“ซิ่วอิง ตรงนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทำไมคนมุงเต็มไปหมด” เสียงเล็กจากเด็กหญิงผู้หนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะนาน ๆ ทีถึงได้ออกมาเที่ยวในเมือง จึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
“ฟางหรง เจ้าไม่ต้องรู้ทุกเรื่องหรอก วันนี้ท่านพ่อให้เจ้ามาทำธุระกับเถ้าแก่ร้านหยกไม่ใช่หรือ ไปช้าเดี๋ยวก็โดนดุอีกหรอก” ซิ่วอิงที่ดูโตกว่านางสักสามปีตักเตือน
“เอ๋! นาน ๆ ทีได้ออกมาเที่ยวในเมืองบ้าง ช้าไปนิดหน่อย ท่านลุงไม่กล้าว่าอะไรนางหรอกน่า เจ้าก็จริงจังเกินไปแล้ว” หนิงเหอผู้เป็นน้องสาวของนางโต้แย้งอย่างมีเหตุผล
“ใช่ ๆ หนิงเหอพูดถูก เจ้าเคยเห็นท่านพ่อดุข้าหรือ” ฟางหรงยิ้มร่าแล้ววิ่งไปทางนั้นพร้อมกับหนิงเหอ
“พวกเจ้าสองคนนี่ เล่นเป็นเด็กไปได้ เมื่อไรจะโตเสียที” ซิ่วอิงบ่นเสียงดังก่อนรีบตามทั้งสองคนไป
ฟางหรงเดินแหวกฝูงชนที่กำลังมุงดูเสิ่นชิว นางมุดลอดช่องว่างเข้าไปจนเข้าถึงตัวเขาในไม่ช้า เลือดที่ไหลรินบนใบหน้าทำให้นางตกใจ ทั้งยังเสื้อผ้ายับเยิน มีแต่รอยเท้าฝากฝังไว้ทั่วร่าง ฟางหรงทำใจเห็นคนที่อายุพอกันกับนางมีสภาพเช่นนี้ไม่ได้จริง ๆ นางจึงแตะไปที่ตัวเขา เรียกเบา ๆ เผื่อเขาจะตื่น
“นี่ นี่ เจ้าได้ยินข้าหรือไม่” ฟางหรงจับที่ไหล่เขา เมื่อเห็นว่าเด็กชายที่นอนอยู่ไม่ขยับตัว นางจึงรีบบอกให้หนิงเหอและซิ่วอิงช่วยพยุงตัวเขา
“พาไปที่หมู่บ้านเราดีกว่า แม่เฒ่าน่าจะช่วยเขาได้” นางบอกซิ่วอิงและหนิงเหอ
ทั้งสามคนพาเสิ่นชิวเข้ามาที่หมู่บ้าน ผู้คนในนั้นต่างรีบวิ่งมาดูเหตุการณ์ รวมถึงบิดาของลู่ฟางหรง ผู้นำหมู่บ้านที่กำลังยืนรอนางอยู่ทางเข้า สีหน้ายิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นซีดเซียว
“ฟางหรง เกิดเรื่องใดขึ้น แล้วเจ้าพาผู้ใดมาที่หมู่บ้านของเรา”
“ไม่มีเรื่องใดหรอกท่านพ่อ เพียงแค่ข้าเจอเด็กคนนี้ที่ตลาด แล้วนึกสงสารเขา ท่านแม่เฒ่าช่วยเขาได้หรือไม่”
ลู่ฟางหรงตอบพ่อของนางเสร็จก็ชะเง้อมองหาแม่เฒ่า ผู้มีวิชารักษาเก่งกาจที่สุดในหมู่บ้าน
“พาเขาไปที่บ้านข้า” แม่เฒ่าพูดขึ้น เพียงแค่ปรายตามอง นางก็รู้ได้ว่าเขาเจ็บป่วยที่ตรงไหน จึงหันไปบอกให้คนดูแลเอาสมุนไพรสามตัวจากสวนท้ายหมู่บ้านมาให้นางทำยารักษา
ครั้นได้ยาขนานหนึ่งจากแม่เฒ่า เสิ่นชิวจึงได้นอนหลับรักษาตัวสามวันสามคืน ร่างกายเริ่มฟื้นฟูดีขึ้นกว่าที่เคยเป็น ตอนสาย ๆ เสิ่นชิวได้สติ ค่อย ๆ ลืมตา ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขางุนงง กระพริบตามองอยู่สองสามครั้ง
“นี่เจ้าฟื้นแล้วหรือ เป็นอย่างไรบ้าง แม่เฒ่า! ท่านมาดูนี่สิ เขาฟื้นแล้ว” ลู่ฟางหรงเรียกแม่เฒ่าด้วยความดีใจ นางมาคอยนั่งเฝ้าเขาทุกวันเพราะรู้สึกกังวลใจ
แม่เฒ่าเดินมาตรวจอาการของเขา กำชับว่าให้กินยากินข้าวอย่าได้ขาด แล้วนอนพักผ่อนเยอะ ๆ ก่อนจะเดินออกไปข้างนอก เสิ่นชิวกำลังมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยได้รับการดูแลที่ดีเช่นนี้จากคนอื่นมาก่อน
“ข้าอยู่ที่ไหน เจ้าเป็นใคร” เสิ่นชิวถามขึ้น สายตามองไปรอบตัว ไม่เจอผู้ใดนอกจากนาง
“ข้าชื่อฟางหรง สามวันก่อน เจ้านอนสลบอยู่ที่ตลาด ข้าเลยพาเจ้ามาที่นี่ แล้วแม่เฒ่าก็ช่วยรักษาเจ้า”
“ที่ตลาด สามวัน! ผ่านไปสามวันแล้วหรือ” สีหน้าของเสิ่นชิวเปลี่ยนไป สายตาของเขาลนลาน ใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าของมารดาปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็วิ่งออกไปทั้งที่ยังไม่สวมรองเท้า แล้วหยุดยืนอยู่ที่หน้าหมู่บ้าน เสิ่นชิวหันซ้ายหันขวาไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ใดและเขาควรจะต้องวิ่งไปทางใดกันแน่
“รอข้าด้วย เจ้าจะไปไหน” ฟางหรงตะโกนเสียงดังตามหลัง
พลันได้ยินเสียงนาง เขาหันกลับไปถามอีกครั้ง “ที่นี่ที่ไหน ข้าต้องรีบกลับบ้าน” น้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่น
“หมู่บ้านของข้า ตลาดที่ข้าเจอเจ้าไปทางซ้ายเรื่อย ๆ ก็ถึง เดี๋ยวข้าไปเป็นเพื่อน”
เสิ่นชิวไม่รอนางพูดจบ เขาพุ่งตัวไปยังทางที่นางบอก กำลังที่มีทั้งหมดส่งไปที่ฝีเท้าของเขา เสิ่นชิวไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แม้ฝ่าเท้าเหยียบก้อนหินจนได้แผล เขาแทบไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว ในใจนึกถึงแต่นางเพียงเท่านั้น สามวันที่เขาหลับไป นางจะเป็นเช่นไรบ้าง
เมื่อมาถึงหน้าบ้าน เสิ่นชิวกลับไม่กล้าเข้าไปข้างใน ยามที่มารดาของเขาได้ยินเสียงประตูบ้าน นางมักจะเรียกขานให้เขาเข้าไปหา แม้ครั้งนี้เขาเปิดประตูเสียงดังกว่าปกติด้วยความร้อนรน แต่ไม่ได้ยินเสียงนางเลย ในใจเขาเต้นแรงขึ้นมากกว่าเดิม ค่อย ๆ ก้าวขาเดินเข้าข้างในอย่างช้า ๆ เขาปวดมวนท้อง คลื่นไส้ ความคิดในหัวตีกันไปหมด
“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว” เสิ่นชิวพูดออกไปตอนกำลังเดินไปหานาง “ท่านแม่ ท่านหลับอยู่หรือ” เพียงแค่มองไปที่ร่างอันสงบนิ่งของนาง ในใจเขานึกอยากจะให้นางนอนหลับอย่างเช่นเคย เขาเดินเข้าไปใกล้ ๆ ถามนางอีกครั้ง “ท่านแม่ ข้าขอโทษที่รบกวนเวลานอนของท่าน แต่ว่า ท่านช่วยตื่นมาพูดคุยกับข้าได้หรือไม่”
ลู่ฟางหรงที่ตามมาถึงมองเห็นร่างของนางก็เข้าใจได้ทันที นางเดินเข้าไปหาหญิงวัยกลางคนแล้วจับที่เส้นชีพจร เมื่อแน่ใจแล้ว นางจึงหันมาหาเสิ่นชิว “นางจากไปแล้ว ข้าเสียใจด้วย”
เสิ่นชิวไม่อยากยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลพรากลงมา จิตใจของเขาอ่อนแอลงอีกครั้ง คนที่สำคัญในชีวิตได้จากไปแล้ว
“ท่านแม่ ข้าขอโทษ ข้าขอโทษที่ทำให้ท่านต้องรอ ขอโทษที่ทำให้ท่านทรมาน ข้าขอโทษ” เสิ่นชิวพร่ำพูดคำขอโทษกับร่างไร้วิญญาณของนางอยู่นาน ภาพที่เกิดขึ้นต่อหน้าลู่ฟางหรง ทำให้นางรู้สึกสงสารเขาจับใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดชีวิตเขาและนางถึงได้แตกต่างกันเพียงนี้ ทำไมคนคนหนึ่งถึงต้องพบเจอเรื่องราวเลวร้ายขนาดนี้ นางทรุดตัวลงข้างเสิ่นชิวที่กำลังกอดร่างของท่านแม่อยู่ เอื้อมมือกอดเขาพลางปลอบประโลม
ไม่นานนัก บิดาของฟางหรง รวมถึงซิ่วอิง หนิงเหอก็มาถึงบ้านของเสิ่นชิว เขาเดินเข้ามาหาบุตรสาวแล้วแตะไหล่นางให้ถอยออกมา ก่อนจะค่อย ๆ พูดกับเสิ่นชิว
“ข้าเสียใจด้วยกับการสูญเสียครั้งนี้ แต่นางได้จากเจ้าไปแล้ว นางคงไม่อยากเห็นเจ้าต้องร้องไห้เสียใจถึงเพียงนี้หรอก หากเป็นไปได้จงมีชีวิตที่ดีเถิด นางจะได้หายห่วง” เสิ่นชิวได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าของมารดาอีกครั้งหนึ่ง “ข้าจะทำเช่นไรดีขอรับ” เสียงสะอึกสะอื้นถามขึ้น ดวงตาแดงก่ำมีน้ำใส ๆ คลออยู่
“ข้าจะช่วยเจ้าทำพิธีจัดงานศพให้นางตามธรรมเนียมของหมู่บ้านข้า” เขามองเสิ่นชิวเหมือนเป็นลูกชายคนหนึ่ง
“ขอรับ” เสิ่นชิวพยักหน้าตอบเขา “ได้โปรดช่วยข้าด้วยขอรับ” เขาอ้อนวอน อย่างน้อยพิธีส่งดวงวิญญาณของนางก็ควรจะทำให้ดีที่สุดเพราะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำเพื่อนางได้
เช้าวันรุ่งขึ้น บิดาของฟางหรงจัดแจงทำพิธีส่งวิญญาณครั้งสุดท้ายตามธรรมเนียมของหมู่บ้านให้เสิ่นชิวตามสัญญา ก่อนจะมานั่งปลอบเสิ่น ชิวอีกครั้ง
“เสิ่นชิว หากเจ้าไม่รู้จะไปที่ใด อยู่ที่หมู่บ้านนี้เถิด ข้ายินดี”
ห้าปีผ่านไปเสิ่นชิวเติบโตขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนี้ เขาคอยช่วยงานคนในหมู่บ้าน มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ผู้คนรอบตัวต่างมีน้ำใจต่อเขา“ท่านแม่ ท่านคงไม่ต้องเป็นห่วงข้าแล้วล่ะ ท่านเห็นหรือไม่ ข้าเติบโตมาอย่างดี หวังว่าท่านจะอยู่บนสวรรค์อย่างมีความสุขนะขอรับ” เสิ่นชิวมองท้องฟ้าสีครามยามเช้าสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่คิดถึงนาง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาตั้งใจใช้ชีวิตอย่างที่นางหวัง เพียงแค่กินอิ่ม นอนหลับ ร่างกายแข็งแรง นางก็ดีใจมากแล้ว“เสิ่นชิว ทำอะไรอยู่หรือ” ฟางหรงนั่งลงข้าง ๆ เขา ซบหัวลงพิงไหล่อย่างสนิทสนม “มัวแต่คิดอะไรอยู่หรือ วันนี้มีงานสำคัญ อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมแล้ว” นางถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่า เขาไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน“อ้อ จริงด้วยสิ วันนี้มีงานสำคัญของเจ้านี่นา ข้าเกือบลืมไปเสียสนิท” เสิ่นชิวได้ทีแกล้งนางกลับ ทำให้เขาโดนทุบด้วยฝ่ามือน้อย ๆ ของนางไปหนึ่งที จนไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีก การแกล้งนางนั้นสนุกยิ่งกว่าอะไร“เสิ่นชิว เจ้าแกล้งข้าอีกแล้ว” ทันทีที่พูดจบ นางหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับเข้าหมู่บ้าน ได้ยินแต่เสียงตะโกนของเสิ่นชิวดังมา “ฟางหรง อย่างอนข้าเลยนะ แต่ถึงงอนก็ไม่เ
อีกทางด้านหนึ่งของผาเดียวดาย“โอ๊ย เมื่อย!” เสียงหวานดังขึ้น ร่างโปร่งแสงของนางก้าวออกมาจากต้นดอกท้อที่บัดนี้อายุเกือบแสนปีแล้ว หลังจากนั่งบำเพ็ญตบะเซียนอยู่ครึ่งค่อนวัน นางจึงอยากเดินเล่นแก้เมื่อยเสียหน่อย“นี่เจ้ากระต่ายเวท มานั่งดูท้องฟ้าเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ” นางเรียกกระต่ายเวทตัวหนึ่งที่อยู่แถวนั้นมาอยู่เป็นเพื่อน จริง ๆ เมื่อไม่กี่หมื่นปีก่อน จู่ ๆ นางก็ไม่ได้เจอมนุษย์คนใดอีกเลย นับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับนางอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเขาลูกนี้ร้างหรือน่ากลัวกันแน่จึงไม่มีมนุษย์คนใดเข้ามาถึงริมผาเดียวดายตอนที่นางกำลังนั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียว กระต่ายเวทตัวนี้ก็โผล่มา ลักษณะรูปร่างคล้ายกับว่านางเคยเห็นมาก่อน เพียงแต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่ในภพนี้แน่นอน หยางซือซือแทบจะลืมไปแล้วว่าเหตุใดนางถึงมาเกิดเป็นต้นดอกท้อตั้งแต่ได้เจอเจ้ากระต่ายตัวนี้ นางก็เอาแต่เล่นกับมันทั้งวัน จนไม่ได้ฝึกบำเพ็ญตบะเซียน จู่ ๆ กระต่ายเวทก็หายไป แรก ๆ นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นั่งรอมันอยู่ที่เดิมหลายวัน แล้วก็คิดได้ว่ากระต่ายเวทคงจะต้องใช้พลังเซียนหล่อเลี้ยงให้สภาพร่างคงอยู่ นางจึงลองใช้พลังเซียนเรียกมันออกมา
ณ ทางตอนเหนือบนดินแดนสวรรค์ของเทพเซียน มีตำหนักไม้หลังเล็กหลบซ่อนตัวอยู่ในปุยเมฆสีขาว โคมดวงจิตของเทพเซียนที่ลงมาผ่านด่านเคราะห์บนโลกมนุษย์แขวนอยู่เรียงรายใจกลางตำหนัก แสงไฟลุกโชนจากโคมทำให้รู้ว่าเรื่องราวของพวกเขาเป็นไปตามชะตาที่ซือมิ่งเขียนเอาไว้ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงมีเขตแดนปกคลุมรอบทิศทางเพื่อป้องกันไม่ให้มีสิ่งใดรุกล้ำเข้ามาก่อความไม่สงบแม้ไม่มีเขตแดนคอยปกป้อง ก็ใช่ว่าจะมีผู้ใดกล้าเข้ามาวุ่นวายกับที่แห่งนี้สักเท่าใด ด้วยเป็นสถานที่ที่ดวงจิตส่วนหนึ่งของเทพเซียนสถิตอยู่ ทั้งยังห่างไกลจากใจกลางดินแดนสวรรค์ จนบางคนแทบลืมไปแล้วว่าตำหนักนี้อยู่ที่ใด คงจะมีก็แต่เซียนน้อยนางหนึ่งนามว่าหยางซือซือ ที่รู้เรื่องราวของตำหนักนี้ดีกว่าผู้ใด นั่นก็เพราะว่านางคือเจ้าของตำหนักและผู้ดูแลโคมดวงจิตคนล่าสุดนั่นเองราว ๆ สามพันปีก่อน ผู้เฒ่าหยางกำลังกวาดลานหน้าตำหนักแล้วไปพบนางเข้า เขาจึงตั้งชื่อให้และดูแลนางนับตั้งแต่นั้นมาทว่าช่วงเวลาของพวกเขานั้นสั้นนัก อายุขัยของผู้เฒ่าหยางถึงเวลานั้นแล้ว ทั้งดวงจิตและร่างกายจึงสลายเข้าสู่ห้วงเวลานิรันดร์ หยางซือซือที่อายุหนึ่งพันปีจึงต้องอยู่โดดเดี่ยวนับแต่นั
เปลวไฟจากโคมดวงจิตวูบไหวไปมา เสี้ยวหนึ่งของความคิดที่นางนึกขึ้นได้คือพยายามต้านกระแสลม หยางซือซือกั้นลมด้วยม่านเขตแดนจากพลังน้อยนิดของนางและดูเหมือนว่าจะทำได้สำเร็จ เปลวไฟจากโคมดวงจิตสงบขึ้นทว่าความโชคร้ายของวันไม่ได้มีเท่านี้ วิหคเพลิงเห็นเซียวอวี้เทียนยืนดักอยู่อีกทางและกำลังร่ายเวทขั้นสูงครั้งที่สอง มันจึงรีบกลับตัว สยายปีกแล้วถลาไปทางหยางซือซืออีกครั้ง แต่กระนั้นก็ไม่อาจหลบได้ทัน เวทขั้นสูงของเซียวอวี้เทียนเฉี่ยวไปที่ลำตัวเพรียวระหงจนทำให้ทรงตัวไม่อยู่ พร้อมที่จะพุ่งดิ่งตกไปกลางลานด้วยความเร็ว หยางซือซือที่ยังคงตรึงเวทของนางเอาไว้ได้แต่มองตาม พลังของวิหคเพลิงนั้นแข็งแกร่งมากกว่านางอีกหรือหลังจากนั้นโคมดวงจิตที่อยู่รอบนอกเริ่มดับต่อกันเป็นทอด ๆ กว่าครึ่งหนึ่ง ในใจของนางพลันคิดว่าครั้งนี้จบสิ้นจริง ๆ แล้ว ภาระหน้าที่แสนง่ายแต่สลักสำคัญของนางด้านเซียวอวี้เทียนเองเพิ่งจะจับวิหคเพลิงตัวนี้ได้หันมาถามนางด้วยความเป็นห่วง “หยางซือซือ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” ครั้นพอเห็นสายตาที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า เขาก็เข้าใจแล้วว่า หายนะครั้งใหญ่กำลังมาเยือนอย่างแน่นอน ไม่ทันที่เขาจะได้หาหนทางแก้ไขเรื่องรา
สิ้นคำพูดของซ่งอี้ เทพเซียนที่เกี่ยวข้องกับการเหตุการณ์ครั้งนี้เริ่มเห็นด้วยกับความคิดของนาง“ขอเทียนจวินตัดสินด้วยเถิด” ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันเทียนจวินมองไปที่หยางซือซือ เวลานี้ใบหน้าของนางราวกับครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ แต่ไม่มีสีหน้าแสดงความกังวลใจต่อบทลงโทษ“เซียนน้อยหยางซือซือ ข้ารู้ว่าเจ้าตั้งใจทำหน้าที่ต่อจากผู้เฒ่าหยางมาด้วยดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากแต่ครั้งนี้เกิดเรื่องขึ้น ข้าไม่อาจเพิกเฉยต่อความเดือนร้อนได้ จงลงไปเกิดเป็นมนุษย์ ผ่านด่านเคราะห์และบำเพ็ญตบะให้แกร่งกล้า เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ถูกลงโทษเป็นครั้งที่สอง” เทียนจวินตรัสกับนาง“หม่อมฉันน้อมคำตัดสินเพคะ ขอบพระทัยเทียนจวิน” หยางซือซือทำความเคารพ ก่อนที่ทุกคนในห้องโถงใหญ่แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนต่อ มีเพียงเซียวอวี้เทียนเดินหน้าเศร้ามาหานางเพราะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของนาง วิหคเพลิงมีเงื่อนงำบางอย่างถึงได้ปรากฏตัวขึ้น“ไม่ต้องเป็นห่วงข้านักหรอกน่า เซียวอวี้เทียน ช่วงชีวิตมนุษย์นั้นแสนสั้น เดี๋ยวข้าก็กลับขึ้นมาบนสวรรค์ได้เช่นเดิมแล้ว” หยางซือซือปลอบใจเขาเหมือนอย่างเคย นางมักจะลืมเรื่องของตนเองแล้วใส่ใจค
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ทางทิศใต้ของภูเขาลูกใหญ่ เด็กชายอายุสิบขวบกำลังนั่งขอทานอยู่ริมถนนในตลาด สภาพหน้าตามอมแมมของเขาจำแทบไม่ได้เลยว่าเป็นลูกของผู้ใด เขานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งบ่ายก็ยังไม่ได้เงินสักอีแปะเดียว เวลานี้ขอเพียงมีคนใจดีแบ่งปันซาลาเปาซักลูกแก่เขาก็ดีใจมากแล้ว“นี่เจ้าตัวอัปมงคล ไปนั่งที่อื่นไกล ๆ พวกข้าเสียที มีเจ้าอยู่แถวนี้ พวกข้าเลยพลอยไม่ได้เงินขอทานสักอีแปะ” ชายวัยกลางคนโพล่งขึ้นทำลายความเงียบ ทุกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันเห็นด้วยกับคำพูดของเขา พยายามจะพูดไล่ให้เด็กชายสิบขวบไปไกล ๆ แต่พอเห็นเขาไม่ขยับคล้ายไม่ยอมฟังคำพูดทำหูทวนลม ก็พาลโกรธคิดว่าเด็กชายกำลังท้าทาย“พูดดี ๆ ด้วย ไม่ได้ยินหรืออย่างไร ข้าบอกให้ไปซะ” เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกขึ้นยืนแล้วถุยน้ำลายใส่ แต่เด็กน้อยยังคงไม่ขยับ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะร่างกายเขาแทบจะไม่มีแรงลุกขึ้นไปที่ไหน ท่าทางของเขายิ่งทำให้ขอทานโมโหจนออกแรงยกเท้าเตะไปที่ลำตัวแห้งผอมของเขา หวังให้ตกใจรีบวิ่งหนีไป แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เด็กชายล้มลงไปตามแรงที่ส่งมา โดยไม่มีเสียงร้องสักแอะ“มันตายแล้วหรือ” ขอทานคนหนึ่งพูดขึ้น