมีสัญญาระหว่างเผ่าพันธุ์แต่นั่นก็เป็นเรื่องราวในอดีตนานมาแล้ว เพียงแค่ทำตัวกลมกลืน ไม่ก่อเรื่องราววุ่นวายก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ หากมีทหารจิ้งจอกแปลงกายกระทำป่าเถื่อนย่อมต้องถูกทหารหลวงของแคว้นเพ่งเล็งและตามจับมาลงโทษ แคว้นแห่งนี้จึงได้อยู่อย่างสงบหลายร้อยปีหลังจากเสร็จสิ้นงานช่วงเช้า หลินเซินกลับมาพักผ่อนที่โรงเตี๊ยม โดยมีเจียลี่คอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ ทั้งสองนั่งจิบชาชมนกชมไม้อยู่ริมหน้าต่างสบายอารมณ์เยี่ยนฟางไปเที่ยวในเมืองกับหมิงเฟย นางมองเห็นปลาย่างของโปรดนางอยู่ข้างทาง กลิ่นหอมลอยฟุ้งแตะจมูกจนน้ำลายสอ นางค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้ร้านโดยไม่ให้ใครเห็นแล้วฉกติดมือกลับมาหนึ่งไม้ จากนั้นก็แวะไปที่ร้านไก่ย่างเฒ่าแก่กำลังหมุนไม้ไก่ย่างอยู่บนเตา จังหวะที่เขาหันกลับไปหยิบอีกไม้มาย่าง เยี่ยนฟางรีบฉวยไก่ย่างมาอีกหนึ่งตัว วิชาที่ได้มาตั้งแต่ตอนเป็นแมวช่างมีประโยชน์กับนางเวลาที่ไม่มีเงินติดตัว นางยิ้มน้อยย
หลินเซินงัวเงียจะหลับตานอนกลางวันได้ยินเสียงเยี่ยนฟางร้องเรียกก็ตกใจตื่นทันควัน เขามองหน้าเจียลี่ก่อนจะหายตัวไปช่วยนาง การที่เขาปรากฏตัวกระทันหันในห้องทำให้หญิงสาวเหล่านั้นขวัญหายอย่างกับเจอผีหลอก หลินเซินสะบัดสายลมเบา ๆ เพื่อเตือนให้พวกนางหยุด“ท่าน! ท่านเป็นผู้ใด” หลิวอิงรีบถามเสียงตะกุกตะกัก“อื้ม พวกเจ้าควรแนะนำตัวเองก่อนมิใช่หรือ ทำไมต้องมีแต่คนถามข้าทุกครั้งว่าข้าเป็นใคร ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าทำร้ายคนของข้า” หลินเซินแยกเขี้ยวขู่พวกนาง เขารู้ว่าหญิงสาวข้างหน้าเป็นจิ้งจอกแดง แต่ไม่แน่ใจว่ามีเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับทหารรับจ้างหรือไม่ ครั้นจะลงมือรุนแรงกับสตรีก็คงจะไม่ได้“คุณชาย ช้าก่อน ข้าจะอธิบายให้ท่านฟัง” น้ำเสียงนุ่มลึกของชายผู้หนึ่งดังมาจากด้านหลังม่านหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจากปากชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่ หลินเซินจึงได้รู้ว่าคนที่ทหารรับจ้างต้องการตัวคือเขา เฉิงซาน จิ้งจอกแดงเจ็ดหางผู้นี้หญิงสาวในหอคณิกาส่วนหนึ่งเป็นผู้อพยพจากดินแดนจิ้งจอก พวกนางมีร่องรอยตราประทับนักโทษของดินแดนอยู่ที
เจียลี่ลุกขึ้นมานั่งร้องไห้เป็นเผาเต่าทันทีที่ฟื้นขึ้นมา นางไม่อยากให้หลินเซินต้องทำเช่นนี้ จนหมิงเฟยต้องเข้ามาปลอบใจ“ท่านพี่ ทำใจดี ๆ ไว้เถิด ถ้าเขาเห็นว่าท่านเป็นเช่นนี้ วิญญาณคงจะไม่สงบสุข” หมิงเฟยยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางซับน้ำตา“ข้าขออยู่คนเดียวได้หรือไม่” นางคงยังไม่อยากพูดกับใคร ในใจเศร้าสร้อยเกินจะคิดอะไร“ขอรับ” หมิงเฟยพยักหน้าแล้วเดินออกมานอกห้องในป่าลึกท้ายหมู่บ้าน เยี่ยนฟางกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ น้ำตานองหน้าเพราะนึกถึงสิ่งที่นางทำ ทั้งยังไม่กล้าสู้หน้าหมิงเฟยจึงหลบออกมานั่งคนเดียวครั้นเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ นางจึงเงยหน้ามองผู้มาเยือน“หลินเซินนนน” เยี่ยนฟางกลั้นใจไม่ไหว ร้องไห้โฮจนตัวโยนหลินเซินจึงนั่งลงข้าง ๆ ลูบหัวของนางเหมือนอย่างเคย “จำได้หรือไม่ วันแรกที่ข้าเจอเจ้า”“อื้ม”“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ อย่าโทษตัวเองนักเลย” หลินเซินยื่นขนมหวานให้นาง “หมิงเฟยตามหาเจ้าอยู่ ไม่อยากเ
เวลานี้ หลินเซินจำเรื่องราวในอดีตได้หมดทุกอย่างแล้ว พลังตบะเซียนและร่างกายของเขากลับมาเป็นเช่นเดิม เขาร่ายเวทก้าวเข้าสู่หุบเขากองกระดูกในทันทีการปรากฏตัวของเขาทำให้หมิงเฟยและพรรคพวกรู้สึกโล่งใจ ยามนี้เขาแทบจะทนแรงฟาดฟันของเยี่ยนฟางไม่ไหวแล้ว หลินเซินมองเห็นความโกลาหลที่พื้นเบื้องล่าง เขามองหาเยี่ยนฟางและหมิงเฟยเป็นลำดับแรก จากนั้นก็เคลื่อนที่มาหยุดตรงหน้านางในพริบตา“จงหลับ!” นิ้วชี้ของเขาจิ้มไปหว่างกลางหน้าผากของเยี่ยนฟาง เขาเอื้อมมือคว้าตัวนางเอาไว้ แล้วส่งให้หมิงเฟย จากนั้นตรงดิ่งไปที่ร่างของเจียลี่พูดกับหมิงเฟยว่า “พาคนออกไปจากที่นี่แล้วร่ายเวทหล่อเลี้ยงร่างของนางเอาไว้”หมิงเฟยพยักหน้ารับคำ ครั้นหลินเซินร่ายม่านเขตแดนของตนขึ้นมา หุบเขากองกระดูกที่แสนอึมครึมจึงมีโพรงแห่งแสงสว่างเล็ก ๆ ปรากฏขึ้น“เฉิงซาน ทางนี้” หมิงเฟยตะโกนบอกพรรคพวกเมื่อทุกคนในที่แห่งนี้มองเห็นทางออกต่างพยายามสลัดให้หลุดจากคู่ต่อสู้ของตนเองหลินเซินมองเห็นเทพมารลอยอยู่เหนือเทพอาวุโส กำลังจะร่ายเวทใส่ร่างของเขา เพียงแต่ได้ยินเสียงร้อ
“เทียนจวิน วันนี้มีเรื่องอะไรหรือถึงได้อารมณ์ดี” ซ่งเสวี่ยหยางถามเขา“แค่วันธรรมดาหนึ่งวันบนดินแดนสวรรค์ เห็นเจ้าเพิ่งกลับมาเลยอยากทวงของฝาก” ซ่งเทียนเย่ยิ้มแป้นให้เขา“ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้ไปเที่ยวเล่น ปราบปีศาจที่มีพลังมารก็ทำให้ข้าเหนื่อยไม่น้อย” เขาส่ายหน้าพลางเดินไปที่มุมหนึ่งของตำหนัก “แต่ก็เอาเถอะ ข้าได้ยินมนุษย์พูดกันว่าสุราแคว้นเป่ยรสชาติดีจึงได้ถือติดมือมาด้วย” เขายื่นสิ่งที่พอจะเรียกว่าของฝากให้ซ่งเทียนเย่“เจ้าช่างรู้ใจ ดื่มเป็นเพื่อนกันสักหน่อยดีหรือไม่”หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ออกไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเกาะลอยฟ้าของตำหนักเทพสงคราม ดื่มสุรากันคนละจอกสองจอกพลางพูดคุยเรื่องที่ได้พบเจอในแต่ละวัน“ท่านอา” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยสองคนเรียกซ่งเสวี่ยหยาง เขาหันไปมองต้นเสียงแล้วพูดว่า “พวกเจ้าสองคน ช้า ๆ หน่อย” แต่เด็กทั้งสองกลับวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิมเพราะคิดถึงเขา“เฮ้อ ดูสิ บิดาของเขานั่งอยู่ตรงนี้แท้ ๆ” ซ่งเทียนเย่พูดหยอกผู้เป็นน้องชาย“ช่วยไม่ได้ ข้าไม่อยู่ตำหนักตั้งนาน เอ้า! นี่ของฝากพวกเจ้า” เขาร่ายเวทเรียกไข่ของวิหคเพลิงออก
TW: ความรุนแรง อดีตของหลินเซินและเจียลี่ราวกับเรื่องราวของเยว่เล่อกับนางยังไม่หนักหนาพอ ใต้เท้าหนุ่มเปิดประตูเข้ามาเห็นภาพที่นางกำลังนั่งกอดเขาอยู่บนเตียงจึงเกิดความเดือดดาล ปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อของเยว่เล่อแล้วออกหมัดใส่หน้าเขาไปหนึ่งทีนางรีบวิ่งเข้ามาประคองเขาพยายามห้ามไม่ให้เยว่เล่อโต้ตอบแต่กลับกลายเป็นว่าใต้เท้าหนุ่มยิ่งไม่พอใจที่ผู้หญิงของเขาทำเช่นนั้น“มันเป็นชู้รักของเจ้างั้นรึ” เขาตวาดเสียงดังก้องแล้วเข้าไปกระชากตัวนางจากเยว่เล่อ บีบข้อมือของนางแรงจนช้ำแดงเถือกเยว่เล่อไม่อาจทนเห็นใครทำร้ายนางได้อีก เขาขัดคำสัญญาของนางแล้วพุ่งตรงมาบีบคอของใต้เท้าหนุ่มในทันที เยว่เล่อกัดคอของเขาแล้วสูบเลือดที่มีจนหมดตัว ทิ้งร่างเหี่ยว ๆ กองไว้บนพื้นนางไม่เคยเห็นเขาในสภาพเช่นนี้มาก่อนจึงตกตะลึงไปชั่วขณะแต่แล้วก็เดินมากอดเขาเอาไว้“ไปจากที่นี่กันเถิดนะเยว่เล่อ” นางมองหน้าเขาสายตาอ้อนวอนทั้ง ๆ ที่บริเวณบ้านเงียบงันแต่กลับมีเสียงหนึ่งคล้ายเสียงของใต้เท้าหนุ่มตะโกนโวยวายไม่เป็นเรื่อง คนใช้ในจวนจึงรีบวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาในห้อง ครั้นได้เห็นภาพเ
TW : ความรุนแรง วัยเด็กในอดีตชาติเมื่อเซี่ยวอวี้เทียนถอนดาบครั้งที่สามจากร่างของเจียลี่ นางกระอักเลือดออกมาไม่หยุด ล้มลงไปตามแรงนอนแน่นิ่งกับพื้น น้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวด จากนั้นภาพตรงหน้าก็ดับลงหลินเซินที่อยู่ในความฝันรู้สึกได้ว่าเกิดเรื่องกับเจียลี่ เขาเจ็บแปลบที่หน้าอกอยู่ครู่หนึ่ง ลุกขึ้นเดินกระวนกระวาย ในใจเศร้าระทมไม่รู้ตัวแต่ไม่อาจทำอะไรได้มากจู่ ๆ แสงจากหิ่งห้อยตัวหนึ่งก็ลอยเข้ามาท่ามกลางความมืดมิด พลันภาพอดีตของหลินเซินฉายซ้ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับกลายเป็นอดีตชาติอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เสิ่นชิวหมู่บ้านเล็ก ๆ บนที่ราบอันเขียวขจี เขาเห็นเด็กชายตัวน้อยที่หน้าเหมือนกันราวกับแกะกำลังวิ่งเล่นอยู่ในบริเวณบ้าน พ่อและแม่ของเขากำลังช่วยกันรดน้ำแปลงผักในสวนข้างบ้าน สีหน้าทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสรับกับสภาพท้องฟ้าสีครามฤดูใบไม้ผลิครั้นตกกลางคืน ครอบครัวนี้กำลังจะนอนหลับใหลต้องตื่นตกใจเพราะเสียงระฆังเตือนภัยดังเหง่งหง่าง ผู้เป็นพ่อเปิดประตูออกมาข้างนอกเห็นภาพของโจรป่านับสิบคนกำลังบุกเข้าไปค้นหาเหยื่อทีละบ้าน ๆเขารีบกลับเข้ามาข
“น่าเสียดายอีกแล้ว เจ้านี่โชคดีอะไรเช่นนี้” เสียงลึกลับพูดกับเจียลี่ จนทำให้นางนึกในใจ นี่น่ะหรือโชคดี ถ้าโชคร้ายจะขนาดไหน“ทำไมนางถึงเป็นเช่นนั้น” เจียลี่ได้โอกาสถามเขา ไหน ๆ ก็ไม่มีทางหนี อย่างน้อยถ้าจะตายควรได้รู้ความจริงเผื่อจะช่วยใครได้บ้าง“ข้าควรจะบอกเจ้าดีหรือไม่ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าข้าน่ารำคาญ”“จะบอกก็บอก ไม่ต้องลีลาให้มากนัก” เจียลี่รู้สึกคิดผิดที่ถามเขาไปเช่นนั้น“เจ้ามนุษย์อ่อนด้อย ถ้าไม่ติดว่าเจ้ามีพันธสัญญาเลือด ข้าไม่ปล่อยให้เจ้ามานั่งว่าข้าเช่นนี้หรอก” น้ำเสียงของเขาโมโหขึ้นมาไม่สบอารมณ์ที่ถูกขัดใจ “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เจ้าตั้งใจฟังข้า”สุดท้ายแล้วเขาก็ยอมเล่าให้นางฟัง อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของเขาทำให้เจียลี่ละเหี่ยใจแต่ก็ต้องกัดฟันนั่งฟังให้จบซิ่วอิงมีทั้งข้อผูกมัดคำสาปและพันธสัญญาเลือดระหว่างนางกับเขา ทางเดียวที่จะช่วยเยี่ยนฟาง รวมถึงเซียวอวี้เทียนก็คือต้องฆ่าเขาเท่านั้น“ต้องทำเช่นไรถึงจะฆ่าเจ้าได้” เจียลี
ทันใดนั้นเหล่าลูกสมุนของคนผู้นั้นก็ขึ้นมาจากกองกระดูกด้านล่าง พลังมืดปกคลุมรอบตัวส่งกลิ่นอายความกระหายเลือดเนื้อของคนเป็น เจียลี่บาดเจ็บจากการโจมตีครั้งสุดท้ายมากนัก นางพยายามคลานหนีจากหุ่นเชิดสังหารแต่แรงที่มีกลับถดถอยลงเจียลี่เห็นอาวุธแหลมคมกำลังพุ่งมาทางนาง ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะพลิกตัวหลบ คิดในใจว่าสายไปเสียแล้ว ชีวิตของนางคงสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ นางหลับตาพร้อมยอมรับชะตากรรมจู่ ๆ มีดบินสามเล่มก็กระทบกับลูกธนู เยี่ยนฟางเหลือบเห็นเหตุการณ์พอดีจึงช่วยนางไว้ได้ทัน“ท่านพี่!” เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเยี่ยนฟาง เจียลี่ลืมตาขึ้นถอนหายใจ แล้วเสียงลึกลับก็ดังขึ้นอีกครั้ง“เฮ้อ น่าเสียดาย ๆ” เขาดูจะพอใจที่ได้เห็นเรื่องราวความเป็นความตายของผู้อื่นยิ่งนักเยี่ยนฟางที่เห็นสภาพของเจียลี่เช่นนั้น พยายามหลบหลีกจากการปะทะกับซิ่วอิงให้เร็วที่สุด แต่นางกลับกัดไม่ปล่อย ซิ่วอิงไม่เปิดจังหวะแม้แต่น้อย นางจึงตะโกนบอกหมิงเฟยให้ร่ายม่านเขตแดนปกป้องเจียลี่เพราะพลังเซียนของนางกำลังถดถอยเมื่อมีม่านเขตแดนของหมิงเฟยเป็นเกราะกำบัง ลูกสม
ขณะที่เยี่ยนฟางและเจียลี่กำลังช่วยกันหาทางออกจากหุบเขากองกระดูกอยู่ข้างบน จู่ ๆ ซิ่วอิงโผล่มาตวัดแส้รัดข้อเท้าของเจียลี่แล้วลากนางลอยออกมาอย่างรวดเร็วจนเยี่ยนฟางคว้าไว้ไม่ทัน ร่างของเจียลี่กระแทกไปตามพื้นขรุขระจนได้แผล“วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้” ซิ่วอิงคิดจะแก้แค้นที่เซียวอวี้เทียนสังหารหนิงเหอ นางเอาความโกรธมาลงที่เจียลี่เพราะรู้ว่าเซียวอวี้เทียนรักเจียลี่มากเพียงใด อีกทั้งคนผู้นั้นยังเห็นดีเห็นงามด้วยเพราะนางเป็นคนที่หลินเซินรักมากเช่นกัน หากทำลายนางได้แล้ว หลินเซินคงจะแตกสลายไปเองโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไร เพียงเท่านี้ก็จะไม่มีใครขัดขวางแผนการของเขาได้อีก“ฝันไปเถอะ” เยี่ยนฟางปามีดบินใส่นางจนเผลอปล่อยเจียลี่ “กล้าทำร้ายนาง ไม่กลัวเขาหรืออย่างไร” นางเตือนสติซิ่วอิงถึงสิ่งที่หลินเซินเคยพูดไว้“หลินเซินผู้นั้น ไม่มีทางทำอะไรข้าได้หรอก เวลานี้แม้แต่จะออกจากความฝันยังทำไม่ได้” ซิ่วอิงไม่มีความเกรงกลัวสิ่งใดเหลืออยู่ นางโกรธแค้นจนอยากจะกำจัดทุกสิ่งที่ทำร้ายเผ่าของนางเยี่ยนฟางกันเจียลี่ไว้ข้างหลัง นางถือมีดบินสามเล
ผู้คนที่ถูกมือลึกลับดึงผ่านหลุมดำต่างปรากฏตัวอยู่ที่หุบเขากองกระดูกด้วยความมึนงง ภาพสยดสยองของโครงกระดูกกองพะเนินเป็นภูเขา อีกทั้งร่างเหือดแห้งไร้เลือดเนื้อยังทำให้คนที่พบเห็นแทบจะคลื่นเหียนอาเจียนออกมาในทันใด มนุษย์ธรรมดาล้มทั้งยืนปล่อยให้ลูกสมุนของคนผู้นั้นดูดกลืนพลังชีวิตได้โดยง่าย แต่เผ่าพันธุ์อื่น ๆ และเทพเซียนดินแดนสวรรค์ยังพอจะตั้งสติได้เร็วกว่าจึงปกป้องตัวเองได้บ้าง“เยี่ยนฟาง” หลังจากที่ตกลงมาพร้อมกัน ทั้งคู่กระเด็นไปคนละทาง เจียลี่พยายามวิ่งหลบลูกสมุนที่กำลังเล่นโยนหัวกระโหลกสนุกสนานไปอีกทาง“ท่านพี่ ท่านมาหลบอยู่หลังข้า” นางดึงมือเจียลี่แล้วร่ายม่านเขตแดนที่หลินเซินเคยสอนเอาไว้ แม้ยามนี้จะกลัวพลังมืดที่อยู่ตรงหน้าแต่นางก็พร้อมสู้ไม่หวั่น“หาทางหนีออกจากที่นี่ก่อนเถิด” เจียลี่กระซิบบอกนางให้ถอยหลังไปตรงที่ไม่มีใครอยู่เพื่อดูลาดเลา เสียงร้องโหยหวนสลับกับเสียงหัวเราะของผู้ที่เหนือกว่าดังสลับกันเป็นระยะคล้ายกับเสียงหลอกหลอนจนแทบจะประคองสติไว้ไม่อยู่ทันทีที่หมิงเฟยโฟล่มายังที่แห่งนี้ จักรพรรดิจิ้งจอกไม่รอให้เขาได