“เยี่ยนฟาง ข้ารู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีบางคนกำลังเรียกข้าอยู่ รีบเข้าเมืองกันเถอะ” หลินเซินพูดกับเจ้าแมวน้อย ไม่รอช้าอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนลอยลงมาจากเขาด้วยความเร็วอย่างตื่นเต้น จนลมปะทะเข้าที่หน้าเจ้าแมวน้อย ตาเหลือกกว้างไม่สามารถต้านแรงลมไว้ได้ คอที่ตั้งตรงอยู่แทบจะพลิกไปด้านหลัง นางจึงส่งเสียงร้องให้เขารู้ตัว หลินเซินก้มลงมองท่าทางของนางอย่างขบขัน หัวเราะเบา ๆ สนุกสนาน นางจึงยกมือขึ้นพยายามตะปบแขนเขาด้วยความงอน
“ข้ารู้แล้ว ๆ” หลินเซินกอดเจ้าแมวน้อยเอาไว้แน่น คอยบังกระแสลมแรง ก่อนจดจ่อกับการเดินทางต่อ
เมื่อมาถึงทางเดินยาวสุดสายตา หลินเซินพยายามมองหาสิ่งที่กำลังร้องเรียกเขา หากแต่ไม่เจออะไรที่เข้าท่า เขาจึงเดินตามความรู้สึกไป ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อ กลิ่นของปลาย่างก็โชยมาที่ปลายจมูกของเขา แล้วก็ได้ยินเสียงร้องเหมียว เหมียวดังมาจากฝั่งตรงข้าม ไม่รู้ว่าเจ้าแมวน้อยไปยืนรออยู่หน้าร้านตั้งแต่เมื่อใด
“เยี่ยนฟาง อดใจไว้ เดี๋ยวข้าจะพามากิน ข้าให้สองตัวเลย” หลินเซินพยายามโน้มน้าวใจเจ้าแมวน้อย เวลานี้เขารู้สึกอยากตามหาสิ่งนั้นให้พบไว ๆ เสียเหลือเกิน ราวกับว่า ถ้าวันนี้หาไม่เจอคงจะนอนไม่หลับ
แน่นอนว่าเจ้าแมวน้อยก็รู้งานเป็นอย่างดี มีหรือจะไม่รู้ว่าเขากำลังมุ่งมั่น จริงจังผิดกับตอนปกติทั่วไป นางกลืนน้ำลายอึกหนึ่งพร้อมสายตาละห้อย ก่อนจะกระโดดกลับอ้อมแขนของเขา มือข้างหนึ่งยื่นออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์
หลินเซินเดินลัดเลาะผ่านผู้คนมากมาย เริ่มรู้สึกได้ว่าสิ่งนั้นกำลังใกล้เข้ามา หากมองด้วยสายตา เขาแทบแยกไม่ออกเลยว่าสิ่งที่เขาตามหาคืออะไร พลันได้เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังเดินมาทางเขา หน้าตารูปโฉมงดงามราวกับเซียนสวรรค์ หน้าผากแต้มสีแดง ปากอวบอิ่ม ร่างเพรียวบางดูน่าปกป้อง เขาเห็นนางกำลังส่งยิ้มมาให้จึงยิ้มกว้างกลับไป เพียงแต่ว่า...
“ท่านป้า ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีหรือไม่เจ้าคะ” นางทักทายหญิงสูงวัยที่อยู่ข้างหลังเขา นั่นแหละ นางไม่ได้ยิ้มให้เขาหรอก ทว่าจังหวะที่นางจะเดินผ่านตัวเขาไป ด้ายสีทองหลายเส้นกลับปรากฏขึ้นผูกมัดข้อมือข้างหนึ่งของเขากับอีกข้างของนางอย่างเหนียวแน่น หลินเซินยกข้อมือขึ้นมาดูอย่างงุนงน พยายามสลัดด้ายสีทองออกก็ไม่เป็นผล เขาลองเดินห่างจากนางไปไกล ๆ ด้ายสีทองก็ยืดออกตามระยะทาง พอเดินกลับมาใกล้ ๆ ด้ายสีทองก็หดกลับเข้ามา
เขาสังเกตดูสตรีผู้นี้ ราวกับนางเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาจึงมองไม่เห็นด้ายสีทอง หลินเซินจึงเดินเข้าไปใกล้ ๆ หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ จนต้องรีบวิ่งไปหลบทำใจอยู่หลังเสา สร้างความงุนงงให้เจ้าแมวน้อยอย่างยิ่ง
กระนั้นสายตาของเขาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่นาง คิ้วสองข้างขมวดเป็นปม ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่เข้าใจตัวเอง ความรู้สึกนี้คืออะไร คงจะมีก็แต่เจ้าแมวน้อยที่ดูอาการของเขาอย่างเงียบ ๆ
“รักษาตัวดี ๆ นะ เจ้าคะ ครั้งหน้าข้าจะแวะมาเยี่ยมท่าน” นางกล่าวลาสตรีสูงวัยแล้วเดินเลี้ยวซ้ายไปอีกทาง
หลินเซินรีบจ้ำอ้าวตามนางไปอย่างรักษาระยะห่าง ไม่ให้นางรู้ตัว สตรีนางนี้ทักทายผู้คนมากหน้าหลายตา ท่าทางอัธยาศัยดี ดูเป็นมิตร ยามที่นางยิ้ม ก็ทำให้เขาใจเต้นได้ทุกครั้ง พักหนึ่งนางก็เดินออกนอกตลาดไป เขาตามจนมาถึงหน้าบ้านหลังเล็ก
“ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว” นางพูดกับชายชราที่นั่งรออยู่ชานบ้าน เขายังคงแอบอยู่หลังต้นไม้ฟังบทสนทนาของทั้งคู่อย่างตื่นเต้น
“เจียลี่ มานี่สิ ข้าเตรียมขนมไว้ให้เจ้าด้วย” เขารีบบอกให้นางมาหา
จวีเจียลี่บุตรสาวพ่อค้าจากเมืองทางตอนใต้ ติดตามบิดาที่แก่ชรามาที่เมืองนี้เพื่อทำการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยความเป็นห่วงเขาตามประสาบุตรสาวผู้แสนดี ทั้งยังถือโอกาสเปิดหูเปิดตา หาโอกาสซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าไปขายที่บ้านเกิดช่วยกิจการครอบครัว
“เจียลี่ เจอบุรุษผู้ใดที่เจ้าถูกใจหรือไม่” ผู้เป็นบิดาถามนางตรง ๆ เขาพยายามหาบุรุษที่เพียบพร้อมและเหมาะสมกับนางอยู่นานหลายปี จนปีนี้นางอายุย่างยี่สิบแล้ว แต่ก็ไม่ได้แต่งงานดังที่เขาตั้งใจ คิดในใจแต่เพียงว่าอย่าให้นางขึ้นคานเลย
“ท่านพ่อ ไม่เห็นมีผู้ใดน่าสนใจเลย แล้วข้าก็ไม่รีบ” เจียลี่ตอบเขาอย่างซื่อ ๆ เหมือนอย่างเคย
“แต่ข้ารีบ ข้าเองก็แก่แล้ว อยากเห็นเจ้าเป็นฝั่งเป็นฝา” บิดาของนางบ่นอุบอิบ จ้องนางด้วยความจริงจัง
“ท่านพ่อ โชคชะตาน่ะ เดี๋ยวเขาจะมาก็มาเอง ท่านอย่าเพิ่งเร่งข้านักเลย อีกอย่างข้าอยู่กับท่านพ่อไปตลอดเลยย่อมได้ ไหน ๆ ท่านก็มีข้าเป็นบุตรคนเดียว เดี๋ยวไม่มีผู้สานต่อกิจการนะเจ้าคะ” เจียลี่อธิบายอย่างยืดยาวพยายามโน้มน้าวบิดากลับ
เสียงพูดคุยของทั้งสองคนโต้ตอบกันไปมาไม่ลดละ หลินเซินที่ยืนแอบอยู่หลังต้นไม้จึงได้แต่ยิ้มออกมาไม่รู้ตัว พอได้ยินเสียงเหมียว เหมียวดังขึ้นมาก็นึกได้ว่าเจ้าแมวน้อยตัวนี้ต้องหิวมากแน่ ๆ เขามองไปที่ด้ายสีทองอีกครั้งก่อนหันหลังกลับมาที่ตลาดในเมือง
“เยี่ยนฟาง วันนี้เจ้าเก่งมาก ข้าซื้อปลาย่างให้เจ้าเลยสองตัว” หลินเซินหยิบปลาย่างมาสองตัวให้เยี่ยนฟางตามสัญญา นั่งดูนางกินจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้นเตรียมจะไปหาของกินเพิ่ม
“คุณชาย ค่าปลาย่างเล่าขอรับ” พ่อค้ารีบเดินมาดักข้างหน้าเขา เพราะท่าทางหลินเซินเหมือนกับคนที่กินแล้วจะไม่จ่ายอย่างไรอย่างนั้น
“อ้อ ใช่สิ ข้าลืมไป” หลินเซินจ้องตาพ่อค้าปลาย่าง ก่อนจะบอกเขาว่า “ปลาย่างสองตัวนี้ข้าขอนะ” พูดจบแล้ว พ่อค้าผู้นี้ก็พยักหน้าตอบตกลงอย่างง่ายดาย
เขาเดินไปที่ร้านถังหูลู่และร้านอื่น ๆ ในบริเวณนั้น สุดท้ายมาหยุดอยู่หน้าร้านขายของเล่น มองหาบางอย่าง แล้วหยิบขึ้นมากวัดแกว่งไปมา เยี่ยนฟางมองเห็นของเล่นสิ่งนี้ก็ขยับมือตะปบไปซ้ายทีขวาทีตามทิศทางที่เขาสะบัด เมื่อเห็นเจ้าแมวน้อยดูสนุกสนานเขาจึงได้ซื้อไม้ตกแมวมาหนึ่งอันเอาไว้เล่นด้วยกัน
คืนนั้น หลินเซินออกมานอนตากน้ำค้างเหมือนอย่างเคย เขายกมือข้างนั้นขึ้นมา ด้ายสีทองปรากฏขึ้นระยิบระยับในความมืด พลันทำให้นึกถึงสตรีผู้นั้น
“นางเป็นผู้ใด” ไม่มีผู้ใดให้คำตอบเขาได้ เจ้าแมวน้อยเองก็จนปัญญา เขาจึงตัดสินใจว่า พรุ่งนี้เช้าจะลงไปตามหาคำตอบให้รู้เรื่อง
“เยี่ยนฟาง พรุ่งนี้ลงไปในเมืองกับข้าอีกไหม เจ้ารู้หรือไม่ว่าร้านตรงท้ายซอยมีของอย่างอื่นน่ากินอีกนะ” หลินเซินลูบหัวเจ้าแมวน้อยก่อนจะอุ้มกลับไปไว้บนที่นอนในกระท่อม
“นอนนะ พรุ่งนี้ข้าจะมาปลุก” หลินเซินขยี้ขนฟูฟ่องของเจ้าแมวน้อยก่อนจะออกมานอนใต้ต้นดอกท้อตามเดิม
“เจ้าหมาป่าซื่อบื้อ ข้ารู้นะว่าเจ้าคิดอะไรอยู่” เยี่ยนฟางคิดในใจก่อนจะลากผ้าห่มมานอนข้าง ๆ เขาอีกรอบ เพราะนางรู้สึกปลอดภัยจริง ๆ เมื่ออยู่ข้างเขา
“เยี่ยนฟาง ตื่นได้แล้ว วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปหาของอร่อย ๆ นะ” หลินเซินลูบหัวของเจ้าแมวน้อยแผ่วเบา รอยยิ้มสดใสประดับบนใบหน้าหล่อเหลา เจ้าแมวน้อยงัวเงียค่อย ๆ ลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง เพราะเห็นความกระตือรือร้นของหลินเซินในรอบหลายปีเขาอุ้มเยี่ยนฟางไว้ในอ้อมกอดพานางลอยลิ่วลงมายังล่างเขา ก่อนจะไปแวะซื้อปลาย่างร้านโปรด เมื่อเห็นว่าเจ้าแมวน้อยอิ่มแปล้จนพุงย้อย เขาก็อุ้มนางเดินเล่นในตลาดอยู่สักพัก ครั้นได้เวลา หลินเซินจึงมุ่งหน้าไปที่บ้านของเจียลี่ แอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่เพื่อไม่ให้นางเห็น“ท่านพ่อ วันนี้ต้องไปส่งของที่ร้านเฒ่าแก่ใช่หรือไม่” เจียลี่เอ่ยปากถามพลางจัดของใส่ตะกร้าใบใหญ่“อื้ม เจ้าอยากไปเองหรือ” บิดาถามนางเพราะรู้ใจ“เจ้าค่ะ เชิญท่านพ่อพักผ่อนให้สบายที่บ้านเถิด งานทางนี้ ข้าดูแลเอง ท่านพ่อไม่ต้องกังวล” นางพยายามยกตะกร้าใบใหญ่ด้วยความเงอะงะจนบิดาอดสงสัยไม่ได้“เจียลี่ เจ้าไปคนเดียวได้หรือ”“เจ้าค่ะ” นางตอบเขาก่อนจะพยายามยกตะกร้าขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้กลับยกขึ้นได้อย่างง่ายดายจนตนเองก็แปลกใจ“ไปก่อนนะเจ้าคะ” นางยิ้มให้บิดาแล้วเดินล
เจียลี่มาพบเขาที่หน้าประตูบ้าน“หลินเซิน ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”“เรื่องอันใดหรือ” เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน เงี่ยหูฟังสิ่งที่นางจะบอก“ข้าต้องกลับบ้านแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้กลับมาที่นี่อีก หวังว่าจะมีโอกาสได้เจอเจ้าอีกนะ”หลินเซินครุ่นคิดเรื่องราวในหัวว่าจะทำอย่างไรดี เขายังไม่ได้คำตอบเลยว่าทำไมนางถึงทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหวได้ถึงเพียงนี้ ทั้งยังเรื่องด้ายสีทองที่ผูกมัดเขากับนางอีก “ข้าต้องรู้ให้ได้ ว่าเจ้าเป็นใคร ทำไมใจข้าต้องเต้นแรงทุกครั้งที่เห็นหน้าของเจ้า” ราวกับมีคนรู้ทัน เยี่ยนฟางใช้พลังส่งกระแสจิตไปหาเขา “ไปส่งนางที่บ้านสิ”“เอ๋ เยี่ยนฟาง เจ้าพูดได้แล้วหรือ” หลินเซินตาโตประหลาดใจ ส่งกระแสจิตกลับไปหานาง แต่ไม่มีสัญญาณตอบกลับ“เจียลี่ ข้าได้ยินมาว่าป่าทางนั้นมีสัตว์ดุร้ายออกอาละวาด โจรป่าชุกชุม แอบปล้นเสบียงของพ่อค้าที่ผ่านไปมาอยู่บ่อย ๆ ให้ข้าไปส่งเจ้าที่บ้านดีหรือไม่” หลินเซินเสนอตัวเองอย่างที่เยี่ยนฟา
“ข้า... ข้าเข้าใจแล้ว” เจียลี่นิ่วหน้าเหมือนจะร้องไห้ นางไม่อยากโดนสัตว์ประหลาดแทะแขนแทะขานางเหมือนในเรื่องเล่าสยองขวัญของพวกพ่อค้าจึงได้แต่รับปากด้วยความกลัว“พูดไปได้ว่าจะกินนาง เจ้าหมาป่าซื่อบื้ออ่านนิยายแนวนั้นมากไปใช่หรือไม่ เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าเจ้าน่ะเป็นสัตว์กินพืช” เยี่ยนฟางบ่นอุบอิบในใจส่งเสียงร้องเหมียว เหมียว แรก ๆ นางเพียงตกใจตามสัญชาตญาณที่ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ที่มีอำนาจมากกว่า เรื่องนี้ดูมีเงื่อนงำกว่าที่คิด นางแค่รอให้เขามาระบายให้ฟังก็จะได้รู้แล้วว่าเขาคิดอะไรอยู่ ร้อยปีที่เขาคอยดูแลนางด้วยความห่วงใย ทำให้นางแน่ใจได้ว่าเขาไม่ใช่สัตว์ป่าดุร้ายเมื่อตกลงกันได้เรียบร้อย ทั้งสองพากันเดินกลับที่พักเงียบ ๆ ต่างคนต่างไม่พูดอะไรตลอดทาง“เจียลี่ เจ้าหายไปไหนมา” จวีจิวฝูถามบุตรสาวด้วยความกระวนกระวายใจ เขาตกใจตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงคำรามของหลินเซินดังไปทั่วทั้งป่า“ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” เจียลี่พยายามทำสีหน้าปกติ นางเกรงว่าบิดาจะกังวลหากเห็นสีหน้าหวาดกลัวของนาง“
สองอาทิตย์ผ่านไป“เจียลี่ ถึงบ้านแล้ว” จวีจิวฝูตะโกนบอกบุตรสาวที่นั่งอยู่ในรถม้า“จริงหรือ” นางเปิดหน้าต่างเห็นทิวทัศน์ที่คุ้นตาเผลอยิ้มออกมา แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเห็นคนที่นั่งข้าง ๆ กำลังจ้องอยู่“ข้าจะต้องทำตามที่เจ้าบอกไปจนถึงเมื่อใด” นางถามเขาอีกครั้งเผื่อเขาจะเปลี่ยนใจ แต่เมื่อมองสายตาของเขาราวกับได้คำตอบแล้วว่า “อีกนาน” นั่นล่ะ คำตอบสั้น ๆ ของเขาลั่วหมิงเฟยได้แต่มองความสัมพันธ์ของทั้งสองคนอย่างเงียบ ๆ อันที่จริงเขาเห็นมาสักพักแล้วว่าดูแปลก ๆ แต่สิ่งที่แปลกกว่าคือ เจ้าแมวตัวน้อยสีขาวมักจะไม่ชอบให้เขาเข้าใกล้หลินเซินหรือคนอื่น ๆ สักเท่าใดครั้งหนึ่งเขาพยายามจะลูบหัวเพื่อทำความคุ้นเคยกลับโดนตะปบอย่างเลือดเย็น กระนั้นเขาไม่ยอมแพ้เป็นคนคอยหาปลามาย่างให้นางอยู่บ่อย ๆ เอาไม้ตกแมวมาล่อให้นางเล่นด้วยอยู่หลายครั้ง นึกไม่ถึงว่านางไม่ยอมใจอ่อนเป็นมิตรกับเขาบ้างเลยจวีจิวฝูหยุดรถม้าหน้าบ้านหลังเล็ก เขาค่อนข้างกังวลใจว่าจะจัดสรรที่อยู่ในบ้านอย่างไร เดิมทีเขาอาศัยอยู่กับบุ
“เหลือจะเชื่อเลยจริง ๆ ว่าเจ้าใช้วิธีนี้” เจียลี่อ้าปากค้างคิดไม่ถึง “อย่าได้คิดทำเช่นนี้กับข้า” เจียลี่รีบบอกเขากลัวว่าสักวันนางจะโดนสะกดจิตให้ทำอะไรแปลก ๆ“อย่างเจ้าน่ะ ต้องยอมทำให้ข้าด้วยความเต็มใจ” หลินเซินยิ้มเจ้าเล่ห์ให้นาง “ไปกันเถอะ” เขาชวนนางเดินไปที่ร้านถังหูลู่“ข้าขอสองไม้” หลินเซินใช้วิธีเดิมกับพ่อค้าร้านถังหูลู่ กระนั้นยังมีใจแบ่งให้นางหนึ่งไม้ เจียลี่เห็นเช่นนั้นจึงหันไปจ่ายเงินให้พ่อค้าแทนเขา“เจ้าทำแบบนี้มาตลอดเลยหรืออย่างไร อยู่เมืองมนุษย์ก็ต้องมีเงินเก็บไว้บ้าง” เจียลี่บ่นอุบอิบอยู่ข้างเขา นางรู้สึกว่าเรื่องราวของเขานั้นซับซ้อนจนไม่รู้จะเริ่มถามอะไร“อยู่กับข้าไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” หลินเซินยักคิ้วข้างหนึ่งอารมณ์ดี“อยู่กับเจ้าไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นหรือ รู้เช่นนี้ ข้าน่าจะแต่งงานเสียตั้งแต่ก่อนเจอเจ้า” นางพูดเสียงอ่อยท้อแท้ใจถ้าจะต้องอยู่เหมือนเป็นทาสของหมาป่าจอมโหด“ถ้าเจ้าแต่งงานกับผู้อื่น ข้าคงเสียใจมาก”
“พี่สะใภ้ ท่านใจเย็นก่อน” หมิงเฟยเลิ่กลั่กมองซ้ายขวาหาทางหนี เพียงแต่ว่าถูกเจียลี่และเยี่ยนฟางขนาบข้างจึงได้แต่นั่งหดตัว“บอกเรื่องที่เจ้ารู้มาให้หมด เจ้าจิ้งจอกน้อย” เจียลี่ยิ้มมุมปากรอฟังคำตอบของเขา“ข้ายังบอกไม่ได้ขอรับ รอท่านพี่มาอธิบายจะดีกว่า” หมิงเฟยหลบสายตาของทั้งสองคน“เช่นนั้นย่อมได้ เจ้าอย่าเพิ่งบอกเขาว่าข้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว อยากจะรู้นักว่าจะแกล้งข้าไปจนถึงเมื่อใด” เจียลี่สั่งห้ามหมิงเฟยน้ำเสียงเด็ดขาด หมิงเฟยคิดในใจว่าท่านพี่ของเขาคงจะเจองานใหญ่เข้าแล้วเช้าวันต่อมาเจียลี่กำลังหวีผมผูกผ้าให้เยี่ยนฟางอยู่ในห้อง นางได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากหน้าบ้านจึงรีบลงมาดู เห็นบิดาของนางกำลังลากกระสอบใบใหญ่เข้ามาตรงกลางลานบ้าน“เจียลี่ พ่อกลับมาแล้ว” จวีจิวฝูเดินเข้ามากอดบุตรสาวด้วยความคิดถึง หน้าตาของเขามอมแมมจากการเข้าป่าขุดสมุนไพร“ท่านพ่อ เจ็บตรงไหนหรือไม่ หน้าตาท่านเปรอะเปื้อนดินโคลนไปหมดแล้ว” เจียลี่สำรวจหาบาดแผลของเขา พลันได้ยินเสียงใสแจ๋วของเยี่ยน ฟางดังขึ้น
ผ่านไปสองเดือน“ท่านพี่หลินเซินนนน น้ำค้างยามเช้ามาแล้วเจ้าค่ะ” เยี่ยนฟางตะโกนปลุกเขาเช้าตรู่ วันนี้นางตื่นก่อนเวลาเพื่อออกไปเก็บน้ำค้างมาให้เขา ทั้งยังเด็ดดอกไม้สามสี่ดอกติดมือมาด้วยด้านคนที่กำลังหลับฝันดีอยู่ในบ้านสะดุ้งตื่นเพราะเสียงแหลมเจื้อยแจ้วของนาง เขาชั่งใจคิดว่าระหว่างให้นางเป็นแมวกับคน อย่างไหนจะดีกว่ากัน ตั้งแต่ที่เยี่ยนฟางพูดได้ นางก็พูดกับเขาไม่หยุดตลอดทั้งวัน“ได้ยินแล้วเยี่ยนฟาง เดี๋ยวข้าออกไป” หลินเซินเดินออกมาหานางข้างนอก ดูเหมือนว่าทุกคนพร้อมใจกันมารวมตัวอยู่หน้าห้องของเขา“ตื่นแล้วหรือหลินเซิน” เจียลี่ยิ้มหวานทักทายเขา เจียลี่แต่งตัวสวยจนหลินเซินจ้องนางตาไม่กระพริบ วันนี้พวกเขาทั้งสองมีนัดไปเที่ยวตลาดในเมืองกันสองคน“หมิงเฟย พวกเรารีบไปกันดีกว่า อยู่ตรงนี้นานข้าพาลจะหงุดหงิด เบื่อคนมีความรัก” เยี่ยนฟางชวนหมิงเฟยออกมาข้างนอก ปล่อยให้คนทั้งสองอยู่กันตามลำพัง“พวกเจ้าสองคนระวังตัวกันด้วย” เจียลี่ตะโกนบอกด้วยความเป็นห่วง ทั้งคู่จึงโบกมือส่ง
หลังจากเดินมาพักหนึ่ง เสียงของคนด้านในเริ่มดังใกล้เข้ามา บ้างพูดคุยโวโอ้อวด บ้างหัวเราะสนุกสนาน หลินเซินก้าวเท้าเข้าไปกลางวงล้อมอย่างไม่สนหัวผู้ใด เขาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าคนผู้หนึ่ง ดูท่าทางจะเป็นหัวหน้าอย่างที่เจ้านักโทษบอก ราวกับการเคลื่อนไหวของเขาแยบยล เงียบเชียบ ไม่มีใครได้ทันตั้งรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่คิดว่าจะมีคนกล้าเข้ามาเหยียบหยามถึงในรังของตน“เจ้านี่น่ะหรือ หัวหน้าที่เจ้าพูดถึง” หลินเซินร่ายเวทมัดตัวชายผู้นั้นไว้ไม่ให้ขยับ เขายืนถามอย่างใจเย็นเสียจนนักโทษรู้สึกเสียวสันหลัง ยามโกรธเป็นไฟดูน่ากลัวแล้ว ยามสงบยิ่งดูน่ากลัวกว่าร้อยเท่า คนอื่นที่ไม่รู้ฤทธิ์เดชของหลินเซินต่างพากันหยิบอาวุธประจำกายของตนเองขึ้นมาเตรียมต่อสู้“ขอรับ” นักโทษพยักหน้ายืนยัน“เจ้าเป็นใคร” หัวหน้ากองถามกลับ พยายามต่อต้านพลังของหลินเซินที่สะกดเขาเอาไว้จนเหงื่อผุดเต็มใบหน้า“บอกเขาไป” หลินเซินไม่อยากพูดซ้ำอีกครั้ง จึงให้นักโทษเป็นคนถามหัวหน้ากองเอง ในใจนึกว่าจะได้จังหวะหนีไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะยังโดนล่ามไว้เจรจาแทนเขาอี
เช้าวันต่อมาเยี่ยนฟางมาหาหมิงเฟยที่ห้องเพราะทั้งสองต้องไปเก็บน้ำค้างยามเช้ามาให้หลินเซิน ปกติแล้วหมิงเฟยจะต้องออกไปรอนางที่หน้าห้อง เพียงแต่ว่าวันนี้เขากลับตื่นสายจนนางต้องมาตาม“หมิงเฟย ตื่นได้แล้ว” เยี่ยนฟางคิดว่าเขาคงจะเมาค้างจากฤทธิ์สุรา นางตั้งใจเดินมาปลุกเขาใกล้ ๆ แต่เมื่อเห็นเหงื่อผุดเต็มใบหน้า ทั้งยังสีหน้าของหมิงเฟยดูเจ็บปวด นางก็รีบปลุกเขาให้ตื่น “หมิงเฟย หมิงเฟย” กระนั้นเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว เยี่ยนฟางจึงรีบวิ่งไปหาหลินเซินที่ห้องข้าง ๆ“ท่านพี่ หมิงเฟยเป็นอะไรไม่รู้” น้ำเสียงกังวลของนางทำให้หลินเซินรีบวิ่งไปดูเขา“ท่านพี่ หมิงเฟยเป็นอะไรหรือ” เยี่ยนฟางถามเขาด้วยความเป็นห่วง นางไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้ เจียลี่จึงกอดนางเอาไว้รอฟังคำตอบของเขา“พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าพอจะรู้สาเหตุ ออกไปรอข้าข้างนอกเถิด จะได้ไม่กระวนกระวายใจมากนัก” เจียลี่พยักหน้าให้เขาแล้วพาเยี่ยนฟางออกไปรอที่ห้องของนาง“เจ้าทำให้เขาเป็นเช่นนี้หรือ” หลินเซินโพล่งออกมา เขา
ยามค่ำคืนแสงจันทร์สีนวลทรงกลด ผู้คนในเมืองหลวงต่างออกมาเดินเล่นเทศกาลประจำปีกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ตามบ้านเรือนและร้านค้าประดับไฟหลากสีสลับกัน บางจังหวะกระพริบวิบวับมีลูกเล่นตระการตา พ่อค้าแม่ค้าตั้งร้านเรียงรายสองข้างถนนตลอดทาง ทั้งยังมีการแสดงจากคณะละครคอยเรียกเสียงฮาจากผู้คนที่ผ่านไปมาหลินเซินและคนอื่น ๆ เลือกที่จะดื่มฉลองกันที่โรงเตี๊ยมเพื่อหลีกหนีจากผู้คน ภายในโรงเตี๊ยม เฒ่าแก่ผู้เป็นเจ้าของก็จัดงานใหญ่โตไม่แพ้ที่อื่น หลินเซินได้ส่วนลดเพราะอาศัยอยู่ที่แห่งนี้มานานจนแทบจะเป็นบ้านหลังที่สองของเขาในเมืองนี้ คืนนี้จึงรับเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารทุกคนโดยนำเงินเก็บที่ได้จากการทำงานเล็กน้อยอย่างขายโสมป่าและเห็ดหายากให้ร้านสมุนไพรในเมืองขณะที่ทุกคนเพลิดเพลินกับการแสดงร่ายระบำของหญิงสาวจากทางตะวันตก หลินเซินก็รับรู้ได้ว่าสายตาของนางผู้นั้นกำลังใกล้เข้ามา นางเดินมาทักทายเขาที่นั่งอยู่มุมโต๊ะอย่างมีเจตนา นางสวมชุดสีแดงสดกับเครื่องประดับสีทอง เสื้อผ้าพลิ้วไหวดูบางเบา เรือนผมยาวสยายสีดำขลับตัดกับผิวขาวนวลเนียน ทันทีที่เห็นสาวงามเข้าใกล้หลินเซินเกินควร เ
หลินเซินได้เห็นช่วงเวลาต่าง ๆ ในความฝันจึงได้รู้ว่านางคือลู่ฟางหรง หญิงสาวเผ่ากวางนำทางกับเด็กชายคนหนึ่ง เสิ่นชิวที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาหน้าตาเหมือนเขา“หยุดเถิด” เขาห้ามปรามให้นางปลดปล่อยเขาจากความฝัน หากแต่นางยังคงไม่ย่อท้อ ลู่ฟางหรงเห็นสีหน้าของเขาก็เข้าใจว่าเขาเริ่มจำนางได้แล้ว ทว่าเหมือนบางสิ่งกำลังขวางกั้นไม่ให้หลินเซินจำภาพทั้งหมดได้ ภาพความฝันในอดีตที่นางสร้างขึ้นมาเริ่มมีคนที่นางไม่อยากเห็นหน้าปรากฏตัว“ข้าไม่ยอม” นางกล่าวสั้น ๆ กับเขาก่อนจะหายตัวไป หลินเซินงัวเงียสะดุ้งตื่น รู้สึกแปลกใจที่ฝันเช่นนี้ แต่เขาไม่รู้ว่าความฝันนั้นคืออดีตชาติของตนเอง จึงหลับตานอนต่อจนถึงรุ่งเช้าเจียลี่ยกน้ำค้างยามเช้ามาให้เขาที่ห้อง นางเห็นขอบตาดำทั้งสองข้างของเขาแล้วนึกขำ “หลินเซิน เมื่อคืนนอนไม่หลับหรืออย่างไร”“ข้าแค่ฝันแปลก” เขาพยายามนึกว่าฝันอะไรไปแล้วบ้างแต่ก็ลืมเสียหมดสิ้น “ไม่เป็นอะไรหรอก ข้าลืมไปแล้ว จำได้ลาง ๆ ว่าเห็นเจ้าในความฝัน” หลินเซินยิ้มให้นาง แต่แล้วก็รู้สึกได้ว่า
เช้าวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ เจียลี่ชวนทุกคนออกไปนั่งเล่นชมสวนที่ริมลำธารในเขตป่าของแคว้นเป่ย เยี่ยนฟางนั่งอยู่บนโขดหินกลางสายน้ำไหลเอื่อยกับหลิวอิง ทั้งคู่หย่อนขาลงไปแช่ในน้ำใสเย็น สายตาจ้องมองปลาตัวเล็กแหวกว่ายไปมา ด้านหมิงเฟยเดินตามหลังถังลี่ฮวาคอยถือตะกร้าดอกไม้ใบใหญ่“ถังลี่ฮวา” เขาหยิบดอกไม้สีชมพูหวานทัดที่เรือนผมสลวยของนางแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ถังลี่ฮวายิ้มเขินรีบเปลี่ยนเรื่อง “ไปดูผีเสื้อตรงโน้นกันเถอะ” แล้วจูงมือเขาไปพร้อมกันสายลมพัดพากลิ่นดอกไม้หลากหลายชนิดหอมฟุ้งอบอวลทั่วทั้งป่า หลินเซินที่นั่งหลบอยู่ใต้ต้นไม้มองทุกคนพลางจิบน้ำชาดอกท้อ ครั้นผ่านมาสักพักหัวของเขาก็ค่อย ๆ เอนลงมาซบไหล่ของเจียลี่อย่างเป็นธรรมชาติ“หลินเซิน ง่วงนอนแล้วหรือ” เจียลี่ลูบใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน “เจ้าจะกินขนมไปหลับไปไม่ได้นะ” นางก้มมองดูใบหน้าของเขา พอเห็นว่าหลินเซินหลับตาพริ้มจึงหยิบขนมที่เขาถือไว้มาเก็บ แล้วค่อย ๆ ขยับศีรษะมาหนุนที่ตักของนางสายตาของนางจ้องมองใบหน้าของเขาเนิ่นนาน ใบหน้า รูปคิ้
ด้านหน้าหอคณิกา หมิงเฟยชะเง้อคอยาวมองหาถังลี่ฮวามาพักหนึ่ง เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ถอยหลังกลับมาหนึ่งก้าว เดินวนไปทางซ้ายที แล้วหันกลับมามองเยี่ยนฟางที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ สายตาละห้อยลังเลใจของเขาทำให้เยี่ยนฟางส่ายหัว นางโบกมือเป็นสัญญาณให้เขาเข้าไปได้แล้ว มิเช่นนั้นเที่ยงวันนางก็คงยังไม่ได้กินข้าวเช้าเป็นแน่“ไปสักทีเถอะ ข้าขอร้อง เจ้าจะอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม” เยี่ยนฟางตะโกนถามเขา ท้องร้องโครกครากหิวข้าวจนแทบจะแทะต้นไม้แถวนั้นหมิงเฟยยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ต่อไป สีหน้าวิตกกังวล แกว่งถุงเสื้อผ้าที่ซื้อมาฝากถังลี่ฮวาไปมา เยี่ยนฟางจึงเดินออกจากที่ซ่อนแล้วคว้ามือของเขาเข้าไปด้านในด้วยกัน“ดะ เดี๋ยวก่อนเยี่ยนฟาง เดี๋ยวก่อน” หมิงเฟยร้องห้ามแทบไม่ทัน พยายามดึงตัวเยี่ยนฟางเอาไว้“มัวแต่ยืนอยู่ตรงนี้ แล้วเมื่อใดจะได้พบนาง โน่น! เจ้าเห็นไหม คุณชายท่านนั้นกำลังเดินไปหานางแล้ว” เยี่ยนฟางชี้ให้ดูบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง ด้านหลังมีคนรับใช้แบกหีบลังใหญ่ตามไปด้วย หลังจากที่เห็นเช่นนั้น หมิงเฟยไม่ลังเลอีกต่อไป เขารี
เซียวอวี้เทียนเพิ่งออกมาจากห้องทรงงานของเทียนจวิน เขารีบตรงดิ่งไปยังลานจุติ เพียงแต่ว่ามาช้าไปก้าวเดียว เขาเห็นเพียงแผ่นหลังของนางที่กำลังหายลับไปโดยไม่ได้กล่าวลา นึกเสียใจอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะทำอะไรดูจะไม่ทันการณ์ไปทุกอย่าง พอเห็นนางต้องเผชิญด่านเคราะห์ยาวนานก็นึกเป็นห่วงจึงไปหาซือมิ่งที่ตำหนักเพื่อถามข่าวคราว“เทพสงคราม ท่านมีอะไรหรือ” ซือมิ่งออกมาต้อนรับเขาหน้าตำหนักตอนเช้าตรู่ เห็นสีหน้าของเขาจึงถามออกมา“ซือมิ่ง ข้ามีเรื่องรบกวนท่าน” เซียวอวี้เทียนเขยิบเข้ามาใกล้ แม้ทั้งสองจะสนิทกันมากแต่เมื่อซือมิ่งได้ยินเรื่องที่เขาอยากรบกวนแล้วต้องรีบปฏิเสธในทันที“ไม่ได้ ๆ เรื่องนี้อย่ารบกวนข้าเลย” ซือมิ่งถอยห่างหนึ่งก้าว ยกมือปัดไปมาพัลวัน“ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ขอมากมายเสียหน่อย เห็นแก่ที่เป็นเพื่อนกันมานาน ท่านช่วยข้าหน่อยเถอะ นี่สุราดอกท้อของท่าน ของดีที่หนึ่งในแคว้นเป่ย ยกให้ท่านหมดเลย” เซียวอวี้เทียนพยายามหว่านล้อมซือมิ่งอยู่พักใหญ่จนเขาไม่เป็นอันทำงานอื่น ๆ“ดูสิ ดูสิ เทพสงครามผู้นี้ติดสินบนข้า ว่าแต่
วันเกิดเหตุการณ์วิหคเพลิงป่วนตำหนักโคมดวงจิต หยาง ซือซือถูกตัดสินโทษให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์และบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้น แม้เซียวอวี้เทียนจะรู้สึกไม่พอใจกับการตัดสินโทษในครั้งนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยนางได้ ทั้งยังถูกเทียนจวินเรียกพบเพื่อหารืองานหมั้นหมายระหว่างเทพสงครามเซียวอวี้เทียนและเทพอัคคีซ่งอี้ผู้เป็นธิดาของเขา“ซ่งอี้ วิหคเพลิงตัวนั้นเป็นของท่านใช่หรือไม่” เซียวอวี้เทียนถามนางด้วยความสงสัย “เป็นเรื่องแปลกนักที่พบสัตว์พาหนะของท่านในที่ห่างไกลอย่างตำหนักโคมดวงจิต” เขาจ้องมองซ่งอี้อย่างจับพิรุธ มีหรือที่เทพระดับนางจะควบคุมสัตว์พาหนะของตนไม่ได้“วิหคเพลิงในตำหนักของข้ามีอยู่ทั่วไป เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น” ซ่งอี้เฉไฉไม่ยอมรับ นางรู้สึกหงุดหงิดที่เขาจี้ถามนางอยู่อย่างนั้น“ท่านมีธุระอันใดที่นั่น” เซียวอวี้เทียนย้อนถามนางอีกครั้ง“แล้วเทพสงครามอย่างท่านมีเหตุอันใดที่ต้องไป ซ้ำยังสนิทสนมกับเซียนน้อยถึงเพียงนั้น ท่านควรเกรงใจข้าบ้าง เรื่องหมั้นหมายของเราในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า...&rdquo
กาลครั้งหนึ่ง ณ ดินแดนสวรรค์เซียนน้อยหยางซือซือนั่งเล่นอยู่บนก้อนเมฆน้อยที่ลอยไปลอยมารอบตำหนัก วันนี้นางจัดการภาระงานทั้งหมดได้เสร็จลุล่วงจึงมีเวลาพักผ่อนหย่อนใจเร็วกว่าที่คิดไว้ พลันสายตาเหลือบเห็นเงาตะคุ่มอยู่ในกลุ่มเมฆด้านหน้าจึงกระโดดเข้าไปดูใกล้ ๆหยางซือซือผู้ใสซื่ออ่อนต่อโลกนั้นไม่ทันได้ระวังตัว ทั้งยังไม่คิดมาก่อนว่าที่แห่งนี้จะมีผู้ใดแวะเวียนผ่านมากระโดดไปชนกับร่างใครบางคนพอดิบพอดีจนร่างบางของนางแทบจะปลิวตกก้อนเมฆ เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นหันมาคว้าข้อมือเอาไว้ทันจึงรอดไปได้อย่างหวุดหวิด“เอ่อ ขอบคุณท่านเซียนที่ช่วยเหลือแล้วก็ขออภัยท่านด้วย เป็นข้าเองที่ไม่ทันระวัง” หยางซือซือยืนเก้ ๆ กัง ๆ ทำตัวไม่ถูก ดูจากรูปร่างหน้าตา ท่าทางและเครื่องอาภรณ์ของเขาแล้ว คงจะเป็นเซียนที่อยู่ตำแหน่งสูงกว่านางเป็นแน่ นางไม่ค่อยได้เจอผู้คนมากนัก เรื่องพิธีต่าง ๆ จึงไม่จดจำไว้สักเท่าใด“อย่าโทษตนเองเลย ข้าก็มีส่วนผิด ท่านบาดเจ็บที่ใดหรือไม่” เขาถามนางอย่างสุภาพนอบน้อม ในใจนึกสงสัยทำไมที่ห่างไกลเพียงนี้ถึงได้มีเซียนน้อยอาศัย
คืนนั้นหลินเซินช่วยรักษาบาดแผลให้เฉิงเซียวและพรรคพวกที่หนีออกมาจนรุ่งเช้า อาการของพวกเขาดีขึ้นจากเดิมมาก เหลือแค่ทานยาเพียงไม่กี่วันก็จะกลับมาแข็งแรงเช่นเดิม หลังจากนั้นหลินเซินจึงกลับมาพักที่โรงเตี๊ยมนอนหลับไปหนึ่งวันเต็มเพื่อฟื้นฟูพลัง“หลินเซิน ตื่นแล้วหรือ” เจียลี่เห็นเขาลืมตาจึงถามไถ่อาการของเขา พลางยื่นจอกน้ำค้างยามเช้า“อื้ม ข้าแค่รู้สึกเพลีย” เขายักยิ้ม เยี่ยนฟางกับหมิงเฟยจึงพลอยโล่งใจไปด้วย“ท่านพี่หักโหมใช้เวทรักษามากไปแล้ว” นางบ่นอุบอิบด้วยความเป็นห่วง จริง ๆ แล้วจิ้งจอกแดงเหล่านั้นต่างมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนทั่วไป หากไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพิ่มขึ้นมา ร่างกายก็จะค่อย ๆ เยียวยาตนเองจนหายดี แม้จะใช้เวลาหลายอาทิตย์ก็ตามหลินเซินลูบหัวเยี่ยนฟาง “ยิ่งหายเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมิใช่หรือ” เฉิงเซียวบอกกับทุกคนว่าเผ่าจิ้งจอกแดงที่ถูกกักขังไม่ได้มีแค่พวกเขาเพียงเท่านั้น หลายหมู่บ้านข้างในดินแดนยังคงมีคนอื่น ๆ รอคอความช่วยเหลือจากพวกเขาอยู่แม้คนเหล่านั้นจะไม่ถูกทรมานอย่