อีกทางด้านหนึ่งของผาเดียวดาย
“โอ๊ย เมื่อย!” เสียงหวานดังขึ้น ร่างโปร่งแสงของนางก้าวออกมาจากต้นดอกท้อที่บัดนี้อายุเกือบแสนปีแล้ว หลังจากนั่งบำเพ็ญตบะเซียนอยู่ครึ่งค่อนวัน นางจึงอยากเดินเล่นแก้เมื่อยเสียหน่อย
“นี่เจ้ากระต่ายเวท มานั่งดูท้องฟ้าเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ” นางเรียกกระต่ายเวทตัวหนึ่งที่อยู่แถวนั้นมาอยู่เป็นเพื่อน จริง ๆ เมื่อไม่กี่หมื่นปีก่อน จู่ ๆ นางก็ไม่ได้เจอมนุษย์คนใดอีกเลย นับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับนางอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเขาลูกนี้ร้างหรือน่ากลัวกันแน่จึงไม่มีมนุษย์คนใดเข้ามาถึงริมผาเดียวดาย
ตอนที่นางกำลังนั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียว กระต่ายเวทตัวนี้ก็โผล่มา ลักษณะรูปร่างคล้ายกับว่านางเคยเห็นมาก่อน เพียงแต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่ในภพนี้แน่นอน หยางซือซือแทบจะลืมไปแล้วว่าเหตุใดนางถึงมาเกิดเป็นต้นดอกท้อ
ตั้งแต่ได้เจอเจ้ากระต่ายตัวนี้ นางก็เอาแต่เล่นกับมันทั้งวัน จนไม่ได้ฝึกบำเพ็ญตบะเซียน จู่ ๆ กระต่ายเวทก็หายไป แรก ๆ นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นั่งรอมันอยู่ที่เดิมหลายวัน แล้วก็คิดได้ว่ากระต่ายเวทคงจะต้องใช้พลังเซียนหล่อเลี้ยงให้สภาพร่างคงอยู่ นางจึงลองใช้พลังเซียนเรียกมันออกมา แต่ก็ไร้วี่แวว แล้วก็เข้าใจไปเองว่าพลังของนางคงไม่เพียงพอ
ด้วยความคิดถึงเพื่อนตัวเดียวของนาง หยางซือซือจึงตั้งใจฝึกบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้นอีกครั้ง และแล้ววันหนึ่งนางก็ได้เห็นเจ้ากระต่ายเวทตัวเดิมกระโดดไปมาอยู่ข้างใต้ต้นดอกท้อ
นับแต่นั้นมา หยางซือซือจึงเลิกเกียจคร้านคอยฝึกบำเพ็ญตบะเซียนอยู่เรื่อย ๆ แล้วใช้เวลาว่างมานั่งเล่นกับกระต่ายเวท กลายเป็นเพื่อนที่คอยอยู่ข้างกันตลอดเวลา
“กระต่ายน้อย เจ้าสงสัยหรือไม่ว่ามนุษย์หายไปที่ใด อย่าว่าแต่มนุษย์เลย สัตว์ป่าสักตัวข้าก็ไม่เห็น กี่หมื่นปีมาแล้วนะที่ข้าอยู่กับเจ้าสองคนน่ะ ว่าแต่เจ้าไม่คิดจะพูดกับข้าบ้างเลยหรือ ข้าพูดคนเดียวจนเมื่อยแล้วนะ นี่ นี่ เจ้าได้ยินข้าหรือไม่” หยางซือซืออุ้มกระต่ายเวทขึ้นมาพร้อมจ้องหน้ามัน แต่กระต่ายเวทกลับดูนิ่งไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
“เฮ้อ!” หยางซือซือถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะนอนลงบนพื้นหญ้าสีเขียวนุ่ม ๆ แล้วเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น กระต่ายเวทจึงกระโดดเข้ามาในอ้อมแขนของนาง ขดตัวอยู่ข้าง ๆ แล้วนอนหลับไปพร้อมกัน
หมู่บ้านของเสิ่นชิว
ข่าวร้ายเริ่มแพร่ไปทุกทาง ผู้คนกำลังต้องการล่าจิตวิญญาณกวางนำทางกันอย่างบ้าคลั่ง ข่าวที่ว่าคนตายฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้เพราะเผ่าพันธุ์นี้รู้เข้าถึงหูของผู้มีอำนาจ ผู้ใดสูญเสียคนรัก เพื่อนพ้อง พี่น้อง อยากให้คนเหล่านั้นกลับคืนชีพก็จ้างนักล่าจากทั่วสารทิศ ออกตามหากวางนำทางกันทั้งวันทั้งคืน
แม่เฒ่าเห็นนิมิตที่ชัดเจนอีกครั้ง เรื่องในอดีตของเสิ่นชิวก่อนจะมาอยู่ในหมู่บ้าน นางจึงโน้มน้าวผู้นำให้รับรู้สิ่งที่นางเห็น
“ท่านเห็นเช่นนั้นจริงหรือ แม่เฒ่า” เขาเอ่ยปากถามให้แน่ใจ ไม่คิดว่าเสิ่นชิวจะเป็นต้นเหตุของเรื่องราวร้าย ๆ เพราะข่าวการสังหารเผ่าพันธุ์เริ่มต้นขึ้นนอกหมู่บ้านที่อยู่ไกลออกไป ไม่มีทางเกี่ยวข้องกับเสิ่นชิวเลยแม้แต่นิดเดียว พวกเขาไม่รู้ว่าลู่ฟางหรง ซิ่วอิง หนิงเหอแอบฟังอยู่อีกฝั่งของบ้าน
“ท่านต้องเชื่อข้า ไม่เช่นนั้นแล้ว หมู่บ้านของเราจะไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ชีวิตของบุตรสาวท่าน” แม่เฒ่ายื่นคำขาด นางจำเป็นต้องปกป้องคนที่อยู่ในหมู่บ้าน หากปัญหาเกิดจากเสิ่นชิว ก็ต้องไล่เขาออกไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกนักล่าจะรู้ว่าทุกคนกำลังหลบซ่อนอยู่ในหมู่บ้าน
ผู้นำหน้าซีด ไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี ชีวิตของบุตรสาวนอกจากจะสำคัญที่สุดสำหรับเขาแล้ว นางยังเป็นคนสำคัญของเผ่าพันธุ์กวางนำทางอีกด้วย ครั้นแม่เฒ่าเห็นว่าผู้นำไม่รู้จะทำเช่นไร นางจึงเดินดุ่ม ๆ ไปหาเสิ่นชิว สีหน้าขึงขังแววตาจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนโดยไม่สนใจคำห้ามปราบของผู้นำที่ขอเวลาคิดแก้ไขสถานการณ์สักชั่วครู่
“เสิ่นชิว ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า ไม่ใช่ว่าข้าเกลียดเจ้าหรืออะไร เพียงแต่เจ้าช่วยทำเพื่อคนในหมู่บ้านได้หรือไม่ ข้าเห็นในนิมิต ข้ารู้เรื่องในอดีตของเจ้าหมดแล้ว” แม่เฒ่าพูดกับเสิ่นชิวไปตรง ๆ
“ท่านหมายถึงเรื่องใดหรือ” เสิ่นชิวไม่เข้าใจว่านางพูดเรื่องอะไร เรื่องในอดีตของเขาเรื่องไหนที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวเขาถึงเพียงนี้
“เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไร คำพูดที่ผู้คนเคยเรียกเจ้า สิ่งที่พวกเขาทำกับเจ้าและ... แม่ของเจ้า” คำพูดของนางขาดช่วงไป นางแค่เพียงต้องการให้เขารู้ว่านางหมายถึงอะไร ไม่ได้อยากให้เขานึกถึงช่วงเวลาอันเจ็บปวดของมารดา “ข้าเห็นนิมิต ตัวของเจ้าโชกเลือดสีแดงฉาน ยืนอยู่ท่ามกลางศพของคนในหมู่บ้าน เจ้าเข้าใจหรือไม่ เจ้าต้องออกไปจากหมู่บ้านเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้น...” นางหยุดพูดไปพลางมองหน้าเขา
“แต่ว่า...” ไม่ทันที่เขาได้พูดจบ ชายผู้หนึ่งก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาในหมู่บ้าน เนื้อตัวของเขาเปื้อนเลือดจนแทบดูไม่ออกว่าเขาพบเจอเรื่องใดมา
“ท่านผู้นำ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว” เขาตะโกนบอกตั้งแต่ยังวิ่งไม่ถึงบ้าน “นักล่ากำลังบุกเข้ามา!” ดวงตาของเขาสั่นไหวตัวสั่นระริก
“ปกป้องอาณาเขตเอาไว้ ไม่ว่าผู้ใดก็เข้ามาไม่ได้ถ้าไม่ใช่คนในหมู่บ้าน” เขาถืออาวุธเตรียมพร้อมสู้กลับหากเกิดเรื่องไม่คาดฝัน แม้จะไม่เคยคิดว่าหมู่บ้านที่อยู่มาหลายร้อยปีจะถูกนักล่าบุกเข้ามา
“เสิ่นชิว ข้าขอร้อง รีบไปจากที่นี่ซะ” แม่เฒ่าอ้อนวอนเขา
เสิ่นชิวนึกโทษตัวเองอีกครั้งว่าเป็นต้นเหตุหายนะของผู้คนในหมู่บ้าน “เฮอะ ข้านี่มันตัวนำพาหายนะจริง ๆ ข้าเกิดมาทำไมกันนะ ทำไมไปที่ใดถึงได้มีแต่คนตายรอบตัวข้า” เขาพูดพึมพำอยู่คนเดียว ลู่ฟางหรงเดินมากุมมือเขาไว้แน่น นางสบตาเขาราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง
“ฟางหรง เจ้าถอยมานี่” ผู้นำเรียกนางกลับมาหาเขา
“ท่านพ่อ ห้าปีที่ผ่านมา หมู่บ้านของเราก็อยู่กันอย่างสงบสุขไม่ใช่หรือ ฝีมือทุกอย่างเป็นเพราะมนุษย์ชั่วช้าพวกนั้น เสิ่นชิวไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย ทำไมท่านต้องผลักไสเขาด้วย” ลู่ฟางหรงต่อต้านบิดาและแม่เฒ่า
“ฟางหรง ครั้งนี้เจ้าอย่าขัดคำสั่งข้าได้หรือไม่ นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะต่อต้าน เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าชีวิตเจ้าสำคัญกว่าใครในที่นี้” เขาตวาดเสียงดังใส่นาง สีหน้าจริงจัง
“ท่านพ่อ...”
บิดาของนางไม่รอช้าสั่งให้ซิ่วอิง หนิงเหอพาตัวฟางหรงไปซ่อนไว้ที่ลับท้ายหมู่บ้าน แล้วเดินมาหาเสิ่นชิว เมื่อได้เห็นสายตาเลื่อนลอยของเสิ่นชิว เขาก็รู้สึกสงสารเสิ่นชิวขึ้นมาอีกครั้ง
“เสิ่นชิว เจ้าหลบไปอยู่สถานที่ห่างไกลจากที่นี่สักพักเถิด เงินถุงนี้ข้าให้เจ้าเอาไว้ใช้จ่าย หากไม่พอก็กลับมา ข้าจะเตรียมเอาไว้ให้เจ้า เพียงแต่เวลานี้ หวังว่าเจ้ายังคงจำสัญญาได้”
“ขอรับ หากทำเช่นนั้นแล้วนางจะปลอดภัย ข้าจะไปโดยไม่ย้อนกลับมาที่นี่อีก ข้าขอบคุณท่านผู้นำที่เลี้ยงดูข้า” เสิ่นชิวบอกลาเขาก่อนจะหันหลังเดินไปเก็บของในบ้านเพื่อเตรียมออกจากหมู่บ้านให้เร็วที่สุด
ณ ทางตอนเหนือบนดินแดนสวรรค์ของเทพเซียน มีตำหนักไม้หลังเล็กหลบซ่อนตัวอยู่ในปุยเมฆสีขาว โคมดวงจิตของเทพเซียนที่ลงมาผ่านด่านเคราะห์บนโลกมนุษย์แขวนอยู่เรียงรายใจกลางตำหนัก แสงไฟลุกโชนจากโคมทำให้รู้ว่าเรื่องราวของพวกเขาเป็นไปตามชะตาที่ซือมิ่งเขียนเอาไว้ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงมีเขตแดนปกคลุมรอบทิศทางเพื่อป้องกันไม่ให้มีสิ่งใดรุกล้ำเข้ามาก่อความไม่สงบแม้ไม่มีเขตแดนคอยปกป้อง ก็ใช่ว่าจะมีผู้ใดกล้าเข้ามาวุ่นวายกับที่แห่งนี้สักเท่าใด ด้วยเป็นสถานที่ที่ดวงจิตส่วนหนึ่งของเทพเซียนสถิตอยู่ ทั้งยังห่างไกลจากใจกลางดินแดนสวรรค์ จนบางคนแทบลืมไปแล้วว่าตำหนักนี้อยู่ที่ใด คงจะมีก็แต่เซียนน้อยนางหนึ่งนามว่าหยางซือซือ ที่รู้เรื่องราวของตำหนักนี้ดีกว่าผู้ใด นั่นก็เพราะว่านางคือเจ้าของตำหนักและผู้ดูแลโคมดวงจิตคนล่าสุดนั่นเองราว ๆ สามพันปีก่อน ผู้เฒ่าหยางกำลังกวาดลานหน้าตำหนักแล้วไปพบนางเข้า เขาจึงตั้งชื่อให้และดูแลนางนับตั้งแต่นั้นมาทว่าช่วงเวลาของพวกเขานั้นสั้นนัก อายุขัยของผู้เฒ่าหยางถึงเวลานั้นแล้ว ทั้งดวงจิตและร่างกายจึงสลายเข้าสู่ห้วงเวลานิรันดร์ หยางซือซือที่อายุหนึ่งพันปีจึงต้องอยู่โดดเดี่ยวนับแต่นั
เปลวไฟจากโคมดวงจิตวูบไหวไปมา เสี้ยวหนึ่งของความคิดที่นางนึกขึ้นได้คือพยายามต้านกระแสลม หยางซือซือกั้นลมด้วยม่านเขตแดนจากพลังน้อยนิดของนางและดูเหมือนว่าจะทำได้สำเร็จ เปลวไฟจากโคมดวงจิตสงบขึ้นทว่าความโชคร้ายของวันไม่ได้มีเท่านี้ วิหคเพลิงเห็นเซียวอวี้เทียนยืนดักอยู่อีกทางและกำลังร่ายเวทขั้นสูงครั้งที่สอง มันจึงรีบกลับตัว สยายปีกแล้วถลาไปทางหยางซือซืออีกครั้ง แต่กระนั้นก็ไม่อาจหลบได้ทัน เวทขั้นสูงของเซียวอวี้เทียนเฉี่ยวไปที่ลำตัวเพรียวระหงจนทำให้ทรงตัวไม่อยู่ พร้อมที่จะพุ่งดิ่งตกไปกลางลานด้วยความเร็ว หยางซือซือที่ยังคงตรึงเวทของนางเอาไว้ได้แต่มองตาม พลังของวิหคเพลิงนั้นแข็งแกร่งมากกว่านางอีกหรือหลังจากนั้นโคมดวงจิตที่อยู่รอบนอกเริ่มดับต่อกันเป็นทอด ๆ กว่าครึ่งหนึ่ง ในใจของนางพลันคิดว่าครั้งนี้จบสิ้นจริง ๆ แล้ว ภาระหน้าที่แสนง่ายแต่สลักสำคัญของนางด้านเซียวอวี้เทียนเองเพิ่งจะจับวิหคเพลิงตัวนี้ได้หันมาถามนางด้วยความเป็นห่วง “หยางซือซือ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” ครั้นพอเห็นสายตาที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า เขาก็เข้าใจแล้วว่า หายนะครั้งใหญ่กำลังมาเยือนอย่างแน่นอน ไม่ทันที่เขาจะได้หาหนทางแก้ไขเรื่องรา
สิ้นคำพูดของซ่งอี้ เทพเซียนที่เกี่ยวข้องกับการเหตุการณ์ครั้งนี้เริ่มเห็นด้วยกับความคิดของนาง“ขอเทียนจวินตัดสินด้วยเถิด” ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันเทียนจวินมองไปที่หยางซือซือ เวลานี้ใบหน้าของนางราวกับครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ แต่ไม่มีสีหน้าแสดงความกังวลใจต่อบทลงโทษ“เซียนน้อยหยางซือซือ ข้ารู้ว่าเจ้าตั้งใจทำหน้าที่ต่อจากผู้เฒ่าหยางมาด้วยดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากแต่ครั้งนี้เกิดเรื่องขึ้น ข้าไม่อาจเพิกเฉยต่อความเดือนร้อนได้ จงลงไปเกิดเป็นมนุษย์ ผ่านด่านเคราะห์และบำเพ็ญตบะให้แกร่งกล้า เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ถูกลงโทษเป็นครั้งที่สอง” เทียนจวินตรัสกับนาง“หม่อมฉันน้อมคำตัดสินเพคะ ขอบพระทัยเทียนจวิน” หยางซือซือทำความเคารพ ก่อนที่ทุกคนในห้องโถงใหญ่แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนต่อ มีเพียงเซียวอวี้เทียนเดินหน้าเศร้ามาหานางเพราะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของนาง วิหคเพลิงมีเงื่อนงำบางอย่างถึงได้ปรากฏตัวขึ้น“ไม่ต้องเป็นห่วงข้านักหรอกน่า เซียวอวี้เทียน ช่วงชีวิตมนุษย์นั้นแสนสั้น เดี๋ยวข้าก็กลับขึ้นมาบนสวรรค์ได้เช่นเดิมแล้ว” หยางซือซือปลอบใจเขาเหมือนอย่างเคย นางมักจะลืมเรื่องของตนเองแล้วใส่ใจค
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ทางทิศใต้ของภูเขาลูกใหญ่ เด็กชายอายุสิบขวบกำลังนั่งขอทานอยู่ริมถนนในตลาด สภาพหน้าตามอมแมมของเขาจำแทบไม่ได้เลยว่าเป็นลูกของผู้ใด เขานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งบ่ายก็ยังไม่ได้เงินสักอีแปะเดียว เวลานี้ขอเพียงมีคนใจดีแบ่งปันซาลาเปาซักลูกแก่เขาก็ดีใจมากแล้ว“นี่เจ้าตัวอัปมงคล ไปนั่งที่อื่นไกล ๆ พวกข้าเสียที มีเจ้าอยู่แถวนี้ พวกข้าเลยพลอยไม่ได้เงินขอทานสักอีแปะ” ชายวัยกลางคนโพล่งขึ้นทำลายความเงียบ ทุกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันเห็นด้วยกับคำพูดของเขา พยายามจะพูดไล่ให้เด็กชายสิบขวบไปไกล ๆ แต่พอเห็นเขาไม่ขยับคล้ายไม่ยอมฟังคำพูดทำหูทวนลม ก็พาลโกรธคิดว่าเด็กชายกำลังท้าทาย“พูดดี ๆ ด้วย ไม่ได้ยินหรืออย่างไร ข้าบอกให้ไปซะ” เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกขึ้นยืนแล้วถุยน้ำลายใส่ แต่เด็กน้อยยังคงไม่ขยับ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะร่างกายเขาแทบจะไม่มีแรงลุกขึ้นไปที่ไหน ท่าทางของเขายิ่งทำให้ขอทานโมโหจนออกแรงยกเท้าเตะไปที่ลำตัวแห้งผอมของเขา หวังให้ตกใจรีบวิ่งหนีไป แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เด็กชายล้มลงไปตามแรงที่ส่งมา โดยไม่มีเสียงร้องสักแอะ“มันตายแล้วหรือ” ขอทานคนหนึ่งพูดขึ้น
“ซิ่วอิง ตรงนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทำไมคนมุงเต็มไปหมด” เสียงเล็กจากเด็กหญิงผู้หนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะนาน ๆ ทีถึงได้ออกมาเที่ยวในเมือง จึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง“ฟางหรง เจ้าไม่ต้องรู้ทุกเรื่องหรอก วันนี้ท่านพ่อให้เจ้ามาทำธุระกับเถ้าแก่ร้านหยกไม่ใช่หรือ ไปช้าเดี๋ยวก็โดนดุอีกหรอก” ซิ่วอิงที่ดูโตกว่านางสักสามปีตักเตือน“เอ๋! นาน ๆ ทีได้ออกมาเที่ยวในเมืองบ้าง ช้าไปนิดหน่อย ท่านลุงไม่กล้าว่าอะไรนางหรอกน่า เจ้าก็จริงจังเกินไปแล้ว” หนิงเหอผู้เป็นน้องสาวของนางโต้แย้งอย่างมีเหตุผล“ใช่ ๆ หนิงเหอพูดถูก เจ้าเคยเห็นท่านพ่อดุข้าหรือ” ฟางหรงยิ้มร่าแล้ววิ่งไปทางนั้นพร้อมกับหนิงเหอ“พวกเจ้าสองคนนี่ เล่นเป็นเด็กไปได้ เมื่อไรจะโตเสียที” ซิ่วอิงบ่นเสียงดังก่อนรีบตามทั้งสองคนไปฟางหรงเดินแหวกฝูงชนที่กำลังมุงดูเสิ่นชิว นางมุดลอดช่องว่างเข้าไปจนเข้าถึงตัวเขาในไม่ช้า เลือดที่ไหลรินบนใบหน้าทำให้นางตกใจ ทั้งยังเสื้อผ้ายับเยิน มีแต่รอยเท้าฝากฝังไว้ทั่วร่าง ฟางหรงทำใจเห็นคนที่อายุพอกันกับนางมีสภาพเช่นนี้ไม่ได้จริง ๆ นางจึงแตะไปที่ตัวเขา เรียกเบา ๆ เผื่อเขาจะตื่น“นี่ นี่ เจ้าได้ยินข้าหรือไม่”
ห้าปีผ่านไปเสิ่นชิวเติบโตขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนี้ เขาคอยช่วยงานคนในหมู่บ้าน มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ผู้คนรอบตัวต่างมีน้ำใจต่อเขา“ท่านแม่ ท่านคงไม่ต้องเป็นห่วงข้าแล้วล่ะ ท่านเห็นหรือไม่ ข้าเติบโตมาอย่างดี หวังว่าท่านจะอยู่บนสวรรค์อย่างมีความสุขนะขอรับ” เสิ่นชิวมองท้องฟ้าสีครามยามเช้าสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่คิดถึงนาง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาตั้งใจใช้ชีวิตอย่างที่นางหวัง เพียงแค่กินอิ่ม นอนหลับ ร่างกายแข็งแรง นางก็ดีใจมากแล้ว“เสิ่นชิว ทำอะไรอยู่หรือ” ฟางหรงนั่งลงข้าง ๆ เขา ซบหัวลงพิงไหล่อย่างสนิทสนม “มัวแต่คิดอะไรอยู่หรือ วันนี้มีงานสำคัญ อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมแล้ว” นางถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่า เขาไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน“อ้อ จริงด้วยสิ วันนี้มีงานสำคัญของเจ้านี่นา ข้าเกือบลืมไปเสียสนิท” เสิ่นชิวได้ทีแกล้งนางกลับ ทำให้เขาโดนทุบด้วยฝ่ามือน้อย ๆ ของนางไปหนึ่งที จนไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีก การแกล้งนางนั้นสนุกยิ่งกว่าอะไร“เสิ่นชิว เจ้าแกล้งข้าอีกแล้ว” ทันทีที่พูดจบ นางหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับเข้าหมู่บ้าน ได้ยินแต่เสียงตะโกนของเสิ่นชิวดังมา “ฟางหรง อย่างอนข้าเลยนะ แต่ถึงงอนก็ไม่เ