ผ่านไปสองเดือน
“ท่านพี่หลินเซินนนน น้ำค้างยามเช้ามาแล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยนฟางตะโกนปลุกเขาเช้าตรู่ วันนี้นางตื่นก่อนเวลาเพื่อออกไปเก็บน้ำค้างมาให้เขา ทั้งยังเด็ดดอกไม้สามสี่ดอกติดมือมาด้วย
ด้านคนที่กำลังหลับฝันดีอยู่ในบ้านสะดุ้งตื่นเพราะเสียงแหลมเจื้อยแจ้วของนาง เขาชั่งใจคิดว่าระหว่างให้นางเป็นแมวกับคน อย่างไหนจะดีกว่ากัน ตั้งแต่ที่เยี่ยนฟางพูดได้ นางก็พูดกับเขาไม่หยุดตลอดทั้งวัน
“ได้ยินแล้วเยี่ยนฟาง เดี๋ยวข้าออกไป” หลินเซินเดินออกมาหานางข้างนอก ดูเหมือนว่าทุกคนพร้อมใจกันมารวมตัวอยู่หน้าห้องของเขา
“ตื่นแล้วหรือหลินเซิน” เจียลี่ยิ้มหวานทักทายเขา เจียลี่แต่งตัวสวยจนหลินเซินจ้องนางตาไม่กระพริบ วันนี้พวกเขาทั้งสองมีนัดไปเที่ยวตลาดในเมืองกันสองคน
“หมิงเฟย พวกเรารีบไปกันดีกว่า อยู่ตรงนี้นานข้าพาลจะหงุดหงิด เบื่อคนมีความรัก” เยี่ยนฟางชวนหมิงเฟยออกมาข้างนอก ปล่อยให้คนทั้งสองอยู่กันตามลำพัง
“พวกเจ้าสองคนระวังตัวกันด้วย” เจียลี่ตะโกนบอกด้วยความเป็นห่วง ทั้งคู่จึงโบกมือส่ง
หลังจากเดินมาพักหนึ่ง เสียงของคนด้านในเริ่มดังใกล้เข้ามา บ้างพูดคุยโวโอ้อวด บ้างหัวเราะสนุกสนาน หลินเซินก้าวเท้าเข้าไปกลางวงล้อมอย่างไม่สนหัวผู้ใด เขาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าคนผู้หนึ่ง ดูท่าทางจะเป็นหัวหน้าอย่างที่เจ้านักโทษบอก ราวกับการเคลื่อนไหวของเขาแยบยล เงียบเชียบ ไม่มีใครได้ทันตั้งรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่คิดว่าจะมีคนกล้าเข้ามาเหยียบหยามถึงในรังของตน“เจ้านี่น่ะหรือ หัวหน้าที่เจ้าพูดถึง” หลินเซินร่ายเวทมัดตัวชายผู้นั้นไว้ไม่ให้ขยับ เขายืนถามอย่างใจเย็นเสียจนนักโทษรู้สึกเสียวสันหลัง ยามโกรธเป็นไฟดูน่ากลัวแล้ว ยามสงบยิ่งดูน่ากลัวกว่าร้อยเท่า คนอื่นที่ไม่รู้ฤทธิ์เดชของหลินเซินต่างพากันหยิบอาวุธประจำกายของตนเองขึ้นมาเตรียมต่อสู้“ขอรับ” นักโทษพยักหน้ายืนยัน“เจ้าเป็นใคร” หัวหน้ากองถามกลับ พยายามต่อต้านพลังของหลินเซินที่สะกดเขาเอาไว้จนเหงื่อผุดเต็มใบหน้า“บอกเขาไป” หลินเซินไม่อยากพูดซ้ำอีกครั้ง จึงให้นักโทษเป็นคนถามหัวหน้ากองเอง ในใจนึกว่าจะได้จังหวะหนีไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะยังโดนล่ามไว้เจรจาแทนเขาอี
เช้าวันต่อมาหลินเซินออกสำรวจพื้นที่รอบ ๆ ว่ามีทหารจิ้งจอกแฝงตัวปะปนกับมนุษย์หรือไม่เพื่อความปลอดภัยของหมิงเฟย แม้ว่าแคว้นแห่งนี้จะมีสัญญาระหว่างเผ่าพันธุ์แต่นั่นก็เป็นเรื่องราวในอดีตนานมาแล้ว เพียงแค่ทำตัวกลมกลืน ไม่ก่อเรื่องราววุ่นวายก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ หากมีทหารจิ้งจอกแปลงกายกระทำป่าเถื่อนย่อมต้องถูกทหารหลวงของแคว้นเพ่งเล็งและตามจับมาลงโทษ แคว้นแห่งนี้จึงได้อยู่อย่างสงบหลายร้อยปีหลังจากเสร็จสิ้นงานช่วงเช้า หลินเซินกลับมาพักผ่อนที่โรงเตี๊ยม โดยมีเจียลี่คอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ ทั้งสองนั่งจิบชาชมนกชมไม้อยู่ริมหน้าต่างสบายอารมณ์เยี่ยนฟางไปเที่ยวในเมืองกับหมิงเฟย นางมองเห็นปลาย่างของโปรดนางอยู่ข้างทาง กลิ่นหอมลอยฟุ้งแตะจมูกจนน้ำลายสอ นางค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้ร้านโดยไม่ให้ใครเห็นแล้วฉกติดมือกลับมาหนึ่งไม้ จากนั้นก็แวะไปที่ร้านไก่ย่างเฒ่าแก่กำลังหมุนไม้ไก่ย่างอยู่บนเตา จังหวะที่เขาหันกลับไปหยิบอีกไม้มาย่าง เยี่ยนฟางรีบฉวยไก่ย่างมาอีกหนึ่งตัว วิชาที่ได้มาตั้งแต่ตอนเป็นแมวช่างมีประโยชน์กับนางเวลาที่ไม่มีเงินติดตัว นางยิ้มน้อยย
หลินเซินงัวเงียจะหลับตานอนกลางวันได้ยินเสียงเยี่ยนฟางร้องเรียกก็ตกใจตื่นทันควัน เขามองหน้าเจียลี่ก่อนจะหายตัวไปช่วยนาง การที่เขาปรากฏตัวกระทันหันในห้องทำให้หญิงสาวเหล่านั้นขวัญหายอย่างกับเจอผีหลอก หลินเซินสะบัดสายลมเบา ๆ เพื่อเตือนให้พวกนางหยุด“ท่าน! ท่านเป็นผู้ใด” หลิวอิงรีบถามเสียงตะกุกตะกัก“อื้ม พวกเจ้าควรแนะนำตัวเองก่อนมิใช่หรือ ทำไมต้องมีแต่คนถามข้าทุกครั้งว่าข้าเป็นใคร ทั้ง ๆ ที่พวกเจ้าทำร้ายคนของข้า” หลินเซินแยกเขี้ยวขู่พวกนาง เขารู้ว่าหญิงสาวข้างหน้าเป็นจิ้งจอกแดง แต่ไม่แน่ใจว่ามีเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับทหารรับจ้างหรือไม่ ครั้นจะลงมือรุนแรงกับสตรีก็คงจะไม่ได้“คุณชาย ช้าก่อน ข้าจะอธิบายให้ท่านฟัง” น้ำเสียงนุ่มลึกของชายผู้หนึ่งดังมาจากด้านหลังม่านหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวจากปากชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่ หลินเซินจึงได้รู้ว่าคนที่ทหารรับจ้างต้องการตัวคือเขา เฉิงซาน จิ้งจอกแดงเจ็ดหางผู้นี้หญิงสาวในหอคณิกาส่วนหนึ่งเป็นผู้อพยพจากดินแดนจิ้งจอก พวกนางมีร่องรอยตราประทับนักโทษของดินแดนอยู่ที
ช่วงเช้าวันต่อมาหลังจากหลินเซินรักษาบาดแผลของเฉิงซานเสร็จเรียบร้อย ทุกคนจึงนั่งวางแผนบุกเข้าช่วยน้องชายและพรรคพวกของเขา เฉิงซานเล่าว่าตอนที่แยกทางกับน้องชาย เขาวิ่งหนีตามแนวป่ามาเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างช่วยเหลือเขาอยู่ จู่ ๆ ก็พบว่าตนเองโผล่มาที่แคว้นเป่ยโดยไม่รู้ตัว คล้ายกับว่าเป็นทางลับที่ไม่มีใครรู้มาก่อน ครั้งนี้เขาจึงวางแผนจะใช้เส้นทางเดิมกลับไปที่นั่น“พวกทหารฝั่งนั้นต้องคิดไม่ถึงว่าข้าจะกล้ากลับเข้าไปอีกแน่นอน” เฉิงซานคาดการณ์ไว้ว่าจะไม่มีการปะทะกันเกิดขึ้น การรักษาเวรยามที่คุกใต้ดินไม่ได้แน่นหนามากนัก เพราะด้านในมีทางเดินสลับซับซ้อน เส้นทางหลอกมากมายถูกอำพรางไว้อย่างมิดชิด หากมีผู้ใดหลงเข้าไปก็มักจะไม่ได้กลับออกมาตอนที่เขาถูกจับ เขาจดจำเส้นทางทั้งหมดไว้ได้แล้ว และเขาจะเป็นคนลงไปช่วยน้องชายด้วยตัวเอง “ตอนที่ข้าหนีมาได้รับบาดเจ็บเจียนตาย พวกนั้นคงไม่คิดว่าจะกลับไปช่วยเขาได้เร็วขนาดนั้นหรอก”“เพียงแต่ว่าพรรคพวกที่เหลือถูกจับแยกไปที่กักขังอีกแห่งที่อยู่ไม่ไกลจากที่นั่น หากจะทำการชิงตัวคนขอ
เมื่อเรือจอดเทียบท่า เฉิงซานพาหมิงเฟยและเยี่ยนฟางตรงไปที่คุกใต้ดิน ไม่มีใครรู้ว่าทางลับเชื่อมระหว่างดินแดนจิ้งจอกกับเมืองหลวงแคว้นเป่ยจะอยู่ใกล้กับคุกใต้ดิน จากมุมมองของคนใน คุกใต้ดินแห่งนี้อยู่ด้านในสุดของอาณาจักร ยากต่อการบุกเข้ามาจึงมีทหารเฝ้าประตูคุกเพียงหยิบมือ เฉิงซานเป็นคนเดียวที่จำแผนที่ข้างในได้จึงรออยู่อีกฝั่งหนึ่งหมิงเฟยร่ายเวทให้ยามพวกนี้หลับในแต่ยังคงสภาพให้เหมือนกับว่าทหารยามพวกนี้กำลังตื่นอยู่ สั่งให้เดินตรวจพื้นที่ตามเวรยามปกติไม่ให้คนอื่นผิดสังเกต แล้วให้เยี่ยนฟางยืนเฝ้าต้นทางคอยกันคนอื่นไม่ให้เข้าไปข้างใน“รักษาตัวด้วย” เยี่ยนฟางบอกพวกเขาหมิงเฟยและเฉิงซานเดินตามทางในแผนที่ คุกใต้ดินแห่งนี้มีสภาพเปียกชื้น ด้านข้างมีรอยแตกรั่วจนน้ำซึมออกมา ตะไคร่เขียวเกาะตามบันไดทางเดิน ปากทางเข้าที่พอมีแสงส่องเข้ามาบ้างทำให้พอมองเห็นทาง แต่หากเดินเข้าไปข้างในแล้วมีเพียงแสงเทียนบางเบาเป็นระยะเท่านั้นเสียงสะท้อนของลมหายใจตัวเองทำให้รู้ว่าไม่ได้อยู่ในความฝันอันมืดมิด ทุกย่างก้าวที่สัมผัสพื้นด้านล่างทำให้เขานึกถึงคืนวันอันเลวร้ายยามถูกกักขัง เผ
คืนนั้นหลินเซินช่วยรักษาบาดแผลให้เฉิงเซียวและพรรคพวกที่หนีออกมาจนรุ่งเช้า อาการของพวกเขาดีขึ้นจากเดิมมาก เหลือแค่ทานยาเพียงไม่กี่วันก็จะกลับมาแข็งแรงเช่นเดิม หลังจากนั้นหลินเซินจึงกลับมาพักที่โรงเตี๊ยมนอนหลับไปหนึ่งวันเต็มเพื่อฟื้นฟูพลัง“หลินเซิน ตื่นแล้วหรือ” เจียลี่เห็นเขาลืมตาจึงถามไถ่อาการของเขา พลางยื่นจอกน้ำค้างยามเช้า“อื้ม ข้าแค่รู้สึกเพลีย” เขายักยิ้ม เยี่ยนฟางกับหมิงเฟยจึงพลอยโล่งใจไปด้วย“ท่านพี่หักโหมใช้เวทรักษามากไปแล้ว” นางบ่นอุบอิบด้วยความเป็นห่วง จริง ๆ แล้วจิ้งจอกแดงเหล่านั้นต่างมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนทั่วไป หากไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพิ่มขึ้นมา ร่างกายก็จะค่อย ๆ เยียวยาตนเองจนหายดี แม้จะใช้เวลาหลายอาทิตย์ก็ตามหลินเซินลูบหัวเยี่ยนฟาง “ยิ่งหายเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมิใช่หรือ” เฉิงเซียวบอกกับทุกคนว่าเผ่าจิ้งจอกแดงที่ถูกกักขังไม่ได้มีแค่พวกเขาเพียงเท่านั้น หลายหมู่บ้านข้างในดินแดนยังคงมีคนอื่น ๆ รอคอความช่วยเหลือจากพวกเขาอยู่แม้คนเหล่านั้นจะไม่ถูกทรมานอย่
กาลครั้งหนึ่ง ณ ดินแดนสวรรค์เซียนน้อยหยางซือซือนั่งเล่นอยู่บนก้อนเมฆน้อยที่ลอยไปลอยมารอบตำหนัก วันนี้นางจัดการภาระงานทั้งหมดได้เสร็จลุล่วงจึงมีเวลาพักผ่อนหย่อนใจเร็วกว่าที่คิดไว้ พลันสายตาเหลือบเห็นเงาตะคุ่มอยู่ในกลุ่มเมฆด้านหน้าจึงกระโดดเข้าไปดูใกล้ ๆหยางซือซือผู้ใสซื่ออ่อนต่อโลกนั้นไม่ทันได้ระวังตัว ทั้งยังไม่คิดมาก่อนว่าที่แห่งนี้จะมีผู้ใดแวะเวียนผ่านมากระโดดไปชนกับร่างใครบางคนพอดิบพอดีจนร่างบางของนางแทบจะปลิวตกก้อนเมฆ เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นหันมาคว้าข้อมือเอาไว้ทันจึงรอดไปได้อย่างหวุดหวิด“เอ่อ ขอบคุณท่านเซียนที่ช่วยเหลือแล้วก็ขออภัยท่านด้วย เป็นข้าเองที่ไม่ทันระวัง” หยางซือซือยืนเก้ ๆ กัง ๆ ทำตัวไม่ถูก ดูจากรูปร่างหน้าตา ท่าทางและเครื่องอาภรณ์ของเขาแล้ว คงจะเป็นเซียนที่อยู่ตำแหน่งสูงกว่านางเป็นแน่ นางไม่ค่อยได้เจอผู้คนมากนัก เรื่องพิธีต่าง ๆ จึงไม่จดจำไว้สักเท่าใด“อย่าโทษตนเองเลย ข้าก็มีส่วนผิด ท่านบาดเจ็บที่ใดหรือไม่” เขาถามนางอย่างสุภาพนอบน้อม ในใจนึกสงสัยทำไมที่ห่างไกลเพียงนี้ถึงได้มีเซียนน้อยอาศัย
วันเกิดเหตุการณ์วิหคเพลิงป่วนตำหนักโคมดวงจิต หยาง ซือซือถูกตัดสินโทษให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์และบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้น แม้เซียวอวี้เทียนจะรู้สึกไม่พอใจกับการตัดสินโทษในครั้งนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยนางได้ ทั้งยังถูกเทียนจวินเรียกพบเพื่อหารืองานหมั้นหมายระหว่างเทพสงครามเซียวอวี้เทียนและเทพอัคคีซ่งอี้ผู้เป็นธิดาของเขา“ซ่งอี้ วิหคเพลิงตัวนั้นเป็นของท่านใช่หรือไม่” เซียวอวี้เทียนถามนางด้วยความสงสัย “เป็นเรื่องแปลกนักที่พบสัตว์พาหนะของท่านในที่ห่างไกลอย่างตำหนักโคมดวงจิต” เขาจ้องมองซ่งอี้อย่างจับพิรุธ มีหรือที่เทพระดับนางจะควบคุมสัตว์พาหนะของตนไม่ได้“วิหคเพลิงในตำหนักของข้ามีอยู่ทั่วไป เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น” ซ่งอี้เฉไฉไม่ยอมรับ นางรู้สึกหงุดหงิดที่เขาจี้ถามนางอยู่อย่างนั้น“ท่านมีธุระอันใดที่นั่น” เซียวอวี้เทียนย้อนถามนางอีกครั้ง“แล้วเทพสงครามอย่างท่านมีเหตุอันใดที่ต้องไป ซ้ำยังสนิทสนมกับเซียนน้อยถึงเพียงนั้น ท่านควรเกรงใจข้าบ้าง เรื่องหมั้นหมายของเราในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า...&rdquo
เช้าวันรุ่งขึ้น พิธีศพของผู้วายชนม์ได้จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ผู้คนพยายามตั้งสติของตนเพื่อรับมือกับการสูญเสียคนรัก บรรยากาศรอบตัวอึมครึม เสียงร้องไห้คร่ำครวญสลับกับเสียงปลอบใจดังมาเป็นระยะ แม้กระทั่งท้องฟ้ายังมืดมัวมีเมฆครึ้มส่อเค้าฝนหมิงเฟยมองดูร่างของถังลี่ฮวาบนแท่นไม้ที่ก่อเอาไว้ด้วยใจที่แตกสลาย คนที่เขาเพิ่งจะจูงมือเข้าพิธีแต่งงาน ก้มลงคำนับฟ้าดินเพื่ออยู่ด้วยกันจนแก่ชราจากเขาไปแล้ว น้ำตาเอ่อคลอนึกถึงวันวานที่เคยหัวเราะด้วยกันยามที่ได้ฟังนางบรรเลงเพลงพิณ รอยยิ้มสดใสของนางยังคงชัดเจนในใจของเขาเสมอ บัดนี้กลายเป็นเพียงความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ เขาบอกลานางเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะวางของแทนใจไว้ข้าง ๆ หวังว่าเกิดชาติหน้าจะมีวาสนาได้พบกันอีกครั้นเสร็จสิ้นพิธีส่งดวงวิญญาณ คนที่เหลืออยู่ก็เริ่มหันมารักษาบาดแผลของตนเองที่ยังไม่หายดี ต่างคนต่างคอยให้กำลังใจกันเพื่อที่จะผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความสูญเสียไปให้ได้ นอกจากนั้นยังมีเรื่องหนึ่งที่พวกเขายังคงหนักใจ การกลับมาของจักรพรรดิจิ้งจอกทำให้พวกเขาอกสั่นขวัญหนีต้องรีบฟื้นพลังของตนเตรียมรับมือหากต้องเผ
ในช่วงเวลาที่ทุกคนไม่คาดคิด หลินเซินพาตัวเจียลี่และเยี่ยนฟางที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หนีมาจากที่ตรงนั้นได้ทันท่วงทีจึงไม่ได้รับอันตราย จากนั้นจึงรีบกลับไปช่วยคนอื่นที่อยู่ในงาน เฉิงซานร่ายเวทป้องกันหยางมี่และหลิวอิง แขนของเขาบาดเจ็บจากคมฝนจนแทบจะยกไม่ขึ้น เฉิงเซียวจึงรับช่วงต่อพาทั้งหมดหนีออกจากใจกลางความวุ่นวายหลินเซินกลับเข้ามาในงาน เขาร่ายม่านเขตแดนปกป้องหมิงเฟยและร่างของถังลี่ฮวาเอาไว้ ทันทีที่หลินเซินปรากฏตัว ร่างดำทะมึนจึงค่อย ๆ เผยโฉมของตน“จักรพรรดิจิ้งจอก” เฉิงเซียวตะโกนเสียงดังจากด้านหลัง สิ้นเสียงของเขา คนผู้นั้นระเบิดเวทสายสีดำรัดตัวเฉิงเซียวแน่น ค่อย ๆ บีบที่ลำคอจนเส้นเลือดปูดโปน พลังของจักรพรรดิจิ้งจอกเปลี่ยนไปมาก ทั้งรุนแรงและชั่วร้ายบีบอัดคนที่ตกอยู่ในเงื้อมมือจนร่างแทบจะแหลกเหลวไปตามแรง เยี่ยนฟางโผล่ออกมาจากที่ซ่อนตัวเพื่อตามหาหมิงเฟยเห็นเฉิงเซียวไม่อาจหนีได้จึงร่ายเวทตัดพลังช่วยเฉิงเซียวได้อย่างหวุดหวิดทันใดนั้น ทหารจิ้งจอกหลายสิบคนโผล่ออกมาจากหลุมดำ รัศมีความชั่วร้ายปกคลุมร่างพวกเขา ดวงตาสีขาวโพลนสร้างความหวาดกลัวให้ผู้พบเห็น พวกมันเริ่ม
หมิงเฟยเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามไร้ก้อนเมฆบดบัง รอยยิ้มสดใสของเขาทำให้ถังลี่ฮวานึกสงสัยว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เวลานี้ความรักของทั้งคู่ราวกับดอกไม้ผลิบานในหัวใจ แววตาแห่งความสุขเอ่อล้น หมิงเฟยหันมาหาถังลี่ฮวาแล้วกุมมือทั้งสองข้างของนางเอาไว้“ถังลี่ฮวา เจ้ายินดีแต่งงานกับข้าหรือไม่” หมิงเฟยไม่อ้อมค้อม เขาคิดเรื่องนี้มาพักหนึ่งแล้ว“จู่ ๆ ก็ถามเช่นนี้เลยหรือ” ถังลี่ฮวาคาดไม่ถึง เช้าวันนี้เขาแค่ชวนนางออกมาเก็บผลไม้ป่าตามปกติ ก่อนกลับบ้านจึงแวะนั่งเล่นที่ประจำเท่านั้น“ข้าอยากใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับเจ้า” หมิงเฟยสบตานาง ท่าทางจริงจังรอฟังคำตอบ“อื้ม” ถังลี่ฮวาพยักหน้าตกลง เพียงเท่านี้ก็ทำให้เขายิ้มจนตาหยีด้วยความดีใจ“เช่นนั้น รีบไปบอกพวกเขาดีกว่าเนอะ เจ้าว่าเราจัดงานอาทิตย์หน้ากันเลยดีหรือไม่” หมิงเฟยที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตลอดนึกไม่ออกว่าการจัดงานแต่งงานครั้งหนึ่งจะต้องทำอะไรบ้าง เขาขมวดคิ้วนึกถึงสิ่งที่ต้องทำ“หมิงเฟย เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ข้าไม่หนีเจ้าไปท
หลินเซินร่ายเวททำลายร่างของจักรพรรดิจิ้งจอกและหยุดการดูดกลืนพลังชีวิตของชาวบ้านเอาไว้ได้ แต่ในม่านหมอกกลับไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ หมิงเฟยใจไม่ดีมองไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา จึงวิ่งเข้าไปหาใกล้ ๆ พลันได้เห็นร่างของคนผู้หนึ่งนอนอยู่บนพื้น“ท่านพี่...” หมิงเฟยร้องเรียกเขาแล้วรีบเข้าไปประคอง เพียงแต่ว่าร่างนั้นกลับไม่ใช่หลินเซินที่เขารู้จัก “ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้น ทำไม...” แม้จะสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ สีผมเทาชมพู หน้าตาที่คลับคล้ายคลับคลาแต่มีบางอย่างเปลี่ยนไปเฉิงซานที่เดินตามเข้ามาพูดกับหมิงเฟยว่า “เมื่อครู่เขาใช้พลังไปมากนัก รีบพาเขาไปรักษาตัวดีกว่า” หลังจากพูดจบ หมิงเฟยช้อนมืออุ้มร่างของหลินเซินเดินข้ามผ่านประตูเวทด้านหน้าห้อง หยางมี่ยืนพูดคุยเรื่องอาการของหลินเซินกับทุกคนเพื่อให้คลายกังวลใจ“อีกนานแค่ไหนถึงจะหายหรือเจ้าคะ” เยี่ยนฟางถามนางด้วยความเป็นห่วง“อย่างที่เฉิงซานบอก เขาใช้พลังเซียนมากเกินไปเพื่อกำจัดสิ่งชั่วร้าย ข้าบอกไม่ได้ว่าเขาจะกลับมาเป็นดังเดิมเมื่อใด แต่อาการตอนนี้ไม่มีอะไรต้องกังวล เพียงแค่ว่
ด้านเฉิงซานได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากวังหลวงเข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดเรื่องไม่เป็นไปตามคาด ทหารที่รักษาการณ์คุมค่ายถูกเรียกตัวให้ป้องกันเมืองหลวงและเชื้อพระวงศ์จากการลอบโจมตีจนรอบนอกค่ายเหลือทหารยามไม่กี่คน พรรคพวกของเขาที่หนีมาพร้อมกับหมิงเฟยเข้ามาเสริมกำลังกับพวกเขาที่ค่ายกักกัน“ข้าคิดว่า เราต้องเร่งอพยพกันให้เร็วที่สุด” เฉิงซานคิดฉวยโอกาสนี้ หากวังหลวงเกิดวิกฤต ย่อมไม่มีผู้ใดสนใจค่ายเชลยแห่งนี้ “เร็วเข้า” ทุกคนช่วยกันทยอยพาคนในค่ายหนีเริ่มจากผู้อาวุโส ผู้หญิง ปิดท้ายด้วยพรรคพวกของเขาเวลานั้นที่หลินเซินหายตัวไป จักรพรรดิจิ้งจอกปรากฏตัวขึ้นที่ปีกตะวันตกด้วยความเดือดดาล “มันผู้ใดกล้าทำลายของของข้า” เสียงเกรี้ยวกราดของเขาทำให้ทหารรายงานเหตุการณ์เสียงตะกุกตะกัก“พรรคพวกของเฉิงซานพ่ะย่ะค่ะ” เขารีบถอยหลังรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้ ในเวลานั้นแม่ทัพใหญ่ของดินแดนจิ้งจอกรอรับคำสั่งของเขาอยู่ ครั้นได้ยินว่าเป็นพรรคพวกของนักโทษจึงรีบบึ่งไปที่ค่ายกักกันในพริบตาทันทีที่มาถึงทหารในกองทัพต่างบุกประชิดตัวพรรคพวกเฉิงซานไม่ให้
ในขณะนั้น หลินเซินกำลังตรวจสอบหมู่บ้านที่สามกับหมิงเฟยได้รับสารด่วนจากเยี่ยนฟาง เขารีบร่ายเวทย่นระยะทางกลับมาที่เมืองหลวงแคว้นเป่ยในทันที เวลานั้นจึงได้พบกับเฉิงซานที่มาถึงก่อนหน้าไม่นานนัก“ไม่ทันเสียแล้ว พวกทหารบุกจับนางไป” เฉิงซานค้นหาพรรคพวกของเขาที่รอดชีวิตแต่พบเพียงแค่หลิวอิงที่บาดเจ็บสาหัส“ดินแดนจิ้งจอกใช่หรือไม่” หลินเซินถามเสียงเย็นชา เขากำลังสะกดอารมณ์เดือดพลุ่งพล่านของตนเอง สายตาจ้องมองไปยังหยดเลือดที่อยู่บนพื้นห้อง โดยเฉพาะรอยเลือดของเจียลี่และเยี่ยนฟาง“อื้ม” เฉิงเซียวพยักหน้า“ระบุเจาะจงได้หรือไม่” หลินเซินถามให้แน่ชัด ดินแดนจิ้งจอกกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา เขาไม่อยากเสียเวลากับสิ่งไม่จำเป็น ในใจคิดว่าจะต้องไปช่วยพวกนางให้เร็วที่สุด“ข้าคิดว่าอยู่ทางปีกตะวันตกของวังหลวง คนที่สั่งการคือจักรพรรดิจิ้งจอก” เฉิงซานบอกเขา ไม่คิดว่าเขาจะใจร้อนถึงขนาดไม่วางแผน“เช่นนั้นรีบไปเถอะ” หลินเซินร่ายเวทย่นระยะเวลาเดินทางอีกรอบเตรียมจะพุ่งตัวผ่านเขตแดน แต่เฉิงซานห้ามเขาเอาไว้
หลินเซินและหมิงเฟยเลือกเดินทางไปยังสถานที่เมื่อตอนเป็นเด็กเพื่อจะเริ่มสืบหาเบาะแสตั้งแต่ต้น พวกเขาร่ายเวทเพื่อย่นระยะเวลาในการเดินทางจนมาถึงหมู่บ้านแรกที่บิดาของหมิงเฟยลงหลักปักฐานสภาพบ้านหลังเล็กถูกปล่อยทิ้งร้างมามากกว่าสามร้อยปีแล้ว เหลือเพียงซากปรักหักพังไว้เป็นของต่างหน้า หมิงเฟยเดินผ่านประตูรั้วเข้าไปด้านใน ความทรงจำในวันที่แสนธรรมดาเริ่มปรากฏขึ้น หลินเซินเห็นเช่นนั้นจึงเดินมาแตะไหล่ ก่อนจะเริ่มค้นหาสิ่งที่หลงเหลืออยู่ทว่าบ้านนี้กลับเป็นแค่สถานที่ธรรมดา ไม่มีสิ่งที่เชื่อมโยงกับเรื่องราวใด ๆ แม้แต่น้อย ทั้งคู่จึงมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านที่สองที่มารดาของเขาพาไปหลบซ่อนตัวด้านเฉิงซานและน้องชายวางแผนปลอมตัวเป็นทหารแทรกซึมเข้าไปในค่าย ชีวิตของจิ้งจอกแดงในที่กักกันแห่งนี้ดูไม่เข้มงวดเท่ากับที่กักกันของเขา หากทำตามกฎแล้วก็จะไม่ถูกลงโทษ แต่การที่ต้องอยู่ในค่ายกักกันนี้หลายร้อยปีไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับได้ พวกเขาไม่ได้ทำชั่วร้าย เป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดา ทำไมถึงไม่มีสิทธิ์เลือกจะใช้ชีวิตพวกเขาทำทีเดินสอดส่องตามกระโจมในค่ายเหมือนทหารคน
“หลินเซิน ตื่นได้แล้ว” เสียงคุ้นเคยเรียกเขาดังขึ้น หลินเซินที่ยืนมองบุรุษหน้าเหมือนตนเองจึงรู้สึกตัวว่ายังอยู่ในความฝัน หากแต่เขาหาประตูทางออกไม่เจอ ทันใดนั้นหิ่งห้อยที่วนเวียนเมื่อครู่ก็บินมาอยู่ด้านหน้าของเขาเฉกเช่นเดียวกัน หิ่งห้อยตัวนั้นพาเขามาส่งที่ประตูความฝันก่อนจะหายลับไป“หลินเซิน ตื่นได้แล้ว” เจียลี่ยังคงเรียกเขาไม่หยุด นางเห็นว่าหมิงเฟยกลับมาแล้วแต่เขายังคงนอนไม่ตื่นจึงเป็นห่วงกลัวจะเจอเรื่องร้ายแรงครั้นเมื่อลืมตาขึ้นได้พบหน้าเจียลี่จึงบอกนางให้โล่งใจ “หมิงเฟยเล่า เป็นอย่างไรบ้าง”“ยังน่าเป็นห่วง อย่างไรก็ต้องช่วยให้เขาผ่านพ้นไปให้ได้” เจียลี่ถอนหายใจเมื่อได้เห็นอาการของเขา “เจอเรื่องอะไรมาหรือ ถึงได้เป็นเช่นนั้น” ตั้งแต่หมิงเฟยตื่นขึ้น เขายังไม่ได้เล่าเรื่องทุกอย่างให้ใครฟัง เอาแต่นั่งซึมน้ำตาคลออยู่คนเดียว เยี่ยนฟางจึงคอยอยู่ข้าง ๆ“เรื่องในอดีตของเขา เพียงแต่วนไปซ้ำมาจนจำรายละเอียดทุกอย่างได้ คงจะคิดว่าเป็นความผิดของตนเองที่ทำให้คนรอบข้างต้องเจอเรื่อ
เช้าวันต่อมาเยี่ยนฟางมาหาหมิงเฟยที่ห้องเพราะทั้งสองต้องไปเก็บน้ำค้างยามเช้ามาให้หลินเซิน ปกติแล้วหมิงเฟยจะต้องออกไปรอนางที่หน้าห้อง เพียงแต่ว่าวันนี้เขากลับตื่นสายจนนางต้องมาตาม“หมิงเฟย ตื่นได้แล้ว” เยี่ยนฟางคิดว่าเขาคงจะเมาค้างจากฤทธิ์สุรา นางตั้งใจเดินมาปลุกเขาใกล้ ๆ แต่เมื่อเห็นเหงื่อผุดเต็มใบหน้า ทั้งยังสีหน้าของหมิงเฟยดูเจ็บปวด นางก็รีบปลุกเขาให้ตื่น “หมิงเฟย หมิงเฟย” กระนั้นเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว เยี่ยนฟางจึงรีบวิ่งไปหาหลินเซินที่ห้องข้าง ๆ“ท่านพี่ หมิงเฟยเป็นอะไรไม่รู้” น้ำเสียงกังวลของนางทำให้หลินเซินรีบวิ่งไปดูเขา“ท่านพี่ หมิงเฟยเป็นอะไรหรือ” เยี่ยนฟางถามเขาด้วยความเป็นห่วง นางไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้ เจียลี่จึงกอดนางเอาไว้รอฟังคำตอบของเขา“พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าพอจะรู้สาเหตุ ออกไปรอข้าข้างนอกเถิด จะได้ไม่กระวนกระวายใจมากนัก” เจียลี่พยักหน้าให้เขาแล้วพาเยี่ยนฟางออกไปรอที่ห้องของนาง“เจ้าทำให้เขาเป็นเช่นนี้หรือ” หลินเซินโพล่งออกมา เขา