ณ ทางตอนเหนือบนดินแดนสวรรค์ของเทพเซียน มีตำหนักไม้หลังเล็กหลบซ่อนตัวอยู่ในปุยเมฆสีขาว โคมดวงจิตของเทพเซียนที่ลงมาผ่านด่านเคราะห์บนโลกมนุษย์แขวนอยู่เรียงรายใจกลางตำหนัก แสงไฟลุกโชนจากโคมทำให้รู้ว่าเรื่องราวของพวกเขาเป็นไปตามชะตาที่ซือมิ่งเขียนเอาไว้ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงมีเขตแดนปกคลุมรอบทิศทางเพื่อป้องกันไม่ให้มีสิ่งใดรุกล้ำเข้ามาก่อความไม่สงบ
แม้ไม่มีเขตแดนคอยปกป้อง ก็ใช่ว่าจะมีผู้ใดกล้าเข้ามาวุ่นวายกับที่แห่งนี้สักเท่าใด ด้วยเป็นสถานที่ที่ดวงจิตส่วนหนึ่งของเทพเซียนสถิตอยู่ ทั้งยังห่างไกลจากใจกลางดินแดนสวรรค์ จนบางคนแทบลืมไปแล้วว่าตำหนักนี้อยู่ที่ใด คงจะมีก็แต่เซียนน้อยนางหนึ่งนามว่าหยางซือซือ ที่รู้เรื่องราวของตำหนักนี้ดีกว่าผู้ใด นั่นก็เพราะว่านางคือเจ้าของตำหนักและผู้ดูแลโคมดวงจิตคนล่าสุดนั่นเอง
ราว ๆ สามพันปีก่อน ผู้เฒ่าหยางกำลังกวาดลานหน้าตำหนักแล้วไปพบนางเข้า เขาจึงตั้งชื่อให้และดูแลนางนับตั้งแต่นั้นมา
ทว่าช่วงเวลาของพวกเขานั้นสั้นนัก อายุขัยของผู้เฒ่าหยางถึงเวลานั้นแล้ว ทั้งดวงจิตและร่างกายจึงสลายเข้าสู่ห้วงเวลานิรันดร์ หยางซือซือที่อายุหนึ่งพันปีจึงต้องอยู่โดดเดี่ยวนับแต่นั้นมา เช้านี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย นางคอยเดินสำรวจโคมดวงจิตทีละดวงไม่ขาดตกบกพร่อง และคอยตรวจตราม่านเขตแดนไม่ให้มีรอยชำรุด ทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็งตลอดช่วงเช้า ก่อนจะมานั่งลงข้าง ๆ โคมดวงจิตดวงหนึ่งที่นางประคบประหงมดูแลเป็นพิเศษ
“เจ้าโคมน้อย วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” หยางซือซือทักทายโคมดวงจิตอย่างที่ทำเป็นประจำ นางเคยถามผู้เฒ่าหยางว่าโคมนี้เป็นของเทพเซียนใด ถึงได้มีแสงริบหรี่ต่างจากโคมดวงอื่น ๆ นัก แต่ผู้เฒ่าหยางเองก็ไม่สามารถตอบนางได้ ทุกวันนี้นางจึงได้แต่เฝ้าดูแลและอธิษฐานให้เจ้าของดวงจิตนี้ผ่านด่านเคราะห์บนโลกมนุษย์แล้วกลับดินแดนสวรรค์ดังเดิม ภารกิจอันยาวนานของผู้เฒ่าหยางจะได้สำเร็จลุล่วงหมดห่วง
หยางซือซือกำลังนั่งพูดคุยกับโคมดวงจิตเพลิน ๆ นางได้ยินเสียงกระดิ่งดังมาจากหน้าตำหนัก พลันรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้างดงามของนาง
“เซียวอวี้เทียน เจ้ามีเวลามาเยี่ยมข้าแล้วหรือ” น้ำเสียงของนางดูจะตัดพ้อเล็กน้อย เซียวอวี้เทียนเป็นสหายเซียนเพียงคนเดียวของนาง พวกเขาพบกันครั้งแรกเมื่อร้อยปีก่อน ขณะกำลังตามหาของบางอย่าง ครั้งนั้นนางดีใจอย่างมากที่ได้พบเจอผู้อื่นบ้าง ด้วยหน้าที่สำคัญทำให้นางละทิ้งตำหนักแห่งนี้ไปที่ใดไม่ได้เลย
ส่วนเซียวอวี้เทียนเองก็รู้สึกได้ว่าหยางซือซือดูเป็นคนจิตใจดี ทั้งยังพูดคุยถูกคอจึงนับถือเป็นสหายเซียนคนสำคัญและมาเยี่ยมเยียนนางอยู่บ่อย ๆ ทั้งที่ตำหนักของเขาอยู่ห่างไกลคนละฝั่ง
“อย่าเพิ่งโกรธข้าไปเลย ดูนี่สิ ข้ามีของบางอย่างมาให้เจ้าด้วยนะ” เขายิ้มกว้างแล้วยื่นลูกแก้วกลม ๆ ขนาดเท่าฝ่ามือออกไป
“ไม่มาหาข้าตั้งเกือบเดือน เจ้าคิดจะง้อข้าด้วยวิธีนี้อีกแล้วใช่หรือไม่” หยางซือซือมองหน้าเขาก่อนจะหันมาสนใจของขวัญที่อยู่ตรงหน้า นางหรี่ตามองทางซ้ายทีขวาที ถามเขาอีกครั้งด้วยความสงสัย “เซียวอวี้เทียน สิ่งนี้คืออะไรหรือ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่คนเดียวคงจะเหงา” เซียวอวี้เทียนใช้นิ้วชี้เคาะไปที่ลูกแก้วเบา ๆ สองสามครั้ง จากนั้นก็มีแสงสีขาวสว่างขึ้นมา ไม่นานนัก กระต่ายเวทสีขาวก็ปรากฏตัวขึ้นก่อนกระโดดดึ๋ง ๆ รอบพวกเขา นางเอื้อมมือสัมผัสกระต่ายเวทตัวนี้อย่างแผ่วเบา เขาเห็นสีหน้าของหยางซือซือในเวลานี้ก็อดอมยิ้มไม่ได้ บอกนางว่า “ต่อไปนี้ ถ้าเจ้าต้องดูแลกระต่ายเวท คงไม่มีเวลามานั่งเหงาแล้วล่ะ”
“ขอบคุณเจ้ามากนะ นี่เซียวอวี้เทียน ไหน ๆ เจ้าก็มาเยี่ยมข้าแล้ว วันนี้ไปดื่มชาดอกท้อที่ผาน้ำตกกันดีหรือไม่ ดูท่าทางเจ้ามีเรื่องกลุ้มใจ” หยางซือซือสังเกตเห็นสีหน้าของเขาดูกังวลคล้ายมีเรื่องปิดบังนาง
“ไม่มีอะไรเสียหน่อย เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ไปนั่งคุยกันต่อที่นั่นดีกว่า ตอนมาที่นี่ ข้าเห็นกลุ่มก้อนเมฆสะท้อนสีรุ้งจาง ๆ ด้วยนะ เจ้าชอบมากไม่ใช่หรือ”
“ทำไมเพิ่งจะบอกข้าเล่า รีบไปกันเถอะ เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน ขอข้าร่ายเวทม่านเขตแดนอีกสักรอบ” หยางซือซือพูดจบก็วาดนิ้วในอากาศพลันสายเวทปรากฏขึ้นโอบล้อมตำหนักอีกชั้นหนึ่ง
ทั้งสองคนมักจะมาดื่มชาดอกท้อและนั่งเล่นที่ผาน้ำตก ดูก้อนเมฆสีรุ้งด้วยกันบ่อย ๆ เซียวอวี้เทียนจึงรู้สึกสบายใจทุกครั้งยามที่เขามาหานาง แม้จะมีเรื่องราวให้กังวลใจ เขาก็เลือกที่จะลืมไปชั่วคราวราวกับเรื่องนั้นไม่สลักสำคัญ ดวงตาของเขาสะท้อนภาพของหยางซือซือพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ
“เซียวอวี้เทียน กระต่ายเวทของเจ้าน่ารักจริง ๆ ดูสิ” หยางซือซืออุ้มกระต่ายตัวน้อยไว้ในอ้อมกอด ท่าทางขี้อ้อนทำให้นางรู้สึกเอ็นดู “เจ้ามีอะไรในใจหรือไม่ ข้าพร้อมรับฟังทุกเรื่อง” นางถามเขาตรง ๆ แน่นอนว่านางพร้อมที่จะช่วยเหลือเขาไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่
“ไม่รบกวนเจ้าหรอก ข้าจัดการได้” เขาปฏิเสธเพราะไม่กล้าบอกนาง
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องผ่านไปได้ ข้าอยู่ตรงนี้เสมอ ถ้าเจ้าอยากให้ข้าช่วย ขอแค่เพียงเอ่ยปาก ข้าย่อมยินดี” หยางซือซือยิ้มกว้างเป็นกำลังใจให้เขา นางไม่ได้รู้เลยว่ารอยยิ้มนั้นทำให้เขาใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าและใบหูของเขาแดงขึ้นจนต้องหันหน้าไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อน
ราวกับช่วงเวลานี้สงบจนเกินไป จู่ ๆ ทั้งคู่ก็เห็นแสงกลม ๆ สีแดงลอยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเสียงหวีดยาวดังขึ้น พร้อมกับเงาสีแดงตัดผ่านหน้าพวกเขาตามเจ้าก้อนกลมนั้นไปติด ๆ เงาสีแดงนั้นเคลื่อนที่พร้อมกับพลังอันรุนแรง จนสายลมพัดมากระทบตัวทั้งสองคนเซไปด้านหลัง หยางซือซือพยายามเพ่งมองตามเงาสีแดงแล้วนึกได้ว่ามันกำลังมุ่งหน้าตรงไปที่ตำหนักของนาง
“แย่แล้ว!” หยางซือซือรีบลอยลิ่วตรงกลับไปที่ตำหนักพร้อมกับเซียวอวี้เทียน
“นั่นวิหคเพลิง หยางซือซือเจ้าถอยออกมา” เซียวอวี้เทียนห้ามไม่ให้นางเข้าไปใกล้เพราะกลัวจะได้รับบาดเจ็บ เขาร่ายเวทเพื่อจับวิหคเพลิงให้อยู่นิ่ง ๆ หากแต่เจ้าสัตว์พาหนะตัวนี้พละกำลังไม่น้อย คนที่ควบคุมมันได้มีเพียงเจ้านายของมันเท่านั้น
หยางซือซือไม่ฟังคำของเขา นางรีบเข้าไปที่ใจกลางตำหนักเพื่อร่ายม่านป้องกันโคมดวงจิตโดยไม่ทันระวังตัว วิหคเพลิงบินโฉบเข้ามาหานาง เปลวไฟที่อยู่รอบตัวมันกระทบกับแขน ร้อนลวกผิวจนนางเผลอร้องออกมา
“โอ๊ย!” เสียงร้องของนางทำให้เซียวอวี้เทียนตกใจมากกว่าเดิม เขาเปลี่ยนใจร่ายเวทขั้นสูงเพื่อจับมัน แต่วิหคเพลิงยังคงดื้อดึง พยายามหนีจากการจับกุมของเขา บินโฉบไปมาด้วยความเร็วดังสายฟ้าแลบ ทุกครั้งที่วิหคเพลิงกระพือปีก กระแสลมหนักแน่นสายหนึ่งก็จะพัดตามมาเป็นระลอก เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่ทันตั้งตัว แววตาของหยาง ซือซือสั่นระริก นางมองไปที่โคมดวงจิตใจกลางตำหนัก ไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไรเพื่อรักษาเปลวไฟไม่ให้ดับมอด
เปลวไฟจากโคมดวงจิตวูบไหวไปมา เสี้ยวหนึ่งของความคิดที่นางนึกขึ้นได้คือพยายามต้านกระแสลม หยางซือซือกั้นลมด้วยม่านเขตแดนจากพลังน้อยนิดของนางและดูเหมือนว่าจะทำได้สำเร็จ เปลวไฟจากโคมดวงจิตสงบขึ้นทว่าความโชคร้ายของวันไม่ได้มีเท่านี้ วิหคเพลิงเห็นเซียวอวี้เทียนยืนดักอยู่อีกทางและกำลังร่ายเวทขั้นสูงครั้งที่สอง มันจึงรีบกลับตัว สยายปีกแล้วถลาไปทางหยางซือซืออีกครั้ง แต่กระนั้นก็ไม่อาจหลบได้ทัน เวทขั้นสูงของเซียวอวี้เทียนเฉี่ยวไปที่ลำตัวเพรียวระหงจนทำให้ทรงตัวไม่อยู่ พร้อมที่จะพุ่งดิ่งตกไปกลางลานด้วยความเร็ว หยางซือซือที่ยังคงตรึงเวทของนางเอาไว้ได้แต่มองตาม พลังของวิหคเพลิงนั้นแข็งแกร่งมากกว่านางอีกหรือหลังจากนั้นโคมดวงจิตที่อยู่รอบนอกเริ่มดับต่อกันเป็นทอด ๆ กว่าครึ่งหนึ่ง ในใจของนางพลันคิดว่าครั้งนี้จบสิ้นจริง ๆ แล้ว ภาระหน้าที่แสนง่ายแต่สลักสำคัญของนางด้านเซียวอวี้เทียนเองเพิ่งจะจับวิหคเพลิงตัวนี้ได้หันมาถามนางด้วยความเป็นห่วง “หยางซือซือ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” ครั้นพอเห็นสายตาที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า เขาก็เข้าใจแล้วว่า หายนะครั้งใหญ่กำลังมาเยือนอย่างแน่นอน ไม่ทันที่เขาจะได้หาหนทางแก้ไขเรื่องรา
สิ้นคำพูดของซ่งอี้ เทพเซียนที่เกี่ยวข้องกับการเหตุการณ์ครั้งนี้เริ่มเห็นด้วยกับความคิดของนาง“ขอเทียนจวินตัดสินด้วยเถิด” ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันเทียนจวินมองไปที่หยางซือซือ เวลานี้ใบหน้าของนางราวกับครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ แต่ไม่มีสีหน้าแสดงความกังวลใจต่อบทลงโทษ“เซียนน้อยหยางซือซือ ข้ารู้ว่าเจ้าตั้งใจทำหน้าที่ต่อจากผู้เฒ่าหยางมาด้วยดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากแต่ครั้งนี้เกิดเรื่องขึ้น ข้าไม่อาจเพิกเฉยต่อความเดือนร้อนได้ จงลงไปเกิดเป็นมนุษย์ ผ่านด่านเคราะห์และบำเพ็ญตบะให้แกร่งกล้า เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ถูกลงโทษเป็นครั้งที่สอง” เทียนจวินตรัสกับนาง“หม่อมฉันน้อมคำตัดสินเพคะ ขอบพระทัยเทียนจวิน” หยางซือซือทำความเคารพ ก่อนที่ทุกคนในห้องโถงใหญ่แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนต่อ มีเพียงเซียวอวี้เทียนเดินหน้าเศร้ามาหานางเพราะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของนาง วิหคเพลิงมีเงื่อนงำบางอย่างถึงได้ปรากฏตัวขึ้น“ไม่ต้องเป็นห่วงข้านักหรอกน่า เซียวอวี้เทียน ช่วงชีวิตมนุษย์นั้นแสนสั้น เดี๋ยวข้าก็กลับขึ้นมาบนสวรรค์ได้เช่นเดิมแล้ว” หยางซือซือปลอบใจเขาเหมือนอย่างเคย นางมักจะลืมเรื่องของตนเองแล้วใส่ใจค
ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองเล็ก ๆ ทางทิศใต้ของภูเขาลูกใหญ่ เด็กชายอายุสิบขวบกำลังนั่งขอทานอยู่ริมถนนในตลาด สภาพหน้าตามอมแมมของเขาจำแทบไม่ได้เลยว่าเป็นลูกของผู้ใด เขานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้าตรู่จนกระทั่งบ่ายก็ยังไม่ได้เงินสักอีแปะเดียว เวลานี้ขอเพียงมีคนใจดีแบ่งปันซาลาเปาซักลูกแก่เขาก็ดีใจมากแล้ว“นี่เจ้าตัวอัปมงคล ไปนั่งที่อื่นไกล ๆ พวกข้าเสียที มีเจ้าอยู่แถวนี้ พวกข้าเลยพลอยไม่ได้เงินขอทานสักอีแปะ” ชายวัยกลางคนโพล่งขึ้นทำลายความเงียบ ทุกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันเห็นด้วยกับคำพูดของเขา พยายามจะพูดไล่ให้เด็กชายสิบขวบไปไกล ๆ แต่พอเห็นเขาไม่ขยับคล้ายไม่ยอมฟังคำพูดทำหูทวนลม ก็พาลโกรธคิดว่าเด็กชายกำลังท้าทาย“พูดดี ๆ ด้วย ไม่ได้ยินหรืออย่างไร ข้าบอกให้ไปซะ” เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกขึ้นยืนแล้วถุยน้ำลายใส่ แต่เด็กน้อยยังคงไม่ขยับ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะร่างกายเขาแทบจะไม่มีแรงลุกขึ้นไปที่ไหน ท่าทางของเขายิ่งทำให้ขอทานโมโหจนออกแรงยกเท้าเตะไปที่ลำตัวแห้งผอมของเขา หวังให้ตกใจรีบวิ่งหนีไป แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม เด็กชายล้มลงไปตามแรงที่ส่งมา โดยไม่มีเสียงร้องสักแอะ“มันตายแล้วหรือ” ขอทานคนหนึ่งพูดขึ้น
“ซิ่วอิง ตรงนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น ทำไมคนมุงเต็มไปหมด” เสียงเล็กจากเด็กหญิงผู้หนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะนาน ๆ ทีถึงได้ออกมาเที่ยวในเมือง จึงรู้สึกสงสัยใคร่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง“ฟางหรง เจ้าไม่ต้องรู้ทุกเรื่องหรอก วันนี้ท่านพ่อให้เจ้ามาทำธุระกับเถ้าแก่ร้านหยกไม่ใช่หรือ ไปช้าเดี๋ยวก็โดนดุอีกหรอก” ซิ่วอิงที่ดูโตกว่านางสักสามปีตักเตือน“เอ๋! นาน ๆ ทีได้ออกมาเที่ยวในเมืองบ้าง ช้าไปนิดหน่อย ท่านลุงไม่กล้าว่าอะไรนางหรอกน่า เจ้าก็จริงจังเกินไปแล้ว” หนิงเหอผู้เป็นน้องสาวของนางโต้แย้งอย่างมีเหตุผล“ใช่ ๆ หนิงเหอพูดถูก เจ้าเคยเห็นท่านพ่อดุข้าหรือ” ฟางหรงยิ้มร่าแล้ววิ่งไปทางนั้นพร้อมกับหนิงเหอ“พวกเจ้าสองคนนี่ เล่นเป็นเด็กไปได้ เมื่อไรจะโตเสียที” ซิ่วอิงบ่นเสียงดังก่อนรีบตามทั้งสองคนไปฟางหรงเดินแหวกฝูงชนที่กำลังมุงดูเสิ่นชิว นางมุดลอดช่องว่างเข้าไปจนเข้าถึงตัวเขาในไม่ช้า เลือดที่ไหลรินบนใบหน้าทำให้นางตกใจ ทั้งยังเสื้อผ้ายับเยิน มีแต่รอยเท้าฝากฝังไว้ทั่วร่าง ฟางหรงทำใจเห็นคนที่อายุพอกันกับนางมีสภาพเช่นนี้ไม่ได้จริง ๆ นางจึงแตะไปที่ตัวเขา เรียกเบา ๆ เผื่อเขาจะตื่น“นี่ นี่ เจ้าได้ยินข้าหรือไม่”
ห้าปีผ่านไปเสิ่นชิวเติบโตขึ้นที่หมู่บ้านแห่งนี้ เขาคอยช่วยงานคนในหมู่บ้าน มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ผู้คนรอบตัวต่างมีน้ำใจต่อเขา“ท่านแม่ ท่านคงไม่ต้องเป็นห่วงข้าแล้วล่ะ ท่านเห็นหรือไม่ ข้าเติบโตมาอย่างดี หวังว่าท่านจะอยู่บนสวรรค์อย่างมีความสุขนะขอรับ” เสิ่นชิวมองท้องฟ้าสีครามยามเช้าสีหน้ายิ้มแย้ม ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะไม่คิดถึงนาง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาตั้งใจใช้ชีวิตอย่างที่นางหวัง เพียงแค่กินอิ่ม นอนหลับ ร่างกายแข็งแรง นางก็ดีใจมากแล้ว“เสิ่นชิว ทำอะไรอยู่หรือ” ฟางหรงนั่งลงข้าง ๆ เขา ซบหัวลงพิงไหล่อย่างสนิทสนม “มัวแต่คิดอะไรอยู่หรือ วันนี้มีงานสำคัญ อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมแล้ว” นางถามออกไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่า เขาไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน“อ้อ จริงด้วยสิ วันนี้มีงานสำคัญของเจ้านี่นา ข้าเกือบลืมไปเสียสนิท” เสิ่นชิวได้ทีแกล้งนางกลับ ทำให้เขาโดนทุบด้วยฝ่ามือน้อย ๆ ของนางไปหนึ่งที จนไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีก การแกล้งนางนั้นสนุกยิ่งกว่าอะไร“เสิ่นชิว เจ้าแกล้งข้าอีกแล้ว” ทันทีที่พูดจบ นางหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับเข้าหมู่บ้าน ได้ยินแต่เสียงตะโกนของเสิ่นชิวดังมา “ฟางหรง อย่างอนข้าเลยนะ แต่ถึงงอนก็ไม่เ
อีกทางด้านหนึ่งของผาเดียวดาย“โอ๊ย เมื่อย!” เสียงหวานดังขึ้น ร่างโปร่งแสงของนางก้าวออกมาจากต้นดอกท้อที่บัดนี้อายุเกือบแสนปีแล้ว หลังจากนั่งบำเพ็ญตบะเซียนอยู่ครึ่งค่อนวัน นางจึงอยากเดินเล่นแก้เมื่อยเสียหน่อย“นี่เจ้ากระต่ายเวท มานั่งดูท้องฟ้าเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิ” นางเรียกกระต่ายเวทตัวหนึ่งที่อยู่แถวนั้นมาอยู่เป็นเพื่อน จริง ๆ เมื่อไม่กี่หมื่นปีก่อน จู่ ๆ นางก็ไม่ได้เจอมนุษย์คนใดอีกเลย นับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับนางอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเขาลูกนี้ร้างหรือน่ากลัวกันแน่จึงไม่มีมนุษย์คนใดเข้ามาถึงริมผาเดียวดายตอนที่นางกำลังนั่งเหงา ๆ อยู่คนเดียว กระต่ายเวทตัวนี้ก็โผล่มา ลักษณะรูปร่างคล้ายกับว่านางเคยเห็นมาก่อน เพียงแต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่ในภพนี้แน่นอน หยางซือซือแทบจะลืมไปแล้วว่าเหตุใดนางถึงมาเกิดเป็นต้นดอกท้อตั้งแต่ได้เจอเจ้ากระต่ายตัวนี้ นางก็เอาแต่เล่นกับมันทั้งวัน จนไม่ได้ฝึกบำเพ็ญตบะเซียน จู่ ๆ กระต่ายเวทก็หายไป แรก ๆ นางก็ไม่ได้คิดอะไรมาก นั่งรอมันอยู่ที่เดิมหลายวัน แล้วก็คิดได้ว่ากระต่ายเวทคงจะต้องใช้พลังเซียนหล่อเลี้ยงให้สภาพร่างคงอยู่ นางจึงลองใช้พลังเซียนเรียกมันออกมา