นับตั้งแต่มีแมวน้อยสีขาวน่ารักตัวนี้อยู่บนเขาแห่งนี้ด้วย ชีวิตประจำวันของหลินเซินก็เปลี่ยนไปจากเดิม วันเวลาที่อยู่อย่างสงบ ๆ ฟังเสียงสายลม เสียงใบไม้พัดปลิว ก็มีเสียงเหมียว เหมียว ดังขึ้นมาเป็นระยะ ราวกับกำลังร้องเรียกเขา ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“อย่าบอกนะว่าเจ้าหิวอีกแล้ว นี่เจ้ากำลังโตหรืออย่างไรถึงได้กินเก่งเช่นนี้” หลินเซินบ่นอุบอิบนิดหน่อย ก่อนจะเดินไปหยิบของบางอย่างสะพายหลัง
เขาเดินลงไปด้านหลังเขาเรื่อย ๆ โดยมีเจ้าแมวน้อยตามมาติด ๆ เสียงสายน้ำไหลเอื่อยเริ่มดังขึ้น หลินเซินหยุดอยู่ริมตลิ่ง จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยพร้อมหย่อนขาลงไปในน้ำ มือข้างหนึ่งถือไม้แหลมยาว สายตาสองข้างมองทะลุเข้าไปใต้น้ำใส ๆ คอยมองหาปลาตัวใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นของโปรดเจ้าแมวน้อย
“นี่ข้ากำลังทำอะไรอยู่นี่ อาหารของข้าก็ไม่ใช่ เจ้านี่ทำเหมือนข้ากำลังเป็นทาสอย่างไรอย่างนั้น ใช่ว่าข้ารับเจ้ามาเลี้ยงด้วยเสียหน่อย” แม้จะบ่นมาเป็นชุดแต่สองตาก็ยังจ้องหาปลาต่อไปไม่ลดละ ในที่สุดเขาก็จับปลาตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง เพียงเท่านี้ยังไม่พอ หลินเซินก่อฟืนจุดไฟก่อนจะนั่งย่างปลาที่เขากินไม่ได้อีกด้วย แต่เมื่อมองไปที่สายตาของแมวน้อยที่จ้องอาหารมื้อใหญ่แล้วก็อดเอ็นดูไม่ได้
หลังจากหาอาหารแล้ว หลินเซินก็มักจะผ่อนคลายร่างกายอย่างที่เคยทำด้วยการลงไปแช่น้ำตก
“กินปลาเสร็จแล้ว เจ้ากลับไปรอข้าที่กระท่อมแล้วกัน” หลินเซินพูดกับเจ้าแมวน้อย เห็นเสียงเหมียว เหมียว ตอบกลับมาก็หันหลังเดินตรงไปที่ริมลำธารอีกครั้ง ราวกับเจ้าแมวน้อยรู้ว่าเขาจะทำอะไร ก็รีบคาบปลากระโดดไปกินที่อื่น หลินเซินเปลื้องเสื้อผ้าคลุมกายออก แสงแดดอ่อนกระทบผิวกายขาวนวลของเขา ขาเรียวยาวค่อย ๆ ก้าวลงน้ำใสเย็นทีละข้าง แล้วหยุดตรงใจกลางลำธาร เขาเล่นน้ำดำผุดดำว่ายอยู่คนเดียวจนพอใจ จึงเริ่มบำเพ็ญตบะเซียนอีกครั้ง ครั้นเหนื่อยแล้วก็สวมเสื้อผ้าครึ่งท่อน ลอยไปที่โขดหินใหญ่ใจกลางลำธาร เอนหลังนอนพิงก้อนหิน ให้ร่างกายท่อนบนอาบแสงแดดอบอุ่นคลายความเหนื่อยล้า
ยามเย็นก็แวะตกปลาอีกตัวมาฝากเจ้าแมวน้อยเป็นอาหารอีกหนึ่งมื้อ ส่วนตัวเขานั้นนั่งกินผลไม้กับสุราดอกท้อด้วยความสำราญใจ
เวลานี้ทั้งสองกำลังนั่งรับลมดูแสงอาทิตย์ที่กำลังลับฟ้า ฝูงนกตัวเล็ก ๆ โบยบินกลับรังส่งเสียงจิ๊บ จิ๊บราวกับทักทายเขา จากที่เคยนั่งอยู่ลำพัง บัดนี้มีเพื่อนตัวน้อยอยู่เคียงข้างเขาเพิ่มขึ้น
แม้จะวุ่นวายหน่อย แต่เขาก็ยินดี เขาอุ้มเจ้าแมวน้อยไว้ในอ้อมกอด ลูบหัวเบา ๆ ลูบขนนุ่ม ๆ ด้วยความรัก ทุกคืนเขาจะพาเจ้าแมวน้อยไปนอนบนที่นอนอุ่น ๆ ข้างในกระท่อม ส่วนตัวเขานอนอาบแสงจันทร์แสงดาราอยู่ใต้ต้นดอกท้อ ดูดซับพลังเซียนที่ไหลเวียนยามค่ำคืน ก่อนจะหลับตาลงหลับใหลสู่นิทรา ก็รู้สึกได้ว่ามีเจ้าตัวเล็ก ๆ ลากผ้าห่มมานอนอยู่ข้าง ๆ เขาจึงเอื้อมมือกอดมันไว้ในอ้อมแขนนอนหลับไปพร้อมกัน
หน้าที่ปลุกหมาป่ากินพืชประจำเช้าแต่ละวันกลายเป็นของเจ้าแมวน้อยไปโดยปริยาย แมวน้อยใช้อุ้งเท้าแตะที่แก้มของเขาอยู่สองสามครั้ง พอเห็นหมาป่าขี้เซาไม่ยอมตื่นจึงกระโดดขึ้นไปบนตัวของเขา น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นทุกวันของเจ้าแมวน้อยทำให้หลินเซินสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“ข้าขอนอนต่ออีกสักนิดเถอะนะ อากาศกำลังดีเลย ถ้าเจ้าหิวก็ไปหาปลากินก่อนข้าได้เลย ข้ายังไม่หิว” เขาพูดจบแล้วก็ตะแคงข้างนอนขดตัวอยู่บนพื้นหญ้า ไฉนเลยเจ้าแมวน้อยจะยอม หากปิ้งปลาเองได้คงไม่มามัวแต่อ้อนเขาอย่างนี้หรอก ครั้นจะหาปลากินเองก็ไม่ชอบปลาดิบเสียด้วย เจ้าแมวน้อยจึงไม่ยอมแพ้ เดินมาส่งเสียงร้องเหมียว เหมียวอยู่ตรงใบหูของเขาอยู่นาน ในที่สุด หลินเซินก็จำเป็นต้องตื่นมาหาอาหารให้สิ่งมีชีวิตร่วมโลกตัวเล็ก ๆ จนได้
แต่ก็ใช่ว่าเจ้าแมวน้อยจะได้กินแต่ปลาย่างเท่านั้น บางครั้งเขาก็ทำให้เจ้าแมวอิ่มทิพย์บ้างเพราะขี้เกียจเดินไปไหนมาไหน จนเจ้าแมวกรอกตามองบนไม่รู้จะขอบคุณหรืออย่างไรดี
พอได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาพักหนึ่งแล้ว เขาถึงเพิ่งจะนึกได้ว่าเจ้าแมวน้อยตัวนี้ยังไม่มีชื่อ คิดไปคิดมาจึงเรียกชื่อหนึ่งออกมา
“ข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่าเยี่ยนฟาง ต่อไปนี้ถ้าข้าเรียก เจ้าก็รีบมาหาข้านะ ตกลงไหม” แมวน้อยพยักหน้ารู้ความ นับวันยิ่งตอบสนองเหมือนคน ๆ หนึ่งไม่มีผิด แต่คนซื่อบื้ออย่างเขากลับไม่สังเกตเห็น
"เยี่ยนฟาง เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นหมาป่าที่มีตบะเซียน พอมีพลังแล้วจะทำอะไรก็ทำได้ง่าย นี่ดูสิ ข้าอยากกินน้ำค้าง ก็มีน้ำค้างมารออยู่ตรงหน้า เพราะฉะนั้น ข้าอยากให้เจ้าทำได้เหมือนกัน”
สิ่งที่เขาพูดนั้น ดูเหมือนเป็นความหวังดีต่อเจ้าแมวน้อยแต่นั่นก็เพียงส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือเขาอยากนอนตื่นสาย หากเจ้าแมวน้อยหิวจะได้ไม่ต้องมากวนเขานั่นเอง
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด มีหรือเจ้าแมวน้อยจะนั่งอยู่เฉย ๆ การบำเพ็ญตบะเซียนนี่น่าเบื่อจะตายไป อีกอย่างเรื่องอาหารนั้น มีคนทำให้ก็สบายกว่าเป็นไหน ๆ เจ้าแมวน้อยเตรียมตัวกระโจนออกจากสายตาเขา เพียงแต่ว่าหลินเซินนั้นไวกว่า เข้าเอื้อมจับตัวเยี่ยนฟางไว้ได้ทันพอดี แม้คิดจะหนีก็คงหนีไม่ได้อีกแล้ว
หลินเซินจับเจ้าแมวน้อยมานั่งอยู่ข้าง ๆ ค่อย ๆ สอนบำเพ็ญตบะเซียนอย่างช้า ๆ ไม่รีบร้อน เขายังมีเวลาอยู่กับเจ้าแมวน้อยไปอีกนาน ถ้าเขาไม่ถูกทิ้งไปเสียก่อน แล้วก็เป็นดังที่คิด ทั้งสองอยู่เป็นเพื่อนกันจนล่วงเลยมาครบหนึ่งร้อยปี
“เยี่ยนฟาง เก่งมาก ไม่น่าเชื่อว่าตบะเซียนของเจ้าจะเพิ่มขึ้นรวดเร็วถึงเพียงนี้ ต้องเป็นเพราะว่าได้อาจารย์ดีอย่างข้าแน่ ๆ เอาล่ะ วันนี้เพื่อเป็นการฉลอง ข้าจะพาเจ้าไปที่เมืองมนุษย์ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีของอย่างอื่นน่ากินกว่าปลาย่างอีกนะ แล้วก็มีของหวานกับขนมอร่อย ๆ ตั้งเยอะ” หลินเซินตื่นเต้นดีใจกับความสำเร็จในการสั่งสอนเยี่ยนฟาง อีกทั้งวันนี้ เขายังบรรลุตบะเซียนเก้าขั้นเป็นที่เรียบร้อย มีเรื่องน่ายินดีสองเรื่องในหนึ่งวัน เขาจึงดีใจเป็นพิเศษ
เจ้าแมวน้อยเดินมานั่งบนตักเขาอย่างเคย เอาแก้มนุ่ม ๆ เกยแขนของเขาไว้หลับตาลงด้วยความเหนื่อย “มีที่ไหน แมวฝึกตบะเซียนได้สามขั้นภายในหนึ่งร้อยปี ถ้าไม่ใช่เพราะข้าฉลาดอยู่แล้ว ไม่มีทางหรอกนะ” เสียงอู้อี้ไม่เป็นภาษาดังเล็ดลอดออกมา
ทันใดนั้น หลินเซินสัมผัสได้ว่า ไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่นี่ มีอะไรบางอย่างกำลังเรียกหาเขาอยู่ ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจก่อตัวขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาหันไปยังทิศทางหนึ่งตามความรู้สึก
“ใครกำลังเรียกข้าอยู่หรือ” หลินเซินพึมพำเบา ๆ คนเดียว
“เยี่ยนฟาง ข้ารู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีบางคนกำลังเรียกข้าอยู่ รีบเข้าเมืองกันเถอะ” หลินเซินพูดกับเจ้าแมวน้อย ไม่รอช้าอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนลอยลงมาจากเขาด้วยความเร็วอย่างตื่นเต้น จนลมปะทะเข้าที่หน้าเจ้าแมวน้อย ตาเหลือกกว้างไม่สามารถต้านแรงลมไว้ได้ คอที่ตั้งตรงอยู่แทบจะพลิกไปด้านหลัง นางจึงส่งเสียงร้องให้เขารู้ตัว หลินเซินก้มลงมองท่าทางของนางอย่างขบขัน หัวเราะเบา ๆ สนุกสนาน นางจึงยกมือขึ้นพยายามตะปบแขนเขาด้วยความงอน“ข้ารู้แล้ว ๆ” หลินเซินกอดเจ้าแมวน้อยเอาไว้แน่น คอยบังกระแสลมแรง ก่อนจดจ่อกับการเดินทางต่อเมื่อมาถึงทางเดินยาวสุดสายตา หลินเซินพยายามมองหาสิ่งที่กำลังร้องเรียกเขา หากแต่ไม่เจออะไรที่เข้าท่า เขาจึงเดินตามความรู้สึกไป ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อ กลิ่นของปลาย่างก็โชยมาที่ปลายจมูกของเขา แล้วก็ได้ยินเสียงร้องเหมียว เหมียวดังมาจากฝั่งตรงข้าม ไม่รู้ว่าเจ้าแมวน้อยไปยืนรออยู่หน้าร้านตั้งแต่เมื่อใด“เยี่ยนฟาง อดใจไว้ เดี๋ยวข้าจะพามากิน ข้าให้สองตัวเลย” หลินเซินพยายามโน้มน้าวใจเจ้าแมวน้อย เวลานี้เขารู้สึกอยากตามหาสิ่งนั้นให้พบไว ๆ เสียเหลือเกิน ราวกับว่า ถ้าวันนี้หาไม่เจอค
“เยี่ยนฟาง ตื่นได้แล้ว วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปหาของอร่อย ๆ นะ” หลินเซินลูบหัวของเจ้าแมวน้อยแผ่วเบา รอยยิ้มสดใสประดับบนใบหน้าหล่อเหลา เจ้าแมวน้อยงัวเงียค่อย ๆ ลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง เพราะเห็นความกระตือรือร้นของหลินเซินในรอบหลายปีเขาอุ้มเยี่ยนฟางไว้ในอ้อมกอดพานางลอยลิ่วลงมายังล่างเขา ก่อนจะไปแวะซื้อปลาย่างร้านโปรด เมื่อเห็นว่าเจ้าแมวน้อยอิ่มแปล้จนพุงย้อย เขาก็อุ้มนางเดินเล่นในตลาดอยู่สักพัก ครั้นได้เวลา หลินเซินจึงมุ่งหน้าไปที่บ้านของเจียลี่ แอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่เพื่อไม่ให้นางเห็น“ท่านพ่อ วันนี้ต้องไปส่งของที่ร้านเฒ่าแก่ใช่หรือไม่” เจียลี่เอ่ยปากถามพลางจัดของใส่ตะกร้าใบใหญ่“อื้ม เจ้าอยากไปเองหรือ” บิดาถามนางเพราะรู้ใจ“เจ้าค่ะ เชิญท่านพ่อพักผ่อนให้สบายที่บ้านเถิด งานทางนี้ ข้าดูแลเอง ท่านพ่อไม่ต้องกังวล” นางพยายามยกตะกร้าใบใหญ่ด้วยความเงอะงะจนบิดาอดสงสัยไม่ได้“เจียลี่ เจ้าไปคนเดียวได้หรือ”“เจ้าค่ะ” นางตอบเขาก่อนจะพยายามยกตะกร้าขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้กลับยกขึ้นได้อย่างง่ายดายจนตนเองก็แปลกใจ“ไปก่อนนะเจ้าคะ” นางยิ้มให้บิดาแล้วเดินล
เจียลี่มาพบเขาที่หน้าประตูบ้าน“หลินเซิน ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”“เรื่องอันใดหรือ” เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน เงี่ยหูฟังสิ่งที่นางจะบอก“ข้าต้องกลับบ้านแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้กลับมาที่นี่อีก หวังว่าจะมีโอกาสได้เจอเจ้าอีกนะ”หลินเซินครุ่นคิดเรื่องราวในหัวว่าจะทำอย่างไรดี เขายังไม่ได้คำตอบเลยว่าทำไมนางถึงทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหวได้ถึงเพียงนี้ ทั้งยังเรื่องด้ายสีทองที่ผูกมัดเขากับนางอีก “ข้าต้องรู้ให้ได้ ว่าเจ้าเป็นใคร ทำไมใจข้าต้องเต้นแรงทุกครั้งที่เห็นหน้าของเจ้า” ราวกับมีคนรู้ทัน เยี่ยนฟางใช้พลังส่งกระแสจิตไปหาเขา “ไปส่งนางที่บ้านสิ”“เอ๋ เยี่ยนฟาง เจ้าพูดได้แล้วหรือ” หลินเซินตาโตประหลาดใจ ส่งกระแสจิตกลับไปหานาง แต่ไม่มีสัญญาณตอบกลับ“เจียลี่ ข้าได้ยินมาว่าป่าทางนั้นมีสัตว์ดุร้ายออกอาละวาด โจรป่าชุกชุม แอบปล้นเสบียงของพ่อค้าที่ผ่านไปมาอยู่บ่อย ๆ ให้ข้าไปส่งเจ้าที่บ้านดีหรือไม่” หลินเซินเสนอตัวเองอย่างที่เยี่ยนฟา
“ข้า... ข้าเข้าใจแล้ว” เจียลี่นิ่วหน้าเหมือนจะร้องไห้ นางไม่อยากโดนสัตว์ประหลาดแทะแขนแทะขานางเหมือนในเรื่องเล่าสยองขวัญของพวกพ่อค้าจึงได้แต่รับปากด้วยความกลัว“พูดไปได้ว่าจะกินนาง เจ้าหมาป่าซื่อบื้ออ่านนิยายแนวนั้นมากไปใช่หรือไม่ เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าเจ้าน่ะเป็นสัตว์กินพืช” เยี่ยนฟางบ่นอุบอิบในใจส่งเสียงร้องเหมียว เหมียว แรก ๆ นางเพียงตกใจตามสัญชาตญาณที่ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ที่มีอำนาจมากกว่า เรื่องนี้ดูมีเงื่อนงำกว่าที่คิด นางแค่รอให้เขามาระบายให้ฟังก็จะได้รู้แล้วว่าเขาคิดอะไรอยู่ ร้อยปีที่เขาคอยดูแลนางด้วยความห่วงใย ทำให้นางแน่ใจได้ว่าเขาไม่ใช่สัตว์ป่าดุร้ายเมื่อตกลงกันได้เรียบร้อย ทั้งสองพากันเดินกลับที่พักเงียบ ๆ ต่างคนต่างไม่พูดอะไรตลอดทาง“เจียลี่ เจ้าหายไปไหนมา” จวีจิวฝูถามบุตรสาวด้วยความกระวนกระวายใจ เขาตกใจตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงคำรามของหลินเซินดังไปทั่วทั้งป่า“ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” เจียลี่พยายามทำสีหน้าปกติ นางเกรงว่าบิดาจะกังวลหากเห็นสีหน้าหวาดกลัวของนาง“
สองอาทิตย์ผ่านไป“เจียลี่ ถึงบ้านแล้ว” จวีจิวฝูตะโกนบอกบุตรสาวที่นั่งอยู่ในรถม้า“จริงหรือ” นางเปิดหน้าต่างเห็นทิวทัศน์ที่คุ้นตาเผลอยิ้มออกมา แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเห็นคนที่นั่งข้าง ๆ กำลังจ้องอยู่“ข้าจะต้องทำตามที่เจ้าบอกไปจนถึงเมื่อใด” นางถามเขาอีกครั้งเผื่อเขาจะเปลี่ยนใจ แต่เมื่อมองสายตาของเขาราวกับได้คำตอบแล้วว่า “อีกนาน” นั่นล่ะ คำตอบสั้น ๆ ของเขาลั่วหมิงเฟยได้แต่มองความสัมพันธ์ของทั้งสองคนอย่างเงียบ ๆ อันที่จริงเขาเห็นมาสักพักแล้วว่าดูแปลก ๆ แต่สิ่งที่แปลกกว่าคือ เจ้าแมวตัวน้อยสีขาวมักจะไม่ชอบให้เขาเข้าใกล้หลินเซินหรือคนอื่น ๆ สักเท่าใดครั้งหนึ่งเขาพยายามจะลูบหัวเพื่อทำความคุ้นเคยกลับโดนตะปบอย่างเลือดเย็น กระนั้นเขาไม่ยอมแพ้เป็นคนคอยหาปลามาย่างให้นางอยู่บ่อย ๆ เอาไม้ตกแมวมาล่อให้นางเล่นด้วยอยู่หลายครั้ง นึกไม่ถึงว่านางไม่ยอมใจอ่อนเป็นมิตรกับเขาบ้างเลยจวีจิวฝูหยุดรถม้าหน้าบ้านหลังเล็ก เขาค่อนข้างกังวลใจว่าจะจัดสรรที่อยู่ในบ้านอย่างไร เดิมทีเขาอาศัยอยู่กับบุ
“เหลือจะเชื่อเลยจริง ๆ ว่าเจ้าใช้วิธีนี้” เจียลี่อ้าปากค้างคิดไม่ถึง “อย่าได้คิดทำเช่นนี้กับข้า” เจียลี่รีบบอกเขากลัวว่าสักวันนางจะโดนสะกดจิตให้ทำอะไรแปลก ๆ“อย่างเจ้าน่ะ ต้องยอมทำให้ข้าด้วยความเต็มใจ” หลินเซินยิ้มเจ้าเล่ห์ให้นาง “ไปกันเถอะ” เขาชวนนางเดินไปที่ร้านถังหูลู่“ข้าขอสองไม้” หลินเซินใช้วิธีเดิมกับพ่อค้าร้านถังหูลู่ กระนั้นยังมีใจแบ่งให้นางหนึ่งไม้ เจียลี่เห็นเช่นนั้นจึงหันไปจ่ายเงินให้พ่อค้าแทนเขา“เจ้าทำแบบนี้มาตลอดเลยหรืออย่างไร อยู่เมืองมนุษย์ก็ต้องมีเงินเก็บไว้บ้าง” เจียลี่บ่นอุบอิบอยู่ข้างเขา นางรู้สึกว่าเรื่องราวของเขานั้นซับซ้อนจนไม่รู้จะเริ่มถามอะไร“อยู่กับข้าไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” หลินเซินยักคิ้วข้างหนึ่งอารมณ์ดี“อยู่กับเจ้าไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นหรือ รู้เช่นนี้ ข้าน่าจะแต่งงานเสียตั้งแต่ก่อนเจอเจ้า” นางพูดเสียงอ่อยท้อแท้ใจถ้าจะต้องอยู่เหมือนเป็นทาสของหมาป่าจอมโหด“ถ้าเจ้าแต่งงานกับผู้อื่น ข้าคงเสียใจมาก”
“พี่สะใภ้ ท่านใจเย็นก่อน” หมิงเฟยเลิ่กลั่กมองซ้ายขวาหาทางหนี เพียงแต่ว่าถูกเจียลี่และเยี่ยนฟางขนาบข้างจึงได้แต่นั่งหดตัว“บอกเรื่องที่เจ้ารู้มาให้หมด เจ้าจิ้งจอกน้อย” เจียลี่ยิ้มมุมปากรอฟังคำตอบของเขา“ข้ายังบอกไม่ได้ขอรับ รอท่านพี่มาอธิบายจะดีกว่า” หมิงเฟยหลบสายตาของทั้งสองคน“เช่นนั้นย่อมได้ เจ้าอย่าเพิ่งบอกเขาว่าข้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว อยากจะรู้นักว่าจะแกล้งข้าไปจนถึงเมื่อใด” เจียลี่สั่งห้ามหมิงเฟยน้ำเสียงเด็ดขาด หมิงเฟยคิดในใจว่าท่านพี่ของเขาคงจะเจองานใหญ่เข้าแล้วเช้าวันต่อมาเจียลี่กำลังหวีผมผูกผ้าให้เยี่ยนฟางอยู่ในห้อง นางได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากหน้าบ้านจึงรีบลงมาดู เห็นบิดาของนางกำลังลากกระสอบใบใหญ่เข้ามาตรงกลางลานบ้าน“เจียลี่ พ่อกลับมาแล้ว” จวีจิวฝูเดินเข้ามากอดบุตรสาวด้วยความคิดถึง หน้าตาของเขามอมแมมจากการเข้าป่าขุดสมุนไพร“ท่านพ่อ เจ็บตรงไหนหรือไม่ หน้าตาท่านเปรอะเปื้อนดินโคลนไปหมดแล้ว” เจียลี่สำรวจหาบาดแผลของเขา พลันได้ยินเสียงใสแจ๋วของเยี่ยน ฟางดังขึ้น
ผ่านไปสองเดือน“ท่านพี่หลินเซินนนน น้ำค้างยามเช้ามาแล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยนฟางตะโกนปลุกเขาเช้าตรู่ วันนี้นางตื่นก่อนเวลาเพื่อออกไปเก็บน้ำค้างมาให้เขา ทั้งยังเด็ดดอกไม้สามสี่ดอกติดมือมาด้วยด้านคนที่กำลังหลับฝันดีอยู่ในบ้านสะดุ้งตื่นเพราะเสียงแหลมเจื้อยแจ้วของนาง เขาชั่งใจคิดว่าระหว่างให้นางเป็นแมวกับคน อย่างไหนจะดีกว่ากัน ตั้งแต่ที่เยี่ยนฟางพูดได้ นางก็พูดกับเขาไม่หยุดตลอดทั้งวัน“ได้ยินแล้วเยี่ยนฟาง เดี๋ยวข้าออกไป” หลินเซินเดินออกมาหานางข้างนอก ดูเหมือนว่าทุกคนพร้อมใจกันมารวมตัวอยู่หน้าห้องของเขา“ตื่นแล้วหรือหลินเซิน” เจียลี่ยิ้มหวานทักทายเขา เจียลี่แต่งตัวสวยจนหลินเซินจ้องนางตาไม่กระพริบ วันนี้พวกเขาทั้งสองมีนัดไปเที่ยวตลาดในเมืองกันสองคน“หมิงเฟย พวกเรารีบไปกันดีกว่า อยู่ตรงนี้นานข้าพาลจะหงุดหงิด เบื่อคนมีความรัก” เยี่ยนฟางชวนหมิงเฟยออกมาข้างนอก ปล่อยให้คนทั้งสองอยู่กันตามลำพัง“พวกเจ้าสองคนระวังตัวกันด้วย” เจียลี่ตะโกนบอกด้วยความเป็นห่วง ทั้งคู่จึงโบกมือส่ง
เช้าวันต่อมาเยี่ยนฟางมาหาหมิงเฟยที่ห้องเพราะทั้งสองต้องไปเก็บน้ำค้างยามเช้ามาให้หลินเซิน ปกติแล้วหมิงเฟยจะต้องออกไปรอนางที่หน้าห้อง เพียงแต่ว่าวันนี้เขากลับตื่นสายจนนางต้องมาตาม“หมิงเฟย ตื่นได้แล้ว” เยี่ยนฟางคิดว่าเขาคงจะเมาค้างจากฤทธิ์สุรา นางตั้งใจเดินมาปลุกเขาใกล้ ๆ แต่เมื่อเห็นเหงื่อผุดเต็มใบหน้า ทั้งยังสีหน้าของหมิงเฟยดูเจ็บปวด นางก็รีบปลุกเขาให้ตื่น “หมิงเฟย หมิงเฟย” กระนั้นเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว เยี่ยนฟางจึงรีบวิ่งไปหาหลินเซินที่ห้องข้าง ๆ“ท่านพี่ หมิงเฟยเป็นอะไรไม่รู้” น้ำเสียงกังวลของนางทำให้หลินเซินรีบวิ่งไปดูเขา“ท่านพี่ หมิงเฟยเป็นอะไรหรือ” เยี่ยนฟางถามเขาด้วยความเป็นห่วง นางไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้ เจียลี่จึงกอดนางเอาไว้รอฟังคำตอบของเขา“พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าพอจะรู้สาเหตุ ออกไปรอข้าข้างนอกเถิด จะได้ไม่กระวนกระวายใจมากนัก” เจียลี่พยักหน้าให้เขาแล้วพาเยี่ยนฟางออกไปรอที่ห้องของนาง“เจ้าทำให้เขาเป็นเช่นนี้หรือ” หลินเซินโพล่งออกมา เขา
ยามค่ำคืนแสงจันทร์สีนวลทรงกลด ผู้คนในเมืองหลวงต่างออกมาเดินเล่นเทศกาลประจำปีกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ตามบ้านเรือนและร้านค้าประดับไฟหลากสีสลับกัน บางจังหวะกระพริบวิบวับมีลูกเล่นตระการตา พ่อค้าแม่ค้าตั้งร้านเรียงรายสองข้างถนนตลอดทาง ทั้งยังมีการแสดงจากคณะละครคอยเรียกเสียงฮาจากผู้คนที่ผ่านไปมาหลินเซินและคนอื่น ๆ เลือกที่จะดื่มฉลองกันที่โรงเตี๊ยมเพื่อหลีกหนีจากผู้คน ภายในโรงเตี๊ยม เฒ่าแก่ผู้เป็นเจ้าของก็จัดงานใหญ่โตไม่แพ้ที่อื่น หลินเซินได้ส่วนลดเพราะอาศัยอยู่ที่แห่งนี้มานานจนแทบจะเป็นบ้านหลังที่สองของเขาในเมืองนี้ คืนนี้จึงรับเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารทุกคนโดยนำเงินเก็บที่ได้จากการทำงานเล็กน้อยอย่างขายโสมป่าและเห็ดหายากให้ร้านสมุนไพรในเมืองขณะที่ทุกคนเพลิดเพลินกับการแสดงร่ายระบำของหญิงสาวจากทางตะวันตก หลินเซินก็รับรู้ได้ว่าสายตาของนางผู้นั้นกำลังใกล้เข้ามา นางเดินมาทักทายเขาที่นั่งอยู่มุมโต๊ะอย่างมีเจตนา นางสวมชุดสีแดงสดกับเครื่องประดับสีทอง เสื้อผ้าพลิ้วไหวดูบางเบา เรือนผมยาวสยายสีดำขลับตัดกับผิวขาวนวลเนียน ทันทีที่เห็นสาวงามเข้าใกล้หลินเซินเกินควร เ
หลินเซินได้เห็นช่วงเวลาต่าง ๆ ในความฝันจึงได้รู้ว่านางคือลู่ฟางหรง หญิงสาวเผ่ากวางนำทางกับเด็กชายคนหนึ่ง เสิ่นชิวที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาหน้าตาเหมือนเขา“หยุดเถิด” เขาห้ามปรามให้นางปลดปล่อยเขาจากความฝัน หากแต่นางยังคงไม่ย่อท้อ ลู่ฟางหรงเห็นสีหน้าของเขาก็เข้าใจว่าเขาเริ่มจำนางได้แล้ว ทว่าเหมือนบางสิ่งกำลังขวางกั้นไม่ให้หลินเซินจำภาพทั้งหมดได้ ภาพความฝันในอดีตที่นางสร้างขึ้นมาเริ่มมีคนที่นางไม่อยากเห็นหน้าปรากฏตัว“ข้าไม่ยอม” นางกล่าวสั้น ๆ กับเขาก่อนจะหายตัวไป หลินเซินงัวเงียสะดุ้งตื่น รู้สึกแปลกใจที่ฝันเช่นนี้ แต่เขาไม่รู้ว่าความฝันนั้นคืออดีตชาติของตนเอง จึงหลับตานอนต่อจนถึงรุ่งเช้าเจียลี่ยกน้ำค้างยามเช้ามาให้เขาที่ห้อง นางเห็นขอบตาดำทั้งสองข้างของเขาแล้วนึกขำ “หลินเซิน เมื่อคืนนอนไม่หลับหรืออย่างไร”“ข้าแค่ฝันแปลก” เขาพยายามนึกว่าฝันอะไรไปแล้วบ้างแต่ก็ลืมเสียหมดสิ้น “ไม่เป็นอะไรหรอก ข้าลืมไปแล้ว จำได้ลาง ๆ ว่าเห็นเจ้าในความฝัน” หลินเซินยิ้มให้นาง แต่แล้วก็รู้สึกได้ว่า
เช้าวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ เจียลี่ชวนทุกคนออกไปนั่งเล่นชมสวนที่ริมลำธารในเขตป่าของแคว้นเป่ย เยี่ยนฟางนั่งอยู่บนโขดหินกลางสายน้ำไหลเอื่อยกับหลิวอิง ทั้งคู่หย่อนขาลงไปแช่ในน้ำใสเย็น สายตาจ้องมองปลาตัวเล็กแหวกว่ายไปมา ด้านหมิงเฟยเดินตามหลังถังลี่ฮวาคอยถือตะกร้าดอกไม้ใบใหญ่“ถังลี่ฮวา” เขาหยิบดอกไม้สีชมพูหวานทัดที่เรือนผมสลวยของนางแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ถังลี่ฮวายิ้มเขินรีบเปลี่ยนเรื่อง “ไปดูผีเสื้อตรงโน้นกันเถอะ” แล้วจูงมือเขาไปพร้อมกันสายลมพัดพากลิ่นดอกไม้หลากหลายชนิดหอมฟุ้งอบอวลทั่วทั้งป่า หลินเซินที่นั่งหลบอยู่ใต้ต้นไม้มองทุกคนพลางจิบน้ำชาดอกท้อ ครั้นผ่านมาสักพักหัวของเขาก็ค่อย ๆ เอนลงมาซบไหล่ของเจียลี่อย่างเป็นธรรมชาติ“หลินเซิน ง่วงนอนแล้วหรือ” เจียลี่ลูบใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน “เจ้าจะกินขนมไปหลับไปไม่ได้นะ” นางก้มมองดูใบหน้าของเขา พอเห็นว่าหลินเซินหลับตาพริ้มจึงหยิบขนมที่เขาถือไว้มาเก็บ แล้วค่อย ๆ ขยับศีรษะมาหนุนที่ตักของนางสายตาของนางจ้องมองใบหน้าของเขาเนิ่นนาน ใบหน้า รูปคิ้
ด้านหน้าหอคณิกา หมิงเฟยชะเง้อคอยาวมองหาถังลี่ฮวามาพักหนึ่ง เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ถอยหลังกลับมาหนึ่งก้าว เดินวนไปทางซ้ายที แล้วหันกลับมามองเยี่ยนฟางที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ สายตาละห้อยลังเลใจของเขาทำให้เยี่ยนฟางส่ายหัว นางโบกมือเป็นสัญญาณให้เขาเข้าไปได้แล้ว มิเช่นนั้นเที่ยงวันนางก็คงยังไม่ได้กินข้าวเช้าเป็นแน่“ไปสักทีเถอะ ข้าขอร้อง เจ้าจะอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม” เยี่ยนฟางตะโกนถามเขา ท้องร้องโครกครากหิวข้าวจนแทบจะแทะต้นไม้แถวนั้นหมิงเฟยยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ต่อไป สีหน้าวิตกกังวล แกว่งถุงเสื้อผ้าที่ซื้อมาฝากถังลี่ฮวาไปมา เยี่ยนฟางจึงเดินออกจากที่ซ่อนแล้วคว้ามือของเขาเข้าไปด้านในด้วยกัน“ดะ เดี๋ยวก่อนเยี่ยนฟาง เดี๋ยวก่อน” หมิงเฟยร้องห้ามแทบไม่ทัน พยายามดึงตัวเยี่ยนฟางเอาไว้“มัวแต่ยืนอยู่ตรงนี้ แล้วเมื่อใดจะได้พบนาง โน่น! เจ้าเห็นไหม คุณชายท่านนั้นกำลังเดินไปหานางแล้ว” เยี่ยนฟางชี้ให้ดูบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง ด้านหลังมีคนรับใช้แบกหีบลังใหญ่ตามไปด้วย หลังจากที่เห็นเช่นนั้น หมิงเฟยไม่ลังเลอีกต่อไป เขารี
เซียวอวี้เทียนเพิ่งออกมาจากห้องทรงงานของเทียนจวิน เขารีบตรงดิ่งไปยังลานจุติ เพียงแต่ว่ามาช้าไปก้าวเดียว เขาเห็นเพียงแผ่นหลังของนางที่กำลังหายลับไปโดยไม่ได้กล่าวลา นึกเสียใจอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะทำอะไรดูจะไม่ทันการณ์ไปทุกอย่าง พอเห็นนางต้องเผชิญด่านเคราะห์ยาวนานก็นึกเป็นห่วงจึงไปหาซือมิ่งที่ตำหนักเพื่อถามข่าวคราว“เทพสงคราม ท่านมีอะไรหรือ” ซือมิ่งออกมาต้อนรับเขาหน้าตำหนักตอนเช้าตรู่ เห็นสีหน้าของเขาจึงถามออกมา“ซือมิ่ง ข้ามีเรื่องรบกวนท่าน” เซียวอวี้เทียนเขยิบเข้ามาใกล้ แม้ทั้งสองจะสนิทกันมากแต่เมื่อซือมิ่งได้ยินเรื่องที่เขาอยากรบกวนแล้วต้องรีบปฏิเสธในทันที“ไม่ได้ ๆ เรื่องนี้อย่ารบกวนข้าเลย” ซือมิ่งถอยห่างหนึ่งก้าว ยกมือปัดไปมาพัลวัน“ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ขอมากมายเสียหน่อย เห็นแก่ที่เป็นเพื่อนกันมานาน ท่านช่วยข้าหน่อยเถอะ นี่สุราดอกท้อของท่าน ของดีที่หนึ่งในแคว้นเป่ย ยกให้ท่านหมดเลย” เซียวอวี้เทียนพยายามหว่านล้อมซือมิ่งอยู่พักใหญ่จนเขาไม่เป็นอันทำงานอื่น ๆ“ดูสิ ดูสิ เทพสงครามผู้นี้ติดสินบนข้า ว่าแต่
วันเกิดเหตุการณ์วิหคเพลิงป่วนตำหนักโคมดวงจิต หยาง ซือซือถูกตัดสินโทษให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์และบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้น แม้เซียวอวี้เทียนจะรู้สึกไม่พอใจกับการตัดสินโทษในครั้งนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยนางได้ ทั้งยังถูกเทียนจวินเรียกพบเพื่อหารืองานหมั้นหมายระหว่างเทพสงครามเซียวอวี้เทียนและเทพอัคคีซ่งอี้ผู้เป็นธิดาของเขา“ซ่งอี้ วิหคเพลิงตัวนั้นเป็นของท่านใช่หรือไม่” เซียวอวี้เทียนถามนางด้วยความสงสัย “เป็นเรื่องแปลกนักที่พบสัตว์พาหนะของท่านในที่ห่างไกลอย่างตำหนักโคมดวงจิต” เขาจ้องมองซ่งอี้อย่างจับพิรุธ มีหรือที่เทพระดับนางจะควบคุมสัตว์พาหนะของตนไม่ได้“วิหคเพลิงในตำหนักของข้ามีอยู่ทั่วไป เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น” ซ่งอี้เฉไฉไม่ยอมรับ นางรู้สึกหงุดหงิดที่เขาจี้ถามนางอยู่อย่างนั้น“ท่านมีธุระอันใดที่นั่น” เซียวอวี้เทียนย้อนถามนางอีกครั้ง“แล้วเทพสงครามอย่างท่านมีเหตุอันใดที่ต้องไป ซ้ำยังสนิทสนมกับเซียนน้อยถึงเพียงนั้น ท่านควรเกรงใจข้าบ้าง เรื่องหมั้นหมายของเราในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า...&rdquo
กาลครั้งหนึ่ง ณ ดินแดนสวรรค์เซียนน้อยหยางซือซือนั่งเล่นอยู่บนก้อนเมฆน้อยที่ลอยไปลอยมารอบตำหนัก วันนี้นางจัดการภาระงานทั้งหมดได้เสร็จลุล่วงจึงมีเวลาพักผ่อนหย่อนใจเร็วกว่าที่คิดไว้ พลันสายตาเหลือบเห็นเงาตะคุ่มอยู่ในกลุ่มเมฆด้านหน้าจึงกระโดดเข้าไปดูใกล้ ๆหยางซือซือผู้ใสซื่ออ่อนต่อโลกนั้นไม่ทันได้ระวังตัว ทั้งยังไม่คิดมาก่อนว่าที่แห่งนี้จะมีผู้ใดแวะเวียนผ่านมากระโดดไปชนกับร่างใครบางคนพอดิบพอดีจนร่างบางของนางแทบจะปลิวตกก้อนเมฆ เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นหันมาคว้าข้อมือเอาไว้ทันจึงรอดไปได้อย่างหวุดหวิด“เอ่อ ขอบคุณท่านเซียนที่ช่วยเหลือแล้วก็ขออภัยท่านด้วย เป็นข้าเองที่ไม่ทันระวัง” หยางซือซือยืนเก้ ๆ กัง ๆ ทำตัวไม่ถูก ดูจากรูปร่างหน้าตา ท่าทางและเครื่องอาภรณ์ของเขาแล้ว คงจะเป็นเซียนที่อยู่ตำแหน่งสูงกว่านางเป็นแน่ นางไม่ค่อยได้เจอผู้คนมากนัก เรื่องพิธีต่าง ๆ จึงไม่จดจำไว้สักเท่าใด“อย่าโทษตนเองเลย ข้าก็มีส่วนผิด ท่านบาดเจ็บที่ใดหรือไม่” เขาถามนางอย่างสุภาพนอบน้อม ในใจนึกสงสัยทำไมที่ห่างไกลเพียงนี้ถึงได้มีเซียนน้อยอาศัย
คืนนั้นหลินเซินช่วยรักษาบาดแผลให้เฉิงเซียวและพรรคพวกที่หนีออกมาจนรุ่งเช้า อาการของพวกเขาดีขึ้นจากเดิมมาก เหลือแค่ทานยาเพียงไม่กี่วันก็จะกลับมาแข็งแรงเช่นเดิม หลังจากนั้นหลินเซินจึงกลับมาพักที่โรงเตี๊ยมนอนหลับไปหนึ่งวันเต็มเพื่อฟื้นฟูพลัง“หลินเซิน ตื่นแล้วหรือ” เจียลี่เห็นเขาลืมตาจึงถามไถ่อาการของเขา พลางยื่นจอกน้ำค้างยามเช้า“อื้ม ข้าแค่รู้สึกเพลีย” เขายักยิ้ม เยี่ยนฟางกับหมิงเฟยจึงพลอยโล่งใจไปด้วย“ท่านพี่หักโหมใช้เวทรักษามากไปแล้ว” นางบ่นอุบอิบด้วยความเป็นห่วง จริง ๆ แล้วจิ้งจอกแดงเหล่านั้นต่างมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนทั่วไป หากไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพิ่มขึ้นมา ร่างกายก็จะค่อย ๆ เยียวยาตนเองจนหายดี แม้จะใช้เวลาหลายอาทิตย์ก็ตามหลินเซินลูบหัวเยี่ยนฟาง “ยิ่งหายเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมิใช่หรือ” เฉิงเซียวบอกกับทุกคนว่าเผ่าจิ้งจอกแดงที่ถูกกักขังไม่ได้มีแค่พวกเขาเพียงเท่านั้น หลายหมู่บ้านข้างในดินแดนยังคงมีคนอื่น ๆ รอคอความช่วยเหลือจากพวกเขาอยู่แม้คนเหล่านั้นจะไม่ถูกทรมานอย่