อีกทางด้านหนึ่งของผาเดียวดาย
“โอ๊ย เมื่อย!” เสียงหวานดังขึ้น ร่างโปร่งแสงของนางก้าวออกมาจากต้นดอกท้อที่บัดนี้อายุเกือบแสนปีแล้ว หลังจากนั่งบำเพ็ญตบะเซียนอยู่ครึ่งค่อนวัน นางจึงอยากเดินเล่นแก้เมื่อยเสียหน่อย
“นี่เจ้ากระต่ายเวท มานั่งดูท้องฟ้าเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ” นางเรียกกระต่ายเวทตัวหนึ่งที่อยู่แถวนั้นมาอยู่เป็นเพื่อน จริง ๆ เมื่อไม่กี่หมื่นปีก่อน จู่ ๆ นางก็ไม่ได้เจอมนุษย์คนใดอีกเลย นับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับนางอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเขาลูกนี้ร้างหรือน่ากลัวกันแน่จึงไม่มีมนุษย์คนใดเข้ามาถึงริมผาเดียวดาย
ตอนที่นางกำลังนั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียว กระต่ายเวทตัวนี้ก็โผล่มา ลักษณะรูปร่างคล้ายกับว่านางเคยเห็นมาก่อน เพียงแต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่ในภพนี้แน่นอน หยางซือซือแทบจะลืมไปแล้วว่าเหตุใดนางถึงมาเกิดเป็นต้นดอกท้อ
ตั้งแต่ได้เจอเจ้ากระต่ายตัวนี้ นางก็เอาแต่เล่นกับมันทั้งวัน จนไม่ได้ฝึกบำเพ็ญตบะเซียน จู่ ๆ กระต่ายเวทก็หายไป แรก ๆ นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นั่งรอมันอยู่ที่เดิมหลายวัน แล้วก็คิดได้ว่ากระต่ายเวทคงจะต้องใช้พลังเซียนหล่อเลี้ยงให้สภาพร่างคงอยู่ นางจึงลองใช้พลังเซียนเรียกมันออกมา แต่ก็ไร้วี่แวว แล้วก็เข้าใจไปเองว่าพลังของนางคงไม่เพียงพอ
ด้วยความคิดถึงเพื่อนตัวเดียวของนาง หยางซือซือจึงตั้งใจฝึกบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้นอีกครั้ง และแล้ววันหนึ่งนางก็ได้เห็นเจ้ากระต่ายเวทตัวเดิมกระโดดไปมาอยู่ข้างใต้ต้นดอกท้อ
นับแต่นั้นมา หยางซือซือจึงเลิกเกียจคร้านคอยฝึกบำเพ็ญตบะเซียนอยู่เรื่อย ๆ แล้วใช้เวลาว่างมานั่งเล่นกับกระต่ายเวท กลายเป็นเพื่อนที่คอยอยู่ข้างกันตลอดเวลา
“กระต่ายน้อย เจ้าสงสัยหรือไม่ว่ามนุษย์หายไปที่ใด อย่าว่าแต่มนุษย์เลย สัตว์ป่าสักตัวข้าก็ไม่เห็น กี่หมื่นปีมาแล้วนะที่ข้าอยู่กับเจ้าสองคนน่ะ ว่าแต่เจ้าไม่คิดจะพูดกับข้าบ้างเลยหรือ ข้าพูดคนเดียวจนเมื่อยแล้วนะ นี่ นี่ เจ้าได้ยินข้าหรือไม่” หยางซือซืออุ้มกระต่ายเวทขึ้นมาพร้อมจ้องหน้ามัน แต่กระต่ายเวทกลับดูนิ่งไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
“เฮ้อ!” หยางซือซือถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะนอนลงบนพื้นหญ้าสีเขียวนุ่ม ๆ แล้วเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น กระต่ายเวทจึงกระโดดเข้ามาในอ้อมแขนของนาง ขดตัวอยู่ข้าง ๆ แล้วนอนหลับไปพร้อมกัน
หมู่บ้านของเสิ่นชิว
ข่าวร้ายเริ่มแพร่ไปทุกทาง ผู้คนกำลังต้องการล่าจิตวิญญาณกวางนำทางกันอย่างบ้าคลั่ง ข่าวที่ว่าคนตายฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้เพราะเผ่าพันธุ์นี้รู้เข้าถึงหูของผู้มีอำนาจ ผู้ใดสูญเสียคนรัก เพื่อนพ้อง พี่น้อง อยากให้คนเหล่านั้นกลับคืนชีพก็จ้างนักล่าจากทั่วสารทิศ ออกตามหากวางนำทางกันทั้งวันทั้งคืน
แม่เฒ่าเห็นนิมิตที่ชัดเจนอีกครั้ง เรื่องในอดีตของเสิ่นชิวก่อนจะมาอยู่ในหมู่บ้าน นางจึงโน้มน้าวผู้นำให้รับรู้สิ่งที่นางเห็น
“ท่านเห็นเช่นนั้นจริงหรือ แม่เฒ่า” เขาเอ่ยปากถามให้แน่ใจ ไม่คิดว่าเสิ่นชิวจะเป็นต้นเหตุของเรื่องราวร้าย ๆ เพราะข่าวการสังหารเผ่าพันธุ์เริ่มต้นขึ้นนอกหมู่บ้านที่อยู่ไกลออกไป ไม่มีทางเกี่ยวข้องกับเสิ่นชิวเลยแม้แต่นิดเดียว พวกเขาไม่รู้ว่าลู่ฟางหรง ซิ่วอิง หนิงเหอแอบฟังอยู่อีกฝั่งของบ้าน
“ท่านต้องเชื่อข้า ไม่เช่นนั้นแล้ว หมู่บ้านของเราจะไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ชีวิตของบุตรสาวท่าน” แม่เฒ่ายื่นคำขาด นางจำเป็นต้องปกป้องคนที่อยู่ในหมู่บ้าน หากปัญหาเกิดจากเสิ่นชิว ก็ต้องไล่เขาออกไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกนักล่าจะรู้ว่าทุกคนกำลังหลบซ่อนอยู่ในหมู่บ้าน
ผู้นำหน้าซีด ไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี ชีวิตของบุตรสาวนอกจากจะสำคัญที่สุดสำหรับเขาแล้ว นางยังเป็นคนสำคัญของเผ่าพันธุ์กวางนำทางอีกด้วย ครั้นแม่เฒ่าเห็นว่าผู้นำไม่รู้จะทำเช่นไร นางจึงเดินดุ่ม ๆ ไปหาเสิ่นชิว สีหน้าขึงขังแววตาจริงจังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนโดยไม่สนใจคำห้ามปราบของผู้นำที่ขอเวลาคิดแก้ไขสถานการณ์สักชั่วครู่
“เสิ่นชิว ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า ไม่ใช่ว่าข้าเกลียดเจ้าหรืออะไร เพียงแต่เจ้าช่วยทำเพื่อคนในหมู่บ้านได้หรือไม่ ข้าเห็นในนิมิต ข้ารู้เรื่องในอดีตของเจ้าหมดแล้ว” แม่เฒ่าพูดกับเสิ่นชิวไปตรง ๆ
“ท่านหมายถึงเรื่องใดหรือ” เสิ่นชิวไม่เข้าใจว่านางพูดเรื่องอะไร เรื่องในอดีตของเขาเรื่องไหนที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวเขาถึงเพียงนี้
“เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไร คำพูดที่ผู้คนเคยเรียกเจ้า สิ่งที่พวกเขาทำกับเจ้าและ... แม่ของเจ้า” คำพูดของนางขาดช่วงไป นางแค่เพียงต้องการให้เขารู้ว่านางหมายถึงอะไร ไม่ได้อยากให้เขานึกถึงช่วงเวลาอันเจ็บปวดของมารดา “ข้าเห็นนิมิต ตัวของเจ้าโชกเลือดสีแดงฉาน ยืนอยู่ท่ามกลางศพของคนในหมู่บ้าน เจ้าเข้าใจหรือไม่ เจ้าต้องออกไปจากหมู่บ้านเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้น...” นางหยุดพูดไปพลางมองหน้าเขา
“แต่ว่า...” ไม่ทันที่เขาได้พูดจบ ชายผู้หนึ่งก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามาในหมู่บ้าน เนื้อตัวของเขาเปื้อนเลือดจนแทบดูไม่ออกว่าเขาพบเจอเรื่องใดมา
“ท่านผู้นำ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว” เขาตะโกนบอกตั้งแต่ยังวิ่งไม่ถึงบ้าน “นักล่ากำลังบุกเข้ามา!” ดวงตาของเขาสั่นไหวตัวสั่นระริก
“ปกป้องอาณาเขตเอาไว้ ไม่ว่าผู้ใดก็เข้ามาไม่ได้ถ้าไม่ใช่คนในหมู่บ้าน” เขาถืออาวุธเตรียมพร้อมสู้กลับหากเกิดเรื่องไม่คาดฝัน แม้จะไม่เคยคิดว่าหมู่บ้านที่อยู่มาหลายร้อยปีจะถูกนักล่าบุกเข้ามา
“เสิ่นชิว ข้าขอร้อง รีบไปจากที่นี่ซะ” แม่เฒ่าอ้อนวอนเขา
เสิ่นชิวนึกโทษตัวเองอีกครั้งว่าเป็นต้นเหตุหายนะของผู้คนในหมู่บ้าน “เฮอะ ข้านี่มันตัวนำพาหายนะจริง ๆ ข้าเกิดมาทำไมกันนะ ทำไมไปที่ใดถึงได้มีแต่คนตายรอบตัวข้า” เขาพูดพึมพำอยู่คนเดียว ลู่ฟางหรงเดินมากุมมือเขาไว้แน่น นางสบตาเขาราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง
“ฟางหรง เจ้าถอยมานี่” ผู้นำเรียกนางกลับมาหาเขา
“ท่านพ่อ ห้าปีที่ผ่านมา หมู่บ้านของเราก็อยู่กันอย่างสงบสุขไม่ใช่หรือ ฝีมือทุกอย่างเป็นเพราะมนุษย์ชั่วช้าพวกนั้น เสิ่นชิวไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย ทำไมท่านต้องผลักไสเขาด้วย” ลู่ฟางหรงต่อต้านบิดาและแม่เฒ่า
“ฟางหรง ครั้งนี้เจ้าอย่าขัดคำสั่งข้าได้หรือไม่ นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะต่อต้าน เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าชีวิตเจ้าสำคัญกว่าใครในที่นี้” เขาตวาดเสียงดังใส่นาง สีหน้าจริงจัง
“ท่านพ่อ...”
บิดาของนางไม่รอช้าสั่งให้ซิ่วอิง หนิงเหอพาตัวฟางหรงไปซ่อนไว้ที่ลับท้ายหมู่บ้าน แล้วเดินมาหาเสิ่นชิว เมื่อได้เห็นสายตาเลื่อนลอยของเสิ่นชิว เขาก็รู้สึกสงสารเสิ่นชิวขึ้นมาอีกครั้ง
“เสิ่นชิว เจ้าหลบไปอยู่สถานที่ห่างไกลจากที่นี่สักพักเถิด เงินถุงนี้ข้าให้เจ้าเอาไว้ใช้จ่าย หากไม่พอก็กลับมา ข้าจะเตรียมเอาไว้ให้เจ้า เพียงแต่เวลานี้ หวังว่าเจ้ายังคงจำสัญญาได้”
“ขอรับ หากทำเช่นนั้นแล้วนางจะปลอดภัย ข้าจะไปโดยไม่ย้อนกลับมาที่นี่อีก ข้าขอบคุณท่านผู้นำที่เลี้ยงดูข้า” เสิ่นชิวบอกลาเขาก่อนจะหันหลังเดินไปเก็บของในบ้านเพื่อเตรียมออกจากหมู่บ้านให้เร็วที่สุด
เสิ่นชิวเข้ามาในบ้านของตนเองเพื่อเก็บของสำคัญ ระหว่างนั้นได้ยินเสียงร้องดังมาจากด้านหน้าหมู่บ้านจึงออกมาดู ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนถืออาวุธครบมือเดินเข้ามาในหมู่บ้านด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด ฮึกเหิมและสนุกสนาน แท้จริงแล้วมนุษย์พวกนี้ไม่นับว่าเผ่ากวางนำทางเป็นมนุษย์ดังเช่นพวกเขา ท่าทีของคนพวกนั้นทำราวกับกำลังล่าสัตว์ป่าไม่ต่างกันนักล่าตัวใหญ่คนหนึ่งถือดาบยักษ์เดินเข้ามาเผชิญหน้ากับกองกำลังของหมู่บ้าน ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงผ่านอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์เข้ามาได้ หากแต่ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือปกป้องกันและกัน เสิ่นชิวรีบถืออาวุธจะวิ่งไปสมทบกับทุกคน พลันมือข้างหนึ่งถูกแม่เฒ่ารั้งไว้“ปล่อยข้าเถิดแม่เฒ่า เวลานี้ ต่อให้ข้าหนีไปก็คงไม่ทันแล้ว ให้ข้าได้ช่วยพวกท่านเถิด ข้าขอร้อง ต่อให้ชีวิตนี้ต้องสูญสิ้น ข้าก็ไม่เสียดาย” เสิ่นชิวพูดกับแม่เฒ่า นางมองหน้าเขาไม่อาจห้ามปราบได้อีกต่อไป เวลานี้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด นางพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เขาขณะที่เสิ่นชิวกำลังวิ่งเข้าช่วยเหลือ เขาเห็นนักล่าตัวใหญ่ผู้นั้นฟันดาบยักษ์ลงมาที่ผู้ดูแลหมู่บ้าน แรงของดาบทำให้เขาไม่อ
เช้าตรู่ของอีกวัน“โอ้โห เช้าวันนี้อากาศดีเหมือนเดิม นี่กระต่ายน้อย เจ้าอยู่ไหน ออกมาเล่นกับข้าหน่อยสิ” หยางซือซือที่เพิ่งตื่นนอนนั่งลงบนพื้นหญ้าเขียวชอุ่ม หันซ้ายหันขวาหาเจ้ากระต่ายเวทเพื่อนของนาง“เอ๋ เจ้าอยู่ไหนนะ มาเล่นกับข้าหน่อย พรุ่งนี้ข้าอาจจะไม่ได้เจอเจ้าแล้วนะ” หยางซือซือเดินวนรอบต้นไม้สองสามรอบแต่ก็ไร้วี่แวว นางอยากเล่นกับมันทั้งวัน เพราะพรุ่งนี้นางก็จะบรรลุตบะเซียนเก้าขั้นแล้ว วันเวลาหนึ่งแสนปีบนดินแดนมนุษย์ใกล้สิ้นสุด“ไหน ๆ ข้าก็ต้องกลับสวรรค์วันพรุ่งนี้แล้ว ขอข้าได้เที่ยวเมืองมนุษย์รอบ ๆ นี้ดีกว่า กลับไปแล้วคงจะลงมาเล่นไม่ได้แน่ ๆ” หยางซือซือเคยพยายามถอดจิตวิญญาณเพื่อลงไปเที่ยวล่างเขา หากแต่ว่าพลังเซียนของนางอ่อนแอจึงได้แค่อยู่ที่เดิมริมผาเดียวดายเท่านั้นเมื่อลองเข้าหลาย ๆ ครั้งไม่เป็นผล นับแต่นั้นมาเกือบแสนปีนางก็ไม่เคยลองอีกเลย เพียงแต่ว่าครั้งนี้นางรู้สึกว่าพลังเซียนนางแกร่งขึ้น อาจจะทำได้ จึงลองดูอีกสักตั้ง“โอ๊ะ! ได้ผลจริง ๆ ด้วย ฮ่า ๆ เอาล่ะ วันนี้ข้าขอเที่ยวเล่นให้หนำใจเลยแล้วกัน” หยางซือซือไม่รอช้า
หนึ่งพันปีต่อมาอรุณรุ่งบนยอดภูเขาสูงห่างไกลจากผู้คน ดอกท้อสีชมพูอ่อนหลายพันต้นผลิบานสะพรั่งไปทั่วบริเวณรับฤดูใบไม้ผลิ ใต้ต้นดอกท้อริมหน้าผามีชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนหลับตาอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวขจี น้ำค้างยามเช้าค่อย ๆ ลู่ลงมาตามใบไม้พลันหยดลงที่หน้าผากอย่างแผ่วเบาปลุกเขาจากการหลับฝัน เขาลืมตาขึ้นมาช้า ๆ ยกมือขึ้นบังแสงแดดอ่อนที่กำลังแยงตา พักหนึ่งจึงลุกขึ้นยืนรับอากาศสดชื่นวันใหม่ สายลมพัดเรือนผมยาวสีเทาแกมชมพูปลิวไสวหลินเซิน หมาป่าขนเทาอาศัยอยู่เพียงลำพังบนเขาลูกนี้มาเป็นเวลากว่าพันปีแล้ว ชีวิตของเขาเรียบง่าย ไร้เรื่องกังวลใด ๆ ราวกับคำอวยพรของดอกท้อแสนปีได้สัมฤทธิ์ผล เขาใช้เวลาทั้งวันกับการนั่งเล่น นอนเล่น โดยไม่สนเรื่องราวภายนอก หากแต่ยังสงสัยตนเองอยู่บ้างว่าทำไมหมาป่าอย่างเขาถึงกินผลไม้เป็นอาหาร ดื่มน้ำค้างยามเช้า เขาเคยมีความคิดว่า อาจจะเป็นเพราะเกิดมามีพลังเซียนจึงทำให้เขากลายพันธุ์ไป เลยไม่ได้สนใจที่มาของตนเอง อย่างไรเขาก็มีความสุขมากแล้วการมีพลังเซียนทำให้เขาไม่เคยต้องเหนื่อยใช้แรงงาน หากอยากดื่มน้ำค้าง ใบไม้เหล่านั้นก็จะคอยกักเก็บ
นับตั้งแต่มีแมวน้อยสีขาวน่ารักตัวนี้อยู่บนเขาแห่งนี้ด้วย ชีวิตประจำวันของหลินเซินก็เปลี่ยนไปจากเดิม วันเวลาที่อยู่อย่างสงบ ๆ ฟังเสียงสายลม เสียงใบไม้พัดปลิว ก็มีเสียงเหมียว เหมียว ดังขึ้นมาเป็นระยะ ราวกับกำลังร้องเรียกเขา ครั้งนี้ก็เช่นกัน“อย่าบอกนะว่าเจ้าหิวอีกแล้ว นี่เจ้ากำลังโตหรืออย่างไรถึงได้กินเก่งเช่นนี้” หลินเซินบ่นอุบอิบนิดหน่อย ก่อนจะเดินไปหยิบของบางอย่างสะพายหลังเขาเดินลงไปด้านหลังเขาเรื่อย ๆ โดยมีเจ้าแมวน้อยตามมาติด ๆ เสียงสายน้ำไหลเอื่อยเริ่มดังขึ้น หลินเซินหยุดอยู่ริมตลิ่ง จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยพร้อมหย่อนขาลงไปในน้ำ มือข้างหนึ่งถือไม้แหลมยาว สายตาสองข้างมองทะลุเข้าไปใต้น้ำใส ๆ คอยมองหาปลาตัวใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นของโปรดเจ้าแมวน้อย“นี่ข้ากำลังทำอะไรอยู่นี่ อาหารของข้าก็ไม่ใช่ เจ้านี่ทำเหมือนข้ากำลังเป็นทาสอย่างไรอย่างนั้น ใช่ว่าข้ารับเจ้ามาเลี้ยงด้วยเสียหน่อย” แม้จะบ่นมาเป็นชุดแต่สองตาก็ยังจ้องหาปลาต่อไปไม่ลดละ ในที่สุดเขาก็จับปลาตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง เพียงเท่านี้ยังไม่พอ หลินเซินก่อฟืนจุดไฟก่อนจะนั่งย่างปลาที่เขากินไม่ได้อีกด้ว
“เยี่ยนฟาง ข้ารู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีบางคนกำลังเรียกข้าอยู่ รีบเข้าเมืองกันเถอะ” หลินเซินพูดกับเจ้าแมวน้อย ไม่รอช้าอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนลอยลงมาจากเขาด้วยความเร็วอย่างตื่นเต้น จนลมปะทะเข้าที่หน้าเจ้าแมวน้อย ตาเหลือกกว้างไม่สามารถต้านแรงลมไว้ได้ คอที่ตั้งตรงอยู่แทบจะพลิกไปด้านหลัง นางจึงส่งเสียงร้องให้เขารู้ตัว หลินเซินก้มลงมองท่าทางของนางอย่างขบขัน หัวเราะเบา ๆ สนุกสนาน นางจึงยกมือขึ้นพยายามตะปบแขนเขาด้วยความงอน“ข้ารู้แล้ว ๆ” หลินเซินกอดเจ้าแมวน้อยเอาไว้แน่น คอยบังกระแสลมแรง ก่อนจดจ่อกับการเดินทางต่อเมื่อมาถึงทางเดินยาวสุดสายตา หลินเซินพยายามมองหาสิ่งที่กำลังร้องเรียกเขา หากแต่ไม่เจออะไรที่เข้าท่า เขาจึงเดินตามความรู้สึกไป ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อ กลิ่นของปลาย่างก็โชยมาที่ปลายจมูกของเขา แล้วก็ได้ยินเสียงร้องเหมียว เหมียวดังมาจากฝั่งตรงข้าม ไม่รู้ว่าเจ้าแมวน้อยไปยืนรออยู่หน้าร้านตั้งแต่เมื่อใด“เยี่ยนฟาง อดใจไว้ เดี๋ยวข้าจะพามากิน ข้าให้สองตัวเลย” หลินเซินพยายามโน้มน้าวใจเจ้าแมวน้อย เวลานี้เขารู้สึกอยากตามหาสิ่งนั้นให้พบไว ๆ เสียเหลือเกิน ราวกับว่า ถ้าวันนี้หาไม่เจอค
“เยี่ยนฟาง ตื่นได้แล้ว วันนี้ข้าจะพาเจ้าไปหาของอร่อย ๆ นะ” หลินเซินลูบหัวของเจ้าแมวน้อยแผ่วเบา รอยยิ้มสดใสประดับบนใบหน้าหล่อเหลา เจ้าแมวน้อยงัวเงียค่อย ๆ ลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง เพราะเห็นความกระตือรือร้นของหลินเซินในรอบหลายปีเขาอุ้มเยี่ยนฟางไว้ในอ้อมกอดพานางลอยลิ่วลงมายังล่างเขา ก่อนจะไปแวะซื้อปลาย่างร้านโปรด เมื่อเห็นว่าเจ้าแมวน้อยอิ่มแปล้จนพุงย้อย เขาก็อุ้มนางเดินเล่นในตลาดอยู่สักพัก ครั้นได้เวลา หลินเซินจึงมุ่งหน้าไปที่บ้านของเจียลี่ แอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่เพื่อไม่ให้นางเห็น“ท่านพ่อ วันนี้ต้องไปส่งของที่ร้านเฒ่าแก่ใช่หรือไม่” เจียลี่เอ่ยปากถามพลางจัดของใส่ตะกร้าใบใหญ่“อื้ม เจ้าอยากไปเองหรือ” บิดาถามนางเพราะรู้ใจ“เจ้าค่ะ เชิญท่านพ่อพักผ่อนให้สบายที่บ้านเถิด งานทางนี้ ข้าดูแลเอง ท่านพ่อไม่ต้องกังวล” นางพยายามยกตะกร้าใบใหญ่ด้วยความเงอะงะจนบิดาอดสงสัยไม่ได้“เจียลี่ เจ้าไปคนเดียวได้หรือ”“เจ้าค่ะ” นางตอบเขาก่อนจะพยายามยกตะกร้าขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้กลับยกขึ้นได้อย่างง่ายดายจนตนเองก็แปลกใจ“ไปก่อนนะเจ้าคะ” นางยิ้มให้บิดาแล้วเดินล
เจียลี่มาพบเขาที่หน้าประตูบ้าน“หลินเซิน ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”“เรื่องอันใดหรือ” เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน เงี่ยหูฟังสิ่งที่นางจะบอก“ข้าต้องกลับบ้านแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้กลับมาที่นี่อีก หวังว่าจะมีโอกาสได้เจอเจ้าอีกนะ”หลินเซินครุ่นคิดเรื่องราวในหัวว่าจะทำอย่างไรดี เขายังไม่ได้คำตอบเลยว่าทำไมนางถึงทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหวได้ถึงเพียงนี้ ทั้งยังเรื่องด้ายสีทองที่ผูกมัดเขากับนางอีก “ข้าต้องรู้ให้ได้ ว่าเจ้าเป็นใคร ทำไมใจข้าต้องเต้นแรงทุกครั้งที่เห็นหน้าของเจ้า” ราวกับมีคนรู้ทัน เยี่ยนฟางใช้พลังส่งกระแสจิตไปหาเขา “ไปส่งนางที่บ้านสิ”“เอ๋ เยี่ยนฟาง เจ้าพูดได้แล้วหรือ” หลินเซินตาโตประหลาดใจ ส่งกระแสจิตกลับไปหานาง แต่ไม่มีสัญญาณตอบกลับ“เจียลี่ ข้าได้ยินมาว่าป่าทางนั้นมีสัตว์ดุร้ายออกอาละวาด โจรป่าชุกชุม แอบปล้นเสบียงของพ่อค้าที่ผ่านไปมาอยู่บ่อย ๆ ให้ข้าไปส่งเจ้าที่บ้านดีหรือไม่” หลินเซินเสนอตัวเองอย่างที่เยี่ยนฟา
“ข้า... ข้าเข้าใจแล้ว” เจียลี่นิ่วหน้าเหมือนจะร้องไห้ นางไม่อยากโดนสัตว์ประหลาดแทะแขนแทะขานางเหมือนในเรื่องเล่าสยองขวัญของพวกพ่อค้าจึงได้แต่รับปากด้วยความกลัว“พูดไปได้ว่าจะกินนาง เจ้าหมาป่าซื่อบื้ออ่านนิยายแนวนั้นมากไปใช่หรือไม่ เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าเจ้าน่ะเป็นสัตว์กินพืช” เยี่ยนฟางบ่นอุบอิบในใจส่งเสียงร้องเหมียว เหมียว แรก ๆ นางเพียงตกใจตามสัญชาตญาณที่ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ที่มีอำนาจมากกว่า เรื่องนี้ดูมีเงื่อนงำกว่าที่คิด นางแค่รอให้เขามาระบายให้ฟังก็จะได้รู้แล้วว่าเขาคิดอะไรอยู่ ร้อยปีที่เขาคอยดูแลนางด้วยความห่วงใย ทำให้นางแน่ใจได้ว่าเขาไม่ใช่สัตว์ป่าดุร้ายเมื่อตกลงกันได้เรียบร้อย ทั้งสองพากันเดินกลับที่พักเงียบ ๆ ต่างคนต่างไม่พูดอะไรตลอดทาง“เจียลี่ เจ้าหายไปไหนมา” จวีจิวฝูถามบุตรสาวด้วยความกระวนกระวายใจ เขาตกใจตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงคำรามของหลินเซินดังไปทั่วทั้งป่า“ท่านพ่อ ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” เจียลี่พยายามทำสีหน้าปกติ นางเกรงว่าบิดาจะกังวลหากเห็นสีหน้าหวาดกลัวของนาง“
เช้าวันต่อมาเยี่ยนฟางมาหาหมิงเฟยที่ห้องเพราะทั้งสองต้องไปเก็บน้ำค้างยามเช้ามาให้หลินเซิน ปกติแล้วหมิงเฟยจะต้องออกไปรอนางที่หน้าห้อง เพียงแต่ว่าวันนี้เขากลับตื่นสายจนนางต้องมาตาม“หมิงเฟย ตื่นได้แล้ว” เยี่ยนฟางคิดว่าเขาคงจะเมาค้างจากฤทธิ์สุรา นางตั้งใจเดินมาปลุกเขาใกล้ ๆ แต่เมื่อเห็นเหงื่อผุดเต็มใบหน้า ทั้งยังสีหน้าของหมิงเฟยดูเจ็บปวด นางก็รีบปลุกเขาให้ตื่น “หมิงเฟย หมิงเฟย” กระนั้นเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว เยี่ยนฟางจึงรีบวิ่งไปหาหลินเซินที่ห้องข้าง ๆ“ท่านพี่ หมิงเฟยเป็นอะไรไม่รู้” น้ำเสียงกังวลของนางทำให้หลินเซินรีบวิ่งไปดูเขา“ท่านพี่ หมิงเฟยเป็นอะไรหรือ” เยี่ยนฟางถามเขาด้วยความเป็นห่วง นางไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้ เจียลี่จึงกอดนางเอาไว้รอฟังคำตอบของเขา“พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าพอจะรู้สาเหตุ ออกไปรอข้าข้างนอกเถิด จะได้ไม่กระวนกระวายใจมากนัก” เจียลี่พยักหน้าให้เขาแล้วพาเยี่ยนฟางออกไปรอที่ห้องของนาง“เจ้าทำให้เขาเป็นเช่นนี้หรือ” หลินเซินโพล่งออกมา เขา
ยามค่ำคืนแสงจันทร์สีนวลทรงกลด ผู้คนในเมืองหลวงต่างออกมาเดินเล่นเทศกาลประจำปีกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ตามบ้านเรือนและร้านค้าประดับไฟหลากสีสลับกัน บางจังหวะกระพริบวิบวับมีลูกเล่นตระการตา พ่อค้าแม่ค้าตั้งร้านเรียงรายสองข้างถนนตลอดทาง ทั้งยังมีการแสดงจากคณะละครคอยเรียกเสียงฮาจากผู้คนที่ผ่านไปมาหลินเซินและคนอื่น ๆ เลือกที่จะดื่มฉลองกันที่โรงเตี๊ยมเพื่อหลีกหนีจากผู้คน ภายในโรงเตี๊ยม เฒ่าแก่ผู้เป็นเจ้าของก็จัดงานใหญ่โตไม่แพ้ที่อื่น หลินเซินได้ส่วนลดเพราะอาศัยอยู่ที่แห่งนี้มานานจนแทบจะเป็นบ้านหลังที่สองของเขาในเมืองนี้ คืนนี้จึงรับเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารทุกคนโดยนำเงินเก็บที่ได้จากการทำงานเล็กน้อยอย่างขายโสมป่าและเห็ดหายากให้ร้านสมุนไพรในเมืองขณะที่ทุกคนเพลิดเพลินกับการแสดงร่ายระบำของหญิงสาวจากทางตะวันตก หลินเซินก็รับรู้ได้ว่าสายตาของนางผู้นั้นกำลังใกล้เข้ามา นางเดินมาทักทายเขาที่นั่งอยู่มุมโต๊ะอย่างมีเจตนา นางสวมชุดสีแดงสดกับเครื่องประดับสีทอง เสื้อผ้าพลิ้วไหวดูบางเบา เรือนผมยาวสยายสีดำขลับตัดกับผิวขาวนวลเนียน ทันทีที่เห็นสาวงามเข้าใกล้หลินเซินเกินควร เ
หลินเซินได้เห็นช่วงเวลาต่าง ๆ ในความฝันจึงได้รู้ว่านางคือลู่ฟางหรง หญิงสาวเผ่ากวางนำทางกับเด็กชายคนหนึ่ง เสิ่นชิวที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาหน้าตาเหมือนเขา“หยุดเถิด” เขาห้ามปรามให้นางปลดปล่อยเขาจากความฝัน หากแต่นางยังคงไม่ย่อท้อ ลู่ฟางหรงเห็นสีหน้าของเขาก็เข้าใจว่าเขาเริ่มจำนางได้แล้ว ทว่าเหมือนบางสิ่งกำลังขวางกั้นไม่ให้หลินเซินจำภาพทั้งหมดได้ ภาพความฝันในอดีตที่นางสร้างขึ้นมาเริ่มมีคนที่นางไม่อยากเห็นหน้าปรากฏตัว“ข้าไม่ยอม” นางกล่าวสั้น ๆ กับเขาก่อนจะหายตัวไป หลินเซินงัวเงียสะดุ้งตื่น รู้สึกแปลกใจที่ฝันเช่นนี้ แต่เขาไม่รู้ว่าความฝันนั้นคืออดีตชาติของตนเอง จึงหลับตานอนต่อจนถึงรุ่งเช้าเจียลี่ยกน้ำค้างยามเช้ามาให้เขาที่ห้อง นางเห็นขอบตาดำทั้งสองข้างของเขาแล้วนึกขำ “หลินเซิน เมื่อคืนนอนไม่หลับหรืออย่างไร”“ข้าแค่ฝันแปลก” เขาพยายามนึกว่าฝันอะไรไปแล้วบ้างแต่ก็ลืมเสียหมดสิ้น “ไม่เป็นอะไรหรอก ข้าลืมไปแล้ว จำได้ลาง ๆ ว่าเห็นเจ้าในความฝัน” หลินเซินยิ้มให้นาง แต่แล้วก็รู้สึกได้ว่า
เช้าวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ เจียลี่ชวนทุกคนออกไปนั่งเล่นชมสวนที่ริมลำธารในเขตป่าของแคว้นเป่ย เยี่ยนฟางนั่งอยู่บนโขดหินกลางสายน้ำไหลเอื่อยกับหลิวอิง ทั้งคู่หย่อนขาลงไปแช่ในน้ำใสเย็น สายตาจ้องมองปลาตัวเล็กแหวกว่ายไปมา ด้านหมิงเฟยเดินตามหลังถังลี่ฮวาคอยถือตะกร้าดอกไม้ใบใหญ่“ถังลี่ฮวา” เขาหยิบดอกไม้สีชมพูหวานทัดที่เรือนผมสลวยของนางแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ถังลี่ฮวายิ้มเขินรีบเปลี่ยนเรื่อง “ไปดูผีเสื้อตรงโน้นกันเถอะ” แล้วจูงมือเขาไปพร้อมกันสายลมพัดพากลิ่นดอกไม้หลากหลายชนิดหอมฟุ้งอบอวลทั่วทั้งป่า หลินเซินที่นั่งหลบอยู่ใต้ต้นไม้มองทุกคนพลางจิบน้ำชาดอกท้อ ครั้นผ่านมาสักพักหัวของเขาก็ค่อย ๆ เอนลงมาซบไหล่ของเจียลี่อย่างเป็นธรรมชาติ“หลินเซิน ง่วงนอนแล้วหรือ” เจียลี่ลูบใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน “เจ้าจะกินขนมไปหลับไปไม่ได้นะ” นางก้มมองดูใบหน้าของเขา พอเห็นว่าหลินเซินหลับตาพริ้มจึงหยิบขนมที่เขาถือไว้มาเก็บ แล้วค่อย ๆ ขยับศีรษะมาหนุนที่ตักของนางสายตาของนางจ้องมองใบหน้าของเขาเนิ่นนาน ใบหน้า รูปคิ้
ด้านหน้าหอคณิกา หมิงเฟยชะเง้อคอยาวมองหาถังลี่ฮวามาพักหนึ่ง เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ถอยหลังกลับมาหนึ่งก้าว เดินวนไปทางซ้ายที แล้วหันกลับมามองเยี่ยนฟางที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ สายตาละห้อยลังเลใจของเขาทำให้เยี่ยนฟางส่ายหัว นางโบกมือเป็นสัญญาณให้เขาเข้าไปได้แล้ว มิเช่นนั้นเที่ยงวันนางก็คงยังไม่ได้กินข้าวเช้าเป็นแน่“ไปสักทีเถอะ ข้าขอร้อง เจ้าจะอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม” เยี่ยนฟางตะโกนถามเขา ท้องร้องโครกครากหิวข้าวจนแทบจะแทะต้นไม้แถวนั้นหมิงเฟยยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ต่อไป สีหน้าวิตกกังวล แกว่งถุงเสื้อผ้าที่ซื้อมาฝากถังลี่ฮวาไปมา เยี่ยนฟางจึงเดินออกจากที่ซ่อนแล้วคว้ามือของเขาเข้าไปด้านในด้วยกัน“ดะ เดี๋ยวก่อนเยี่ยนฟาง เดี๋ยวก่อน” หมิงเฟยร้องห้ามแทบไม่ทัน พยายามดึงตัวเยี่ยนฟางเอาไว้“มัวแต่ยืนอยู่ตรงนี้ แล้วเมื่อใดจะได้พบนาง โน่น! เจ้าเห็นไหม คุณชายท่านนั้นกำลังเดินไปหานางแล้ว” เยี่ยนฟางชี้ให้ดูบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง ด้านหลังมีคนรับใช้แบกหีบลังใหญ่ตามไปด้วย หลังจากที่เห็นเช่นนั้น หมิงเฟยไม่ลังเลอีกต่อไป เขารี
เซียวอวี้เทียนเพิ่งออกมาจากห้องทรงงานของเทียนจวิน เขารีบตรงดิ่งไปยังลานจุติ เพียงแต่ว่ามาช้าไปก้าวเดียว เขาเห็นเพียงแผ่นหลังของนางที่กำลังหายลับไปโดยไม่ได้กล่าวลา นึกเสียใจอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะทำอะไรดูจะไม่ทันการณ์ไปทุกอย่าง พอเห็นนางต้องเผชิญด่านเคราะห์ยาวนานก็นึกเป็นห่วงจึงไปหาซือมิ่งที่ตำหนักเพื่อถามข่าวคราว“เทพสงคราม ท่านมีอะไรหรือ” ซือมิ่งออกมาต้อนรับเขาหน้าตำหนักตอนเช้าตรู่ เห็นสีหน้าของเขาจึงถามออกมา“ซือมิ่ง ข้ามีเรื่องรบกวนท่าน” เซียวอวี้เทียนเขยิบเข้ามาใกล้ แม้ทั้งสองจะสนิทกันมากแต่เมื่อซือมิ่งได้ยินเรื่องที่เขาอยากรบกวนแล้วต้องรีบปฏิเสธในทันที“ไม่ได้ ๆ เรื่องนี้อย่ารบกวนข้าเลย” ซือมิ่งถอยห่างหนึ่งก้าว ยกมือปัดไปมาพัลวัน“ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ขอมากมายเสียหน่อย เห็นแก่ที่เป็นเพื่อนกันมานาน ท่านช่วยข้าหน่อยเถอะ นี่สุราดอกท้อของท่าน ของดีที่หนึ่งในแคว้นเป่ย ยกให้ท่านหมดเลย” เซียวอวี้เทียนพยายามหว่านล้อมซือมิ่งอยู่พักใหญ่จนเขาไม่เป็นอันทำงานอื่น ๆ“ดูสิ ดูสิ เทพสงครามผู้นี้ติดสินบนข้า ว่าแต่
วันเกิดเหตุการณ์วิหคเพลิงป่วนตำหนักโคมดวงจิต หยาง ซือซือถูกตัดสินโทษให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์และบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้น แม้เซียวอวี้เทียนจะรู้สึกไม่พอใจกับการตัดสินโทษในครั้งนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยนางได้ ทั้งยังถูกเทียนจวินเรียกพบเพื่อหารืองานหมั้นหมายระหว่างเทพสงครามเซียวอวี้เทียนและเทพอัคคีซ่งอี้ผู้เป็นธิดาของเขา“ซ่งอี้ วิหคเพลิงตัวนั้นเป็นของท่านใช่หรือไม่” เซียวอวี้เทียนถามนางด้วยความสงสัย “เป็นเรื่องแปลกนักที่พบสัตว์พาหนะของท่านในที่ห่างไกลอย่างตำหนักโคมดวงจิต” เขาจ้องมองซ่งอี้อย่างจับพิรุธ มีหรือที่เทพระดับนางจะควบคุมสัตว์พาหนะของตนไม่ได้“วิหคเพลิงในตำหนักของข้ามีอยู่ทั่วไป เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น” ซ่งอี้เฉไฉไม่ยอมรับ นางรู้สึกหงุดหงิดที่เขาจี้ถามนางอยู่อย่างนั้น“ท่านมีธุระอันใดที่นั่น” เซียวอวี้เทียนย้อนถามนางอีกครั้ง“แล้วเทพสงครามอย่างท่านมีเหตุอันใดที่ต้องไป ซ้ำยังสนิทสนมกับเซียนน้อยถึงเพียงนั้น ท่านควรเกรงใจข้าบ้าง เรื่องหมั้นหมายของเราในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า...&rdquo
กาลครั้งหนึ่ง ณ ดินแดนสวรรค์เซียนน้อยหยางซือซือนั่งเล่นอยู่บนก้อนเมฆน้อยที่ลอยไปลอยมารอบตำหนัก วันนี้นางจัดการภาระงานทั้งหมดได้เสร็จลุล่วงจึงมีเวลาพักผ่อนหย่อนใจเร็วกว่าที่คิดไว้ พลันสายตาเหลือบเห็นเงาตะคุ่มอยู่ในกลุ่มเมฆด้านหน้าจึงกระโดดเข้าไปดูใกล้ ๆหยางซือซือผู้ใสซื่ออ่อนต่อโลกนั้นไม่ทันได้ระวังตัว ทั้งยังไม่คิดมาก่อนว่าที่แห่งนี้จะมีผู้ใดแวะเวียนผ่านมากระโดดไปชนกับร่างใครบางคนพอดิบพอดีจนร่างบางของนางแทบจะปลิวตกก้อนเมฆ เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นหันมาคว้าข้อมือเอาไว้ทันจึงรอดไปได้อย่างหวุดหวิด“เอ่อ ขอบคุณท่านเซียนที่ช่วยเหลือแล้วก็ขออภัยท่านด้วย เป็นข้าเองที่ไม่ทันระวัง” หยางซือซือยืนเก้ ๆ กัง ๆ ทำตัวไม่ถูก ดูจากรูปร่างหน้าตา ท่าทางและเครื่องอาภรณ์ของเขาแล้ว คงจะเป็นเซียนที่อยู่ตำแหน่งสูงกว่านางเป็นแน่ นางไม่ค่อยได้เจอผู้คนมากนัก เรื่องพิธีต่าง ๆ จึงไม่จดจำไว้สักเท่าใด“อย่าโทษตนเองเลย ข้าก็มีส่วนผิด ท่านบาดเจ็บที่ใดหรือไม่” เขาถามนางอย่างสุภาพนอบน้อม ในใจนึกสงสัยทำไมที่ห่างไกลเพียงนี้ถึงได้มีเซียนน้อยอาศัย
คืนนั้นหลินเซินช่วยรักษาบาดแผลให้เฉิงเซียวและพรรคพวกที่หนีออกมาจนรุ่งเช้า อาการของพวกเขาดีขึ้นจากเดิมมาก เหลือแค่ทานยาเพียงไม่กี่วันก็จะกลับมาแข็งแรงเช่นเดิม หลังจากนั้นหลินเซินจึงกลับมาพักที่โรงเตี๊ยมนอนหลับไปหนึ่งวันเต็มเพื่อฟื้นฟูพลัง“หลินเซิน ตื่นแล้วหรือ” เจียลี่เห็นเขาลืมตาจึงถามไถ่อาการของเขา พลางยื่นจอกน้ำค้างยามเช้า“อื้ม ข้าแค่รู้สึกเพลีย” เขายักยิ้ม เยี่ยนฟางกับหมิงเฟยจึงพลอยโล่งใจไปด้วย“ท่านพี่หักโหมใช้เวทรักษามากไปแล้ว” นางบ่นอุบอิบด้วยความเป็นห่วง จริง ๆ แล้วจิ้งจอกแดงเหล่านั้นต่างมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนทั่วไป หากไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพิ่มขึ้นมา ร่างกายก็จะค่อย ๆ เยียวยาตนเองจนหายดี แม้จะใช้เวลาหลายอาทิตย์ก็ตามหลินเซินลูบหัวเยี่ยนฟาง “ยิ่งหายเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมิใช่หรือ” เฉิงเซียวบอกกับทุกคนว่าเผ่าจิ้งจอกแดงที่ถูกกักขังไม่ได้มีแค่พวกเขาเพียงเท่านั้น หลายหมู่บ้านข้างในดินแดนยังคงมีคนอื่น ๆ รอคอความช่วยเหลือจากพวกเขาอยู่แม้คนเหล่านั้นจะไม่ถูกทรมานอย่