อวิ๋นเซียวที่ไม่ทันฟังคำพูดน้องสาวให้กระจ่าง ก็รีบวางไม้ไผ่ในมือลงและรีบวิ่งไปยังชายป่าตามทิศทางที่น้องสาวชี้ไปด้วยความร้อนใจ เขาไม่น่าปล่อยให้นางกับน้องสาวเข้าป่าไปกันตามลำพังเลย หากเกิดอะไรขึ้นกับนางเขาเองคงไม่มีหน้าไปพบท่านพ่อตาท่านแม่ยาย ไหนจะครอบครัวท่านยายเหลียนและน้อง ๆ ของนางอีก
อวิ๋นเฟยที่ยืนอ้าปากค้างมองตามหลังพี่ชายที่รีบวิ่งออกไปทั้งที่นางยังไม่ทันได้พูดจบ ก็ได้แต่ส่ายหน้าในความใจร้อนและร้อนใจของผู้เป็นพี่ชาย แต่นางก็สามารถเข้าใจได้ตั้งแต่พวกนางสามพี่น้องโดนบีบบังคับให้ต้องออกมาจากบ้านสายหลัก
พี่ชายนางคิดอยู่เสมอว่าเขาจะไม่สามารถแต่งภรรยาเข้าบ้านได้ คงไม่มีใครอยากจะยกลูกสาวให้เขาที่มีฐานะยากจนแต่ในเมื่อเขามีโอกาสได้แต่งภรรยาเข้ามาแล้ว เขาย่อมต้องรักและเป็นห่วงพี่สะใภ้มาก ด้วยรูปโฉมของพี่สะใภ้เองก็งดงามออกปานนั้น อีกทั้งพี่สะใภ้ยังรูปร่างบอบบางน่าทะนุถนอมขนาดนี้หากนางเป็นพี่ชายก็คงต้องร้อนใจไม่ต่างกัน
อวิ๋นเซียววิ่งมาด้วยความเร็ว ด้วยความร้อนใจไม่นานเขามาถึงชายป่าพี่มีภรรยาและน้องชายรออยู่ เขาวิ่งมาก็พบว่าภรรยาของตัวเองนอนอยู่ข้าง ๆ หมูป่าตัวใหญ่ เขาตกใจจนหน้าไม่มีสีเลือด
“ภรรยาเจ้าเป็นอะไร เจ้าโดนหมูป่าทำร้ายเอาใช่หรือไม่ เจ้าเจ็บตรงไหนบอกข้ามา อาซวนเจ้ารีบกลับบ้านแล้วไปตามท่านหมอหยูมาข้าจะอุ้มพี่สะใภ้เจ้าตามไป”
“ตามหมอ ตามทำไมหรือขอรับพี่ใหญ่” อวิ๋นซวนที่นั่งอยู่ถามพี่ชายด้วยความไม่เข้าใจ
“เจ้ายังจะถามอีกหรือ ไม่ใช่ว่าพี่สะใภ้เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไร รีบ ๆ ไปได้แล้ว”
เว่ยจื้อโหยวที่กำลังจะหลับก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความเหนื่อยอ่อนและรีบบอกสามีของนางว่านางไม่ได้เป็นอันใด เพียงแต่ตกใจและเหนื่อยเพียงเท่านั้นก่อนที่สามีของนางจะโวยวายและคิดไปไกลกว่านี้
“เดี๋ยว ๆ ท่านพี่ ข้าไม่ได้เป็นอันใดเจ้าค่ะ ข้าแค่เหนื่อยและตกใจเพียงเท่านั้น อีกอย่างข้าเองเพิ่งจะหายป่วยร่างกายข้าจึงยังไม่แข็งแรงทำให้เหนื่อยง่ายถึงได้มานอนหมดแรงอยู่ตรงนี้เช่นไรเจ้าคะ”
“ภรรยาเจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้รับบาดเจ็บ หากเจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนเจ้าต้องบอกข้านะ”
“ข้าไม่ได้เป็นอันใดจริง ๆ เจ้าค่ะ ท่านพี่วางใจได้”
“แล้วหมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้มาได้อย่างไร ใช่พวกเจ้าเข้าป่าลึกไปใช่หรือไม่”
“เปล่านะเจ้าคะท่านพี่ พวกข้าเพียงแค่เก็บผักป่าอยู่ดี ๆ เจ้าหมูนี่ก็วิ่งมาทางพวกข้าเหมือนมันจะหนีอะไรมาสักอย่าง พวกข้าเองก็ตกใจจึงได้พากันวิ่งไปหลบอยู่หลังหินก้อนใหญ่ แต่ใครจะไปรู้เล่าว่าเจ้าหมูป่าตัวนี้มันจะหลับหูหลับตาวิ่งขนาดนี้ มันวิ่งชนก้อนหินที่พวกข้าหลบอยู่ตายเจ้าค่ะ ด้วยความตกใจข้ากลัวว่าจะมีสัตว์ป่าดุร้ายตามกลิ่นเลือดมาอีกทั้งข้ากับน้อง ๆ เสียดายหมูป่าข้าเลยแบกมาด้วยเจ้าค่ะ พอคิดว่าออกมาพ้นจากอันตรายแล้วข้าเลยหมดแรงแบกต่อไม่ไหวแล้วเลยให้อาเฟยไปตามท่านพี่มาช่วยเจ้าค่ะ”
“ภรรยา เจ้าทำข้าตกใจจะตายแล้ว หมูป่าตัวใหญ่ขนาดนี้เจ้าเอาแรงที่ไหนแบกมากัน ทีหลังอย่าทำเช่นนี้อีก มันอันตรายรู้หรือไม่ หากเจ้าแบกออกมาไม่พ้นป่าเล่าจะทำเช่นใด หากสัตว์ป่าดุร้ายตามกลิ่นเลือดมาจะทำอย่างไร ถึงจะเสียดายแต่เมื่อจำเป็นต้องรักษาชีวิตก็ย่อมต้องทิ้งไปเข้าใจหรือไม่”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว เรารีบกลับบ้านเถอะเจ้าค่ะ ข้าหิวมากเลยตอนนี้”
อวิ๋นเซียวแบกหมูป่าเดินนำหน้าภรรยาและน้องสาวกลับบ้านไปทันที เมื่อกลับมาถึงบ้านเขานำหมูป่าไปวางเอาไว้ที่ลานหลังบ้านจากนั้นจึงได้ย้อนกลับไปขนไม้ไผ่ลงมาจนไม้ไผ่ที่ตัดเอาไว้หมดเขาถึงได้มาทำความสะอาดหมูและเตรียมแบ่งไปให้บ้านพ่อตาแม่ยายครึ่งตัวตามที่ภรรยาของเขาต้องการ
เว่ยจื้อโหยวคิดจะไปจับกุ้งและปูมาทำอาหารนางจึงชวนน้องชายน้องสาวไปที่ลำธารหลังบ้านทันทีและบอกให้สามีนำหมูอีกครึ่งตัวส่งไปที่บ้านท่านยายของนาง
“ท่านพี่ข้าจะไปลำธารหลังบ้านกับน้อง ๆ หากว่าท่านทำความสะอาดหมูเสร็จแล้วรบกวนท่านช่วยนำไปให้ที่บ้านท่านยายด้วยนะเจ้าคะ”
“ได้เจ้าไปเถอะ ระวังตัวด้วยเล่า”
“เจ้าค่ะ พวกเราเองก็ไปกันเถอะ อาซวนเอาจอบไปด้วยนะ ส่วนอาเฟยเอาตะกร้าตาถี่ไปด้วย”
“ขอรับพี่สะใภ้”
“เจ้าค่ะพี่สะใภ้"
คล้อยหลังภรรยาและน้องชายน้องสาวเดินออกจากบ้านไปอวิ๋นเซียวรีบทำความสะอาดหมูอย่างว่องไว จากนั้นเขานำเนื้อหมูเข้าไปเก็บเอาไว้ภายในห้องครัวก่อนที่จะนำเนื้อหมูป่าที่แบ่งเอาไว้อีกครึ่งเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านพ่อตาแม่ยายทันที
ใช้เวลาไม่ถึง 2 เค่อเขาก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านเหลียนแล้ว อวิ๋นเซียวมองเข้าไปในบ้านก็ไม่พบใครสักคนเขาจึงได้ตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้าน
“ท่านยายเหลียน ท่านตาเหลียน ท่านพ่อตา ท่านแม่ยายมีใครอยู่หรือไม่ขอรับ”
แม่เฒ่าเหลียนที่วันนี้อยู่บ้านไม่ได้ออกไปที่แปลงนากับคนอื่น เพราะที่ดินทำกินของพวกเขามีไม่มากนัก ตอนนี้มีลูกสาวลูกเขยมาช่วยแบ่งเบาภาระนางและสามีจึงไม่จำเป็นต้องไปทำงานในแปลงนา นางเพียงแต่พาหลาน ๆ ดูแลแปลงผักเล็ก ๆ หลังบ้านเท่านั้น
เมื่อนางได้ยินเสียงเรียกอยู่หน้าบ้านเหมือนจะเป็นหลานเขยของนางเรียกอยู่หน้าบ้าน แม่เฒ่าจึงรีบเดินออกมาหน้าบ้านทันที
“อาเซียวมีอันใดหรือ มีอะไรให้ยายช่วยหรือไม่”
“ไม่มีขอรับ ภรรยาให้ข้าเอาเนื้อหมูป่ามามาให้ขอรับ”
“เช่นนั้นรึ เช่นนั้นก็ช่วยเอาไปเก็บไว้ในห้องครัวให้ยายทีนะ พวกเจ้าผัวเมียไม่เห็นจะต้องเอามาให้ที่บ้านเลย เหตุใดไม่นำไปขายในอำเภอเสียล่ะ”
“เป็นความตั้งใจของภรรยาที่อยากจะแสดงความกตัญญูขอรับ ท่านยายไม่ต้องคิดมากนะขอรับ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนยังต้องไปช่วยภรรยาทำงานอีก”
“เช่นนั้นก็ไปเถอะขอบใจสำหรับเนื้อหมูนะ เอาไว้พรุ่งนี้พ่อตาแม่ยายรวมถึงพวกเราบ้านเหลียนทุกคนจะไปช่วยพวกเจ้าล้อมรั้วนะ”
“ขอรับท่านยาย เช่นนั้นข้าลาล่ะขอรับ”
หลังจากหลานเขยกลับไปแล้วแม่เฒ่าเหลียนก็หันหลังกลับเข้าไปในบ้านทันทีโดยที่ไม่เห็นว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองมาที่นางด้วยความเคียดแค้นใจ
เฉียนเสี่ยวหลิน ลูกสาวบ้านตระกูลเฉียนที่อยู่ข้างบ้านแม่เฒ่าเหลียน มองมายังแม่เฒ่าด้วยสายตาเคียดแค้นชิงชัง สาเหตุมาขากแม่เฒ่าเหลียนยกหลานสาวให้แต่งงานกับอวิ๋นเซียวตัดหน้านาง
นางหลงรักอวิ๋นเซียวมานานเฝ้ามองเขาอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าพ่อแม่ของนางจะไม่ยินยอมให้นางแต่งไปเป็นภรรยาของเขาแต่นางยังหวังว่าสักวันพ่อแม่ของนางจะใจอ่อนยอมให้นางแต่งงานกับเขา
แต่ความหวังของนางกลับต้องมาพังลงอย่างไม่เป็นท่า เมื่อครอบครัวลูกสาวของแม่เฒ่าเหลียนกลับมาอยู่ที่หมู่บ้านต้าลี่แห่งนี้ ย้ายกลับมาอยู่ไม่เท่าไหร่ทำไมแม่เฒ่าน่าตายนี่ถึงได้ยกหลานสาวให้แต่งเข้าบ้านของชายหนุ่มที่นางหมายปองด้วย เพราะเรื่องนี้เฉียนเสี่ยวหลินจึงได้จงเกลียดจงชังต่อบ้านสกุลเหลียน
เว่ยจื้อโหยวไม่ได้รับรู้ความเกลียดชังที่มีต่อบ้านเดิมของนาง นางยังคงพาน้องชายน้องสาวทั้งสองเดินมุ่งหน้าเพื่อไปจับกุ้งและปูมาทำอาหารเพื่อเติมเต็มความหิวโหยของนาง
“พี่สะใภ้ถึงแล้วขอรับ”
“อาซวนเอาจอบมาให้ข้า ข้าจะลองทำกับดักปลาตามที่ข้าเคยเห็นในตำราเมื่อครั้งที่ข้าเข้าไปในเมืองกับท่านพ่อเมื่อตอนที่ยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้”
“ได้ขอรับ แล้วมันจะได้ผลหรือไม่ขอรับ”
"ข้าเองก็ไม่แน่ใจ พวกเราทำได้แค่ลองดูเท่านั้น"
จากนั้นนางก็ขุดหลุมเอาไว้ข้างลำธารและนำโคลนมาป้ายตามก้นหลุมพร้อมทั้งใบไม้ที่กำลังจะเน่าเปื่อย จากนั้นนางก็ปล่อยน้ำจากลำธารให้ไหลมาตามทางน้ำเล็ก ๆ ที่นางขุดเอาไว้ เพื่อให้น้ำได้ไหลมาที่หลุมกับดักของนาง เมื่อขุดเสร็จแล้ว 1หลุม นางยังขุดเพิ่มอีก 3 หลุมด้วยกัน จากนั้นก็หาใบไม้และกิ่งไม้วางทับบนปากหลุมด้วย
“เอาล่ะ ขุดแค่ 4 หลุมก่อน หากว่ามันได้ผลเราจะมาขุดเพิ่มเพื่อจับปลาไปขายในเมือง ตอนนี้เราไปช่วยกันจับปูและกุ้งก่อนจะได้รีบกลับไปทำอาหาร"
“ได้เลยขอรับ พี่สะใภ้วางใจได้ข้าจะจับกุ้งและปูให้พี่สะใภ้เยอะ ๆ เลยขอรับ”
“รีบ ๆ จับเถอะอาซวน เจ้ามัวแต่คุยโวอยู่นั่นล่ะ”
“พี่รองล่ะก็ ข้าไม่ได้คุยโวนะขอรับ”
จากนั้นทั้งสามคนก็ลงไปในลำธารและช่วยกันจับปูและกุ้งใส่ตะกร้าที่เตรียมมา โดยที่แยกปูและกุ้งออกคนละตะกร้าเพื่อป้องกันไม่ให้ปูหนีบกุ้งจนตาย หากกุ้งตายแล้วจะไม่สดและรสชาติไม่อร่อยจื้อโหยวจึงให้น้องทั้งสองคนเตรียมมาสองตะกร้า
หลังจากที่ช่วยกันจับกุ้งจนได้เต็มตะกร้าแล้ว และได้ปูมาจนเกือบเต็มตะกร้าเว่ยจื้อโหยวจึงพาเด็กทั้งสองคนเดินกลับบ้านไปทำอาหารค่ำ
“เราจับมาเยอะขนาดนี้เราจะกินหมดหรือเจ้าคะพี่สะใภ้”
“ไม่หมดไม่เป็นไรเราขังใส่ไหดินเผาเอาไว้ก่อน พรุ่งนี้เราค่อยนำมาทำกับข้าวอีกยังได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะกินไม่หมดหรอกนะ”
“เจ้าค่ะพี่สะใภ้ แล้วจะทำอะไรกินหรือเจ้าคะ เปลือกแข็งถึงเพียงนี้"
“เจ้าช่วยติดไฟที่เตาให้ข้าทีอาซวน ส่วนอาเฟยมาช่วยข้าล้างกุ้งกับปู”
หลังจากแบ่งงานกันแล้ว ทั้งสามคนก็รีบทำหน้าที่ของตัวเอง หลังจากที่อวิ๋นเซียวกลับมาจากการเอาเนื้อหมูไปให้บ้านพ่อตาแม่ยาย เขาก็กลับขึ้นเขาไปตัดไม้ไผ่ต่อทันที
จากเครื่องปรุงที่มีอยู่ในบ้านตอนนี้ คงทำได้แค่กุ้งคั่วเกลือ และน้ำแกงปูเท่านั้น นางลืมแวะดูกับดักปลาไปเสียสนิทเลย หากได้ปลามาทำน้ำแกงสักตัวก็คงดีไม่น้อย
หลังจากนั้นนางจัดการหุงข้าวและทำกับข้าวในอีกเตาข้างๆโดยมีสายตาของสองพี่น้องมองดูอยู่ไม่ห่าง เวลาผ่านไปไม่นานกลิ่นหอมของกุ้งคั่วเกลือที่ลอยออกมาทำให้พวกเขาหิวข้าวมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ น้ำแกงปูที่พี่สะใภ้ทำก็หอมมากเช่นเดียวกัน
“หอมมากเลยขอรับ ข้าไม่คิดว่ากุ้งกับปูจะสามารถนำมาทำอาหารได้น่ากินขนาดนี้ แถมเนื้อยังหวานมาก ๆ เลย พี่ใหญ่ต้องชอบแน่ ๆ เลยขอรับ ว่าแต่ว่าพี่ใหญ่หายไปไหน หรือว่าขึ้นเขาไปตัดไม้ไผ่ต่อ”
“น่าจะไปตัดไม้ไผ่นั่นล่ะอีกเดี๋ยวก็คงกลับมา ส่วนเนื้อหมูพวกนี้คงต้องแบ่งไปทำเนื้อหมูตากแห้งเก็บเอาไว้กินส่วนขาหมูหมักเกลือแล้วนำไปทำขาหมูรมควันจะดีกว่า พวกเจ้าว่าดีหรือไม่”
“ดีขอรับพี่สะใภ้”
“เช่นนั้นพวกเจ้าไปอาบน้ำรอพี่ใหญ่ของพวกเจ้ากลับมาก่อนแล้วจะได้กินข้าวพร้อมกัน”
ไม่นานอวิ๋นเซียวก็กลับมาจากป่าไผ่พร้อมกับเสียงเคาะสัญญาณของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อเรียกรวมลูกบ้านให้ไปประชุมพร้อมกันที่ลานหน้าศาลบรรพชนของหมู่บ้าน เมื่อชายหนุ่มได้ยินเสียงสัญญาณนี้เขารู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก ไม่รู้จะมีเรื่องอันใดอีก หรือว่าจะเป็นเรื่องการเกณฑ์ชาวบ้านให้ไปเป็นทหาร เขาได้แต่หวังว่ามันคงไม่ใช่อย่างที่เขาคิด
อวิ๋นเซียวกลับเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เขาไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากบอกกับภรรยาได้เช่นไร เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วใช่ว่าเขาอยากจากนางไปเป็นทหารเสียเมื่อไหร่ เห็นกันอยู่ว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย“ภรรยา พวกเจ้ากินข้าวกันไปก่อน เมื่อสักครู่ข้าได้ยินเสียงสัญญาณที่หัวหน้าหมู่บ้านเรียกรวมชาวบ้าน ข้าในฐานะตัวแทนครอบครัวจะต้องไปเข้าร่วมประชุม เจ้าพาน้อง ๆ กินข้าวไปก่อนไม่ต้องรอข้า”“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ ท่านพี่รู้หรือไม่”“น่าจะเรื่องเกณฑ์ชาวบ้านไปเป็นทหาร ข้าเองก็ไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ เอาไว้ไปถึงก็คงจะรู้”“เจ้าค่ะ”ที่ลานหน้าศาลพรรพชนของหมู่บ้าน ตอนนี้แต่ละครอบครัวส่งตัวแทนมาแล้วครอบครัวละ 1 คน เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเห็นว่ามากันครบทุกคนแล้วก็เริ่มเอ่ยปากบอกสาเหตุที่เขาเรียกทุกครอบครัวมาในวันนี้“เอาล่ะ ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ ข้ามีเรื่องอยู่สองเรื่องที่จะแจ้งให้พวกเจ้าได้รับรู้กันเอาไว้และจะต้องทำตามไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ข้าเองก็หนักใจเช่นกันแต่ถ้าหากพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งไม่ทำตามแล้วครอบครัวของเจ้าจะมีความผิดร้ายแรง”“มันเรื่องอันใดกันแน่ท่านหัวหน้าหมู่บ้านรีบ ๆ พูดมาเถอะ พวกข้าเองก็ร้อน
เว่ยจื้อโหยวพาน้องชายน้องสาวเดินไปดูหลุมดักปลาที่นางขุดเอาไว้เมื่อหลายวันก่อน เมื่อเดินมาถึงอวิ๋นซวนที่วิ่งนำหน้าไปก่อนนั้นก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ เขาเอากิ่งไม้ที่วางทับข้างบนปากหลุมออกในหลุมที่ขุดเอาไว้มีปลาอยู่แน่นไปหมดแถมปลายังมีขนาดใหญ่อีกด้วย“อู้วว ปละ..ปลา ปลาเต็มไปหมดเลยขอรับพี่สะใภ้ อีกทั้งมีแต่ตัวใหญ่ ๆ พี่สะใภ้เก่งที่สุดเลยขอรับ”“จริงหรืออาซวน ในนั้นมีปลาจริงหรือเจ้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่หรือไม่” “ข้าพูดเรื่องจริงพี่รองข้าจะไปโกหกท่านทำไม หรือท่านไม่เชื่อในตัวพี่สะใภ้กันแน่”“ข้าเปล่าสักหน่อย เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล อย่ามากล่าวหาข้า ข้าหาได้คิดดังเช่นที่เจ้าว่ามา”“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว อาเฟยไปเอาถังน้ำมา เราจะจับปลาไปขังเอาไว้ในโอ่งก่อนพรุ่งนี้เราค่อยนำไปขายในเมือง จะได้ซื้อเมล็ดผักมาปลูกเพิ่มด้วย”“เจ้าค่ะพี่สะใภ้”“อาซวนหากเราต้องการเข้าไปในตัวเมืองเราจะต้องทำเช่นไร เดินไปหรือแล้วตัวเมืองอยู่ไกลหรือไม่”“นั่งเกวียนรับจ้างไปขอรับ หากเดินเท้าก็ร่วม 2 ชั่วยาม หากเรานำปลาเข้าไปขายข้าเกรงว่าเดินไปคงไม่สะดวก”“เอาเช่นนี้ อาซวนเจ้าวิ่งไปบ้านเดิมข้าสักประเดี๋ยว บอกกับท่านลุงใหญ
หลังจากออกมาจากเหลาอาหารแล้วเหลียนอี้ปิงพาน้องเขยไปที่ตลาดค้าสัตว์เพื่อเลือกซื้อเกวียนเทียมลาหรือวัวขึ้นอยู่กับว่าเงินในมือพวกเขาพอหรือไม่ เงิน 10 ตำลึงทองที่เตรียมเอาไว้เพื่อจ่ายให้กับทางการแทนการไปเป็นทหารตั้งแต่แรกนั้น ได้จากการนำสินเดิมของท่านแม่และภรรยาของเขาไปจำนำเอาไว้ที่โรงรับจำนำ“พี่ใหญ่ขอรับ หลังจากเราซื้อเกวียนแล้วข้าว่าพี่ใหญ่ไปเอาสินเดิมของแม่ยายกับพี่สะใภ้มาคืนพวกนางเถอะขอรับ ข้าคิดว่าต่อไปในภายภาคหน้าพวกเราคงไม่ขัดสนเงินทองเท่าไหร่ เป็นไปได้หากข้ามีเงินในอนาคตข้าก็อยากจะซื้อที่ดินเป็นของครอบครัวตัวเองขอรับ”“ได้ตกลง เช่นนั้นเราก็แวะโรงรับจำนำก่อนก็แล้วกัน ข้าคิดว่าเงินเรามีพอที่จะซื้อเกวียนวัวหรือเกวียนลาได้”เมื่อตกลงกันได้แล้วเหลียนอี้ปิงขับเกวียนมุ่งหน้าไปที่โรงรับจำนำและทำการไถ่ถอนสินเดิมของภรรยาและมารดาออกมาทั้งหมด รวมเป็นเงิน 8ตำลึงทอง ทำให้ในตอนนี้เงินในมือเหลืออยู่เพียง 2 ตำลึงทองกับอีก 6 ตำลึงเงินที่ได้จากการขายปลาหลังจากจัดการธุระที่โรงรับจำนำเสร็จแล้วทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปยังตลาดค้าสัตว์ทันที ด้วยจำนวนเงินที่มีในมือ คงจะซื้อได้เพียงเกวียนเทียมลาเท่านั้น หรือ
เว่ยจื้อโหยวที่วันนี้ว่างมาก งานพลิกหน้าดินก็ทำเสร็จแล้ว ในระหว่างที่ต้องใช้เวลาตากหน้าดินหลายวัน ในระหว่างรอนางจึงคิดว่าสมควรจะเข้าป่าเพื่อหาของป่านำไปขายเหมือนกับชาวบ้านคนอื่น ไม่แน่ว่านางที่มาจากอนาคตอาจจะพบเจออะไรที่กินได้แต่ชาวบ้านที่นี่ไม่รู้จักก็เป็นได้ ป่ายังคงความอุดมสมบูรณ์มากขนาดนี้นางมั่นใจว่าจะต้องมีของกินมากมายในป่าที่สามารถทำเงินให้กับนางได้แน่นอนเมื่อคิดได้ว่าจะเข้าป่ามันก็ต้องมีการเตรียมตัวกันสักนิด ก่อนอื่นต้องหาเสียมเล็ก ๆ หรือพลั่วเล็ก ๆ ติดตัวไปด้วย ต่อมาก็เป็นมีด กระบอกใส่น้ำดื่ม แล้วอาวุธล่ะจะเอาอะไรติดตัวไปด้วย ธนูสามีของนางก็เอาติดตัวไปด้วยแล้ว ลองหาในห้องเก็บของดูเผื่อจะมีหลงเหลืออยู่บ้างเว่ยจื้อโหยวค้นหาของในห้องเก็บของนางพบธนูอันใหญ่ที่มีสภาพเก่าแล้วแต่ยังอยู่ในสภาพดี พร้อมทั้งลูกธนูอีก 1กระบอกมีประมาณ 15 ลูกได้ นี่อาจจะเป็นสมบัติตกทอดมาจาดพ่อสามีก็เป็นได้ นอกจากธนูแล้วนางยังเอาเชือกสำหรับกับดักสัตว์ไปด้วย หลังจากหาของที่ต้องการครบแล้วนางก็นำไปใส่ตะกร้าไม้ไผ่อันใหญ่ยกขึ้นสะพายหลังเตรียมเข้าป่าตามที่ตั้งใจเอาไว้เว่ยจื้อโหยวสะพายตะกร้าออกจากบ้านอย่างอาร
เว่ยจื้อโหยวเดินแบกตะกร้าที่เต็มไปด้วยไก่ป่าและกระต่ายป่า ในมือยังถือหน่อไม้มาด้วย 2 หน่อ วันนี้นางใช้เวลาเดินในป่ามากไปหน่อย ตอนนี้ถึงกับหมดแรงไปเลยทีเดียวเมื่อเดินมาได้ใกล้จะถึงบ้าน นางก็ต้องหยุดยืนขมวดคิ้วแน่นเสียงด่าทอน้องชายน้องสาวดังมาจากหน้าบ้าน คงจะเป็นนังมนุษย์ป้าสะใภ้มหาภัยแน่ ๆ หาไม่แล้วใครจะกล้าและหน้าด้านมาด่าเด็กที่อายุยังไม่ถึง 10 หนาวด้วยซ้ำ จิตใจไร้สำนึกขนาดนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น เว่ยจื้อโหยวสาวเท้าเดินกลับบ้านทันที นางเข้าด้านหลังบ้าน หลังจากนำตะกร้าเข้าไปวางไว้ในห้องนอนของนางเสร็จแล้วจึงปิดประตูใส่กุญแจเอาไว้ ไม่รอช้านางรีบเดินออกไปด้านหน้าบ้านก็พบน้องชายและน้องสาวยืนมองป้าสะใภ้อยู่ข้างหน้าต่าง“ข้ากลับมาแล้ว พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”“พี่สะใภ้ท่านกลับมาเสียที ข้าหนวกหูจะตายแล้วเจ้าค่ะ นางจะเข้ามาในบ้านแต่ข้ากับน้องไม่ยอมเปิดประตูเพราะทุกครั้งที่นางเข้ามานางจะมาหยิบฉวยเอาของในครัวไปจนหมด”“พวกเจ้าทำดีแล้ว ไม่ต้องกลัวข้าจะจัดการเอง”“เจ้าค่ะ”“โอ้ย หนวกหูจริง ๆ ผู้ใดปล่อยสุนัขมาเห่าหอนหน้าบ้านผู้อื่นช่างไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจชาวบ้านชาวช่อง”สิ้นเสียงของเว่ยจื้อ
เช้าวันต่อมาเว่ยจื้อโหยวตื่นขึ้นมาด้วยความไม่สบายใจเท่าไหร่ นางไม่รู้ว่าฝันหรือเรื่องจริงแต่จะอะไรก็ช่างมันก่อน คนเราย่อมต้องพึ่งพาตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ถึงปากนางจะก่นด่าไปบ้างมันก็สมควรแล้ว นางแค่ต้องการระบายความอัดอั้นตันใจเพียงเท่านั้นนางไม่แน่ใจว่าความฝันนางจะใช่เรื่องจริงหรือไม่เพราะยังไม่สามารถพิสูจน์อันใดได้เพราะนางยังไม่ได้ลงมือเพาะปลูกอันใดเลย หรือเพียงทางเดียวเท่านั้นมิติจะใช่เรื่องจริงหรือไม่คงต้องลองดูเมื่อได้ข้อสรุปของตนเองเพื่อพิสูจน์ว่าความฝันมันจะเป็นจริงหรือไม่ นางจึงกำหนดจิตให้เข้า ทันใดนั้นนางก็เข้ามาอยู่ในสถานที่แปลก ๆ ที่ดูแห้งแล้งและแร้นแค้น สถานที่แห่งนี้มีพื้นที่เพียงแค่ 1หมู่เท่านั้น มีบ่อน้ำที่ทำจากหิน 1บ่อเพียงเท่านั้น นอกเหนือจากนี้แล้วไม่มีอะไรเลยแม้กระทั่งต้นไม้ใบหญ้า นี่คงจะเป็นบ่อน้ำแร่อย่างที่บอกแน่นอนเมื่อแน่ใจแล้วว่านี่ไม่ใช่ความฝัน นางจึงกลับออกไปข้างนอกและเริ่มทำมื้อเช้าสำหรับน้องทั้งสองปลายยามอิ๋นท่านพ่อและท่านลุงบังคับเกวียนมาถึงบ้านของนางเพื่อนำปลาไปขายเช่นเมื่อวาน “อาโหยวตื่นแล้วหรือลูก เจ้านอนไม่หลับหรือ เหตุใดถึงได้ขอบตาดำคล้ำขนาดนั้น
ทางด้านเว่ยเจี้ยนป๋อกับเหลียนอี้ปิงที่วันนี้นำปลาไปส่งที่เหลาอาหารพร้อมทั้งกระต่ายกับไก่ที่เว่ยจื้อโหยวล่ามาได้ ทำให้วันนี้พวกเขาได้เงินมาไม่น้อย เพราะจำนวนปลาที่จับได้มากขึ้นและมีขนาดตัวที่ใหญ่ ส่วนปลาตัวเล็กนั้นพวกเขาปล่อยกลับลงลำธารไป ทั้งสองคนติดสินใจว่าจะมาขุดหลุมดักปลาเพิ่ม เพราะหลงจู๊บอกว่าปลาที่พวกเขานำไปส่งเมื่อวานไม่พอขาย ถึงแม้วันนี้จะได้ปลาเพิ่มมาจากเมื่อวานนับ 100 ชั่ง แต่หลงจู๊คิดว่าไม่น่าจะพอขาย เพราะไม่มีใครสามารถจับปลามาส่งที่เหลาอาหารแบบที่ยังมีชีวิตอยู่และไร้บาดแผลเช่นนี้มาก่อน ทำให้เวลานำปลาไปปรุงอาหารจะได้รสชาติสดใหม่และอร่อยยิ่งขึ้น ตอนนี้อาหารเมนูปลาจึงเป็นอาหารขึ้นชื่อของเหลาอาหารไปแล้ว“น้องเขย ข้าว่าเรากลับไปขุดหลุมกับดักเพิ่มสัก 3 หลุมดีหรือไม่ ขุดห่างกันออกไปหน่อยลำธารสายนี้ไม่ค่อยมีชาวบ้านเดินผ่านมาเพราะมันอยู่ติดกับชายป่า เหมาะสำหรับให้พวกเราขุดหลุมดักปลา”“ข้าเห็นด้วยกับพี่ใหญ่ กระต่ายป่าและไก่ป่าของอาโหยวก็ขายได้ราคาดีไม่น้อย เลยเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วข้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงนางมาก นางสามารถดูแลตัวเองได้ หากข้าไม่ตัดสินใจแยกบ้านออกมาพวกเราคงจะไม่มีวันคืนที่ด
กวางตัวใหญ่เสี่ยวเอ้อร์นำไปชั่งน้ำหนักได้ถึง 500 ชั่ง พร้อมกับนำเขาที่ตัดออกมาส่งให้กับเว่ยเจี้ยนป๋อ กวาง 500 ชั่งที่ลูกสาวแสนบอบบางแบกออกมาจากป่า เว่ยเจี้ยนป๋อคิดแล้วให้เจ็บปวดนักเขาเองก็รักลูกสาวมาก เหตุใดลูกสาวเขาถึงทำงานหนักขนาดนี้ คิดแล้วช่างปวดใจนัก“นี่ขอรับเขากวางของพวกท่าน ส่วนนี่เป็นเงิน 500 ตำลึงเงิน เป็นตั๋วแลกเงินใบละ 100 ตำลึง 5 ใบ พวกท่านตรวจดูก่อน”“ขอบใจเจ้ามาก เช่นนั้นข้าสองคนลานะขอรับหลงจู๊”“อืม อย่าลืมนะ หากมีของดีอย่าลืมนึกถึงเหลาของข้า”“ขอรับพวกเราไม่ลืมท่านแน่ ๆ ขอรับ” เหลียนอี้ปิงรับคำหนักแน่น“พี่ใหญ่เรารีบเอาเขากวางนี่ไปขายก่อนเถอะขอรับ จะได้รีบกลับบ้านประเดี๋ยวจะมืดค่ำไปเสียก่อน”“ตกลง”ทั้งสองคนนำเขากวางมาขายให้กับโรงหมอตามคำแนะนำของหลงจู๊ เขากวางที่พวกเขานำมาเป็นเขากวางอ่อนที่ที่โรงหมอต้องการมานาน เขากวางอ่อนสามารถนำมาเพิ่มในเทียบยาได้หลายขนานและเขากวางอ่อนหายากไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถหาเขาที่ไม่อ่อนเกินไปและแก่เกินไป เขากวางที่ทั้งสองคนนำมานับว่าเหมาะสมมาก “เขากวางอ่อนนี้มีขนาดใหญ่สมบูรณ์ดีมาก อีกทั้งยังหายากมากพวกเจ้าช่างโชคดีจริง ๆ ที่สามารถหาเขากวางที
หลังจากเหลียนอี้หลุนแต่งภรรยาเข้าบ้านได้ไม่นาน หยวนจิ้งเองก็พบรักเข้ากับหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้านแถบชานเมือง นางเป็นบุตรสาวพรานป่าที่มีนิสัยใจคอกล้าหาญไม่ต่างไปจากน้องสะใภ้อย่างเว่ยจื้อโหยว ที่สำคัญนางเป็นคนจิตใจดี หยวนจิ้งแต่งภรรยาได้ไม่นาน ภรรยาของเขาก็ตั้งครรภ์ทันที ต่างจากอี้หลุนที่ไม่ว่าจะทำยังไง ภรรยาก็ยังไม่ตั้งครรภ์เสียที ส่วนภรรยาของกู้ตงและสหายทั้งสองตอนนี้ตั้งครรภ์แล้วเช่นเดียวกัน เว่ยจื้อโหยวเองก็กำลังจะคลอดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ด้วยความพยายามของอี้หลุนในที่สุดภรรยาก็ตั้งครรภ์เสียที เซี่ยเหิงเองก็ไม่ยอมน้อยหน้าคนอื่น อ้ายหลินเองก็ท้องโตและกำลังใกล้คลอดตามเว่ยจื้อโหยวมาติด ๆ หมู่บ้านต้าลี่เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ เว่ยเจี้ยนป๋อได้เป็นบิดาของจอหงวนฝ่ายบุ๋น อวิ๋นเซียวนั้นมีน้องชายเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ อวิ๋นเฟยกับหย่งคังก็มีลูกชายหญิงให้บิดามารดาได้เลี้ยงหลานไม่เหงา ทำเอาลุงใหญ่อย่างเหลียนอี้ปิงอิจฉาตาร้อนไปหมดเจ้าแฝดต้าเป่ากับเสี่ยวเป่า หลังจากมารดาคลอดน้อง ๆ แล้วทั้งสองคนจะเข้าไปศึกษาที่เมืองหลวงตามที่รับปากกับท่านลุงเฟยหลงเอาไว้ เว่ยจื้อโหยวมีความสุขที่ได้อยู่กับลู
เหลียนอี้หลุนตอนนี้กำลังชั่งใจตัวเองอยู่ว่าจะทำตามใจตัวเองหรือจะยอมเดินออกมาอย่างเช่นที่เคยทำ ไม่ใช่ว่าเขาไม่พึงใจในตัวม่านหลิน เพียงแต่เขาคิดว่าตัวเองมีชาติกำเนิดต่ำต้อย บิดามารดาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น เจ้าเมืองเตี้ยนถงเองไม่เคยคิดดูถูกชาติกำเนิดของเหลียนอี้หลุนอย่างที่ตัวอี้หลุนเข้าใจ ที่ฮูหยินท่านเจ้าเมืองกุเรื่องว่าจะให้ลูกสาวแต่งงานกับลูกชายของสหายของนางนั้นเพื่อกระตุ้นให้อี้หลุนรู้ใจตัวเองเพียงเท่านั้น เหลียนอี้หลุนทำหน้าที่คุ้มกันขบวนสินค้ามานานแล้วและนางเองก็รู้ดีว่าเขาพึงใจในตัวบุตรสาวคนเล็กของนาง ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้แสดงออกโจ่งแจ้ง แต่คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานเช่นนางกับสามีนั้นมีหรือจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มคิดเช่นไรกับบุตรสาวของตัวเอง ม่านหลินนั้นตกหลุมรักเหลียนอี้หลุนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเขาเมื่อ 2 ปีก่อน ถึงในสายตาคนอื่นนางเป็นคุณหนูจวนขุนนางที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร นอกจากวิ่งออกไปเที่ยวตรงนั้นทีตรงนี้ที แต่ความจริงแล้วฝีมือการทำอาหาร งานเย็บปักและการต่อสู้ไม่ได้ด้อยเลย ม่านหลินเองก็เริ่มถอดใจแล้วเช่นเดียวกัน นางคิดว่าความพยายามของตัวเองไม่เป็นผลสำเร็จ ขนาดที่นาง
หมู่บ้านหนานซานตอนนี้ข่าวการกลับมาของสามสหายปากร้ายแห่งหมู่บ้านหนานซานที่กลับมาจากเมืองหลวงพร้อมทั้งนำภรรยากลับมาด้วยเป็นที่เลื่องลือไปสี่หมู่บ้านยี่สิบลี้เลยก็ว่าได้ชาวบ้านหลายคนต่างไม่อยากจะเชื่อว่าบุรุษปากคมเช่นสามคนนั้นจะสามารถแต่งภรรยาจากเมืองหลวงกลับมาได้ อีกทั้งเหล่าภรรยายังเป็นคุณหนูของตระกูลใหญ่ที่มาพร้อมกับสินเดิมมากมายและเช้าวันนี้หลังจากที่ส่งสามีออกไปทำงานแล้วเหล่าสะใภ้ทั้งสามก็นัดแนะกันเข้าป่าล่าสัตว์หาของป่าดังเช่นชาวบ้านทั่วไป ทั้งสามคนคิดว่าตัวเองตัดสินใจถูกแล้วที่แต่งงานมาอยู่หมู่บ้านหนานซานแห่งนี้“ท่านแม่ ท่านพ่อ พี่สะใภ้ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ ป่านี้เสวี่ยเหลียนกับซินเหมยคงมารอแล้ว” ม่อจื่อ“จื่อเอ๋อร์ระวังตัวด้วยนะ อย่าเข้าป่าลึกมากนัก บ้านเราไม่ได้ขาดแคลนสิ่งใดอย่าทำอะไรให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย เข้าใจหรือไม่” แม่สามีบอกลูกสะใภ้ชาวเมืองอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้าคะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี”ผิงม่อจื่อหลังจากบอกลาแม่สามีแล้วก็มุ่งหน้ามาที่จุดนัดหมายที่มีสหายสองคนรออยู่ที่ทางขึ้นเขาท้ายหมู่บ้าน เส้นทางนี้ชาวบ้านในหมู่บ้า
หลังจากผ่านพ้นการแต่งงานแบบที่แปลกประหลาดไปแล้ว สี่หนุ่มแห่งหมู่บ้านต้าลี่ต่างได้ภรรยากลับไปฝากคนที่บ้านด้วยนอกเหนือจากของฝากที่พวกเขาซื้อเอาไว้มากมายเพราะทั้งสี่คนแต่งงานแล้วและภรรยายังตามสามีกลับไปด้วย ขากลับทำให้มีขบวนรถม้าเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เว่ยจื้อโหยวเองถึงแม้จะดีใจที่เจ้าพวกลิงทโมนทั้งสี่ในที่สุดก็รู้จักแต่งภรรยามีครอบครัวเสียทีจะได้ไม่ต้องรวมหัวกันไปทำเรื่องอะไรพิเรน ๆ อีก แต่ดูท่าทีภรรยาของแต่ละคนแล้ว เว่ยจื้อโหยวคิดว่าคงมีเรื่องปวดหัวตามมาอีกไม่น้อย “เดินทางปลอดภัยนะ อาเซียวน้องสะใภ้” เฟยหลง“ขอบคุณขอรับพี่รอง ท่านกลับไปดูแลพี่สะใภ้กับหลานชายเถอะไม่ต้องเป็นห่วง” อวิ๋นเซียว“เจ้าแฝดไม่อยู่กับลุงที่เมืองหลวงหรือ” เฟยหลงถามหลานชาย“ไม่ขอรับ ข้าจะไปช่วยท่านพ่อทำงาน เอาไว้ถึงเวลาเข้าสำนักศึกษาแล้วค่อยมาอยู่กับท่านลุงที่เมืองหลวงขอรับ แต่ต้องรอให้ท่านแม่มีน้องก่อนนะขอรับ เพราะหากพวกเราสองคนมาอยู่ที่เมืองหลวงข้ากลัวท่านแม่จะเหงา” ต้าเป่า“ได้ เช่นนั้นลุงรองจะสร้างเรือนเอาไว้ให้พวกเจ้าสองคนนะ เอาติดกับเรือนของน้องชายเลยดีหรือไม่”“ดีขอรับ ท่านลุงรักษาตัวด้วยนะขอรับ เอาไว้ต้าเ
เวลาผ่านไปอีกสองวันก็มีข่าวออกมาว่าชุยต้าหวังพร้อมนางจินซื่อถูกจับข้อหาร่วมมือกันทำให้อดีตภรรยาเอกถึงแก่ความตาย และยึดเอาสินเดิมภรรยาพร้อมทั้งใส่ความบุตรที่เกิดกับภรรยาเอกให้มีความผิดและส่งขายไปเป็นทาสหลวงหลังจากเจ้าหน้าที่ทางการสอบสวนแล้วนางจินซื่อสารภาพว่าเป็นคนวางยาอดีตภรรยาเอกเพื่อต้องการขึ้นมาเป็นภรรยาเอกแทน ส่วนชุยต้าหวังมีความผิดฐานยึดเอาสินเดิมภรรยาและขายลูกชายทั้งสี่ไปเป็นทาส ด้วยเหตุนี้นางจินซื่อมีโทษประหารข้อหาฆ่าคนตาย ชุยต้าหวังมีโทษจำคุก 30 ปี ส่วนลูกชายอย่างชุยตงหลางนั้นไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องที่บิดามารดาได้กระทำลงไปจึงไม่มีความผิด ลูกสาวอย่างชุยรุ่ยเอ๋อร์นั้นมีส่วนรู้เห็นและร่วมมือกับมารดาทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมีโทษจำคุกตลอดชีวิตเช่นเดียวกันทางการได้คืนสินเดิมของมารดาชุยต้าทั้งหมดให้กับพวกเขาสี่พี่น้อง ชุยต้าเองย่อมรู้ว่าเป็นฝีมือของฮูหยิน แต่พวกเขาไม่ยินดีที่จะอยู่เมืองหลวงอีกต่อไป เพราะต่างก็ตั้งใจลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านต้าลี่แล้ว ชุยต้ากลับไปคงต้องคุยกับพี่น้องของตัวเองเรื่องสินเดิมมารดาที่เหลือไม่มากแล้วเพราะตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ชุยต้าหวังและนางจินซื่
หย่งซีและชุยต้ากลับมาถึงจวนแม่ทัพพร้อมกับที่เว่ยจื้อโหยวกลับมาจากวังหลวงเช่นเดียวกัน หย่งซีใบหน้าบูดบึ้งเดินกระแทกเท้าตึง ๆ เข้าไปหาพี่สาวเพื่อบอกกับนางว่าเขาและชุยต้าถูกคนรังแกอย่างไรบ้าง“เป็นอะไรเสี่ยวซีทำไมหน้าตาบูดบึ้งเช่นนั้น ใครทำอะไรให้โมโหมาหรือ” เว่ยจื้อโหยวถามน้องชาย“ก็วันนี้ข้าไปเดินเที่ยวตลาดในเมืองมาแล้วไปเจอยายป้าปากแดงอยู่ ๆ ก็เข้ามาด่าว่าพี่ชายชุยต้ากับข้า แถมยังบอกว่าพี่ชายชุยต้าเป็นอดีตพี่ชายของนาง เท่านั้นยังไม่พอนางยังด่าว่าเป็นทาสด้วย เป็นทาสอะไรกันไม่ได้เป็นทาสเสียหน่อย”“ใครกันน่ะ เหตุใดถึงได้กล้าด่าคนอื่นกลางตลาดขนาดนั้น ไม่กลัวคนอื่นจะมองไม่ดีแล้วไม่มีใครมาสู่ขอหรือ แถมเป็นสตรีด้วย”“ข้าไม่รู้หรอกพี่ใหญ่ รู้แค่ว่านางไม่สวย ทาหน้าขาวโพลนแถมยังปากแดงอีกด้วย ใครจะไปสนใจกันว่านางเป็นใคร ไม่ได้รู้จักแต่เข้ามาด่า นางบอกว่าพี่ชุยต้าเป็นอดีตพี่ชาย”“สรุปที่เจ้าโมโหขนาดนี้ แม่นางผู้นั้นด่าเจ้าหรือด่าชุยต้า” “ด่าข้าด้วย ด่าพี่ชายชุยต้าด้วย นางด่าข้าว่าไอ้เด็กเหลือขอ พ่อแม่ไม่สั่งสอน” หย่งซีหน้างอตอบพี่สาว“ตกลง ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะไปถามชุยต้าเดี๋ยวพี่สาวจะจัดก
หลังจากที่ราชครูเถียนได้ตัดสินใจออกไปแบบนั้นแล้ว เขาไม่เสียใจที่ต้องทำเช่นนี้ หาไม่แล้วตระกูลเถียนคงได้ล่มสลายเพราะสตรีสมองหมูสองคนนี้เป็นแน่ เถียนเสี่ยวมี่ไม่ยินยอมจึงได้โวยวายว่าบิดาไม่ยุติธรรม“ท่านพ่อ ท่านจะมาทำแบบนี้กับข้าและท่านแม่ไม่ได้ เหตุใดเราสองแม่ลูกจะต้องไปอยู่ที่หมู่บ้านบรรพบุรุษด้วยเจ้าคะ การที่ลูกรักพี่จิ้งลูกผิดหรือเจ้าคะ”“ผิด เพราะหยวนจิ้งไม่ได้มีไมตรีต่อเจ้า การที่เจ้าไปวิ่งตามหยวนจิ้งแบบนั้นนอกจากจะด้อยค่าตัวเองแล้วยังทำลายเกียรติของตระกูลเถียนด้วย เจ้าไม่รู้สึกอับอายผู้คนบ้างหรือ”“ท่านพี่ ให้โอกาสเราแม่ลูกสักครั้งได้หรือไม่เจ้าคะ ต่อไปข้าจะดูแลมี่มี่ให้ดี จะไม่ให้ออกไปก่อเรื่องได้อีก”“ข้าตัดสินใจแล้ว การกระทำของเสี่ยวมี่ที่ผ่านมามันบ่งบอกได้ถึงว่านางไม่ได้รับการสั่งสอนที่ดี ตัวข้าเป็นขุนนางตำแหน่งราชครู แม้แต่ลูกสาวของตัวเองยังสั่งสอนไม่ได้แล้วข้าจะมีหน้าไปสั่งสอนผู้อื่นได้เช่นไร พวกเจ้าสองแม่ลูกอย่าลืมว่ายังมีลูกชายทั้งสองคนที่เป็นขุนนางอนาคตไกล อย่าให้การกระทำสิ้นคิดของเจ้ามาทำลายตระกูลเถียนและหน้าที่การงานของทุกคน นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้าให้ได้ปรับปรุงตัวเ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้หยวนจิ้งอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก หลังจากส่งหลาน ๆ กลับจวนแม่ทัพแล้ว ตัวเขาเองก็มุ่งหน้ากลับจวนกั๋วกงทันทีหยวนจิ้งกลับมาถึงก็ตรงไปที่เรือนของฮูหยินทันที เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เขาไม่อาจใจเย็นได้อีก ก่อนจะจัดการคนอื่นต้องจัดการคนในครอบครัวก่อน คนแรกคือท่านแม่ของเขาเอง“ท่านแม่อยู่หรือไม่”“อยู่เจ้าค่ะคุณชาย กำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินท่านราชครูเจ้าค่ะ”“ขอบใจ มีอะไรก็ไปทำเถอะ"“เจ้าค่ะคุณชาย”หยวนจิ้งเดินหน้าดำคร่ำเครียดเข้าไปหาผู้เป็นมารดาที่ตอนนี้นั่งคุยกันอย่างออกรสอยู่กับฮูหยินจวนราชครู หยวนจิ้งเองไม่คิดจะไว้หน้าอยู่แล้ว ในใจเขาคิดว่าดีแล้วจะได้ไม่ต้องไปถึงจวนราชครู หวังว่าฮูหยินจะกลับไปสั่งสอนลูกสาวหรือตัวฮูหยินเองที่ต้องหยุดการกระทำทุกอย่างและอย่าได้คิดมาเล่นแง่หาข้ออ้างอะไรอีก แม้แต่ท่านแม่ของตัวเองวันนี้หยวนจิ้งเองก็ไม่คิดจะอ่อนข้อให้“คารวะท่านแม่ขอรับ คารวะฮูหยินท่านราชครู"“อ้าว อาจิ้งทำไมกลับมาไวนักล่ะลูก ไหนว่าไปที่ตำหนักองค์ชายสามไม่ใช่หรือ” “อุ๊ย ดูพูดเข้าสิ หลานจิ้งฮูหยงฮูหยินอะไรกัน เรียกท่านป้าเถอะจ้ะ” ฮูหยินราชครู“ไม่ล่ะขอรับ ข้าไม่ส
เว่ยจื้อโหยวพาลูก ๆ และสามีเดินทางรอนแรมจากหมู่บ้านต้าลี่ในที่สุดก็ถึงเมืองหลวงเสียที คนที่มารอรับพวกเขาอยู่นอกประตูเมืองคือเฟยหลงกับหยวนจิ้ง เด็กน้อยทั้งสี่ต่างขดตัวนอนหลับอยู่ภายในรถม้ากับพี่เลี้ยงสี่ขาทั้งสี่เฟยหลงพาน้องชายนอกสายเลือดที่เขารักไม่ต่างจากคนสายเลือดเดียวกันเข้าไปพักที่จวนแม่ทัพ ก่อนหน้านั้นหลายปีจวนแม่ทัพแห่งนี้มีอวิ๋นซวนกับหย่งคังและหย่งหมิงพักอยู่ ถึงแม้ตอนนี้จะมีเพียงหย่งหมิงกับอวิ๋นซวนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาเล่าเรียนในสถานศึกษาหลวง“ถึงแล้ว ที่นี่ล่ะ ตอนนี้อาซวนกับอาหมิงคงยังไม่กลับจากสถานศึกษา” หยวนจิ้ง“พาหลาน ๆ ไปนอนในห้องหับเสียก่อน เดินทางมาไกล ต้าเป่ากับน้อง ๆ คงเหนื่อยแย่” เฟยหลง “ขอรับพี่ใหญ่ พี่รอง” อวิ๋นเซียว"เอาล่ะ ซ้ายมือเป็นเรือนของอาเหิงกับครอบครัว ส่วนอาเซียวอยู่เรือนหน้าก็แล้วกัน เรือนด้านขวานั้นอาหมิงกับอาซวนพักอยู่ก่อนแล้ว ส่วนพวกเจ้าที่เหลือไปพักอยู่ที่เรือนหลังก็แล้วกัน" เฟยหลงแจกแจงที่พักหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายเข้าเรือนพักเรียบร้อยแล้ว รถม้าทั้ง 10 คันก็เขาไปจอดเรียบร้อยที่พื้นที่ด้านหลังของจวน ม้าเองก็ต้องการพักผ่อนเช่นเดียวก