เปลวไฟจากโคมดวงจิตวูบไหวไปมา เสี้ยวหนึ่งของความคิดที่นางนึกขึ้นได้คือพยายามต้านกระแสลม หยางซือซือกั้นลมด้วยม่านเขตแดนจากพลังน้อยนิดของนางและดูเหมือนว่าจะทำได้สำเร็จ เปลวไฟจากโคมดวงจิตสงบขึ้น
ทว่าความโชคร้ายของวันไม่ได้มีเท่านี้ วิหคเพลิงเห็นเซียวอวี้เทียนยืนดักอยู่อีกทางและกำลังร่ายเวทขั้นสูงครั้งที่สอง มันจึงรีบกลับตัว สยายปีกแล้วถลาไปทางหยางซือซืออีกครั้ง แต่กระนั้นก็ไม่อาจหลบได้ทัน เวทขั้นสูงของเซียวอวี้เทียนเฉี่ยวไปที่ลำตัวเพรียวระหงจนทำให้ทรงตัวไม่อยู่ พร้อมที่จะพุ่งดิ่งตกไปกลางลานด้วยความเร็ว หยางซือซือที่ยังคงตรึงเวทของนางเอาไว้ได้แต่มองตาม พลังของวิหคเพลิงนั้นแข็งแกร่งมากกว่านางอีกหรือ
หลังจากนั้นโคมดวงจิตที่อยู่รอบนอกเริ่มดับต่อกันเป็นทอด ๆ กว่าครึ่งหนึ่ง ในใจของนางพลันคิดว่าครั้งนี้จบสิ้นจริง ๆ แล้ว ภาระหน้าที่แสนง่ายแต่สลักสำคัญของนาง
ด้านเซียวอวี้เทียนเองเพิ่งจะจับวิหคเพลิงตัวนี้ได้หันมาถามนางด้วยความเป็นห่วง “หยางซือซือ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” ครั้นพอเห็นสายตาที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า เขาก็เข้าใจแล้วว่า หายนะครั้งใหญ่กำลังมาเยือนอย่างแน่นอน ไม่ทันที่เขาจะได้หาหนทางแก้ไขเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็มีแสงสว่างวาบปรากฏขึ้น เซียนผู้ดูแลสวรรค์เดินมาหานางด้วยท่าทีขึงขังพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่ง
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เสียงตวาดแข็งกร้าวถามหยางซือซือที่กำลังตกใจไม่ได้สติ
“หยางซือซือ!” เซียวอวี้เทียนเรียกนางแล้วหันไปพูดกับคนที่เหลือว่า “พวกท่านฟังข้าอธิบายก่อน” แต่เซียนผู้ดูแลยกมือขึ้นมาห้ามไม่ให้เขาพูดแทนนาง
“เทพสงครามเซียวอวี้เทียน ท่านไม่ใช่ผู้ดูแลตำหนักแห่งนี้ ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องอธิบาย เวลานี้ทางตำหนักใหญ่ของสวรรค์กำลังวุ่นวาย เทพเซียนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้เรียกร้องให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง” เขาหันไปหาหยางซือซือที่ทำหน้าเศร้าสร้อย “ส่วนเจ้า ตามข้ามา” แล้วทุกคนก็หายตัวกลับไปที่ตำหนักใหญ่พร้อมกัน
ห้องโถงโอ่อ่าเต็มไปด้วยเทพเซียนที่มารออยู่ก่อนแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นคนที่ต้องลงไปเผชิญด่านเคราะห์บนโลกมนุษย์แต่กลับต้องขึ้นสวรรค์ก่อนเวลาอันควรเพราะเปลวไฟจากโคมดวงจิตดับมอดกระทันหัน
โคมดวงจิตนั้นเป็นที่ฝากฝังจิตวิญญาณเสี้ยวหนึ่งของพวกเขาก่อนที่จะลงไปโลกมนุษย์ เดิมทีควรจะกลับมาหลอมรวมกันเมื่อวิญญาณส่วนที่เหลือได้กลับมาในที่ทางของตนเอง
เสียงอื้ออึงและสายตาที่มองมาที่หยางซือซือมีทั้งสับสน ไม่เข้าใจ กล่าวโทษนาง อาจจะเพราะกำลังจะผ่านด่านเคราะห์แล้วแต่โดนขัดจังหวะไปเสียก่อน นางได้แต่ก้มหน้าลงสำนึกผิด ไม่ได้คิดจะโทษวิหคเพลิงแต่อย่างใด
สามพันปีที่นางดูแลตำหนักแห่งนี้ แม้จะมีเตร็ดเตร่ออกไปเที่ยวนอกตำหนักบ้างแต่ก็ร่ายเวทเพื่อป้องกันตำหนักเพิ่มทุกครั้ง นี่คงจะเป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ ใครกันเล่าจะคิดว่าวิหคเพลิงจะมาบินวนเวียนอยู่แถวนี้
เซียวอวี้เทียนเดินตามเข้ามามองไปรอบ ๆ เขาเห็นรอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏบนใบหน้างดงามของสตรีนางหนึ่ง พลันรู้ทันทีว่านางจะต้องมีส่วนรู้เห็นไม่มากก็น้อย หากแต่ไม่เข้าใจว่านางจะทำไปเพราะเหตุใด
“พวกท่านทั้งหลาย เงียบก่อน ๆ” เทียนจวินตรัสให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ก่อนจะเริ่มสอบถามความเป็นไปกับหยางซือซือที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นหน้าพระแท่น
“ถวายพระพร เทียนจวิน” หยางซือซือทำความเคารพเขา นางเพิ่งจะเคยพบหน้าเขาเป็นครั้งแรก ใบหน้าที่เงียบขรึมของเขาทำให้นางอ่านสีหน้าไม่ถูก
“เซียนน้อย เจ้าเป็นผู้ดูแลตำหนักใช่หรือไม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้น” น้ำเสียงนุ่มนวลของเขาทำให้นางพอจะใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“คือว่า วิหคเพลิงตัวหนึ่งบินทะลุเข้ามาในม่านเขตแดนของตำหนัก ข้าพยายามหยุดมันแล้ว แต่ข้าสู้พละกำลังของมันไม่ได้ ดังนั้นเปลวไฟของโคมดวงจิตจึงดับมอดลงเพคะ” หยางซือซืออธิบายแก่ทุกคนตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ
หลังจากที่หยางซือซือพูดถึงวิหคเพลิง เทพเซียนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ก็ซุบซิบความน่าจะเป็นราวกับเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าสถานที่ไกลผู้คนและมีเสี้ยวดวงจิตของเทพเซียนพำนักอยู่ ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งวุ่นวายอย่างแน่นอน ยิ่งเป็นสัตว์พาหนะแล้วด้วย ไม่มีทางเข้าเขตแดนรอบนอกก่อนถึงตำหนักได้แน่
“เป็นเช่นนั้นจริงหรือ สัตว์พาหนะไม่มีทางเข้าไปที่เขตแดนบริเวณรอบ ๆ ได้อยู่แล้ว เจ้ากำลังแก้ตัวหนีความผิดใช่หรือไม่ เซียนน้อย” เซียนอาวุโสคนหนึ่งกล่าวขึ้น เขาหันไปมองหน้าเทียนจวิน แล้วพูดต่อว่า “ขอเทียนจวินสืบเรื่องราวให้กระจ่างด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“นางพูดความจริง พ่ะย่ะค่ะ วิหคเพลิงตัวนั้นข้าจับมัดไว้ที่ด้านนอกตำหนัก หากพระองค์ต้องการหลักฐานเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของนาง” เซียวอวี้เทียนโพล่งขึ้นท่ามกลางที่ชุมนุม คำพูดของเทพสงครามเป็นที่น่าเชื่อถือแต่ก็น่ากังขาว่าทำไมเขาถึงได้อยู่ในที่แห่งนั้น แม้กระทั่งเทียน จวินเองยังสงสัย เพื่อไม่ให้ทุกคนหลุดประเด็นไปมากกว่านี้ เทพเซียนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์จึงก้าวเข้ามาที่กลางห้องโถงใหญ่อย่างพร้อมเพรียงกัน
“องค์เทียนจวิน เหตุการณ์ครั้งนี้ต้องมีผู้ที่ถูกลงโทษ” ทุกคนในที่นี้รู้ดีว่าการผ่านด่านเคราะห์เป็นภารกิจสำคัญของเทพเซียนในการเลื่อนขั้นบนสวรรค์ มีผลต่อการบำเพ็ญตบะของตนเอง การทำหน้าที่ไม่สำเร็จนั้นนอกจากจะทำให้พวกเขาต้องเริ่มต้นใหม่แล้วยังต้องลำบากลบความทรงจำของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับชะตาลิขิตด้วย
“เทียนจวิน ข้ายอมรับโทษครั้งนี้ เป็นข้าเองที่ประมาทจนทำให้เกิดเรื่องร้ายแรง” หยางซือซือยอมรับผิด นางทำให้ทุกคนต้องลำบากเพราะนางไม่ได้ ไม่ว่าบทลงโทษเป็นอะไร นางก็จะก้มหน้าทำตามแต่โดยดี
“ในเมื่อเจ้ายอมรับผิด ขอเทียนจวินได้โปรดให้นางได้ลงไปผ่านด่านเคราะห์ที่โลกมนุษย์ด้วยเถิด เผื่อนางจะได้เข้าใจมากขึ้นว่าหน้าที่ของนางสำคัญเพียงใด” เทพอาวุโสองค์หนึ่งกล่าวขึ้น
“แต่จะให้ดีกว่านี้ หากนางเกิดเป็นมนุษย์แล้วได้ฝึกบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้น” เสียงแหลมเล็กดังมาจากข้าง ๆ เทียนจวิน นางคือซ่งอี้ อัคคีเทพ ผู้เป็นธิดาเพียงองค์เดียวของเขา รอยยิ้มที่เซียวอวี้เทียนเห็นเมื่อตอนที่เขาเดินเข้าห้องโถงมาได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งราวกับรอจังหวะเหมาะสม
“ตบะเซียนเก้าขั้น นั่นจะไม่มากไปหรือ” เซียนอาวุโสที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เซียวอวี้เทียนคัดค้าน เขารู้สึกว่าบทลงโทษนี้มากเกินความผิดที่นางก่อไว้เสียอีก ราวกับจะไม่ยุติธรรมต่อนางเลยจริง ๆ
“หากให้ซือมิ่งช่วยวาดโชคชะตาเล่า จะเป็นอย่างไร ลงไปอยู่ในยุทธภพ สำนักเซียนสักแห่ง ตลอดชีวิตของนางก็น่าจะบำเพ็ญตบะเซียนได้ครบเก้าขั้นพอดี ไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องกังวลแม้แต่น้อย” ซ่งอี้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนพูดต่อว่า “หากนางมีพลังเซียนเพิ่มขึ้น ก็น่าจะดีกับพวกท่านไม่ใช่หรือ นางจะได้ปกป้องโคมดวงจิต ไม่มีเรื่องให้พวกท่านวุ่นวายใจยามที่ต้องเผชิญด่านเคราะห์อย่างไรเล่า”
สิ้นคำพูดของซ่งอี้ เทพเซียนที่เกี่ยวข้องกับการเหตุการณ์ครั้งนี้เริ่มเห็นด้วยกับความคิดของนาง“ขอเทียนจวินตัดสินด้วยเถิด” ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันเทียนจวินมองไปที่หยางซือซือ เวลานี้ใบหน้าของนางราวกับครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ แต่ไม่มีสีหน้าแสดงความกังวลใจต่อบทลงโทษ“เซียนน้อยหยางซือซือ ข้ารู้ว่าเจ้าตั้งใจทำหน้าที่ต่อจากผู้เฒ่าหยางมาด้วยดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากแต่ครั้งนี้เกิดเรื่องขึ้น ข้าไม่อาจเพิกเฉยต่อความเดือนร้อนได้ จงลงไปเกิดเป็นมนุษย์ ผ่านด่านเคราะห์และบำเพ็ญตบะให้แกร่งกล้า เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ถูกลงโทษเป็นครั้งที่สอง” เทียนจวินตรัสกับนาง“หม่อมฉันน้อมคำตัดสินเพคะ ขอบพระทัยเทียนจวิน” หยางซือซือทำความเคารพ ก่อนที่ทุกคนในห้องโถงใหญ่แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนต่อ มีเพียงเซียวอวี้เทียนเดินหน้าเศร้ามาหานางเพราะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของนาง วิหคเพลิงมีเงื่อนงำบางอย่างถึงได้ปรากฏตัวขึ้น“ไม่ต้องเป็นห่วงข้านักหรอกน่า เซียวอวี้เทียน ช่วงชีวิตมนุษย์นั้นแสนสั้น เดี๋ยวข้าก็กลับขึ้นมาบนสวรรค์ได้เช่นเดิมแล้ว” หยางซือซือปลอบใจเขาเหมือนอย่างเคย นางมักจะลืมเรื่องของตนเองแล้วใส่ใจค
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ทางทิศใต้ของภูเขาลูกใหญ่ เด็กชายอายุสิบขวบกำลังนั่งขอทานอยู่ริมถนนในตลาด สภาพหน้าตามอมแมมของเขาจำแทบไม่ได้เลยว่าเป็นลูกของผู้ใด เขานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งบ่ายก็ยังไม่ได้เงินสักอีแปะเดียว เวลานี้ขอเพียงมีคนใจดีแบ่งปันซาลาเปาซักลูกแก่เขาก็ดีใจมากแล้ว“นี่เจ้าตัวอัปมงคล ไปนั่งที่อื่นไกล ๆ พวกข้าเสียที มีเจ้าอยู่แถวนี้ พวกข้าเลยพลอยไม่ได้เงินขอทานสักอีแปะ” ชายวัยกลางคนโพล่งขึ้นทำลายความเงียบ ทุกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันเห็นด้วยกับคำพูดของเขา พยายามจะพูดไล่ให้เด็กชายสิบขวบไปไกล ๆ แต่พอเห็นเขาไม่ขยับคล้ายไม่ยอมฟังคำพูดทำหูทวนลม ก็พาลโกรธคิดว่าเด็กชายกำลังท้าทาย“พูดดี ๆ ด้วย ไม่ได้ยินหรืออย่างไร ข้าบอกให้ไปซะ” เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกขึ้นยืนแล้วถุยน้ำลายใส่ แต่เด็กน้อยยังคงไม่ขยับ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะร่างกายเขาแทบจะไม่มีแรงลุกขึ้นไปที่ไหน ท่าทางของเขายิ่งทำให้ขอทานโมโหจนออกแรงยกเท้าเตะไปที่ลำตัวแห้งผอมของเขา หวังให้ตกใจรีบวิ่งหนีไป แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เด็กชายล้มลงไปตามแรงที่ส่งมา โดยไม่มีเสียงร้องสักแอะ“มันตายแล้วหรือ” ขอทานคนหนึ่งพูดขึ้น
“ซิ่วอิง ตรงนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทำไมคนมุงเต็มไปหมด” เสียงเล็กจากเด็กหญิงผู้หนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะนาน ๆ ทีถึงได้ออกมาเที่ยวในเมือง จึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง“ฟางหรง เจ้าไม่ต้องรู้ทุกเรื่องหรอก วันนี้ท่านพ่อให้เจ้ามาทำธุระกับเถ้าแก่ร้านหยกไม่ใช่หรือ ไปช้าเดี๋ยวก็โดนดุอีกหรอก” ซิ่วอิงที่ดูโตกว่านางสักสามปีตักเตือน“เอ๋! นาน ๆ ทีได้ออกมาเที่ยวในเมืองบ้าง ช้าไปนิดหน่อย ท่านลุงไม่กล้าว่าอะไรนางหรอกน่า เจ้าก็จริงจังเกินไปแล้ว” หนิงเหอผู้เป็นน้องสาวของนางโต้แย้งอย่างมีเหตุผล“ใช่ ๆ หนิงเหอพูดถูก เจ้าเคยเห็นท่านพ่อดุข้าหรือ” ฟางหรงยิ้มร่าแล้ววิ่งไปทางนั้นพร้อมกับหนิงเหอ“พวกเจ้าสองคนนี่ เล่นเป็นเด็กไปได้ เมื่อไรจะโตเสียที” ซิ่วอิงบ่นเสียงดังก่อนรีบตามทั้งสองคนไปฟางหรงเดินแหวกฝูงชนที่กำลังมุงดูเสิ่นชิว นางมุดลอดช่องว่างเข้าไปจนเข้าถึงตัวเขาในไม่ช้า เลือดที่ไหลรินบนใบหน้าทำให้นางตกใจ ทั้งยังเสื้อผ้ายับเยิน มีแต่รอยเท้าฝากฝังไว้ทั่วร่าง ฟางหรงทำใจเห็นคนที่อายุพอกันกับนางมีสภาพเช่นนี้ไม่ได้จริง ๆ นางจึงแตะไปที่ตัวเขา เรียกเบา ๆ เผื่อเขาจะตื่น“นี่ นี่ เจ้าได้ยินข้าหรือไม่”
ห้าปีผ่านไปเสิ่นชิวเติบโตขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนี้ เขาคอยช่วยงานคนในหมู่บ้าน มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ผู้คนรอบตัวต่างมีน้ำใจต่อเขา“ท่านแม่ ท่านคงไม่ต้องเป็นห่วงข้าแล้วล่ะ ท่านเห็นหรือไม่ ข้าเติบโตมาอย่างดี หวังว่าท่านจะอยู่บนสวรรค์อย่างมีความสุขนะขอรับ” เสิ่นชิวมองท้องฟ้าสีครามยามเช้าสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่คิดถึงนาง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาตั้งใจใช้ชีวิตอย่างที่นางหวัง เพียงแค่กินอิ่ม นอนหลับ ร่างกายแข็งแรง นางก็ดีใจมากแล้ว“เสิ่นชิว ทำอะไรอยู่หรือ” ฟางหรงนั่งลงข้าง ๆ เขา ซบหัวลงพิงไหล่อย่างสนิทสนม “มัวแต่คิดอะไรอยู่หรือ วันนี้มีงานสำคัญ อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมแล้ว” นางถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่า เขาไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน“อ้อ จริงด้วยสิ วันนี้มีงานสำคัญของเจ้านี่นา ข้าเกือบลืมไปเสียสนิท” เสิ่นชิวได้ทีแกล้งนางกลับ ทำให้เขาโดนทุบด้วยฝ่ามือน้อย ๆ ของนางไปหนึ่งที จนไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีก การแกล้งนางนั้นสนุกยิ่งกว่าอะไร“เสิ่นชิว เจ้าแกล้งข้าอีกแล้ว” ทันทีที่พูดจบ นางหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับเข้าหมู่บ้าน ได้ยินแต่เสียงตะโกนของเสิ่นชิวดังมา “ฟางหรง อย่างอนข้าเลยนะ แต่ถึงงอนก็ไม่เ
อีกทางด้านหนึ่งของผาเดียวดาย“โอ๊ย เมื่อย!” เสียงหวานดังขึ้น ร่างโปร่งแสงของนางก้าวออกมาจากต้นดอกท้อที่บัดนี้อายุเกือบแสนปีแล้ว หลังจากนั่งบำเพ็ญตบะเซียนอยู่ครึ่งค่อนวัน นางจึงอยากเดินเล่นแก้เมื่อยเสียหน่อย“นี่เจ้ากระต่ายเวท มานั่งดูท้องฟ้าเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ” นางเรียกกระต่ายเวทตัวหนึ่งที่อยู่แถวนั้นมาอยู่เป็นเพื่อน จริง ๆ เมื่อไม่กี่หมื่นปีก่อน จู่ ๆ นางก็ไม่ได้เจอมนุษย์คนใดอีกเลย นับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับนางอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเขาลูกนี้ร้างหรือน่ากลัวกันแน่จึงไม่มีมนุษย์คนใดเข้ามาถึงริมผาเดียวดายตอนที่นางกำลังนั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียว กระต่ายเวทตัวนี้ก็โผล่มา ลักษณะรูปร่างคล้ายกับว่านางเคยเห็นมาก่อน เพียงแต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่ในภพนี้แน่นอน หยางซือซือแทบจะลืมไปแล้วว่าเหตุใดนางถึงมาเกิดเป็นต้นดอกท้อตั้งแต่ได้เจอเจ้ากระต่ายตัวนี้ นางก็เอาแต่เล่นกับมันทั้งวัน จนไม่ได้ฝึกบำเพ็ญตบะเซียน จู่ ๆ กระต่ายเวทก็หายไป แรก ๆ นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นั่งรอมันอยู่ที่เดิมหลายวัน แล้วก็คิดได้ว่ากระต่ายเวทคงจะต้องใช้พลังเซียนหล่อเลี้ยงให้สภาพร่างคงอยู่ นางจึงลองใช้พลังเซียนเรียกมันออกมา
ณ ทางตอนเหนือบนดินแดนสวรรค์ของเทพเซียน มีตำหนักไม้หลังเล็กหลบซ่อนตัวอยู่ในปุยเมฆสีขาว โคมดวงจิตของเทพเซียนที่ลงมาผ่านด่านเคราะห์บนโลกมนุษย์แขวนอยู่เรียงรายใจกลางตำหนัก แสงไฟลุกโชนจากโคมทำให้รู้ว่าเรื่องราวของพวกเขาเป็นไปตามชะตาที่ซือมิ่งเขียนเอาไว้ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงมีเขตแดนปกคลุมรอบทิศทางเพื่อป้องกันไม่ให้มีสิ่งใดรุกล้ำเข้ามาก่อความไม่สงบแม้ไม่มีเขตแดนคอยปกป้อง ก็ใช่ว่าจะมีผู้ใดกล้าเข้ามาวุ่นวายกับที่แห่งนี้สักเท่าใด ด้วยเป็นสถานที่ที่ดวงจิตส่วนหนึ่งของเทพเซียนสถิตอยู่ ทั้งยังห่างไกลจากใจกลางดินแดนสวรรค์ จนบางคนแทบลืมไปแล้วว่าตำหนักนี้อยู่ที่ใด คงจะมีก็แต่เซียนน้อยนางหนึ่งนามว่าหยางซือซือ ที่รู้เรื่องราวของตำหนักนี้ดีกว่าผู้ใด นั่นก็เพราะว่านางคือเจ้าของตำหนักและผู้ดูแลโคมดวงจิตคนล่าสุดนั่นเองราว ๆ สามพันปีก่อน ผู้เฒ่าหยางกำลังกวาดลานหน้าตำหนักแล้วไปพบนางเข้า เขาจึงตั้งชื่อให้และดูแลนางนับตั้งแต่นั้นมาทว่าช่วงเวลาของพวกเขานั้นสั้นนัก อายุขัยของผู้เฒ่าหยางถึงเวลานั้นแล้ว ทั้งดวงจิตและร่างกายจึงสลายเข้าสู่ห้วงเวลานิรันดร์ หยางซือซือที่อายุหนึ่งพันปีจึงต้องอยู่โดดเดี่ยวนับแต่นั