หลังจากเดินมาพักหนึ่ง เสียงของคนด้านในเริ่มดังใกล้เข้ามา บ้างพูดคุยโวโอ้อวด บ้างหัวเราะสนุกสนาน หลินเซินก้าวเท้าเข้าไปกลางวงล้อมอย่างไม่สนหัวผู้ใด เขาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าคนผู้หนึ่ง ดูท่าทางจะเป็นหัวหน้าอย่างที่เจ้านักโทษบอก ราวกับการเคลื่อนไหวของเขาแยบยล เงียบเชียบ ไม่มีใครได้ทันตั้งรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่คิดว่าจะมีคนกล้าเข้ามาเหยียบหยามถึงในรังของตน
“เจ้านี่น่ะหรือ หัวหน้าที่เจ้าพูดถึง” หลินเซินร่ายเวทมัดตัวชายผู้นั้นไว้ไม่ให้ขยับ เขายืนถามอย่างใจเย็นเสียจนนักโทษรู้สึกเสียวสันหลัง ยามโกรธเป็นไฟดูน่ากลัวแล้ว ยามสงบยิ่งดูน่ากลัวกว่าร้อยเท่า คนอื่นที่ไม่รู้ฤทธิ์เดชของหลินเซินต่างพากันหยิบอาวุธประจำกายของตนเองขึ้นมาเตรียมต่อสู้
“ขอรับ” นักโทษพยักหน้ายืนยัน
“เจ้าเป็นใคร” หัวหน้ากองถามกลับ พยายามต่อต้านพลังของหลินเซินที่สะกดเขาเอาไว้จนเหงื่อผุดเต็มใบหน้า
“บอกเขาไป” หลินเซินไม่อยากพูดซ้ำอีกครั้ง จึงให้นักโทษเป็นคนถามหัวหน้ากองเอง ในใจนึกว่าจะได้จังหวะหนีไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะยังโดนล่ามไว้เจรจาแทนเขาอี
เช้าวันต่อมาหลินเซินออกสำรวจพื้นที่รอบ ๆ ว่ามีทหารจิ้งจอกแฝงตัวปะปนกับมนุษย์หรือไม่เพื่อความปลอดภัยของหมิงเฟย แม้ว่าแคว้นแห่งนี้จะมีสัญญาระหว่างเผ่าพันธุ์แต่นั่นก็เป็นเรื่องราวในอดีตนานมาแล้ว เพียงแค่ทำตัวกลมกลืน ไม่ก่อเรื่องราววุ่นวายก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ หากมีทหารจิ้งจอกแปลงกายกระทำป่าเถื่อนย่อมต้องถูกทหารหลวงของแคว้นเพ่งเล็งและตามจับมาลงโทษ แคว้นแห่งนี้จึงได้อยู่อย่างสงบหลายร้อยปีหลังจากเสร็จสิ้นงานช่วงเช้า หลินเซินกลับมาพักผ่อนที่โรงเตี๊ยม โดยมีเจียลี่คอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ ทั้งสองนั่งจิบชาชมนกชมไม้อยู่ริมหน้าต่างสบายอารมณ์เยี่ยนฟางไปเที่ยวในเมืองกับหมิงเฟย นางมองเห็นปลาย่างของโปรดนางอยู่ข้างทาง กลิ่นหอมลอยฟุ้งแตะจมูกจนน้ำลายสอ นางค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้ร้านโดยไม่ให้ใครเห็นแล้วฉกติดมือกลับมาหนึ่งไม้ จากนั้นก็แวะไปที่ร้านไก่ย่างเฒ่าแก่กำลังหมุนไม้ไก่ย่างอยู่บนเตา จังหวะที่เขาหันกลับไปหยิบอีกไม้มาย่าง เยี่ยนฟางรีบฉวยไก่ย่างมาอีกหนึ่งตัว วิชาที่ได้มาตั้งแต่ตอนเป็นแมวช่างมีประโยชน์กับนางเวลาที่ไม่มีเงินติดตัว นางยิ้มน้อยย
หลินเซินงัวเงียจะหลับตานอนกลางวันได้ยินเสียงเยี่ยนฟางร้องเรียกก็ตกใจตื่นทันควัน เขามองหน้าเจียลี่ก่อนจะหายตัวไปช่วยนาง การที่เขาปรากฏตัวกระทันหันในห้องทำให้หญิงสาวเหล่านั้นขวัญหายอย่างกับเจอผีหลอก หลินเซินสะบัดสายลมเบา ๆ เพื่อเตือนให้พวกนางหยุด“ท่าน! ท่านเป็นผู้ใด” หลิวอิงรีบถามเสียงตะกุกตะกัก“อื้ม พวกเจ้าควรแนะนำตัวเองก่อนมิใช่หรือ ทำไมต้องมีแต่คนถามข้าทุกครั้งว่าข้าเป็นใคร ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าทำร้ายคนของข้า” หลินเซินแยกเขี้ยวขู่พวกนาง เขารู้ว่าหญิงสาวข้างหน้าเป็นจิ้งจอกแดง แต่ไม่แน่ใจว่ามีเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับทหารรับจ้างหรือไม่ ครั้นจะลงมือรุนแรงกับสตรีก็คงจะไม่ได้“คุณชาย ช้าก่อน ข้าจะอธิบายให้ท่านฟัง” น้ำเสียงนุ่มลึกของชายผู้หนึ่งดังมาจากด้านหลังม่านหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจากปากชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่ หลินเซินจึงได้รู้ว่าคนที่ทหารรับจ้างต้องการตัวคือเขา เฉิงซาน จิ้งจอกแดงเจ็ดหางผู้นี้หญิงสาวในหอคณิกาส่วนหนึ่งเป็นผู้อพยพจากดินแดนจิ้งจอก พวกนางมีร่องรอยตราประทับนักโทษของดินแดนอยู่ที
ช่วงเช้าวันต่อมาหลังจากหลินเซินรักษาบาดแผลของเฉิงซานเสร็จเรียบร้อย ทุกคนจึงนั่งวางแผนบุกเข้าช่วยน้องชายและพรรคพวกของเขา เฉิงซานเล่าว่าตอนที่แยกทางกับน้องชาย เขาวิ่งหนีตามแนวป่ามาเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างช่วยเหลือเขาอยู่ จู่ ๆ ก็พบว่าตนเองโผล่มาที่แคว้นเป่ยโดยไม่รู้ตัว คล้ายกับว่าเป็นทางลับที่ไม่มีใครรู้มาก่อน ครั้งนี้เขาจึงวางแผนจะใช้เส้นทางเดิมกลับไปที่นั่น“พวกทหารฝั่งนั้นต้องคิดไม่ถึงว่าข้าจะกล้ากลับเข้าไปอีกแน่นอน” เฉิงซานคาดการณ์ไว้ว่าจะไม่มีการปะทะกันเกิดขึ้น การรักษาเวรยามที่คุกใต้ดินไม่ได้แน่นหนามากนัก เพราะด้านในมีทางเดินสลับซับซ้อน เส้นทางหลอกมากมายถูกอำพรางไว้อย่างมิดชิด หากมีผู้ใดหลงเข้าไปก็มักจะไม่ได้กลับออกมาตอนที่เขาถูกจับ เขาจดจำเส้นทางทั้งหมดไว้ได้แล้ว และเขาจะเป็นคนลงไปช่วยน้องชายด้วยตัวเอง “ตอนที่ข้าหนีมาได้รับบาดเจ็บเจียนตาย พวกนั้นคงไม่คิดว่าจะกลับไปช่วยเขาได้เร็วขนาดนั้นหรอก”“เพียงแต่ว่าพรรคพวกที่เหลือถูกจับแยกไปที่กักขังอีกแห่งที่อยู่ไม่ไกลจากที่นั่น หากจะทำการชิงตัวคนขอ
เมื่อเรือจอดเทียบท่า เฉิงซานพาหมิงเฟยและเยี่ยนฟางตรงไปที่คุกใต้ดิน ไม่มีใครรู้ว่าทางลับเชื่อมระหว่างดินแดนจิ้งจอกกับเมืองหลวงแคว้นเป่ยจะอยู่ใกล้กับคุกใต้ดิน จากมุมมองของคนใน คุกใต้ดินแห่งนี้อยู่ด้านในสุดของอาณาจักร ยากต่อการบุกเข้ามาจึงมีทหารเฝ้าประตูคุกเพียงหยิบมือ เฉิงซานเป็นคนเดียวที่จำแผนที่ข้างในได้จึงรออยู่อีกฝั่งหนึ่งหมิงเฟยร่ายเวทให้ยามพวกนี้หลับในแต่ยังคงสภาพให้เหมือนกับว่าทหารยามพวกนี้กำลังตื่นอยู่ สั่งให้เดินตรวจพื้นที่ตามเวรยามปกติไม่ให้คนอื่นผิดสังเกต แล้วให้เยี่ยนฟางยืนเฝ้าต้นทางคอยกันคนอื่นไม่ให้เข้าไปข้างใน“รักษาตัวด้วย” เยี่ยนฟางบอกพวกเขาหมิงเฟยและเฉิงซานเดินตามทางในแผนที่ คุกใต้ดินแห่งนี้มีสภาพเปียกชื้น ด้านข้างมีรอยแตกรั่วจนน้ำซึมออกมา ตะไคร่เขียวเกาะตามบันไดทางเดิน ปากทางเข้าที่พอมีแสงส่องเข้ามาบ้างทำให้พอมองเห็นทาง แต่หากเดินเข้าไปข้างในแล้วมีเพียงแสงเทียนบางเบาเป็นระยะเท่านั้นเสียงสะท้อนของลมหายใจตัวเองทำให้รู้ว่าไม่ได้อยู่ในความฝันอันมืดมิด ทุกย่างก้าวที่สัมผัสพื้นด้านล่างทำให้เขานึกถึงคืนวันอันเลวร้ายยามถูกกักขัง เผ
คืนนั้นหลินเซินช่วยรักษาบาดแผลให้เฉิงเซียวและพรรคพวกที่หนีออกมาจนรุ่งเช้า อาการของพวกเขาดีขึ้นจากเดิมมาก เหลือแค่ทานยาเพียงไม่กี่วันก็จะกลับมาแข็งแรงเช่นเดิม หลังจากนั้นหลินเซินจึงกลับมาพักที่โรงเตี๊ยมนอนหลับไปหนึ่งวันเต็มเพื่อฟื้นฟูพลัง“หลินเซิน ตื่นแล้วหรือ” เจียลี่เห็นเขาลืมตาจึงถามไถ่อาการของเขา พลางยื่นจอกน้ำค้างยามเช้า“อื้ม ข้าแค่รู้สึกเพลีย” เขายักยิ้ม เยี่ยนฟางกับหมิงเฟยจึงพลอยโล่งใจไปด้วย“ท่านพี่หักโหมใช้เวทรักษามากไปแล้ว” นางบ่นอุบอิบด้วยความเป็นห่วง จริง ๆ แล้วจิ้งจอกแดงเหล่านั้นต่างมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนทั่วไป หากไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพิ่มขึ้นมา ร่างกายก็จะค่อย ๆ เยียวยาตนเองจนหายดี แม้จะใช้เวลาหลายอาทิตย์ก็ตามหลินเซินลูบหัวเยี่ยนฟาง “ยิ่งหายเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมิใช่หรือ” เฉิงเซียวบอกกับทุกคนว่าเผ่าจิ้งจอกแดงที่ถูกกักขังไม่ได้มีแค่พวกเขาเพียงเท่านั้น หลายหมู่บ้านข้างในดินแดนยังคงมีคนอื่น ๆ รอคอความช่วยเหลือจากพวกเขาอยู่แม้คนเหล่านั้นจะไม่ถูกทรมานอย่
กาลครั้งหนึ่ง ณ ดินแดนสวรรค์เซียนน้อยหยางซือซือนั่งเล่นอยู่บนก้อนเมฆน้อยที่ลอยไปลอยมารอบตำหนัก วันนี้นางจัดการภาระงานทั้งหมดได้เสร็จลุล่วงจึงมีเวลาพักผ่อนหย่อนใจเร็วกว่าที่คิดไว้ พลันสายตาเหลือบเห็นเงาตะคุ่มอยู่ในกลุ่มเมฆด้านหน้าจึงกระโดดเข้าไปดูใกล้ ๆหยางซือซือผู้ใสซื่ออ่อนต่อโลกนั้นไม่ทันได้ระวังตัว ทั้งยังไม่คิดมาก่อนว่าที่แห่งนี้จะมีผู้ใดแวะเวียนผ่านมากระโดดไปชนกับร่างใครบางคนพอดิบพอดีจนร่างบางของนางแทบจะปลิวตกก้อนเมฆ เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นหันมาคว้าข้อมือเอาไว้ทันจึงรอดไปได้อย่างหวุดหวิด“เอ่อ ขอบคุณท่านเซียนที่ช่วยเหลือแล้วก็ขออภัยท่านด้วย เป็นข้าเองที่ไม่ทันระวัง” หยางซือซือยืนเก้ ๆ กัง ๆ ทำตัวไม่ถูก ดูจากรูปร่างหน้าตา ท่าทางและเครื่องอาภรณ์ของเขาแล้ว คงจะเป็นเซียนที่อยู่ตำแหน่งสูงกว่านางเป็นแน่ นางไม่ค่อยได้เจอผู้คนมากนัก เรื่องพิธีต่าง ๆ จึงไม่จดจำไว้สักเท่าใด“อย่าโทษตนเองเลย ข้าก็มีส่วนผิด ท่านบาดเจ็บที่ใดหรือไม่” เขาถามนางอย่างสุภาพนอบน้อม ในใจนึกสงสัยทำไมที่ห่างไกลเพียงนี้ถึงได้มีเซียนน้อยอาศัย
วันเกิดเหตุการณ์วิหคเพลิงป่วนตำหนักโคมดวงจิต หยาง ซือซือถูกตัดสินโทษให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์และบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้น แม้เซียวอวี้เทียนจะรู้สึกไม่พอใจกับการตัดสินโทษในครั้งนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยนางได้ ทั้งยังถูกเทียนจวินเรียกพบเพื่อหารืองานหมั้นหมายระหว่างเทพสงครามเซียวอวี้เทียนและเทพอัคคีซ่งอี้ผู้เป็นธิดาของเขา“ซ่งอี้ วิหคเพลิงตัวนั้นเป็นของท่านใช่หรือไม่” เซียวอวี้เทียนถามนางด้วยความสงสัย “เป็นเรื่องแปลกนักที่พบสัตว์พาหนะของท่านในที่ห่างไกลอย่างตำหนักโคมดวงจิต” เขาจ้องมองซ่งอี้อย่างจับพิรุธ มีหรือที่เทพระดับนางจะควบคุมสัตว์พาหนะของตนไม่ได้“วิหคเพลิงในตำหนักของข้ามีอยู่ทั่วไป เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น” ซ่งอี้เฉไฉไม่ยอมรับ นางรู้สึกหงุดหงิดที่เขาจี้ถามนางอยู่อย่างนั้น“ท่านมีธุระอันใดที่นั่น” เซียวอวี้เทียนย้อนถามนางอีกครั้ง“แล้วเทพสงครามอย่างท่านมีเหตุอันใดที่ต้องไป ซ้ำยังสนิทสนมกับเซียนน้อยถึงเพียงนั้น ท่านควรเกรงใจข้าบ้าง เรื่องหมั้นหมายของเราในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า...&rdquo
เซียวอวี้เทียนเพิ่งออกมาจากห้องทรงงานของเทียนจวิน เขารีบตรงดิ่งไปยังลานจุติ เพียงแต่ว่ามาช้าไปก้าวเดียว เขาเห็นเพียงแผ่นหลังของนางที่กำลังหายลับไปโดยไม่ได้กล่าวลา นึกเสียใจอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะทำอะไรดูจะไม่ทันการณ์ไปทุกอย่าง พอเห็นนางต้องเผชิญด่านเคราะห์ยาวนานก็นึกเป็นห่วงจึงไปหาซือมิ่งที่ตำหนักเพื่อถามข่าวคราว“เทพสงคราม ท่านมีอะไรหรือ” ซือมิ่งออกมาต้อนรับเขาหน้าตำหนักตอนเช้าตรู่ เห็นสีหน้าของเขาจึงถามออกมา“ซือมิ่ง ข้ามีเรื่องรบกวนท่าน” เซียวอวี้เทียนเขยิบเข้ามาใกล้ แม้ทั้งสองจะสนิทกันมากแต่เมื่อซือมิ่งได้ยินเรื่องที่เขาอยากรบกวนแล้วต้องรีบปฏิเสธในทันที“ไม่ได้ ๆ เรื่องนี้อย่ารบกวนข้าเลย” ซือมิ่งถอยห่างหนึ่งก้าว ยกมือปัดไปมาพัลวัน“ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ขอมากมายเสียหน่อย เห็นแก่ที่เป็นเพื่อนกันมานาน ท่านช่วยข้าหน่อยเถอะ นี่สุราดอกท้อของท่าน ของดีที่หนึ่งในแคว้นเป่ย ยกให้ท่านหมดเลย” เซียวอวี้เทียนพยายามหว่านล้อมซือมิ่งอยู่พักใหญ่จนเขาไม่เป็นอันทำงานอื่น ๆ“ดูสิ ดูสิ เทพสงครามผู้นี้ติดสินบนข้า ว่าแต่
เช้าวันต่อมาเยี่ยนฟางมาหาหมิงเฟยที่ห้องเพราะทั้งสองต้องไปเก็บน้ำค้างยามเช้ามาให้หลินเซิน ปกติแล้วหมิงเฟยจะต้องออกไปรอนางที่หน้าห้อง เพียงแต่ว่าวันนี้เขากลับตื่นสายจนนางต้องมาตาม“หมิงเฟย ตื่นได้แล้ว” เยี่ยนฟางคิดว่าเขาคงจะเมาค้างจากฤทธิ์สุรา นางตั้งใจเดินมาปลุกเขาใกล้ ๆ แต่เมื่อเห็นเหงื่อผุดเต็มใบหน้า ทั้งยังสีหน้าของหมิงเฟยดูเจ็บปวด นางก็รีบปลุกเขาให้ตื่น “หมิงเฟย หมิงเฟย” กระนั้นเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว เยี่ยนฟางจึงรีบวิ่งไปหาหลินเซินที่ห้องข้าง ๆ“ท่านพี่ หมิงเฟยเป็นอะไรไม่รู้” น้ำเสียงกังวลของนางทำให้หลินเซินรีบวิ่งไปดูเขา“ท่านพี่ หมิงเฟยเป็นอะไรหรือ” เยี่ยนฟางถามเขาด้วยความเป็นห่วง นางไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้ เจียลี่จึงกอดนางเอาไว้รอฟังคำตอบของเขา“พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าพอจะรู้สาเหตุ ออกไปรอข้าข้างนอกเถิด จะได้ไม่กระวนกระวายใจมากนัก” เจียลี่พยักหน้าให้เขาแล้วพาเยี่ยนฟางออกไปรอที่ห้องของนาง“เจ้าทำให้เขาเป็นเช่นนี้หรือ” หลินเซินโพล่งออกมา เขา
ยามค่ำคืนแสงจันทร์สีนวลทรงกลด ผู้คนในเมืองหลวงต่างออกมาเดินเล่นเทศกาลประจำปีกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ตามบ้านเรือนและร้านค้าประดับไฟหลากสีสลับกัน บางจังหวะกระพริบวิบวับมีลูกเล่นตระการตา พ่อค้าแม่ค้าตั้งร้านเรียงรายสองข้างถนนตลอดทาง ทั้งยังมีการแสดงจากคณะละครคอยเรียกเสียงฮาจากผู้คนที่ผ่านไปมาหลินเซินและคนอื่น ๆ เลือกที่จะดื่มฉลองกันที่โรงเตี๊ยมเพื่อหลีกหนีจากผู้คน ภายในโรงเตี๊ยม เฒ่าแก่ผู้เป็นเจ้าของก็จัดงานใหญ่โตไม่แพ้ที่อื่น หลินเซินได้ส่วนลดเพราะอาศัยอยู่ที่แห่งนี้มานานจนแทบจะเป็นบ้านหลังที่สองของเขาในเมืองนี้ คืนนี้จึงรับเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารทุกคนโดยนำเงินเก็บที่ได้จากการทำงานเล็กน้อยอย่างขายโสมป่าและเห็ดหายากให้ร้านสมุนไพรในเมืองขณะที่ทุกคนเพลิดเพลินกับการแสดงร่ายระบำของหญิงสาวจากทางตะวันตก หลินเซินก็รับรู้ได้ว่าสายตาของนางผู้นั้นกำลังใกล้เข้ามา นางเดินมาทักทายเขาที่นั่งอยู่มุมโต๊ะอย่างมีเจตนา นางสวมชุดสีแดงสดกับเครื่องประดับสีทอง เสื้อผ้าพลิ้วไหวดูบางเบา เรือนผมยาวสยายสีดำขลับตัดกับผิวขาวนวลเนียน ทันทีที่เห็นสาวงามเข้าใกล้หลินเซินเกินควร เ
หลินเซินได้เห็นช่วงเวลาต่าง ๆ ในความฝันจึงได้รู้ว่านางคือลู่ฟางหรง หญิงสาวเผ่ากวางนำทางกับเด็กชายคนหนึ่ง เสิ่นชิวที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาหน้าตาเหมือนเขา“หยุดเถิด” เขาห้ามปรามให้นางปลดปล่อยเขาจากความฝัน หากแต่นางยังคงไม่ย่อท้อ ลู่ฟางหรงเห็นสีหน้าของเขาก็เข้าใจว่าเขาเริ่มจำนางได้แล้ว ทว่าเหมือนบางสิ่งกำลังขวางกั้นไม่ให้หลินเซินจำภาพทั้งหมดได้ ภาพความฝันในอดีตที่นางสร้างขึ้นมาเริ่มมีคนที่นางไม่อยากเห็นหน้าปรากฏตัว“ข้าไม่ยอม” นางกล่าวสั้น ๆ กับเขาก่อนจะหายตัวไป หลินเซินงัวเงียสะดุ้งตื่น รู้สึกแปลกใจที่ฝันเช่นนี้ แต่เขาไม่รู้ว่าความฝันนั้นคืออดีตชาติของตนเอง จึงหลับตานอนต่อจนถึงรุ่งเช้าเจียลี่ยกน้ำค้างยามเช้ามาให้เขาที่ห้อง นางเห็นขอบตาดำทั้งสองข้างของเขาแล้วนึกขำ “หลินเซิน เมื่อคืนนอนไม่หลับหรืออย่างไร”“ข้าแค่ฝันแปลก” เขาพยายามนึกว่าฝันอะไรไปแล้วบ้างแต่ก็ลืมเสียหมดสิ้น “ไม่เป็นอะไรหรอก ข้าลืมไปแล้ว จำได้ลาง ๆ ว่าเห็นเจ้าในความฝัน” หลินเซินยิ้มให้นาง แต่แล้วก็รู้สึกได้ว่า
เช้าวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ เจียลี่ชวนทุกคนออกไปนั่งเล่นชมสวนที่ริมลำธารในเขตป่าของแคว้นเป่ย เยี่ยนฟางนั่งอยู่บนโขดหินกลางสายน้ำไหลเอื่อยกับหลิวอิง ทั้งคู่หย่อนขาลงไปแช่ในน้ำใสเย็น สายตาจ้องมองปลาตัวเล็กแหวกว่ายไปมา ด้านหมิงเฟยเดินตามหลังถังลี่ฮวาคอยถือตะกร้าดอกไม้ใบใหญ่“ถังลี่ฮวา” เขาหยิบดอกไม้สีชมพูหวานทัดที่เรือนผมสลวยของนางแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ถังลี่ฮวายิ้มเขินรีบเปลี่ยนเรื่อง “ไปดูผีเสื้อตรงโน้นกันเถอะ” แล้วจูงมือเขาไปพร้อมกันสายลมพัดพากลิ่นดอกไม้หลากหลายชนิดหอมฟุ้งอบอวลทั่วทั้งป่า หลินเซินที่นั่งหลบอยู่ใต้ต้นไม้มองทุกคนพลางจิบน้ำชาดอกท้อ ครั้นผ่านมาสักพักหัวของเขาก็ค่อย ๆ เอนลงมาซบไหล่ของเจียลี่อย่างเป็นธรรมชาติ“หลินเซิน ง่วงนอนแล้วหรือ” เจียลี่ลูบใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน “เจ้าจะกินขนมไปหลับไปไม่ได้นะ” นางก้มมองดูใบหน้าของเขา พอเห็นว่าหลินเซินหลับตาพริ้มจึงหยิบขนมที่เขาถือไว้มาเก็บ แล้วค่อย ๆ ขยับศีรษะมาหนุนที่ตักของนางสายตาของนางจ้องมองใบหน้าของเขาเนิ่นนาน ใบหน้า รูปคิ้
ด้านหน้าหอคณิกา หมิงเฟยชะเง้อคอยาวมองหาถังลี่ฮวามาพักหนึ่ง เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ถอยหลังกลับมาหนึ่งก้าว เดินวนไปทางซ้ายที แล้วหันกลับมามองเยี่ยนฟางที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ สายตาละห้อยลังเลใจของเขาทำให้เยี่ยนฟางส่ายหัว นางโบกมือเป็นสัญญาณให้เขาเข้าไปได้แล้ว มิเช่นนั้นเที่ยงวันนางก็คงยังไม่ได้กินข้าวเช้าเป็นแน่“ไปสักทีเถอะ ข้าขอร้อง เจ้าจะอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม” เยี่ยนฟางตะโกนถามเขา ท้องร้องโครกครากหิวข้าวจนแทบจะแทะต้นไม้แถวนั้นหมิงเฟยยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ต่อไป สีหน้าวิตกกังวล แกว่งถุงเสื้อผ้าที่ซื้อมาฝากถังลี่ฮวาไปมา เยี่ยนฟางจึงเดินออกจากที่ซ่อนแล้วคว้ามือของเขาเข้าไปด้านในด้วยกัน“ดะ เดี๋ยวก่อนเยี่ยนฟาง เดี๋ยวก่อน” หมิงเฟยร้องห้ามแทบไม่ทัน พยายามดึงตัวเยี่ยนฟางเอาไว้“มัวแต่ยืนอยู่ตรงนี้ แล้วเมื่อใดจะได้พบนาง โน่น! เจ้าเห็นไหม คุณชายท่านนั้นกำลังเดินไปหานางแล้ว” เยี่ยนฟางชี้ให้ดูบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง ด้านหลังมีคนรับใช้แบกหีบลังใหญ่ตามไปด้วย หลังจากที่เห็นเช่นนั้น หมิงเฟยไม่ลังเลอีกต่อไป เขารี
เซียวอวี้เทียนเพิ่งออกมาจากห้องทรงงานของเทียนจวิน เขารีบตรงดิ่งไปยังลานจุติ เพียงแต่ว่ามาช้าไปก้าวเดียว เขาเห็นเพียงแผ่นหลังของนางที่กำลังหายลับไปโดยไม่ได้กล่าวลา นึกเสียใจอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะทำอะไรดูจะไม่ทันการณ์ไปทุกอย่าง พอเห็นนางต้องเผชิญด่านเคราะห์ยาวนานก็นึกเป็นห่วงจึงไปหาซือมิ่งที่ตำหนักเพื่อถามข่าวคราว“เทพสงคราม ท่านมีอะไรหรือ” ซือมิ่งออกมาต้อนรับเขาหน้าตำหนักตอนเช้าตรู่ เห็นสีหน้าของเขาจึงถามออกมา“ซือมิ่ง ข้ามีเรื่องรบกวนท่าน” เซียวอวี้เทียนเขยิบเข้ามาใกล้ แม้ทั้งสองจะสนิทกันมากแต่เมื่อซือมิ่งได้ยินเรื่องที่เขาอยากรบกวนแล้วต้องรีบปฏิเสธในทันที“ไม่ได้ ๆ เรื่องนี้อย่ารบกวนข้าเลย” ซือมิ่งถอยห่างหนึ่งก้าว ยกมือปัดไปมาพัลวัน“ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ขอมากมายเสียหน่อย เห็นแก่ที่เป็นเพื่อนกันมานาน ท่านช่วยข้าหน่อยเถอะ นี่สุราดอกท้อของท่าน ของดีที่หนึ่งในแคว้นเป่ย ยกให้ท่านหมดเลย” เซียวอวี้เทียนพยายามหว่านล้อมซือมิ่งอยู่พักใหญ่จนเขาไม่เป็นอันทำงานอื่น ๆ“ดูสิ ดูสิ เทพสงครามผู้นี้ติดสินบนข้า ว่าแต่
วันเกิดเหตุการณ์วิหคเพลิงป่วนตำหนักโคมดวงจิต หยาง ซือซือถูกตัดสินโทษให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์และบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้น แม้เซียวอวี้เทียนจะรู้สึกไม่พอใจกับการตัดสินโทษในครั้งนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยนางได้ ทั้งยังถูกเทียนจวินเรียกพบเพื่อหารืองานหมั้นหมายระหว่างเทพสงครามเซียวอวี้เทียนและเทพอัคคีซ่งอี้ผู้เป็นธิดาของเขา“ซ่งอี้ วิหคเพลิงตัวนั้นเป็นของท่านใช่หรือไม่” เซียวอวี้เทียนถามนางด้วยความสงสัย “เป็นเรื่องแปลกนักที่พบสัตว์พาหนะของท่านในที่ห่างไกลอย่างตำหนักโคมดวงจิต” เขาจ้องมองซ่งอี้อย่างจับพิรุธ มีหรือที่เทพระดับนางจะควบคุมสัตว์พาหนะของตนไม่ได้“วิหคเพลิงในตำหนักของข้ามีอยู่ทั่วไป เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น” ซ่งอี้เฉไฉไม่ยอมรับ นางรู้สึกหงุดหงิดที่เขาจี้ถามนางอยู่อย่างนั้น“ท่านมีธุระอันใดที่นั่น” เซียวอวี้เทียนย้อนถามนางอีกครั้ง“แล้วเทพสงครามอย่างท่านมีเหตุอันใดที่ต้องไป ซ้ำยังสนิทสนมกับเซียนน้อยถึงเพียงนั้น ท่านควรเกรงใจข้าบ้าง เรื่องหมั้นหมายของเราในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า...&rdquo
กาลครั้งหนึ่ง ณ ดินแดนสวรรค์เซียนน้อยหยางซือซือนั่งเล่นอยู่บนก้อนเมฆน้อยที่ลอยไปลอยมารอบตำหนัก วันนี้นางจัดการภาระงานทั้งหมดได้เสร็จลุล่วงจึงมีเวลาพักผ่อนหย่อนใจเร็วกว่าที่คิดไว้ พลันสายตาเหลือบเห็นเงาตะคุ่มอยู่ในกลุ่มเมฆด้านหน้าจึงกระโดดเข้าไปดูใกล้ ๆหยางซือซือผู้ใสซื่ออ่อนต่อโลกนั้นไม่ทันได้ระวังตัว ทั้งยังไม่คิดมาก่อนว่าที่แห่งนี้จะมีผู้ใดแวะเวียนผ่านมากระโดดไปชนกับร่างใครบางคนพอดิบพอดีจนร่างบางของนางแทบจะปลิวตกก้อนเมฆ เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นหันมาคว้าข้อมือเอาไว้ทันจึงรอดไปได้อย่างหวุดหวิด“เอ่อ ขอบคุณท่านเซียนที่ช่วยเหลือแล้วก็ขออภัยท่านด้วย เป็นข้าเองที่ไม่ทันระวัง” หยางซือซือยืนเก้ ๆ กัง ๆ ทำตัวไม่ถูก ดูจากรูปร่างหน้าตา ท่าทางและเครื่องอาภรณ์ของเขาแล้ว คงจะเป็นเซียนที่อยู่ตำแหน่งสูงกว่านางเป็นแน่ นางไม่ค่อยได้เจอผู้คนมากนัก เรื่องพิธีต่าง ๆ จึงไม่จดจำไว้สักเท่าใด“อย่าโทษตนเองเลย ข้าก็มีส่วนผิด ท่านบาดเจ็บที่ใดหรือไม่” เขาถามนางอย่างสุภาพนอบน้อม ในใจนึกสงสัยทำไมที่ห่างไกลเพียงนี้ถึงได้มีเซียนน้อยอาศัย
คืนนั้นหลินเซินช่วยรักษาบาดแผลให้เฉิงเซียวและพรรคพวกที่หนีออกมาจนรุ่งเช้า อาการของพวกเขาดีขึ้นจากเดิมมาก เหลือแค่ทานยาเพียงไม่กี่วันก็จะกลับมาแข็งแรงเช่นเดิม หลังจากนั้นหลินเซินจึงกลับมาพักที่โรงเตี๊ยมนอนหลับไปหนึ่งวันเต็มเพื่อฟื้นฟูพลัง“หลินเซิน ตื่นแล้วหรือ” เจียลี่เห็นเขาลืมตาจึงถามไถ่อาการของเขา พลางยื่นจอกน้ำค้างยามเช้า“อื้ม ข้าแค่รู้สึกเพลีย” เขายักยิ้ม เยี่ยนฟางกับหมิงเฟยจึงพลอยโล่งใจไปด้วย“ท่านพี่หักโหมใช้เวทรักษามากไปแล้ว” นางบ่นอุบอิบด้วยความเป็นห่วง จริง ๆ แล้วจิ้งจอกแดงเหล่านั้นต่างมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนทั่วไป หากไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพิ่มขึ้นมา ร่างกายก็จะค่อย ๆ เยียวยาตนเองจนหายดี แม้จะใช้เวลาหลายอาทิตย์ก็ตามหลินเซินลูบหัวเยี่ยนฟาง “ยิ่งหายเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมิใช่หรือ” เฉิงเซียวบอกกับทุกคนว่าเผ่าจิ้งจอกแดงที่ถูกกักขังไม่ได้มีแค่พวกเขาเพียงเท่านั้น หลายหมู่บ้านข้างในดินแดนยังคงมีคนอื่น ๆ รอคอความช่วยเหลือจากพวกเขาอยู่แม้คนเหล่านั้นจะไม่ถูกทรมานอย่