ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ทางทิศใต้ของภูเขาลูกใหญ่ เด็กชายอายุสิบขวบกำลังนั่งขอทานอยู่ริมถนนในตลาด สภาพหน้าตามอมแมมของเขาจำแทบไม่ได้เลยว่าเป็นลูกของผู้ใด เขานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งบ่ายก็ยังไม่ได้เงินสักอีแปะเดียว เวลานี้ขอเพียงมีคนใจดีแบ่งปันซาลาเปาซักลูกแก่เขาก็ดีใจมากแล้ว
“นี่เจ้าตัวอัปมงคล ไปนั่งที่อื่นไกล ๆ พวกข้าเสียที มีเจ้าอยู่แถวนี้ พวกข้าเลยพลอยไม่ได้เงินขอทานสักอีแปะ” ชายวัยกลางคนโพล่งขึ้นทำลายความเงียบ ทุกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันเห็นด้วยกับคำพูดของเขา พยายามจะพูดไล่ให้เด็กชายสิบขวบไปไกล ๆ แต่พอเห็นเขาไม่ขยับคล้ายไม่ยอมฟังคำพูดทำหูทวนลม ก็พาลโกรธคิดว่าเด็กชายกำลังท้าทาย
“พูดดี ๆ ด้วย ไม่ได้ยินหรืออย่างไร ข้าบอกให้ไปซะ” เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกขึ้นยืนแล้วถุยน้ำลายใส่ แต่เด็กน้อยยังคงไม่ขยับ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะร่างกายเขาแทบจะไม่มีแรงลุกขึ้นไปที่ไหน ท่าทางของเขายิ่งทำให้ขอทานโมโหจนออกแรงยกเท้าเตะไปที่ลำตัวแห้งผอมของเขา หวังให้ตกใจรีบวิ่งหนีไป แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เด็กชายล้มลงไปตามแรงที่ส่งมา โดยไม่มีเสียงร้องสักแอะ
“มันตายแล้วหรือ” ขอทานคนหนึ่งพูดขึ้นมา ต่างคนต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กรีบวิ่งหนีแยกย้ายกันไป
เด็กชายนอนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานจนตะวันลับฟ้าจึงได้ลืมตาตื่นขึ้น เมื่อเห็นท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีไปแล้วก็ทำให้นึกถึงคนที่รออยู่บ้าน เขารีบวิ่งกลับไป ลืมความเจ็บปวดและความหิวโหยเพราะเป็นห่วงคน ๆ นั้นมากกว่าตัวเอง
“ท่านแม่ ข้าขอโทษที่กลับบ้านช้า ท่านแม่หิวหรือไม่” เขาเอ่ยปากถามทันทีที่เปิดประตูบ้านเข้ามา เมื่ออยู่ต่อหน้านาง เขาพยายามฝืนทำตัวให้แข็งแรงเพราะไม่อยากให้นางกังวล
“เสิ่นชิว ข้ายังไม่หิว รอเจ้ากลับมาค่อยกินพร้อมกัน” น้ำเสียงแหบของนางพยายามตอบเขาเท่าที่จะมีแรงไหว หญิงวัยกลางคนผู้นี้ป่วยออดแอดมานานแล้ว นางรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ไม่อาจดูแลบุตรชายตัวเล็กเพียงคนเดียวให้ดีกว่านี้ได้
“ท่านแม่รอข้าสักครู่ ข้าจะต้มโจ๊กมาให้” เสิ่นชิวเดินออกมาข้างนอกบ้านเพื่อดูเสบียง เขาก้มลงเปิดฝาไหใบเล็ก ข้างในเหลือเม็ดข้าวไม่ถึงหนึ่งกำ จึงไม่รอช้ารีบก่อไฟ ตักน้ำมาต้มข้าวก่อนที่จะดึกไปมากกว่านี้
หลังจากที่นางหลับไปแล้ว เสิ่นชิวออกมานั่งข้างนอก คิดถึงเรื่องวันพรุ่งนี้ ที่ตรงนั้นในตลาดคงจะกลับไปไม่ได้แล้ว เขาควรจะต้องไปที่ไหน วันนี้ร่างกายมีรอยช้ำเพิ่มขึ้นอีก ดีที่ว่าสวมเสื้อทับอยู่ แม่ของเขาจึงไม่ทันสังเกตเห็น
เมื่อมองลอดหน้าต่างเข้าไปข้างในบ้าน แค่เพียงเห็นหน้ามารดาก็รู้สึกปวดใจ ตัดพ้อชีวิตที่ผ่านมา จะมีวันไหนบ้างที่โชคชะตาจะเห็นใจเขา “อย่างน้อยขอพรให้แม่ของข้าแข็งแรงได้หรือไม่ เพียงเท่านี้ ข้าก็พอใจมากแล้ว นางเป็นคนเดียวที่ยังอยู่เคียงข้างข้า ข้าไม่อยากเสียนางไป” เสิ่นชิวแหงนหน้ามองดวงจันทร์กลมโตที่ส่องแสงสีนวล
นับตั้งแต่ที่เสิ่นชิวจำความได้ เขาเห็นเพียงมารดาที่ดูแลเขาด้วยความรัก ทั้งชีวิตมีกันอยู่แค่สองคน และเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนรอบ ๆ ข้างต้องรังเกียจมารดากับเขาถึงเพียงนั้น ภาพที่นางใช้ตัวเป็นโล่กำบังไม่ให้ใครมาทำร้ายเขาตอนที่ยังเป็นเด็ก รอยช้ำบนใบหน้าของนางดูสาหัสแต่นางก็ไม่เคยบ่นหรือทำตัวอ่อนแอให้เขาเห็น
ยามที่มีคนมาดุว่าด่าทอเขา นางจะปิดหูเขาทั้งสองข้างเอาไว้ สาบานได้เลยว่าพวกเขาไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใครเลยจริง ๆ พอเข้าสู่ช่วงที่เขารู้ความมากขึ้น สิ่งที่เขาได้ยินตลอดทั้งชีวิตเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้อื่นรังเกียจ
“ไอ้ตัวอัปมงคล”
“ลางร้าย”
“อย่ามาใกล้ข้านะ ข้าไม่อยากโชคร้าย”
“ออกไปจากหมู่บ้านนี้ซะ ถ้าไม่อยากตาย”
สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือคำพูดที่ว่า
“แกมันตัวกาลกิณี อยู่ที่ไหน ไปที่ไหนก็มีแต่คนตาย ลูกของแกมันตัวกาลกิณี”
ในที่สุดเขาก็ได้เข้าใจว่าคนที่ชาวบ้านเกลียดฝังกระดูกก็คือตัวเขานั่นเอง วันหนึ่งเสิ่นชิวจึงมีความคิดที่จะหนีออกจากบ้าน หากไม่มีเขาแล้ว อย่างน้อย นางจะยังมีที่ให้อยู่ ไม่ต้องพลอยลำบากอดอยาก โดนรังเกียจเพราะตัวเขาอีกต่อไป แต่นางกลับเก็บเสื้อผ้าใส่ย่ามเอาไว้แล้วพาเขาออกจากหมู่บ้านนั้นทันที
พวกเขาสองคนย้ายที่อยู่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางขยันทำงานเพื่อหาเลี้ยงเขา เมินเฉยต่อคำด่าสารพัดเพื่อเลี้ยงดูเขา
นางไม่เคยปล่อยมือจากเขาเลย ราวกับรู้ว่าเขาคิดเช่นไรจึงพูดกับเขาครั้งหนึ่ง “เจ้าคือลูกของข้า ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใด ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า คำพูดของผู้อื่น เจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเจ้า”
ทุกครั้งที่หวนนึกถึงคำพูดของนาง เขาก็ยิ่งเจ็บปวดใจ กระทั่งอาหารวันละหนึ่งมื้อหรือแม้แต่ยารักษานาง เขายังหามาให้ไม่ได้ นานวันเข้าร่างกายของนางยิ่งทรุดโทรม ยาที่มีนั้นเหลือใช้เพียงแค่สองวัน ได้แต่หวังจริง ๆ ว่าโชคชะตาจะใจดีกับเขาบ้าง
รุ่งเช้า เสิ่นชิวรีบไปต้มข้าวที่เหลือก้นหม้อใหม่อีกครั้ง ก่อนจะเข้าไปที่ตลาดในเมือง แม่ของเขาคอยพร่ำสอนให้ยึดถือคุณธรรมความดีมาตลอด จึงทำให้เขาประพฤติตนอยู่ในกรอบ ในใจเพียงคิดว่าขอแค่ครั้งนี้ ชีวิตเขาหมดหนทางแล้วจริง ๆ
เสิ่นชิวดักรอบางอย่างอยู่ที่ซอยแคบ ๆ ตัวสั่นงันงกกังวลถึงสิ่งที่จะทำ “จนตรอกแล้วหนอ ชีวิตข้า” ความเป็นความตายของแม่อยู่ตรงหน้า ทำให้เขาไม่คิดถึงเรื่องใดอีกต่อไป เสิ่นชิวปราดตามองคนที่แต่งกายดี ใส่ของประดับมีค่าราคาแพงที่เดินผ่านไปมา พลันมองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนรอใครสักคนอยู่ จึงทำทีเดินไปใกล้นาง มือน้อย ๆ ของเขาค่อย ๆ ดึงถุงเงินที่นางเก็บไว้ออกมาอย่างเบามือก่อนจะรีบวิ่งหนีไปอีกทาง
ทว่าโชคไม่ได้เข้าข้างการกระทำครั้งนี้ เสิ่นชิวไม่ทันได้เปิดดูเงินในถุง ก็มีอันธพาลกลุ่มนึงโผล่มาดึงถุงจากมือเขา เสิ่นชิวยื้อแย่งไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ อย่างไรเสียต้องปกป้องเงินถุงนี้ไว้ให้ได้ แม่ของเขารอยาและอาหารจากเขาอยู่ เรี่ยวแรงของเขาเพิ่มขึ้นราวกับเป็นเฮือกสุดท้าย ในที่สุดอันธพาลทนไม่ไหวลงไม้ลงมือกับเขาอย่างไม่สนใจสายตาคนในตลาด แม้จะพยายามทำสุดความสามารถแล้ว ร่างกายที่บอบช้ำก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหวอีกต่อไป
“ท่านแม่ ข้าขอโทษ หากวันนั้น ข้าหนีไปให้ไกลจากท่าน ชีวิตของท่านคงจะดีกว่านี้ ข้าขอโทษจริง ๆ” เสิ่นชิวนึกภาพใบหน้าของนาง น้ำตารินไหลจากหางตา เขาหมดสิ้นเรี่ยวแรงนอนสลบอยู่ตรงนั้นท่ามกลางชาวบ้านที่มามุงดู
“ซิ่วอิง ตรงนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทำไมคนมุงเต็มไปหมด” เสียงเล็กจากเด็กหญิงผู้หนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะนาน ๆ ทีถึงได้ออกมาเที่ยวในเมือง จึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง“ฟางหรง เจ้าไม่ต้องรู้ทุกเรื่องหรอก วันนี้ท่านพ่อให้เจ้ามาทำธุระกับเถ้าแก่ร้านหยกไม่ใช่หรือ ไปช้าเดี๋ยวก็โดนดุอีกหรอก” ซิ่วอิงที่ดูโตกว่านางสักสามปีตักเตือน“เอ๋! นาน ๆ ทีได้ออกมาเที่ยวในเมืองบ้าง ช้าไปนิดหน่อย ท่านลุงไม่กล้าว่าอะไรนางหรอกน่า เจ้าก็จริงจังเกินไปแล้ว” หนิงเหอผู้เป็นน้องสาวของนางโต้แย้งอย่างมีเหตุผล“ใช่ ๆ หนิงเหอพูดถูก เจ้าเคยเห็นท่านพ่อดุข้าหรือ” ฟางหรงยิ้มร่าแล้ววิ่งไปทางนั้นพร้อมกับหนิงเหอ“พวกเจ้าสองคนนี่ เล่นเป็นเด็กไปได้ เมื่อไรจะโตเสียที” ซิ่วอิงบ่นเสียงดังก่อนรีบตามทั้งสองคนไปฟางหรงเดินแหวกฝูงชนที่กำลังมุงดูเสิ่นชิว นางมุดลอดช่องว่างเข้าไปจนเข้าถึงตัวเขาในไม่ช้า เลือดที่ไหลรินบนใบหน้าทำให้นางตกใจ ทั้งยังเสื้อผ้ายับเยิน มีแต่รอยเท้าฝากฝังไว้ทั่วร่าง ฟางหรงทำใจเห็นคนที่อายุพอกันกับนางมีสภาพเช่นนี้ไม่ได้จริง ๆ นางจึงแตะไปที่ตัวเขา เรียกเบา ๆ เผื่อเขาจะตื่น“นี่ นี่ เจ้าได้ยินข้าหรือไม่”
ห้าปีผ่านไปเสิ่นชิวเติบโตขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนี้ เขาคอยช่วยงานคนในหมู่บ้าน มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ผู้คนรอบตัวต่างมีน้ำใจต่อเขา“ท่านแม่ ท่านคงไม่ต้องเป็นห่วงข้าแล้วล่ะ ท่านเห็นหรือไม่ ข้าเติบโตมาอย่างดี หวังว่าท่านจะอยู่บนสวรรค์อย่างมีความสุขนะขอรับ” เสิ่นชิวมองท้องฟ้าสีครามยามเช้าสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่คิดถึงนาง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาตั้งใจใช้ชีวิตอย่างที่นางหวัง เพียงแค่กินอิ่ม นอนหลับ ร่างกายแข็งแรง นางก็ดีใจมากแล้ว“เสิ่นชิว ทำอะไรอยู่หรือ” ฟางหรงนั่งลงข้าง ๆ เขา ซบหัวลงพิงไหล่อย่างสนิทสนม “มัวแต่คิดอะไรอยู่หรือ วันนี้มีงานสำคัญ อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมแล้ว” นางถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่า เขาไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน“อ้อ จริงด้วยสิ วันนี้มีงานสำคัญของเจ้านี่นา ข้าเกือบลืมไปเสียสนิท” เสิ่นชิวได้ทีแกล้งนางกลับ ทำให้เขาโดนทุบด้วยฝ่ามือน้อย ๆ ของนางไปหนึ่งที จนไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีก การแกล้งนางนั้นสนุกยิ่งกว่าอะไร“เสิ่นชิว เจ้าแกล้งข้าอีกแล้ว” ทันทีที่พูดจบ นางหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับเข้าหมู่บ้าน ได้ยินแต่เสียงตะโกนของเสิ่นชิวดังมา “ฟางหรง อย่างอนข้าเลยนะ แต่ถึงงอนก็ไม่เ
อีกทางด้านหนึ่งของผาเดียวดาย“โอ๊ย เมื่อย!” เสียงหวานดังขึ้น ร่างโปร่งแสงของนางก้าวออกมาจากต้นดอกท้อที่บัดนี้อายุเกือบแสนปีแล้ว หลังจากนั่งบำเพ็ญตบะเซียนอยู่ครึ่งค่อนวัน นางจึงอยากเดินเล่นแก้เมื่อยเสียหน่อย“นี่เจ้ากระต่ายเวท มานั่งดูท้องฟ้าเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ” นางเรียกกระต่ายเวทตัวหนึ่งที่อยู่แถวนั้นมาอยู่เป็นเพื่อน จริง ๆ เมื่อไม่กี่หมื่นปีก่อน จู่ ๆ นางก็ไม่ได้เจอมนุษย์คนใดอีกเลย นับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับนางอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเขาลูกนี้ร้างหรือน่ากลัวกันแน่จึงไม่มีมนุษย์คนใดเข้ามาถึงริมผาเดียวดายตอนที่นางกำลังนั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียว กระต่ายเวทตัวนี้ก็โผล่มา ลักษณะรูปร่างคล้ายกับว่านางเคยเห็นมาก่อน เพียงแต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่ในภพนี้แน่นอน หยางซือซือแทบจะลืมไปแล้วว่าเหตุใดนางถึงมาเกิดเป็นต้นดอกท้อตั้งแต่ได้เจอเจ้ากระต่ายตัวนี้ นางก็เอาแต่เล่นกับมันทั้งวัน จนไม่ได้ฝึกบำเพ็ญตบะเซียน จู่ ๆ กระต่ายเวทก็หายไป แรก ๆ นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นั่งรอมันอยู่ที่เดิมหลายวัน แล้วก็คิดได้ว่ากระต่ายเวทคงจะต้องใช้พลังเซียนหล่อเลี้ยงให้สภาพร่างคงอยู่ นางจึงลองใช้พลังเซียนเรียกมันออกมา
เสิ่นชิวเข้ามาในบ้านของตนเองเพื่อเก็บของสำคัญ ระหว่างนั้นได้ยินเสียงร้องดังมาจากด้านหน้าหมู่บ้านจึงออกมาดู ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนถืออาวุธครบมือเดินเข้ามาในหมู่บ้านด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด ฮึกเหิมและสนุกสนาน แท้จริงแล้วมนุษย์พวกนี้ไม่นับว่าเผ่ากวางนำทางเป็นมนุษย์ดังเช่นพวกเขา ท่าทีของคนพวกนั้นทำราวกับกำลังล่าสัตว์ป่าไม่ต่างกันนักล่าตัวใหญ่คนหนึ่งถือดาบยักษ์เดินเข้ามาเผชิญหน้ากับกองกำลังของหมู่บ้าน ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงผ่านอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์เข้ามาได้ หากแต่ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือปกป้องกันและกัน เสิ่นชิวรีบถืออาวุธจะวิ่งไปสมทบกับทุกคน พลันมือข้างหนึ่งถูกแม่เฒ่ารั้งไว้“ปล่อยข้าเถิดแม่เฒ่า เวลานี้ ต่อให้ข้าหนีไปก็คงไม่ทันแล้ว ให้ข้าได้ช่วยพวกท่านเถิด ข้าขอร้อง ต่อให้ชีวิตนี้ต้องสูญสิ้น ข้าก็ไม่เสียดาย” เสิ่นชิวพูดกับแม่เฒ่า นางมองหน้าเขาไม่อาจห้ามปราบได้อีกต่อไป เวลานี้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด นางพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เขาขณะที่เสิ่นชิวกำลังวิ่งเข้าช่วยเหลือ เขาเห็นนักล่าตัวใหญ่ผู้นั้นฟันดาบยักษ์ลงมาที่ผู้ดูแลหมู่บ้าน แรงของดาบทำให้เขาไม่อ
เช้าตรู่ของอีกวัน“โอ้โห เช้าวันนี้อากาศดีเหมือนเดิม นี่กระต่ายน้อย เจ้าอยู่ไหน ออกมาเล่นกับข้าหน่อยสิ” หยางซือซือที่เพิ่งตื่นนอนนั่งลงบนพื้นหญ้าเขียวชอุ่ม หันซ้ายหันขวาหาเจ้ากระต่ายเวทเพื่อนของนาง“เอ๋ เจ้าอยู่ไหนนะ มาเล่นกับข้าหน่อย พรุ่งนี้ข้าอาจจะไม่ได้เจอเจ้าแล้วนะ” หยางซือซือเดินวนรอบต้นไม้สองสามรอบแต่ก็ไร้วี่แวว นางอยากเล่นกับมันทั้งวัน เพราะพรุ่งนี้นางก็จะบรรลุตบะเซียนเก้าขั้นแล้ว วันเวลาหนึ่งแสนปีบนดินแดนมนุษย์ใกล้สิ้นสุด“ไหน ๆ ข้าก็ต้องกลับสวรรค์วันพรุ่งนี้แล้ว ขอข้าได้เที่ยวเมืองมนุษย์รอบ ๆ นี้ดีกว่า กลับไปแล้วคงจะลงมาเล่นไม่ได้แน่ ๆ” หยางซือซือเคยพยายามถอดจิตวิญญาณเพื่อลงไปเที่ยวล่างเขา หากแต่ว่าพลังเซียนของนางอ่อนแอจึงได้แค่อยู่ที่เดิมริมผาเดียวดายเท่านั้นเมื่อลองเข้าหลาย ๆ ครั้งไม่เป็นผล นับแต่นั้นมาเกือบแสนปีนางก็ไม่เคยลองอีกเลย เพียงแต่ว่าครั้งนี้นางรู้สึกว่าพลังเซียนนางแกร่งขึ้น อาจจะทำได้ จึงลองดูอีกสักตั้ง“โอ๊ะ! ได้ผลจริง ๆ ด้วย ฮ่า ๆ เอาล่ะ วันนี้ข้าขอเที่ยวเล่นให้หนำใจเลยแล้วกัน” หยางซือซือไม่รอช้า
หนึ่งพันปีต่อมาอรุณรุ่งบนยอดภูเขาสูงห่างไกลจากผู้คน ดอกท้อสีชมพูอ่อนหลายพันต้นผลิบานสะพรั่งไปทั่วบริเวณรับฤดูใบไม้ผลิ ใต้ต้นดอกท้อริมหน้าผามีชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนหลับตาอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวขจี น้ำค้างยามเช้าค่อย ๆ ลู่ลงมาตามใบไม้พลันหยดลงที่หน้าผากอย่างแผ่วเบาปลุกเขาจากการหลับฝัน เขาลืมตาขึ้นมาช้า ๆ ยกมือขึ้นบังแสงแดดอ่อนที่กำลังแยงตา พักหนึ่งจึงลุกขึ้นยืนรับอากาศสดชื่นวันใหม่ สายลมพัดเรือนผมยาวสีเทาแกมชมพูปลิวไสวหลินเซิน หมาป่าขนเทาอาศัยอยู่เพียงลำพังบนเขาลูกนี้มาเป็นเวลากว่าพันปีแล้ว ชีวิตของเขาเรียบง่าย ไร้เรื่องกังวลใด ๆ ราวกับคำอวยพรของดอกท้อแสนปีได้สัมฤทธิ์ผล เขาใช้เวลาทั้งวันกับการนั่งเล่น นอนเล่น โดยไม่สนเรื่องราวภายนอก หากแต่ยังสงสัยตนเองอยู่บ้างว่าทำไมหมาป่าอย่างเขาถึงกินผลไม้เป็นอาหาร ดื่มน้ำค้างยามเช้า เขาเคยมีความคิดว่า อาจจะเป็นเพราะเกิดมามีพลังเซียนจึงทำให้เขากลายพันธุ์ไป เลยไม่ได้สนใจที่มาของตนเอง อย่างไรเขาก็มีความสุขมากแล้วการมีพลังเซียนทำให้เขาไม่เคยต้องเหนื่อยใช้แรงงาน หากอยากดื่มน้ำค้าง ใบไม้เหล่านั้นก็จะคอยกักเก็บ
นับตั้งแต่มีแมวน้อยสีขาวน่ารักตัวนี้อยู่บนเขาแห่งนี้ด้วย ชีวิตประจำวันของหลินเซินก็เปลี่ยนไปจากเดิม วันเวลาที่อยู่อย่างสงบ ๆ ฟังเสียงสายลม เสียงใบไม้พัดปลิว ก็มีเสียงเหมียว เหมียว ดังขึ้นมาเป็นระยะ ราวกับกำลังร้องเรียกเขา ครั้งนี้ก็เช่นกัน“อย่าบอกนะว่าเจ้าหิวอีกแล้ว นี่เจ้ากำลังโตหรืออย่างไรถึงได้กินเก่งเช่นนี้” หลินเซินบ่นอุบอิบนิดหน่อย ก่อนจะเดินไปหยิบของบางอย่างสะพายหลังเขาเดินลงไปด้านหลังเขาเรื่อย ๆ โดยมีเจ้าแมวน้อยตามมาติด ๆ เสียงสายน้ำไหลเอื่อยเริ่มดังขึ้น หลินเซินหยุดอยู่ริมตลิ่ง จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยพร้อมหย่อนขาลงไปในน้ำ มือข้างหนึ่งถือไม้แหลมยาว สายตาสองข้างมองทะลุเข้าไปใต้น้ำใส ๆ คอยมองหาปลาตัวใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นของโปรดเจ้าแมวน้อย“นี่ข้ากำลังทำอะไรอยู่นี่ อาหารของข้าก็ไม่ใช่ เจ้านี่ทำเหมือนข้ากำลังเป็นทาสอย่างไรอย่างนั้น ใช่ว่าข้ารับเจ้ามาเลี้ยงด้วยเสียหน่อย” แม้จะบ่นมาเป็นชุดแต่สองตาก็ยังจ้องหาปลาต่อไปไม่ลดละ ในที่สุดเขาก็จับปลาตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง เพียงเท่านี้ยังไม่พอ หลินเซินก่อฟืนจุดไฟก่อนจะนั่งย่างปลาที่เขากินไม่ได้อีกด้ว
“เยี่ยนฟาง ข้ารู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีบางคนกำลังเรียกข้าอยู่ รีบเข้าเมืองกันเถอะ” หลินเซินพูดกับเจ้าแมวน้อย ไม่รอช้าอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนลอยลงมาจากเขาด้วยความเร็วอย่างตื่นเต้น จนลมปะทะเข้าที่หน้าเจ้าแมวน้อย ตาเหลือกกว้างไม่สามารถต้านแรงลมไว้ได้ คอที่ตั้งตรงอยู่แทบจะพลิกไปด้านหลัง นางจึงส่งเสียงร้องให้เขารู้ตัว หลินเซินก้มลงมองท่าทางของนางอย่างขบขัน หัวเราะเบา ๆ สนุกสนาน นางจึงยกมือขึ้นพยายามตะปบแขนเขาด้วยความงอน“ข้ารู้แล้ว ๆ” หลินเซินกอดเจ้าแมวน้อยเอาไว้แน่น คอยบังกระแสลมแรง ก่อนจดจ่อกับการเดินทางต่อเมื่อมาถึงทางเดินยาวสุดสายตา หลินเซินพยายามมองหาสิ่งที่กำลังร้องเรียกเขา หากแต่ไม่เจออะไรที่เข้าท่า เขาจึงเดินตามความรู้สึกไป ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อ กลิ่นของปลาย่างก็โชยมาที่ปลายจมูกของเขา แล้วก็ได้ยินเสียงร้องเหมียว เหมียวดังมาจากฝั่งตรงข้าม ไม่รู้ว่าเจ้าแมวน้อยไปยืนรออยู่หน้าร้านตั้งแต่เมื่อใด“เยี่ยนฟาง อดใจไว้ เดี๋ยวข้าจะพามากิน ข้าให้สองตัวเลย” หลินเซินพยายามโน้มน้าวใจเจ้าแมวน้อย เวลานี้เขารู้สึกอยากตามหาสิ่งนั้นให้พบไว ๆ เสียเหลือเกิน ราวกับว่า ถ้าวันนี้หาไม่เจอค
เช้าวันต่อมาเยี่ยนฟางมาหาหมิงเฟยที่ห้องเพราะทั้งสองต้องไปเก็บน้ำค้างยามเช้ามาให้หลินเซิน ปกติแล้วหมิงเฟยจะต้องออกไปรอนางที่หน้าห้อง เพียงแต่ว่าวันนี้เขากลับตื่นสายจนนางต้องมาตาม“หมิงเฟย ตื่นได้แล้ว” เยี่ยนฟางคิดว่าเขาคงจะเมาค้างจากฤทธิ์สุรา นางตั้งใจเดินมาปลุกเขาใกล้ ๆ แต่เมื่อเห็นเหงื่อผุดเต็มใบหน้า ทั้งยังสีหน้าของหมิงเฟยดูเจ็บปวด นางก็รีบปลุกเขาให้ตื่น “หมิงเฟย หมิงเฟย” กระนั้นเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว เยี่ยนฟางจึงรีบวิ่งไปหาหลินเซินที่ห้องข้าง ๆ“ท่านพี่ หมิงเฟยเป็นอะไรไม่รู้” น้ำเสียงกังวลของนางทำให้หลินเซินรีบวิ่งไปดูเขา“ท่านพี่ หมิงเฟยเป็นอะไรหรือ” เยี่ยนฟางถามเขาด้วยความเป็นห่วง นางไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้ เจียลี่จึงกอดนางเอาไว้รอฟังคำตอบของเขา“พวกเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าพอจะรู้สาเหตุ ออกไปรอข้าข้างนอกเถิด จะได้ไม่กระวนกระวายใจมากนัก” เจียลี่พยักหน้าให้เขาแล้วพาเยี่ยนฟางออกไปรอที่ห้องของนาง“เจ้าทำให้เขาเป็นเช่นนี้หรือ” หลินเซินโพล่งออกมา เขา
ยามค่ำคืนแสงจันทร์สีนวลทรงกลด ผู้คนในเมืองหลวงต่างออกมาเดินเล่นเทศกาลประจำปีกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ตามบ้านเรือนและร้านค้าประดับไฟหลากสีสลับกัน บางจังหวะกระพริบวิบวับมีลูกเล่นตระการตา พ่อค้าแม่ค้าตั้งร้านเรียงรายสองข้างถนนตลอดทาง ทั้งยังมีการแสดงจากคณะละครคอยเรียกเสียงฮาจากผู้คนที่ผ่านไปมาหลินเซินและคนอื่น ๆ เลือกที่จะดื่มฉลองกันที่โรงเตี๊ยมเพื่อหลีกหนีจากผู้คน ภายในโรงเตี๊ยม เฒ่าแก่ผู้เป็นเจ้าของก็จัดงานใหญ่โตไม่แพ้ที่อื่น หลินเซินได้ส่วนลดเพราะอาศัยอยู่ที่แห่งนี้มานานจนแทบจะเป็นบ้านหลังที่สองของเขาในเมืองนี้ คืนนี้จึงรับเป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารทุกคนโดยนำเงินเก็บที่ได้จากการทำงานเล็กน้อยอย่างขายโสมป่าและเห็ดหายากให้ร้านสมุนไพรในเมืองขณะที่ทุกคนเพลิดเพลินกับการแสดงร่ายระบำของหญิงสาวจากทางตะวันตก หลินเซินก็รับรู้ได้ว่าสายตาของนางผู้นั้นกำลังใกล้เข้ามา นางเดินมาทักทายเขาที่นั่งอยู่มุมโต๊ะอย่างมีเจตนา นางสวมชุดสีแดงสดกับเครื่องประดับสีทอง เสื้อผ้าพลิ้วไหวดูบางเบา เรือนผมยาวสยายสีดำขลับตัดกับผิวขาวนวลเนียน ทันทีที่เห็นสาวงามเข้าใกล้หลินเซินเกินควร เ
หลินเซินได้เห็นช่วงเวลาต่าง ๆ ในความฝันจึงได้รู้ว่านางคือลู่ฟางหรง หญิงสาวเผ่ากวางนำทางกับเด็กชายคนหนึ่ง เสิ่นชิวที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาหน้าตาเหมือนเขา“หยุดเถิด” เขาห้ามปรามให้นางปลดปล่อยเขาจากความฝัน หากแต่นางยังคงไม่ย่อท้อ ลู่ฟางหรงเห็นสีหน้าของเขาก็เข้าใจว่าเขาเริ่มจำนางได้แล้ว ทว่าเหมือนบางสิ่งกำลังขวางกั้นไม่ให้หลินเซินจำภาพทั้งหมดได้ ภาพความฝันในอดีตที่นางสร้างขึ้นมาเริ่มมีคนที่นางไม่อยากเห็นหน้าปรากฏตัว“ข้าไม่ยอม” นางกล่าวสั้น ๆ กับเขาก่อนจะหายตัวไป หลินเซินงัวเงียสะดุ้งตื่น รู้สึกแปลกใจที่ฝันเช่นนี้ แต่เขาไม่รู้ว่าความฝันนั้นคืออดีตชาติของตนเอง จึงหลับตานอนต่อจนถึงรุ่งเช้าเจียลี่ยกน้ำค้างยามเช้ามาให้เขาที่ห้อง นางเห็นขอบตาดำทั้งสองข้างของเขาแล้วนึกขำ “หลินเซิน เมื่อคืนนอนไม่หลับหรืออย่างไร”“ข้าแค่ฝันแปลก” เขาพยายามนึกว่าฝันอะไรไปแล้วบ้างแต่ก็ลืมเสียหมดสิ้น “ไม่เป็นอะไรหรอก ข้าลืมไปแล้ว จำได้ลาง ๆ ว่าเห็นเจ้าในความฝัน” หลินเซินยิ้มให้นาง แต่แล้วก็รู้สึกได้ว่า
เช้าวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ เจียลี่ชวนทุกคนออกไปนั่งเล่นชมสวนที่ริมลำธารในเขตป่าของแคว้นเป่ย เยี่ยนฟางนั่งอยู่บนโขดหินกลางสายน้ำไหลเอื่อยกับหลิวอิง ทั้งคู่หย่อนขาลงไปแช่ในน้ำใสเย็น สายตาจ้องมองปลาตัวเล็กแหวกว่ายไปมา ด้านหมิงเฟยเดินตามหลังถังลี่ฮวาคอยถือตะกร้าดอกไม้ใบใหญ่“ถังลี่ฮวา” เขาหยิบดอกไม้สีชมพูหวานทัดที่เรือนผมสลวยของนางแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ถังลี่ฮวายิ้มเขินรีบเปลี่ยนเรื่อง “ไปดูผีเสื้อตรงโน้นกันเถอะ” แล้วจูงมือเขาไปพร้อมกันสายลมพัดพากลิ่นดอกไม้หลากหลายชนิดหอมฟุ้งอบอวลทั่วทั้งป่า หลินเซินที่นั่งหลบอยู่ใต้ต้นไม้มองทุกคนพลางจิบน้ำชาดอกท้อ ครั้นผ่านมาสักพักหัวของเขาก็ค่อย ๆ เอนลงมาซบไหล่ของเจียลี่อย่างเป็นธรรมชาติ“หลินเซิน ง่วงนอนแล้วหรือ” เจียลี่ลูบใบหน้าของเขาอย่างอ่อนโยน “เจ้าจะกินขนมไปหลับไปไม่ได้นะ” นางก้มมองดูใบหน้าของเขา พอเห็นว่าหลินเซินหลับตาพริ้มจึงหยิบขนมที่เขาถือไว้มาเก็บ แล้วค่อย ๆ ขยับศีรษะมาหนุนที่ตักของนางสายตาของนางจ้องมองใบหน้าของเขาเนิ่นนาน ใบหน้า รูปคิ้
ด้านหน้าหอคณิกา หมิงเฟยชะเง้อคอยาวมองหาถังลี่ฮวามาพักหนึ่ง เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ถอยหลังกลับมาหนึ่งก้าว เดินวนไปทางซ้ายที แล้วหันกลับมามองเยี่ยนฟางที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ สายตาละห้อยลังเลใจของเขาทำให้เยี่ยนฟางส่ายหัว นางโบกมือเป็นสัญญาณให้เขาเข้าไปได้แล้ว มิเช่นนั้นเที่ยงวันนางก็คงยังไม่ได้กินข้าวเช้าเป็นแน่“ไปสักทีเถอะ ข้าขอร้อง เจ้าจะอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม” เยี่ยนฟางตะโกนถามเขา ท้องร้องโครกครากหิวข้าวจนแทบจะแทะต้นไม้แถวนั้นหมิงเฟยยังคงยืนเก้ ๆ กัง ๆ ต่อไป สีหน้าวิตกกังวล แกว่งถุงเสื้อผ้าที่ซื้อมาฝากถังลี่ฮวาไปมา เยี่ยนฟางจึงเดินออกจากที่ซ่อนแล้วคว้ามือของเขาเข้าไปด้านในด้วยกัน“ดะ เดี๋ยวก่อนเยี่ยนฟาง เดี๋ยวก่อน” หมิงเฟยร้องห้ามแทบไม่ทัน พยายามดึงตัวเยี่ยนฟางเอาไว้“มัวแต่ยืนอยู่ตรงนี้ แล้วเมื่อใดจะได้พบนาง โน่น! เจ้าเห็นไหม คุณชายท่านนั้นกำลังเดินไปหานางแล้ว” เยี่ยนฟางชี้ให้ดูบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง ด้านหลังมีคนรับใช้แบกหีบลังใหญ่ตามไปด้วย หลังจากที่เห็นเช่นนั้น หมิงเฟยไม่ลังเลอีกต่อไป เขารี
เซียวอวี้เทียนเพิ่งออกมาจากห้องทรงงานของเทียนจวิน เขารีบตรงดิ่งไปยังลานจุติ เพียงแต่ว่ามาช้าไปก้าวเดียว เขาเห็นเพียงแผ่นหลังของนางที่กำลังหายลับไปโดยไม่ได้กล่าวลา นึกเสียใจอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะทำอะไรดูจะไม่ทันการณ์ไปทุกอย่าง พอเห็นนางต้องเผชิญด่านเคราะห์ยาวนานก็นึกเป็นห่วงจึงไปหาซือมิ่งที่ตำหนักเพื่อถามข่าวคราว“เทพสงคราม ท่านมีอะไรหรือ” ซือมิ่งออกมาต้อนรับเขาหน้าตำหนักตอนเช้าตรู่ เห็นสีหน้าของเขาจึงถามออกมา“ซือมิ่ง ข้ามีเรื่องรบกวนท่าน” เซียวอวี้เทียนเขยิบเข้ามาใกล้ แม้ทั้งสองจะสนิทกันมากแต่เมื่อซือมิ่งได้ยินเรื่องที่เขาอยากรบกวนแล้วต้องรีบปฏิเสธในทันที“ไม่ได้ ๆ เรื่องนี้อย่ารบกวนข้าเลย” ซือมิ่งถอยห่างหนึ่งก้าว ยกมือปัดไปมาพัลวัน“ทำไมเล่า ข้าไม่ได้ขอมากมายเสียหน่อย เห็นแก่ที่เป็นเพื่อนกันมานาน ท่านช่วยข้าหน่อยเถอะ นี่สุราดอกท้อของท่าน ของดีที่หนึ่งในแคว้นเป่ย ยกให้ท่านหมดเลย” เซียวอวี้เทียนพยายามหว่านล้อมซือมิ่งอยู่พักใหญ่จนเขาไม่เป็นอันทำงานอื่น ๆ“ดูสิ ดูสิ เทพสงครามผู้นี้ติดสินบนข้า ว่าแต่
วันเกิดเหตุการณ์วิหคเพลิงป่วนตำหนักโคมดวงจิต หยาง ซือซือถูกตัดสินโทษให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์และบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้น แม้เซียวอวี้เทียนจะรู้สึกไม่พอใจกับการตัดสินโทษในครั้งนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถช่วยนางได้ ทั้งยังถูกเทียนจวินเรียกพบเพื่อหารืองานหมั้นหมายระหว่างเทพสงครามเซียวอวี้เทียนและเทพอัคคีซ่งอี้ผู้เป็นธิดาของเขา“ซ่งอี้ วิหคเพลิงตัวนั้นเป็นของท่านใช่หรือไม่” เซียวอวี้เทียนถามนางด้วยความสงสัย “เป็นเรื่องแปลกนักที่พบสัตว์พาหนะของท่านในที่ห่างไกลอย่างตำหนักโคมดวงจิต” เขาจ้องมองซ่งอี้อย่างจับพิรุธ มีหรือที่เทพระดับนางจะควบคุมสัตว์พาหนะของตนไม่ได้“วิหคเพลิงในตำหนักของข้ามีอยู่ทั่วไป เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น” ซ่งอี้เฉไฉไม่ยอมรับ นางรู้สึกหงุดหงิดที่เขาจี้ถามนางอยู่อย่างนั้น“ท่านมีธุระอันใดที่นั่น” เซียวอวี้เทียนย้อนถามนางอีกครั้ง“แล้วเทพสงครามอย่างท่านมีเหตุอันใดที่ต้องไป ซ้ำยังสนิทสนมกับเซียนน้อยถึงเพียงนั้น ท่านควรเกรงใจข้าบ้าง เรื่องหมั้นหมายของเราในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า...&rdquo
กาลครั้งหนึ่ง ณ ดินแดนสวรรค์เซียนน้อยหยางซือซือนั่งเล่นอยู่บนก้อนเมฆน้อยที่ลอยไปลอยมารอบตำหนัก วันนี้นางจัดการภาระงานทั้งหมดได้เสร็จลุล่วงจึงมีเวลาพักผ่อนหย่อนใจเร็วกว่าที่คิดไว้ พลันสายตาเหลือบเห็นเงาตะคุ่มอยู่ในกลุ่มเมฆด้านหน้าจึงกระโดดเข้าไปดูใกล้ ๆหยางซือซือผู้ใสซื่ออ่อนต่อโลกนั้นไม่ทันได้ระวังตัว ทั้งยังไม่คิดมาก่อนว่าที่แห่งนี้จะมีผู้ใดแวะเวียนผ่านมากระโดดไปชนกับร่างใครบางคนพอดิบพอดีจนร่างบางของนางแทบจะปลิวตกก้อนเมฆ เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นหันมาคว้าข้อมือเอาไว้ทันจึงรอดไปได้อย่างหวุดหวิด“เอ่อ ขอบคุณท่านเซียนที่ช่วยเหลือแล้วก็ขออภัยท่านด้วย เป็นข้าเองที่ไม่ทันระวัง” หยางซือซือยืนเก้ ๆ กัง ๆ ทำตัวไม่ถูก ดูจากรูปร่างหน้าตา ท่าทางและเครื่องอาภรณ์ของเขาแล้ว คงจะเป็นเซียนที่อยู่ตำแหน่งสูงกว่านางเป็นแน่ นางไม่ค่อยได้เจอผู้คนมากนัก เรื่องพิธีต่าง ๆ จึงไม่จดจำไว้สักเท่าใด“อย่าโทษตนเองเลย ข้าก็มีส่วนผิด ท่านบาดเจ็บที่ใดหรือไม่” เขาถามนางอย่างสุภาพนอบน้อม ในใจนึกสงสัยทำไมที่ห่างไกลเพียงนี้ถึงได้มีเซียนน้อยอาศัย
คืนนั้นหลินเซินช่วยรักษาบาดแผลให้เฉิงเซียวและพรรคพวกที่หนีออกมาจนรุ่งเช้า อาการของพวกเขาดีขึ้นจากเดิมมาก เหลือแค่ทานยาเพียงไม่กี่วันก็จะกลับมาแข็งแรงเช่นเดิม หลังจากนั้นหลินเซินจึงกลับมาพักที่โรงเตี๊ยมนอนหลับไปหนึ่งวันเต็มเพื่อฟื้นฟูพลัง“หลินเซิน ตื่นแล้วหรือ” เจียลี่เห็นเขาลืมตาจึงถามไถ่อาการของเขา พลางยื่นจอกน้ำค้างยามเช้า“อื้ม ข้าแค่รู้สึกเพลีย” เขายักยิ้ม เยี่ยนฟางกับหมิงเฟยจึงพลอยโล่งใจไปด้วย“ท่านพี่หักโหมใช้เวทรักษามากไปแล้ว” นางบ่นอุบอิบด้วยความเป็นห่วง จริง ๆ แล้วจิ้งจอกแดงเหล่านั้นต่างมีร่างกายที่แข็งแรงกว่าคนทั่วไป หากไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพิ่มขึ้นมา ร่างกายก็จะค่อย ๆ เยียวยาตนเองจนหายดี แม้จะใช้เวลาหลายอาทิตย์ก็ตามหลินเซินลูบหัวเยี่ยนฟาง “ยิ่งหายเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมิใช่หรือ” เฉิงเซียวบอกกับทุกคนว่าเผ่าจิ้งจอกแดงที่ถูกกักขังไม่ได้มีแค่พวกเขาเพียงเท่านั้น หลายหมู่บ้านข้างในดินแดนยังคงมีคนอื่น ๆ รอคอความช่วยเหลือจากพวกเขาอยู่แม้คนเหล่านั้นจะไม่ถูกทรมานอย่